แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - af0ck1sd20cx5

หน้า: [1]
1
ไขมันส่วนเกิน ที่มาของพุงและก็ความอ้วน
เดือนพฤษภาคม 19, 2018  kungtep
ไขมันส่วนเกิน เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคร้ายหลายประเภท จะต้องรีบเผาผลาญไขมัน กำจัดไขมันส่วนเกินออกไป มิฉะนั้นจะเจอกับความอ้วน น้ำหนักตัวสูง รูปร่างอ้วนกลมบ๊อก เซลลูไลน์(cellulite)หนักอึ๊ง
ไขมันส่วนเกิน ที่มาของความอ้วน จะต้องสลายไขมันออกไป
พุงที่เด่นกว่าบริเวณใบหน้า ความอ้วนที่แบกรับมานานจากปัญหาของไขมันสะสม เรื่องใหญ่ของบุคลิกภายนอก กำจัดให้ออกไปได้ เพียงแค่ใช้สมุนไพรส้มแขก เรียกหุ่นที่ดูดีชวนมองกลับมาอีกที
ความอ้วน ทำให้บุคลิกเสีย ขาดความมั่นใจ
ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพนับสิบนับร้อย นับว่าเป็นความรู้สึกหนักใจอย่างหนึ่งในชีวิต ด้วยเหตุว่าเมื่อได้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบตามมาต่อการดำนงชีพหลายแบบ ไม่ว่าจะการทำงาน การพบปะผู้คน การประกอบงานกิจวัตรต่างๆซึ่งเรื่องของปัญหาสุขภาพในขณะนี้นั้นมิได้มีเพียงแค่เรื่องโรครุนแรงหรือเรื้อรังสิ่งเดียว แม้กระนั้นยังมีปัญหาสุขภาพในด้านของบุคลิกภาพลักษณ์ที่มีผลต่อความไม่มั่นใจในตนเอง
 
ไขมันส่วนเกิน
ไขมันส่วนเกินสูง cr.adrianjamesnutrition.com
แนวทางแก้ไขมันส่วนเกินสูง ต้องการลดน้ำหนัก คุณทำเองได้
ปัญหาความอ้วน เซลลูไลท์มาก ไขมันภายในร่างกายสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่มักพบในสังคมไทยเราตอนนี้ รวมทั้งในอีกหลายประเทศทั่วโลกเลยก็ว่าได้ และก็ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากในระดับหนึ่งเลย แม้กระนั้นก็พอมีแนวทางที่จะช่วยจัดการปัญหานี้ได้ ได้แก่
ลดอาหารประเภทแป้งและก็น้ำตาล
ลดอาหารจำพวกที่เป็นอาหารทอด
ลดอาหารที่มีไขมันสูง ยกตัวอย่างเช่น หมู่ เนื้อ ไก่
บริหารร่างกาย เพื่อ{เผาผลาญไขมัน|สลายไขมันส่วนเกิน
กินน้ำให้มาก อย่างต่ำวันละ 2 ลิตร
กินผัก ผลไม้ เป็นอาหารหลัก เป็นต้นว่า สลัด
ลดอาหารเย็น รับประทานให้น้อยลง
อย่าให้ความอ้วน ไขมันส่วนเกิน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของชีวิตเรา
เนื่องจากว่าเรื่องของความอ้วนไม่ใช่เรื่องที่จะหยิบมาล้อเลียนกันได้กล้วยๆราวกับอย่างที่หลายท่านเคยทำกันมา คนที่ล้ออาจรู้สึกสนุกสนาน และไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าการหัวเราะชอบใจ คิดเพียงแค่ขำๆหน่า แต่ผู้ที่ถูกล้อนี่สิ น่าจะไม่ขำด้วย เพราะเหตุว่าสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องตลกเอาเสียเลย แถมยังเกิดเรื่องที่รู้สึกขายขี้หน้าในภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดี แปลกกว่าปกติทั่วๆไปด้วยซ้ำ บางบุคคลที่ถูกล้อหนักๆเสมอๆก็เก็บไปคิดมากจนเป็นความทุกข์ รวมทั้งสูญเสียความมั่นใจและความเชื่อมั่นไปหมดทุกเรื่องในชีวิตเลยก็มี ไม่ใช่ว่าเขาเล่านั้นอยากอ้วนจนถูกล้อเลียนอย่างงี้หรอก แต่ว่าต้นแบบการใช้ชีวิตแต่ละคนมันหลีกเลี่ยงความอ้วนได้ยาก แล้วก็คนไม่ใช่น้อยก็อ้วนง่ายแม้กระนั้นลดยากเยอะไป จริงไหม ?

ทางลัด ลดหุ่น ลดหุ่น ลดไขมันส่วนเกิน
“ส้มแขก” สมุนไพรช่วยระบายไขมัน ขับความอ้วนออกไป บรรเทาอาการท้องผูก สลายเซลลูไลน์(Cellulite) เมื่อมีปัญหาเรื่องความอ้วน ไขมันส่วนเกินสูง ทดสอบการใช้

2
ไขมันส่วนเกิน สาเหตุของพุงแล้วก็ความอ้วน
เดือนพฤษภาคม 19, 2018  kungtep
ไขมันส่วนเกิน เสี่ยงต่อโรคร้ายหลายแบบ จะต้องรีบเผาผลาญไขมัน กำจัดไขมันส่วนเกินออกไป มิฉะนั้นจะพบกับความอ้วน น้ำหนักตัวสูง รูปร่างอ้วนกลมบ๊อก เซลลูไลน์(cellulite)หนักอึ๊ง
ไขมันส่วนเกิน ต้นเหตุของความอ้วน จำเป็นต้องสลายไขมันออกไป
พุงที่เด่นกว่าใบหน้า ความอ้วนที่แบกรับมานานจากปัญหาของไขมันสะสม เรื่องใหญ่ของลักษณะท่าทางด้านนอก กำจัดให้ออกไปได้ เพียงใช้สมุนไพรส้มแขก เรียกหุ่นที่ดูดีน่าดูกลับมาอีกครั้ง
ความอ้วน ทำให้บุคลิกลักษณะเสีย ขาดความเชื่อมั่น
ปัญหาสุขภาพนับสิบนับร้อย นับว่าเป็นความรู้สึกกังวลอย่างหนึ่งในชีวิต เนื่องจากเมื่อได้เกิดการป่วยไข้ขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบตามมาต่อการดำรงชีวิตหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะการทำงาน การพบปะผู้คน การประกอบกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวันต่างๆซึ่งเรื่องของปัญหาสุขภาพในปัจจุบันนั้นมิได้มีแค่เรื่องโรครุนแรงหรือเรื้อรังสิ่งเดียว แม้กระนั้นยังมีปัญหาสุขภาพในด้านของบุคลิกลักษณ์ที่มีผลต่อความไม่มั่นใจในตัวเอง
 
ไขมันส่วนเกิน
ไขมันส่วนเกินสูง cr.adrianjamesnutrition.com
แนวทางแก้ไขมันส่วนเกินสูง ต้องการลดน้ำหนัก คุณทำเองได้
ปัญหาความอ้วน เซลลูไลท์มากมาย ไขมันในร่างกายสูง ซึ่งเกิดเรื่องที่พบได้มากในสังคมไทยพวกเราทุกๆวันนี้ รวมทั้งในอีกหลายประเทศทั่วโลกเลยก็ว่าได้ รวมทั้งนับได้ว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากในระดับหนึ่งเลย แม้กระนั้นก็พอเพียงมีแนวทางที่จะช่วยจัดแจงปัญหานี้ได้ เช่น
ลดของกินประเภทแป้งแล้วก็น้ำตาล
ลดอาหารพวกที่ทำมาจากการทอด
ลดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น หมู่ เนื้อ ไก่
บริหารร่างกาย เพื่อ{เผาผลาญไขมัน|สลายไขมันส่วนเกิน
กินน้ำให้มาก อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
รับประทานผัก ผลไม้ เป็นอาหารหลัก ยกตัวอย่างเช่น สลัด
ลดอาหารเย็น รับประทานให้ลดลง
อย่าให้ความอ้วน ไขมันส่วนเกิน เข้ามาเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเรา
เนื่องจากเรื่องของความอ้วนไม่ใช่เรื่องที่จะถือมาล้อเลียนกันได้กล้วยๆราวกับอย่างที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยเคยทำกันมา ผู้ที่ล้ออาจรู้สึกสนุก และไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าการหัวเราะชอบใจ คิดเพียงแค่ขำๆหน่า แต่ผู้ที่ถูกล้อนี่สิ คงจะไม่ขำด้วย ด้วยเหตุว่าสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องตลกเอาเสียเลย แถมยังเป็นเรื่องที่รู้สึกขายหน้าขายตาในรูปภาพลักษณ์ที่ดูแย่ แปลกกว่าปกติทั่วไปด้วย บางบุคคลที่ถูกล้อหนักๆบ่อยๆก็เก็บไปคิดมากจนถึงเป็นความทุกข์ และสูญเสียความมั่นใจและความเชื่อมั่นไปหมดทุกเรื่องในชีวิตเลยก็มี ไม่ใช่ว่าเขาเล่านั้นอยากอ้วนกระทั่งถูกล้อเลียนแบบนี้หรอก แต่ว่าต้นแบบการใช้ชีวิตแต่ละคนมันหลบหลีกความอ้วนได้ยาก รวมทั้งหลายๆคนก็อ้วนง่ายแม้กระนั้นลดยากจำนวนมากไป จริงไหม ?

เส้นทางลัด ลดน้ำหนัก ลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกิน
“ส้มแขก” สมุนไพรช่วยระบายไขมัน ขับความอ้วนออกไป บรรเทาท้องผูก สลายเซลลูไลน์(Cellulite) เมื่อมีปัญหาเรื่องความอ้วน ไขมันส่วนเกินสูง ทดลองใช้

Tags : ไขมันส่วนเกิน

4

ทับทิม
ทับทิม คือผลไม้ที่นิยมกินอย่างมากมาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่สำเร็จสดสูงที่สุดแล้วก็ยังนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆเป็นต้นว่า น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความสวย ทั้งยังใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุสูดดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและก็สารพฤกษเคมีหลายประเภทที่มีประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกาย จึงมั่นใจว่าบางทีอาจมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหรือทุเลาอาการ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือบรรเทาอาการหายใจติดขัดจากโรคนี้ โรคหัวใจรวมทั้งเส้นเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันเลือดสูง โรคในโพรงปากแล้วก็โรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง รวมทั้งอื่นๆ
ในขณะนี้ยังมีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เรียนรู้การใช้ทับทิมในแบบต่างกันกับการดูแลและรักษาโรคที่ออกจะจำกัด ทำให้ยังไม่อาจจะกำหนดสมรรถนะของทับทิมต่อการดูแลรักษาโรคได้กระจ่าง ซึ่งตัวอย่างการเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นเลือดแดงแข็ง ทับทิมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว เช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่เชื่อว่าช่วยยับยั้งปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการผลิตโฟมเซลล์ รวมทั้งลดการแข็งตัวของเส้นโลหิต จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการกำเนิดโรคเส้นโลหิตแดงแข็ง
จากการเล่าเรียนฤทธิ์การต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินปริมาณ 22 คน จากการรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (ประกอบด้วยกรดเอ็งลลิค 610 มิลลิกรัม) แล้วก็ประเมินผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการวัดฤทธิ์ในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนที่จะมีการทดลอง พบว่าค่าดังที่กล่าวถึงแล้วลดลง จึงคาดว่าการกินทับทิมบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจแล้วก็หลอดเลือด
นอกเหนือจากนั้น ยังมีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยอีกชิ้นให้คนป่วยโรคเส้นโลหิตแดงแข็งจำนวน 15 คน กินอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากยิ่งกว่า 1 ปีขึ้นไปรวมทั้ง 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่มิได้รับประทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่รับประทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป มีระดับไขมันที่ลดน้อยลงประมาณ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น ก็เลยทำให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดการเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดลองขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้ยังไม่อาจจะสรุปผลของทับทิมรวมทั้งการรักษาโรคเส้นเลือดแดงแข็งได้อย่างชัดเจน
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกประเภทที่มีคุณสมบัติช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย จึงถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกสำหรับเพื่อการรักษาโรคเหงือก เนื่องจากว่าการรักษาหลักบางวิธีที่ยังไม่มีสมรรถนะพอเพียงสำหรับเพื่อการบรรเทาอาการจากโรคมากซักเท่าไหร่แล้วก็ลดการเสี่ยงด้านสุขภาพจากการดูแลและรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดลองทางสถานพยาบาลกับผู้เจ็บป่วยโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง ปริมาณ 40 คน เพื่อดูความสามารถของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 224 ชั่วโมง โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้วิธีรักษาที่แตกต่าง ผลพบว่า กลุ่มที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมควบคู่กับการดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยวิธีการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีอาการดียิ่งขึ้นด้านใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เหลือสำหรับเพื่อการทดลอง ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมก็เลยบางทีอาจนำไปปรับใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลโพรงปากสำหรับคนไข้โรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการดูแลและรักษาด้วยวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดสอบอีกชิ้นที่ศึกษาสมรรถนะของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ใช้ยาหลอกแบบอย่างเจลสำหรับในการรักษาผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบปริมาณ 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 อาทิตย์ มีสุขภาพโพรงปากดียิ่งขึ้นและก็ปัญหาโรคเหงือกอักเสบต่ำลงมากกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การศึกษาชิ้นนี้ทำให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมอาจนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาช่องปาก ตัวอย่างเช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยปกป้องและก็บรรเทาลักษณะโรคเหงือกอักเสบ
ป้องกันการเกิดคราบเปื้อนจุลชีพ สารสกัดจากทับทิมมีคุณภาพสำหรับในการลดคราบจุลชีพตามผิวฟัน และก็บางทีอาจนำมาซึ่งโรคทางช่องปากอีกหลากหลายประเภท ซึ่งจากการทดสอบให้อาสาสมัครที่มีสุขอนามัยในโพรงปากดี จำนวน 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แต่สลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน (Chlorhexidine) รวมทั้งยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งกว่ายาหลอก แต่มีคุณภาพไม่มีความต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน ก็เลยพอเพียงจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดโอกาสสำหรับเพื่อการเกิดรอยเปื้อนจุลชีวันภายในโพรงปาก
เวลาเดียวกัน การศึกษาเล่าเรียนอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับการลดการเกิดคราบจุลอินทรีย์ ซึ่งในการทดสอบได้เก็บรอยเปื้อนจุลินทรีย์จากช่องปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพแข็งแรงแล้วก็กำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน หลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 1 วัน เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากประเภทต่างกันในแต่ละกลุ่ม ยกตัวอย่างเช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน และก็ยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีประสิทธิภาพในการลดรอยเปื้อนจุลชีวันลงมากที่สุดราวๆ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% และก็ยาหลอกที่ต่ำลงเพียง 11% จึงอาจจะกล่าวว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียและเป็นตัวเลือกสำหรับในการใช้กำจัดคราบจุลชีพบนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงควรจะมีการตำหนิดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมโดยตลอด เนื่องจากว่าระยะเวลาในการทดสอบค่อนข้างสั้น
ภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม จากการเรียนผลการกินน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนเจ็บโรคเบาหวานประเภทที่ 2 และก็มีสภาวะไขมันในเลือดสูงปริมาณ 22 คน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์โดยระหว่างการทดสอบจะมีการเก็บข้อมูลอาหารที่กินอาหารด้านใน 24 ชั่วโมง ทุกๆ10 วัน (รวมถึงอาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์) หลังจบอาทิตย์ที่ 8 พบว่าผู้ป่วยหรูหราไขมันรวม ไขมันจำพวกไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี แล้วก็อัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดลดลง แต่ว่าไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์รวมทั้งระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานลง แต่ว่ายังบอกไม่ได้แจ่มแจ้ง เนื่องด้วยของกินชนิดอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดไขมันในเลือดได้เช่นเดียวกัน และก็กลุ่มการทดลองมีขนาดเล็ก ควรต้องขยายผลการศึกษาในกรุ๊ปที่ใหญ่ขึ้นเพิ่ม ยิ่งกว่านั้น การรักษาภาวะคอเลสเตอรอลสูงควรมีการควบคุมอาหารแล้วก็การออกกำลังกายไปพร้อมกัน ซึ่งอาจมีประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดเยอะขึ้น
โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายอย่าง โดยยิ่งไปกว่านั้นสารโพลีฟีนอลที่พบบ่อยในทับทิม จากรายงานผลที่พบในห้องทดลองบอกว่าสารพวกนี้มีส่วนสำคัญในการทุเลาลักษณะโรคปอดอุดกันเรื้อรังแล้วก็บางทีอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างเร็ว ก็เลยมีการเล่าเรียนความสามารถของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติมอีก โดยให้ผู้ป่วยโรคปอดอุดกันเรื้อรัง ปริมาณ 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ดื่มน้ำทับทิม 400 มิลลิลิตร (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกติดต่อกันแต่ละวันเป็นระยะ 5 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า ไม่พบสารโพลิฟีนอลทั้งยังในเลือดรวมทั้งปัสสาวะของคนป่วย ทั้งยังไม่พบความแตกต่างอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กลุ่ม จึงคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยธรรมดาสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมแล้วก็ตรวจเจอได้ในเลือดหรือฉี่ แม้กระนั้นผลการศึกษาเรียนรู้กลับไม่พบสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งอาจมีต้นเหตุมาจากการย่อยสลายสารเหล่านี้โดยจุลินทรีย์ในระบบย่อยอาหาร ควรต้องทำความเข้าใจแนวทางการดูดซับสารอาหารที่ไม่เหมือนกันก่อนที่จะอ้างถึงผลดีด้านของสุขภาพจากการกิน เพราะว่าสารอาหารที่พบในอาหารที่รับประทานอาจมิได้ถูกเอาไปใช้ประโยชน์ภายในร่างกายคนเราทั้งผอง
โรคแล้วก็อาการอื่นๆได้แก่ โรคเส้นเลือดหัวใจ การหย่อนสมรรถนะทางเพศ เจ็บกล้ามเนื้อข้างหลังการออกกำลังกาย กรุ๊ปอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การตำหนิดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง แล้วก็อื่นๆยังจะต้องทำการศึกษาเรียนรู้วิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับคุณภาพรวมทั้งความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มิลลิกรัม
แมงกานีส 12 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 36 มก.
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มก.
วิตามินซี 10.2 มก.
วิตามินบี 1 0.067 มก.
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับการกินทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยปกติการกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีลักษณะแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเป็นผลข้างๆจากการดื่มน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การรับประทานรากและลำต้นของทับทิมในจำนวนมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างจะไม่เป็นอันตรายสำหรับการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แต่อาจทำให้เกิดอาการแพ้บางส่วนในบางราย เช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์หรืออยู่ในตอนให้นมบุตร แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยในการกินหรือใช้ทับทิมในต้นแบบอื่น อาทิเช่น สารสกัดจากทับทิม ควรต้องขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการรับประทานทุกหน
น้ำทับทิมอาจจะก่อให้ความดันโลหิตลดลดลงเล็กน้อย ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการแย่ลง
ผู้ที่มีลักษณะอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะกำเนิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
ผู้เจ็บป่วยที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานทับทิมอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เหตุเพราะทับทิมทำให้ความดันเลือดต่ำลง ก็เลยอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือส่งผลต่อเนื่องไปยังข้างหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางชนิดอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา อย่างเช่น ยาที่เกี่ยวกับการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดระดับความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตติน คนที่กินยาเสมอๆหรือมีโรคประจำตัวควรขอคำแนะนำแพทย์ก่อนที่จะมีการรับประทานเพื่อให้เกิดความปลอดภัย

Tags : สมุนไพรทับทิม

5

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ รักษาโรคโรคมะเร็ง
อีกหนึ่งงานค้นคว้าวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในคนเจ็บมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังกล่าวข้างต้นมีส่วนสำหรับในการยัยยั้งลักษณะการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการศึกษาวิจัยจำนวนมากถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจส่งผลต่อการต้านการอักเสบในผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งปอดบางราย แม้กระนั้นยังคงไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบทางการแพทย์ที่ให้ข้อมูลพอเพียงที่ส่งเสริมให้ใช้เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบจากการรวบงานค้นคว้าที่ศึกษาประสิทธิผลของเห็ดหลินจือเพื่อรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้ว่าจะพบว่าคนเจ็บตอบสนองต่อการดูแลรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดเจริญขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่เมื่อทดสอบการใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับเพื่อการทำให้มะเร็งลดขนาดลงประการใด
นอกจากนั้น จาการทบทวนงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่ามีงานค้นคว้า 4 ชิ้นที่มีผลลัพธ์เกื้อหนุนว่าเห็ดหลินจืออาจสัมพันธ์ต่อการปรับแก้คุณภาพชีวิตของคนเจ็บให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งในเวลาเดียวกัน ก็มีผลลัพธ์จากงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้แล้วก็นอนไม่หลับด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงอาจจะบอกได้ว่า ข้อพิสูจน์ทางคุณลักษณะรวมทั้งประโยชน์ซึ่งมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง การค้นคว้าเป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแค่การทดสอบในคนไข้บางกรุ๊ปเท่านั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรจะดำเนินงานทดสอบถัดไปเพื่อได้ได้ผลลัพ์ที่กระจ่างและเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ในอนาคต
สภาวะต่อมลูกหมากโต และการเจ็บป่วยในระบบทางเท้าปัสสาวะ
มีวิธีการทดสอบหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในคนเจ็บเพศ 88 รายซึ่งมีอายุเกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะอาการฉี่ขัดข้อง หลังการทดลองกว่า 12 สัปดาห์ ผลที่ได้เป็น คนป่วยต่างมีระดับคะแนน IPSS ที่ ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับเพื่อการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของคนป่วยจากการตอบปัญหา กลับไม่ปรากฏผลในเชิงความเคลื่อนไหวคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
ดังนั้น การทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่แจ้งชัดเพียงพอ จึงควรมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่เด่นชัดสำหรับเพื่อการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการรักษาภาวการณ์ต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพใดๆก็ตามที่เกี่ยว
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นโลหิตหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดสอบด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนเจ็บเบาหวานประเภท 2 ร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะสนับสนุนผลทางการรักษาพวกนั้น และไม่มีข้อมูลที่พอเพียงสำหรับเพื่อการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยพวกนั้น ได้แสดงถึงผลข้างเคียงจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนเจ็บบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
เพราะฉะนั้นจึงควรมีการค้นคว้าทดสอบถึงความสามารถของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อคุ้มครองป้องกันรวมทั้งการดูแลและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจต่อไป รวมทั้งให้ได้เรื่องกระจ่างแจ้งชัดดเจนในด้านดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเพิ่มมากขึ้น อันเป็นคุณประโยชน์ต่อแนวทางการรักษาป้องกันโรคเส้นโลหิตหัวใจแล้วก็อาการต่างๆที่เกี่ยวข้องถัดไปในอนาคต
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการบริโรคเห็ดหลินจืออย่างแจ่มกระจ่าง เนื่องประสิทธิผลและผลข้างคียงจากการบริโภค ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้บริโภค ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และก็ขอความเห็นหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโรค เพราะแม้เห็ดหลินจือในแต่ละแบบอย่างจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่ว่าสารเคมีและส่วนประต่างอาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสภาพร่างกายได้เหมือนกัน

โดยปกติ ปริมาณการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันเช่น
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่สมควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่สมควรบริโภคเกิน 1 มิลลิลิตร/วัน
ความปลอดภัยในการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ถึงคุณค่าในบางด้านที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แต่ว่าผู้บริโภคก็ควรศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และก็ขอคำแนะนำหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรรอบคอบในด้านปริมาณรวมทั้งรูปแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค ด้วยเหตุว่าบางทีอาจเป็นผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ในวันหลัง
โดยข้อควรตรึกตรองสำหรับการบริโภคเห็ดหลินจือเป็นต้นว่า
ลูกค้าทั่วไป.......
-ควรบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนที่พอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจจะเป็นผลให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจนำไปสู่ผลข้างเคียงได้ ยกตัวอย่างเช่น ปากแห้ง คอแห้ง คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ปั่นป่วน ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มเหล้าองุ่นเห็ดหลินจืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเป็นอาการผื่นคัน
-การสูดหายใจเอาเซลล์สืบพันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจจะส่งผลให้เกิดอาการแพ้
คนที่ควรจะระวังสำหรับเพื่อการบริโภคเป็นพิษ
ผู้ที่ครรภ์ หรือกำลังให้นมลูก ถึงแม้ยังไม่มีการรับรองผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรุ๊ปลูกค้านี้แต่ว่าผู้ที่มีครรภ์รวมทั้งผู้ที่กำลังให้นมลูกควรจะหลีกเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายของตนเองแล้วก็ลูกน้อย
คนที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้เจ็บป่วยบางรายที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยง ผู้เจ็บป่วยควรหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ อย่างต่ำ 2 อาทิตย์ก่อนวันผ่าตัด
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ
ความดันเลือดต่ำ เห็ดหลินจืออาจส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลง ดังนั้น คนเจ็บภาวะความดันโลหิตต่ำควรต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับในการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ดังนั้นผู้ป่วยภาวะเกล็ดเลือดต่ำจึงไม่ควรบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์มีเลือดออกไม่ดีเหมือนปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้เจ็บป่วยบางราย โดยเฉพาะในคนที่มีภาวะเลือกออกแตกต่างจากปกติอยู่แล้ว http://www.disthai.com/

6

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะอย่างไรนี่ เรากำลังดูหนังสงครามอยู่เหรอ ไม่ครับ บุกในที่นี้มิได้ถึงศัตรูบุก แต่ว่าหมายความว่าหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านพวกเรา ต่างหาก และที่จะต้องหนี ไม่ใช่ผู้ใดกันแน่ที่แหน่งใด แม้กระนั้นเป็นโรคฮอตได้รับความนิยมในตอนนี้อย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่จำต้องหนีไป
บุก ส่วนที่เห็นเป็น หัวบุก ทีแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็มิได้แพร่หลายหรือเป็นยอดนิยมเหมือนขณะนี้เนื่องจากจริงๆตอนแรกมันก็เป็นพืชพื้นเมืองอยู่ดี  คนในท้องถิ่นก็นำบุกมาปรุงอาหาร เหมือนเผือก เสมือนมันทั่วๆไปเพียงพอเริ่มมีคนมาวิจัย   สรรพคุณต่างๆของมัน เลยเปลี่ยนเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยม มีการแปรรูปเป็นรูปแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก และก็อื่นๆอีกมากมาย วันนี้เองก็คงไม่ช้าเกินไปที่จะนำทุกท่านมารู้จัก พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบถึงกึ๋นมารู้จักบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นปีศาจ  น่าสยดสยองนะครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากลักษณะของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อวงศ์    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกลุกงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (ปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกึ่งกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
เราเจอบุกถึงที่กะไว้ไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่เจอทั่วไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นอยู่กับตาม ชายเขา แล้วก็บางครั้งก็เจอตามพื้นที่ ทำนา เป็นต้นว่าที่ปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ฯลฯ บุกขึ้นได้ในภาวะดินทุกประเภท แม้กระนั้นจะเจริญเติบโตเจริญให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินซึ่งร่วนซุย น้ำไม่ขังและดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
ลักษณะของต้นบุก
รูปแบบของต้น บุก บอกให้เห็นส่วนประกอบคือใบบุก รวมทั้งหัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ลักษณะเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่โดยประมาณ 25 เซนติเมตร (บางพันธ์อาจเล็กกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่บางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมของกินของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเสมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางชนิดมีก้านใย เป็นลวดลายบางชนิดมีหนามอ่อนๆ หรือบางทีบุกบางจำพวกก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่นานาประการมาก  แต่ที่เด่นๆพินิจง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกึ่งกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีรูปทรงแผ่กว้างแบบร่ม แต่บาง ประเภทจะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนเหมือนหงายร่ม ด้วยเหตุนั้นรูปแบบของใบบุก มีหลายต้นแบบขึ้นอยู่กับจำพวกของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าโค แต่ละประเภทมีขนาด สี รวมทั้งรูป ทรงไม่เหมือนกัน บางประเภทมีดอกใหญ่มาก โดยเฉพาะบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นเหมือนเนื้อสัตว์เน่า บุกประเภทอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกึ่งกลางหัวบุก เช่นเดียวกับก้านใบ บุกชอบมีดอกในช่วงปลายฤดูแล้ง แต่บุกสามารถออกดอกได้ในช่วง เวลาต่างๆกัน ช่วงเวลาสำหรับในการแก่เต็มที่ ของดอกที่จะติดผลก็ไม่เหมือนกัน
 ผลบุก (อย่างงงวยกับหัวบุกนะ ) ภายหลังดอก สืบพันธุ์ก็จะเกิดผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะมีผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายคล้ายผลกล้วย ผล ของบุกส่วนมากจะมีลักษณะคล้ายๆกัน แต่ว่าเมล็ดข้างในต่างกัน พบว่าส่วนมากมีเม็ดเป็นรูปทรงอูมยาว  บุกบางชนิดก็มีเมล็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาปรุงอาหาร
เป็นพืชอาหารพื้นเมืองซึ่งชาวไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ท่อนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงแก้ไขตามแต่ละภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่นทางภาคอีสาน มีการทำของหวานที่เรียกว่าของหวานบุก แกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคทิศตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วเอามานึ่งกินอาหาร ทางภาคเหนือโดยยิ่งไปกว่านั้นคนดอย มักเอามา ปิ้งกิน ภาคกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งแล้วจึงนำไปทำเป็นขนมหวาน
*บุกมีหลายอย่างหลายพันธุ์ อาจขมและมีพิษ ทุกชนิดมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งๆที่ก้านใบแล้วก็หัว ซึ่งอาจจะส่งผลให้คัน ก่อนเอามาปรุงอาหารต้องต้มเสียก่อน ไม่เช่นนั้นกินเข้าไปทำให้คันปากและลิ้นพอง
ของกินที่ดัดแปลงมาจากบุก
ปัจจุบันมีการนำบุกมาแปรรูป ในรูปแบบของเส้นบุก ซึ่งคือสินค้าดัดแปลงจากส่วนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถเอามาปรุงเป็นของกินจานอร่อยได้ ผมว่าคนไหนกันเคยไปรับประทานเนื้อย่างอาจเคยพบบ้าง เว้นเสียแต่เส้นบุกแล้วมีการนำมาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบได้รับความนิยมๆอดีตหมายถึงเจเล่ ผสมผงบุก ถ้าหากจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยครับ)
สรรพคุณของบุก
จากการเล่าเรียนพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูวัวแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 จำพวก คือ ดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) แล้วก็ (D-mannose) เป็นสารที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ว่าร่างกายสลายตัวได้ยาก ซับได้ช้า จึงให้พลังงานและสารอาหารน้อย เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายปฏิบัติงานดี คนที่อยากได้ลดน้ำหนักนิยมทานอาหารจากแป้งบุก อย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เนื่องจากรับประทานอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ไม่ทำให้อ้วน
นอกเหนือจากนั้นเองเจ้า สารกลูโคแมนแนนนี้ สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ก็เพราะว่าความเหนี่ยว ซึ่งยับยั้งการดูดซึมของกลูวัวลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมาก็ยิ่งส่งผลลดการดูดซึมกลูวัวลส ด้วยเหตุผลดังกล่าว กลูวัวแมนแนนช่วยลดน้ำตาลก้าวหน้ามาก เดี๋ยวนี้ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคโรคเบาหวาน และสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละขอรับคือประโยชน์จากบุก ทดลองหามาทานกันนะครับ มีคุณประโยชน์ขนาดนี้ สมัยปัจจุบันไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว เสนอแนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นนะครับ รับรองอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

7

ขิง
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’เจอ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
ขิง จัดเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายในหลายๆด้าน เนื่องจากว่าอุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็ธาตุที่มีความหมายเป็นอย่างมากต่อสุขภาพร่างกายของพวกเรา ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต รวมทั้งเส้นใยมากมายอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของขิงนั้น พวกเราสามารถนำมาใช้ได้หลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น แล้วก็ผลก็ได้ทั้งนั้น
ประโยช์จากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเลิศ
มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนไม่ใช่น้อย ช่วยชะลอความแก่และก็ชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการคุ้มครองปกป้อง ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต้านทานการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ช่วยลดผลกระทบจากสารเคมีที่ใช้สำหรับในการรักษาโรคมะเร็ง โดยเหตุนั้นควรกินขิงพร้อมกันไปกับการดูแลรักษาโรคมะเร็งจะส่งผลดี
ขิง มีฤทธิ์อุ่น ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และก็ช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นใหม่ๆนำมาทุบให้แหลกราว 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดความอ้วน ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากไส้ แล้วปลดปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะและก็ไมเกรน ด้วยการรับประทานน้ำขิงเป็นประจำ
ช่วยลดความอยากของผู้ติดยาเสพติดลงได้
แก้ต้นตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วนำมากิน
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำ
ช่วยบำรุงรักษาหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยบรรเทาอาการโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจขุ่นมัว (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับคุณแม่หลังคลอดลูก ด้วยการกินไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดโดยประมาณ 1 องคุลีนำมาต้มกับน้ำ ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้กินเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงนมของแม่ (ผล)
ช่วยทำให้นอนหลับได้อย่างสบาย
การกินขิงจะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ประมาณครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วนำมาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
ช่วยแก้หวัด ทุเลาอาการไอ บรรเทาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือนิดนึง
ละอองน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายเชื้อไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในคนเจ็บที่มีอาการเมายาสลบข้างหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการใช้ขิงสดนำมาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำกิน (ไม่ต้องกินน้ำตาม)
ช่วยขจัดปัญหาผมตก หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนกระทั่งอุ่น แล้วนำมาตำให้แหลก นำมาพอกรอบๆที่มีผมหล่น วันละ 2 ครั้งจนกระทั่งอาการดีขึ้น หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะกอกแล้วเอามาหมักผม นวดให้ทั่วหัวราว 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมหล่นได้เช่นเดียวกัน แถมยังช่วยทำให้ผมสวย แข็งแรง มีความนิ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยบำรุงรักษาสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา และก็ใช้แก้อาการตามัว (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาเฉอะแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้งผาก เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอเปื่อยยุ่ย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาทุบอย่างถี่ถ้วนคั่วกับน้ำสารส้มจนไหม้เกรียม แล้วบดจนกระทั่งเป็นผุยผง แล้วต่อจากนั้นเอามาพอกรอบๆฟันที่ปวดแก้เสมหะ เสลดขาวเหลวจำนวนมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาภาวะน้ำลายมาก อาเจียนเป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นแล้วก็เกลือน้อย นำมาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยบำรุงรักษาฟันรวมทั้งคุ้มครองป้องกันการเกิดฟันผุ
ช่วยดับกลิ่นจั๊กกะแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาทุบให้แหลก แล้วนำมาคั้นเอาน้ำมาทาจั๊กกะแร้บ่อยๆ จะสามารถที่จะช่วยในการขจัดรอยคราบกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำจนกระทั่งแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วเอามาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดราวๆ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลทรายแดง นำมาตำจนกระทั่งเหมาะ แล้วกิน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอาเจียน (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดประมาณ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ เอามาทุบให้แตกแล้วต้มกับน้ำกิน
ช่วยลดการคลื่นไส้อาเจียนจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงตั้งท้องไม่สมควรกินบ่อยครั้งจนถึงเกินความจำเป็น)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาทุบพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้ออาหาร
ช่วยรักษาอาการปวดในตอนก่อนหลังระดู ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วโดยประมาณ 30 กรัมมาต้มกับน้ำเสมอๆ
ช่วยสำหรับในการย่อยอาหารได้อย่างมีคุณภาพ (ดอก)
ช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยในการขับถ่าย แล้วก็ช่วยในเรื่องของระบบไส้ให้ปฏิบัติงานได้อย่างปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดเยี่ยว (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาเยี่ยวรดที่นอนในคนไข้ที่มีสภาวะหยางพร่อง มีความเย็นภายในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำดำเขียว (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาลักษณะของการปวดข้อตามร่างกายด้วยการรับประทานขิงสดเป็นประจำ
มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
แก้ปัญหาหนังที่มือลอกเป็นสะเก็ด ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วเอามาแช่เหล้า 1 ถ้วยชา ทิ้งเอาไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำแผ่นขิงมาเช็ดบริเวณดังที่กล่าวมาแล้ววันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมรอบๆหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว นำมาเผาผิวนอกจนกระทั่งเป็นถ่าน รอปาดถ่านที่เปลือกนอกออกไปเรื่อยแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูเอามาทาบริเวณที่เป็นแผลซึ่งถ้าหากว่าถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆนำมาวางทับรอบๆที่ถูกกัดจะช่วยทุเลาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง ฯลฯ ช่วยป้องกันการแพ้อาหารทะเลจนถึงเกิดผื่นคัน ลมพิษ หรืออาหารช็อกประโยชน์ซึ่งมาจากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกรอบๆแผล เพื่อป้องกันการอักเสบรวมทั้งการเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
ในด้านการปรุงอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสอาหารได้อย่างดีเยี่ยม และสามารถช่วยกำจัดกลิ่นคาวของของกินได้ดิบได้ดีอีกด้วย
ในด้านความสวยงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งหน้าที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียนเพิ่มขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วเอามานวดรอบๆต้นขา ตูด หรือบริเวณที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความขรุขระของผิวได้อีกด้วย
สินค้าจากขิงนั้นนำมาแปรรูปได้หลายแบบ ดังเช่นว่า ขนมบัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว ฯลฯ

กระบวนการทำน้ำขิง
กระบวนการทำน้ำขิงวิธีทำน้ำขิงขั้นแรกให้เตรียมส่วนประกอบดังต่อไปนี้ ขิงแก่ 1 กิโล / น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง / น้ำสะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด นำมาตีให้แตก แล้วเอามาใส่ในหม้อต้ม เพิ่มเติมน้ำสะอาดลงไป เอาขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มจนน้ำเดือดแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยค่อยไฟลง เคี่ยวราวๆ 20 นาทีจนกระทั่งน้ำขิงละลายออกมาจนหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วยกลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มน้ำตาลลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามสิ่งที่มีความต้องการ) แล้วคนให้เข้ากัน
เรียบร้อยรวมทั้งสามารถเอามากินได้ โดยเอามาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้เช่นกัน แต่ควรจะเติมน้ำตาลมากยิ่งกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากจนเกินไป เพราะว่ามีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่ควรใช้ปริมาณที่เข้มข้นกระทั่งเกินความจำเป็น เพราะว่าจะมีอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะว่าจะไประงับการบีบตัวของไส้ จนถึงทำให้ลำไส้หยุดการบีบตัว ด้วยเหตุนั้นควรคั้นในปริมาณน้อยๆหรือดื่มจนเกิดความเคยชินก่อน
พวกเราชอบรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นอาหารที่นิยมนำมาใช้สำหรับเพื่อการทำกับข้าวแล้วก็ทำเครื่องดื่ม ซึ่งจริงๆแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการเยียวยารักษาโรคต่างๆได้สารพัด ถือว่าเป็นตัวช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคได้เลยทีเดียว แต่ว่าทั้งนี้เราก็ไม่ควรจะหวังพึ่งสรรพคุณของขิงเพียงอย่างเดียวในการเยียวยารักษาโรค ควรทำอย่างอื่นหรือดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของพวกเราร่วมด้วยจะได้ผลดีนักแล
เรามักนิยมใช้ขิงแก่ เพราะว่ายิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน ก็เลยมีคุณประโยชน์ทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน และก็ยังมีใยอาหารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย แม้กระนั้นเพราะขิงมีรสเผ็ด มีคุณลักษณะอุ่น ก็เลยไม่เหมาะกับผู้ที่มีความร้อนในร่างกายอยู่แล้ว ดังเช่นผู้ที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกช่วงกลางคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากกว่าปกติ แต่ว่าถ้าหากจะกินควรรอบคอบเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]