โรงรับจำนำ ประกาศขายสินค้าฟรี ซื้อขายสินค้าหลุดจำนำ ตั๋วจำนำ

ซื้อ - ขาย แลกเปลี่ยน => ประกาศซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทั่วไป ฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: Chaiworn998 ที่ เมษายน 09, 2018, 05:18:53 pm

หัวข้อ: โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: Chaiworn998 ที่ เมษายน 09, 2018, 05:18:53 pm
(https://www.img.in.th/images/e4df9f000bd629ebcb2dd3c3dc53c960.jpg)
โรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก (http://www.disthai.com/16865076/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%81) เป็นอย่างไร  ก่อนที่จะทราบถึงความหมายของต้อกระจกนั้น พวกเราควรจะทำความรู้จักกับเลนส์ตาหรือที่เราเรียกกันภาษาประชาชนว่า แก้วตา กันก่อน แก้วตาหรือเลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่หลังม่านตา (มีลักษณะเสมือนเลนส์นูนทั่วไปทั้งด้าน หน้าและก็ด้านหลัง มีความดกราวๆ 5 มัธยมม. เส้นผ่าศูนย์ กึ่งกลางราวๆ 9 ม.มัธยม มีหน้าที่ทำงานร่วมกับกระจกตาในการหักเหแสงสว่างจากวัตถุให้ตกโฟกัสที่หน้าจอประสาทตา ที่นำมาซึ่งการมองมองเห็น
นอกจากนั้นแก้วตายังสามารถแปลงกำลังการเบี่ยงเบนได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถจุดโฟกัสภาพในระยะต่างๆได้ชัดขึ้น มันก็คือ ในคนปกติจะเห็นชัดทั้งไกลและก็ใกล้ ด้วยเหตุดังกล่าวธรรมชาติจึงสร้างแก้วตาให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยอยู่ในใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายใดๆก็ตามแต่ถึงแม้แก้วตาจะมิได้รับอันตรายใดๆก็ตามจากด้านนอก แต่ก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสื่อมสภาพจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือการเช็ดกสาเหตุที่จะเร่งทำให้มีการเกิดความเสื่อมโทรมของแก้วตาได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุกระตุ้นให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตาต่างๆได้ เป็นต้นว่า ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ฯลฯ สำหรับต้อกระจกนี้
เริ่มแรกต้องขอให้คำนิยาม หรือความหมายของคำว่า “ต้อกระจก” เสียก่อน ต้อกระจกหมายถึงภาวะที่เลนส์ภายในดวงตาเกิดภาวะขาวขุ่นขึ้นเนื่องจากสาเหตุอะไรก็ได้ ตามเดิมแล้วเลนส์ภายในดวงตามีสภาวะใสโปร่งแสงเหมือนกระจกใส มีหน้าที่ปรับแสงสว่างที่ผ่านเข้าตา ทำให้เราสามารถเห็นภาพวัตถุต่างๆได้แน่ชัด แล้วก็เมื่อเกิด “ต้อกระจก” ก็จะมีผลให้ตัวเลนส์ตามีลักษณะขาวขุ่นขึ้น ทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่านไปสู่ลูกตาไปตกกระทบที่จอประสาทรับภาพ (retina) ได้แน่ชัด ผู้นั้นก็เลยมองดูอะไรไม่ชัด ตาฝ้า มัว แล้วในที่สุดถ้าเกิดขาวขุ่นมากยิ่งขึ้น จะมืดรวมทั้ง มองดูอะไรมองไม่เห็นจากตาข้างนั้น ต้อกระจก เป็นโรคที่พบมากสำหรับคนสูงอายุ แม้ปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะก่อให้ตาบอด ถือว่าเป็นต้นสายปลายเหตุอันดับต้นๆของภาวการณ์สายตาทุพพลภาพของคนสูงอายุ
สาเหตุของโรคต้อกระจก โดยส่วนมาก (ราวปริมาณร้อยละ 80) เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากภาวการณ์เสื่อมตามวัย ผู้ที่แก่มากยิ่งกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกดูเหมือนจะทุกราย แต่ว่าอาจเป็นมากน้อยต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในคนวัยชรา (senile cataract)  ส่วนน้อย (ราวปริมาณร้อยละ 20) อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากสาเหตุอื่นๆอย่างเช่น ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) เด็กแรกเกิดสามารถเป็นต้อกระจกได้ตั้งแต่ตอนแรกเกิด โดยอาจกำเนิดได้จากพันธุกรรม การติดเชื้อ การได้รับอันตรายหรือมีความก้าวหน้าระหว่างอยู่ในท้องไม่ดี เด็กแรกคลอดที่ศึกษาค้นพบว่าเป็นต้อกระจกแต่กำเนิด อาทิเช่น สภาวะกาแล็กโทซีภรรยา โรคเหือด หรือโรคเท้าแสนปมจำพวกที่ 2 ก็อาจทำให้เกิดการเกิดต้อกระจกประเภทนี้ เด็กตัวเล็กๆบางบุคคลอาจแสดงอาการในภายหลัง โดยมักเป็นทั้งสองข้าง บางทีต้อกระจกนี้เล็กมากมายจนถึงไม่ส่งผลต่อการมองมองเห็น แม้กระนั้นเมื่อพบว่าทำให้เกิดผลกระทบต่อการมองมองเห็นจึงจะผ่าออก ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) การผ่าตัดรักษาโรคตาประเภทอื่นอาทิเช่นต้อหิน การป่วยเป็นม่านตาอักเสบ หรือตาอักเสบ อาจเป็นต้นเหตุให้กำเนิดโรคต้อกระจกตามมาได้ นอกจากนี้ คนป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคความดันโลหิตสูง การได้รับยาบางประเภท เช่น สเตียรอยด์ ยาขับฉี่บางตัว ก็นับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายเช่นเดียวกัน มีต้นเหตุที่เกิดจากสภาวะแรงกระแทกที่ลูกตา ก็ทำให้เลนส์ตาขวาขุ่นได้ โดยเขพาเมื่อโดนสิ่งมีคมทิ่มทะลุเข้าตา เข้าไปโดนเลนส์ตา เกิดภาวะต้อกระจกได้ทันทีภายใน 24 ชั่วโมง หรือถ้าหากโดนวัตถุไม่มีคมกระแทก ก็อาจจะเกิดต้อกระจกตามมาคราวหลังได้ ถ้าหากความแรงนั้นมากพอให้เยื่อเลนส์ตาบาดหมาง มีเหตุที่เกิดจากโดนรังสีเอกซเรย์ รอบๆดวงตาอยู่เป็นประจำๆดังเช่น พวกที่มีมะเร็งบริเวณเบ้าตา แล้วก็รักษาด้วยรังสี ซึ่งรังสีนี้บางทีอาจลึกลงไปโดนเลนส์ตาทำให้ขุ่นได้ และก็เกิดต้อกระจกตามมา  นอกเหนือจากปัจจัยต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอิทธิพลมาจากอันอื่นได้ อาทิเช่น อาหารพวกที่มีภาวะทุโภชนา หรือพวกของกินไม่ถูกสุขอนามัย ขาดโปรตีน และวิตามินส่งผลให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าธรรมดา
อาการโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนั้นยากที่จะพินิจได้ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม เนื่องจากต้องใช้เวลานานกว่าอาการของต้อกระจกจะมากขึ้นจนกระทั่งกระทบต่อการมองมองเห็น โดยคนไข้มักมีอาการดังต่อไปนี้

ภาวะแทรกซ้อนของต้อกระจก



วิธีการรักษาโรคต้อกระจก แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นด้วยการตรวจเจอแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาคนเจ็บจะรู้สึกตาพร่า การใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่พบปฏิกิริยาย้อนกลับสีแดง (red reflex)
แม้ยังไม่แน่ใจ แพทย์จำเป็นต้องใช้วัสดุพิเศษตรวจให้ละเอียด อาจจะต้องวัดความดันลูกตา (เพื่อแยกออกจากโรคต้อหินที่จะเจอความดันลูกตาสูงกว่าธรรมดา) และตรวจพิเศษอื่นๆอย่างเช่น



เนื่องมาจากโรคต้อกระจกไม่มียาที่ใช้กิน หรือหยอดอะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยแก้ลักษณะของต้อกระจกได้ ระยะแรกๆของโรคต้อกระจกสามารถทุเลาได้ด้วยการตัดแว่นสายตาใหม่ สวมแว่นดำกันแสงสะท้อน หรือการใช้เลนส์ขยายตราบจนกระทั่งต้อกระจกจะเริ่มกระทบต่อวิธีการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน จึงจะทำการผ่าตัด ในสมัยก่อนมักคอยให้ต้อกระจกสุกก็เลยทำผ่าตัดแปลงเลนส์ แต่ปัจจุบันนี้มักนิยมรักษาโดยการสลายต้อกระจกแม้กระนั้นเนิ่นๆคือเมื่อปัญหาตามัวนั้นทำให้เป็นอุปสรรคกับการดำรงชีวิตของผู้ป่วยก็ควรรับการรักษา เนื่องจากว่าการรอต้อกระจกสุก จะก่อให้การดูแลรักษาด้วยการสลายต้อทำเป็นยาก รวมทั้งยังอาจจะทำให้เกิดโรคตาอื่นแทรก เช่น ต้อหิน ซึ่งอาจก่อให้ได้รับอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆได้
ในตอนนี้การดูแลและรักษาต้อกระจกมีเพียงวิธีเดียวหมายถึงการผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกและก็ใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ในตอนนี้การผ่าตัดต้อกระจกมีความปลอดภัยสูงใช้เวลาสำหรับเพื่อการผ่าตัดไม่นาน และไม่จึงควรนอนโรงพยาบาลข้างหลังผ่าตัด
กรรมวิธีการผ่าตัดที่นิยมในตอนนี้มี 3 วิธี

(https://www.img.in.th/images/e46290fb889a1c7cae0bd91326469fc2.jpg)
เหตุที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคต้อกระจก



การติดต่อของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกเกิดขึ้นจากเลนส์ตาหรือแก้วตา หมดสภาพจากนานาประการต้นสายปลายเหตุทำให้มีลักษณะขุ่นขาวทึบแสงสำเร็จให้แสงสว่างผ่านเข้าไปสู่ลูกตาได้น้อย จึงส่งผลให้เกิดการมองเห็นภาพฝ้ามัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนไม่เห็นสุดท้าย ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ได้มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคต้อกระจก

การป้องกันตนเองจากโรคต้อกระจก



สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก  จากการเรียนรู้ค้นคว้าข้อมูลงานศึกษาค้นคว้าวิจัยพบว่า สมุนไพรไทยหลายอย่างสามารถป้องกันโรคต้อกระจก (http://www.disthai.com/16865076/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%81)ได้ โดยยิ่งไปกว่านั้นในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ อาทิเช่น ขมิ้นชัน แล้วก็ฟักข้าว โดยในขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญหมายถึงเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) และอุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่หลากหลายประเภท เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก รวมทั้งเกลือแร่ต่างๆรวมถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตและก็โปรตีน ฯลฯ โดยเหตุนี้ ขมิ้นชันจึงมีคุณประโยชน์สำหรับการช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แล้วก็สามารถรักษาอาการรวมทั้งโรคต่างๆได้หลายอย่าง
ส่วนฟักข้าวนั้น มีสารต้านทานอนุมูลอิสระสำคัญ คือ ไลโคปีนป่าย (lycopene) โดยในเยื่อหุ้มห่อเม็ดของฟักข้าวมีไลโคพีนสูงกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า ซึ่งสามารถช่วยสำหรับการบำรุงและรักษาสายตา ปกป้องโรคเกี่ยวกับดวงตา โรคต้อกระจก แล้วก็ประสาทตาเสื่อม รวมทั้งตาบอดตอนค่ำได้ ทั้งยัง ยังมีการค้นคว้าวิจัยพบว่า ไลโคปีนป่ายและเคอร์คิวไม่นอยด์ ยังช่วยคุ้มครองต้อกระจกที่เกิดขึ้นมาจากเบาหวานได้อีกด้วยนอกนั้นยังมีสมุนไพรอีกหลายอย่างซึ่งสามารถคุ้มครองป้องกันโรคต้อกระจกได้ อย่างเช่น มะขามป้อม มะขามป้อมจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า วิตามินซีมีบทบาทสำหรับเพื่อการคุ้มครองปกป้องการเกิดต้อกระจก โดยการทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งกรองรังสียูวีให้เลนส์ตา นอกเหนือจากมะขามป้อมแล้ว ยังส่งผลไม้อื่นๆที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง มะปราง มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า ฯลฯ นอกจากสมุนไพรพงไพรแล้ว สมุนไพรต่างชาติที่มีการสรรพคุณบำรุงและปกป้องโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับตาได้เป็นอย่างดี ดังเช่นว่า
Ginseng หรือโสม คือรากของ Panax ginseng มี สารสำคัญเป็น ginsennosides ซึ่งเป็น steroidal saponin มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายอย่าง ดังเช่นว่า antiapoptotic, anti-inflammatory, antioxidant จากการทดสอบทางคลินิกในคนป่วยที่เป็นต้อหิน พบว่า โสมแดงเกาหลีสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังเรตินา ก็เลยน่าจะเป็นประโยชน์ในลักษณะการปกป้องคุ้มครองโรคต้อหิน นอกจากนั้นสาร Rb1 และก็ Rg3 ยังมีฤทธิ์ยั้ง TNF-alpha จึงน่าจะเป็นผลดีสำหรับการคุ้มครองป้องกันโรคหน้าจอประสาทตาเสื่อมด้วย เพราะว่าการอักเสบเป็นต้นเหตุหนึ่งของโรคนี้ การทดสอบในหนูแสดงว่าโสมสามารถลดการเสื่อมของจอตาในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นโรคเบาหวานได้ ลดผลที่เกิดขึ้นมาจากการเหนี่ยวนำหนูให้เป็นต้อกระจกด้วย selenite ได้ เพราะฉะนั้นโสมก็เลยเป็นสมุนไพรที่น่าสนใจในการปกป้องโรคตา 4หมายถึงโรคต้อหิน ต้อกระจก หน้าจอประสาทตาเสื่อม แล้วก็ภาวะโรคเบาหวานขึ้นเรตินา
Gingko Biloba Extract (GBE) เป็นสารสกัดจากใบของต้นแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) ในใบมีสารสำคัญสองกรุ๊ปคือ เฟลโอ้อวดนอยด์และก็เทอร์พีนอยด์ GBE เป็นอาหารเสริมที่นิยมสูงที่สุดในยุโรปแล้วก็อเมริกามีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันการทำลายจากอนุมูลอิสระ แล้วก็ปกป้อง lipid peroxidation จากการทดลองพบว่า GBE สามารถปกป้องการเสื่อมของ mitochondria ปกป้องการเสื่อมของ optic nerve จึงสามารถป้องกันตาบอดในคนเจ็บโรคต้อหิน และ ผู้เจ็บป่วยจอตาเสื่อมได้ และสามารถลดการหลุดของเรตินา (retinal detachment) ได้ GBE จึงมีสาระในกรณีคุ้มครองรวมทั้งรักษาโรคต้อหินแล้วก็โรคที่เกี่ยวโยงกับเรตินา
Danshen ชื่อสามัญคือ Asian Red Sage หรือตังเซียม หรือตานเซิน (Salvia miltiorrhiza) ส่วนที่ใช้เป็นราก ในตำราเรียนยาใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ใช้รักษาฝี สารสำคัญคือ salvianoic acid B เป็นสารพอลีฟีนอลิกละลายน้ำแล้วก็เป็น antioxidant ที่มีฤทธิ์แรงและยังมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบในคนที่เป็นโรคเบาหวานจะกำเนิดอาการอักเสบและก็ดกขึ้นของผนังเส้นเลือดฝอยทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถถูกกำจัดออกไปได้ก็เลยไปทำลายเซลล์ประสาทตา เมื่อทดสอบฉีดตังเซียมเข้าไปที่เนื้อเยื่อเรตินาที่ขาดออกซิเจนในหนูที่เป็นโรคเบาหวานพบว่าสามารถป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ การทดสอบทางสถานพยาบาลในคนไข้โรคต้อหินพบว่า ตังเซียมสามารถคงสภาพลานสายตา (visual field) ในผู้ป่วยระยะกลางและระยะปลายได้ ด้วยเหตุนั้น ตังเซียมจึงมีสาระกับคนป่วยโรคตาที่เกี่ยวกับ oxidative stress อาทิเช่น จอประสาทตาเสื่อม ภาวะโรคเบาหวานขึ้นจอตา รวมทั้งต้อกระจก แล้วก็มีรายงานการศึกษาวิจัยของ ดร.พอล จาคส์ (Paul Jacques) ผู้ตัดสินเกษตรอเมริกาพบว่า คนประเทศอเมริกาที่รับประทานผลไม้และก็รับประทานผักบ่อยๆได้โอกาสเกิดต้อกระจกน้อยกว่าผู้ไม่บริโภคผักและผลไม้ถึง 4 เท่าครึ่ง และก็คนที่ไม่รับประทานผักและก็ผลไม้เลยจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกเพิ่มมากขึ้นถึง 6 เท่า นอกนั้นยังพบว่าผู้ที่หรูหราวิตามินซีในเลือดต่ำ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึง 11 เท่า ส่วนผู้ ที่หรูหราสารแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำจะมีการเสี่ยงสูงมากขึ้นไปถึง 7 เท่า
เอกสารอ้างอิง