แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - asd051sa4

หน้า: [1]
1

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี


ราก[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url][/url][/color]
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
http://www.disthai.com/

2

รากสามสิบ
รากสามสิบ ชื่อสามัญ Shatavari8
รากสามสิบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Asparagus racemosus Willd. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Protasparagus racemosus (Willd.) Oberm.) จัดอยู่ในตระกูลหน่อไม้ฝรั่ง (ASPARAGACEAE) แล้วก็อยู่ในสกุลย่อย ASPARAGOIDEAE4
สมุนไพรรากสามสิบ มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า สามร้อยราก (กาญจนบุรี), ผักหนาม (จังหวัดนครราชสีมา), ผักชีช้าง (จังหวัดหนองคาย), จ๋วงเครือ (ภาคเหนือ), เตอสีเบาะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), พอเพียงควายเมะ (กะเหรี่ยง-จังหวัดเชียงใหม่), ชีช้าง, ผักชีช้าง, จั่นดิน, ม้าสามต๋อน, สามสิบ, ว่านรากสามสิบ, ว่านสามสิบ, ว่านสามร้อยราก, สามร้อยสามี, สาวร้อยสามี, ศตาวรี ฯลฯ
ลักษณะของรากสามสิบ
ต้นรากสามสิบ จัดเป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพันต้นไม้อื่นด้วยหนาม (หนามแปลงมาจากใบเกล็ดรอบๆข้อ) สามารถเลื้อยปีนต้นไม้อื่นขึ้นไปได้สูงโดยประมาณ 1.5-4 เมตร แตกแขนงเป็นเถาห่างๆลำต้นเป็นสีเขียวหรือสีขาวแกมเหลือง เถามีขนาดเล็กเรียว กลม เรียบ ลื่น แล้วก็วาว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 2-5 มม. เถาอ่อนเป็นเหลี่ยม ตามข้อเถามีหนามแหลม หนามมีลักษณะโค้งกลับ ยาวราว 1-4 มม. รอบๆข้อมีกิ่งแตกแขนงแบบรอบข้อ แล้วก็กิ่งนี้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวลักษณะแบนเป็นรูปขอบขนาน ปลายแหลม กว้างโดยประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร และยาวราวๆ 0.5-2.5 มม. ทำหน้าที่แทนใบ มีเหง้ารวมทั้งรากอยู่ใต้ดิน ออกเป็นกระจุกเหมือนกระสวย รูปแบบของรากออกเป็นพวงเหมือนรากกระชาย ลักษณะอวบน้ำ เป็นเส้นกลมยาว มีขนาดโตกว่าเถามากมาย มีเขตการกระจายจำพวกในประเทศไทย อินเดีย ศรีลังกา ชวา จีน มาเลเซีย และประเทศออสเตรเลีย เจอขึ้นตามป่าในเขตร้อนชื้น ป่าเขตร้อนแล้ง ป่าผลัดใบ ป่าโปร่งหรือตามเขาหินปูน
ต้นรากสามสิบ
สามร้อยราก
ใบรากสามสิบ ใบเป็นใบผู้เดียว แข็ง ออกรอบข้อเป็นฝอยๆเล็กคล้ายหางกระรอก หรือออกเรียงสลับเป็นกระจุก 3-4 ใบ ใบเป็นสีเขียวดก ลักษณะของใบเป็นรูปเข็มขนาดเล็ก ปลายใบแหลม เป็นรูปเคียว โคนใบแหลม มีขนาดกว้างประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร รวมทั้งยาวราว 10-36 มิลลิเมตร แผ่นมักโค้ง สันเป็นสามเหลี่ยม มี 3 สัน มีหนามที่ซอกกระจุกใบ ก้านใบยาวโดยประมาณ 13-20 เซนติเมตร
ใบรากสามสิบ
ดอกรากสามสิบ ออกดอกเป็นช่อกระจะ ยาวโดยประมาณ 2-4 ซม. โดยจะออกที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบและข้อเถา ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ดอกเป็นสีขาวและก็มีกลิ่นหอม มีราวๆ 12-17 ดอก ก้านดอกย่อยยาวราวๆ 2 มม. มีกลีบรวม 6 กลีบ แยกเป็น 2 วง วงนอก 3 กลีบ และก็วงในอีก 3 กลีบ กลีบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลีบมน ขอบเรียบ กลีบกว้างราวๆ 0.5-1 มม. แล้วก็ยาวราวๆ 2.5-3.5 มม. กลีบดอกมีลักษณะบางแล้วก็ย่น โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปดอกเข็มยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ส่วนปลายแยกเป็นแฉก ดอกมีเกสรผู้เชื่อมรวมทั้งอยู่ตรงกันข้ามกับกลีบรวม เป็นเส้นเล็ก 6 อัน ก้านยกอับเรณูเป็นสีขาว อับเรณูเป็นสีน้ำตาลเข้ม รังไข่เป็นรูปไข่กลับ อยู่เหนือวงกลีบ ยาวประมาณ 1 มม. มี 2 ช่อง ในแต่ละช่องมีออวุล 2 เม็ด หรือมากยิ่งกว่า ส่วนก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉกขนาดเล็ก โดยจะมีดอกในช่วงราวเดือนเมษายนถึงมิถานายน1,2,4,5
ดอกรากสามสิบ
ผลรากสามสิบ ลักษณะของผลเป็นรูปทรงค่อนข้างจะกลม หรือเป็นพู 3 พู ผิวผลเรียบวาว มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-6 มิลลิเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีแดงหรือสีม่วงแดง ด้านในผลมีเมล็ดโดยประมาณ 2-6 เมล็ด เม็ดเป็นสีดำ เปลือกหุ้มมีลักษณะแข็งแต่เปราะ ให้ผลในตอนโดยประมาณเมษายนถึงก.ค.1,8
ผลรากสามสิบ
เม็ดรากสามสิบ

คุณประโยชน์ของรากสามสิบ
รากสามสิบมีรสฝาดเย็น มีคุณประโยชน์เป็นยาบำรุงกำลัง ใช้เป็นยาชูกำลัง (ราก)
หนังสือเรียนยาไทยจะใช้รากเป็นยาแก้กระษัย (ราก)
ในประเทศอินเดียจะใช้รากเป็นยากระตุ้นประสาท (ราก)
รากใช้ผสมกับเหง้าขิงป่าและต้นจันทน์แดง ผสมกับเหล้าโรงใช้เป็นยาแก้วิงเวียน (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำเป็นยาลดระดับความดันเลือดและก็ลดไขมันในเลือด (ราก)
รากสามสิบมีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยไปกระตุ้นหลักการทำงานของตับอ่อนให้เพิ่มการหลั่งสาร insulin (ราก)
อีกทั้งต้นหรือรากเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคคอพอก (ราก, อีกทั้งต้น)
ผลมีรสเย็น ใช้ปรุงเป็นยาแก้พิษไข้เซื่องซึม แก้พิษไข้กลับไข้ซ้ำ มักใช้ร่วมกับผลราชดัด เพื่อเป็นยาดับพิษไข้จากบิดเรื้อรัง (ผล)
รากมีรสเฝื่อนฝาดเย็น ใช้รับประทานเป็นยาแก้พิษร้อนในหิวน้ำ (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ไอ (ราก)
ช่วยขับเสลด4 แก้การติดเชื้อที่หลอดลม (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาช่วยขับลม แล้วก็ช่วยลดกรดในกระเพาะ (ราก)
ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้อาการอาหารไม่ย่อย รักษาแผลในกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะ (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำเป็นยาแก้อาการท้องเสีย แก้บิด (ราก)
ใบมีสรรพคุณเป็นยาระบาย (ใบ)
แบบเรียนยาสมุนไพรประจำถิ่นของจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้รากเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
รากมีสรรพคุณเป็นยาแก้ขัดค่อย ขับปัสสาวะ ช่วยหล่อลื่นรวมทั้งกระตุ้น (ราก)
ช่วยรักษาอาการประจำเดือนไม่ปกติของสตรี (ราก)
ต้นหรือรากนำมาต้มกับน้ำเป็นยาแก้ตกเลือด (ราก, อีกทั้งต้น)
ในอินเดียจะใช้รากสามสิบเป็นยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศชายและก็หญิง คนทางภาคเหนือบ้านเราจะใช้รากสามสิบทำเป็นยาดอง ใช้กินเป็นยาบำรุงสำหรับผู้ชาย รับประทานแล้วครึกโครมเหมือนม้า 3 ตัว ก็เลยมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ม้าสามต๋อน” ส่วนแพทย์ยาโบราณจะใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชื่อ “สาวร้อยผัว” หรือ “สามร้อยผัว” พูดอีกนัยหนึ่งไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ยังสามารถมีลูกมีสามีได้ อายุมากแค่ไหนก็ยังดูสาวเสมอ แม้กระนั้นไม่ใช่กินแล้วจะสามารถมีผัวได้เป็นร้อยคน ในตำราอายุรเวทจะใช้สมุนไพรจำพวกนี้เป็นสมุนไพรหลักสำหรับเพื่อการบำรุงสตรี ทำให้กลับมาเป็นสาว ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆของสตรี ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเมนส์แตกต่างจากปกติ ภาวการณ์หมดรอบเดือน ปวดเมนส์ ตกขาว มีบุตรยาก หมดอารมณ์ทางเพศ ช่วยทำนุบำรุงครรภ์ บำรุงน้ำนม ป้องกันการแท้ง ฯลฯ สำหรับแนวทางการใช้ก็ให้นำรากมาต้มกิน หรือนำรากมาตากแห้งแล้วบดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง ยิ่งไปกว่านี้ยังคงใช้กระตุ้นน้ำนมในวัวนมได้อีกด้วย (ราก)
ใช้เป็นยาบำรุงตับรวมทั้งปอดให้เกิดกำลังเป็นปกติ แก้ตับแล้วก็ปอดพิการ (ราก)
รากใช้ฝนทาแก้พิษจากแมลงป่องกัดต่อย (ราก)
รากใช้ฝนทาแก้อาการปวดฝี ทำให้เย็น ช่วยถอนพิษฝี พิษปวดแสบปวดร้อน (ราก)
ช่วยทุเลาอาการระคาย (ราก)
รากใช้รับประทานเป็นยาแก้อาการปวดปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว (ราก)
ช่วยแก้อาการปวดข้อและก็คอ (ราก)
ใบมีคุณประโยชน์ช่วยขับน้ำนม ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)
รากใช้เป็นยาบำรุงเด็กแรกเกิดในท้อง บำรุงน้ำนม บำรุงร่างกายหลังการคลอดบุตรของสตรี (ราก)
ใน “พระคัมภีร์สรรพคุณ (แลมหาพิกัด)” ได้เอ๋ยถึงคุณประโยชน์ของรากสามสิบไว้ว่า “ผักหวานตัวผู้มีรสหวาน แก้กำเดา แก้จักขุโรค รากสามสิบอีกทั้ง 2 มีคุณมากกว่าผักหวาน” กำเดาหรือไข้กำเดา มีอยู่ 2 ชนิด สิ่งแรกหมายถึงตัวร้อน เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ รวมทั้งอีกอย่างหนึ่งหมายถึงมีลักษณะอาการร้ายแรงมากกว่า มีเม็ดผุดขึ้นตามร่างกาย มีลักษณะคัน ไอ มีเสมหะ รวมทั้งมีเลือดออกทางปากรวมทั้งจมูก (ราก)
ส่วนในหนังสือ “พระคัมภีร์เวชศาสตร์ช่วยเหลือ” ได้กล่าวถึงตำรับยารักษาคนธาตุหย่อน อันมีตัวยารากสามสิบรวมอยู่ด้วยร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆอีกหลายอย่าง โดยกล่าวว่ามีสรรพคุณ (ที่ค่อนข้างจะเข้าใจยาก) ว่าช่วยจำเริญชีวิตให้เกิดกำลัง ให้บำรุงธาตุไฟ ให้เจริญอินทรีย์แต่ละอย่าง มีกำลังมากแตกต่างกัน รับประทานเข้าไปแล้วหาโทษไม่ได้ ใช้ได้เด็ก ผู้สูงวัย คนมีกำลัง คนซูบผอม คนไม่มีกำลัง คนธาตุหย่อน ให้ประกอบยานี้กันเถิด อนึ่ง รับประทานแล้วให้บังเกิดลูก ให้อกโคนแค่นพระจันทร์งอีกทั้ง 4 มีกำลัง ถึงกระหักก็ดีแล้ว หมอก็เชื่อถือรักษาด้วยการใช้ยานี้เถอะ (ราก)
อีกตำรับหนึ่งเป็นยาแก้โรคซูบผอม แก้หอบหืด แก้ปิดตะ และก็แก้โรคลมต่างๆจะมีสมุนไพรอยู่ด้วยกัน 20 อย่างและรากสามสิบ (ราก)
ใน “พระหนังสือวรโยคสาร” ตำรับยา “วะระที่นาทิแผนก” เป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยรากไม้ 17 อย่าง และก็รากสามสิบ ซึ่งเป็นตำรับยาที่ใช้แก้อันตะวิทราโรค หรือโรคที่มีอาการเสียดแทงในลำไส้ใหญ่ ใช้เป็นยาแก้มันทาคินี แก้เสลด แก้คุลุมโรคหายแล รวมทั้งยังมีตำรับยาอีกอย่างก็คือ ตำรับยาแก้เสมหะ ที่มีสมุนไพรรวมอยู่ด้วย 16 อย่าง รวมถึงรากสามสิบ (ราก)
ตำรับยาบำรุงครรภ์ แก้ไข้ แก้ปวดหัว ประกอบไปด้วยสมุนไพร 13 ชนิด เช่น รากสามสิบ แก่นสน กฤษณา กระลำพัก ขอนดอก ชะลูด อบเชย เปลือกสมุลแว้ง เทียนทั้ง 5 บัวน้ำทั้ง 5 โกฐทั้งยัง 5 จันทน์ 4 และเทพทาโร (ใช้อย่างละเสมอกัน) นำทั้งปวงมาใส่ในหม้อเคลือบหรือหม้อดิน เติมน้ำลงไปให้ท่วมยาสูงราว 6-7 ซม. แช่ทิ้งไว้ราวๆ 15 นาที แล้วนำขึ้นตั้งด้วยไฟอ่อนๆต้มต้มประมาณ 30 นาที น้ำยาเดือดและมีกลิ่นหอมสดชื่นก็เลยชูลงจากเตา ใช้ดื่มก่อนรับประทานอาหารตอนเช้าและก็เย็น วันละ 2 เวลา เป็นยาบำรุงท้องอย่างดี (ราก)
นอกจากนั้นยังมีคุณประโยชน์ของรากสามสิบตามเว็บไซต์ต่างๆนอกเหนือจากที่กล่าวมา สมุนไพรจำพวกนี้ยังมีสรรพคุณช่วยสร้างสมดุลให้แก่ระบบฮอร์โมนผู้หญิง แก้วัยทองคำ เพิ่มขนาดหน้าอกและก็บั้นท้าย ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดอักเสบ ขจัดกลิ่นในช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยกระชับรูปทรง ลดไขมันส่วนเกิน บำรุงโลหิต บำรุงผิวพรรณ ลดสิว ลดฝ้า ทำให้ผิวขาวใส ช่วยชะลอความแก่ชรา ลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก ช่วยเสริมสร้างและก็พัฒนาความจำรวมทั้งเชาวน์ (ไม่มีอ้างอิง)
ขนาดรวมทั้งวิธีใช้ : การใช้รากตาม ให้ใช้รากประมาณ 90-100 กรัม เอามาต้มกับน้ำดื่มวันละครั้งในรุ่งอรุณ
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของรากสามสิบ
สารสำคัญที่พบ อาทิเช่น asparagamine, cetanoate, daucostirol, sarsasapogenin, shatavarin, racemosol, rutin
สมุนไพรรากสามสิบมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ต้านทานเชื้อรา ลดการอักเสบ แก้ลักษณะของการปวด คลายกล้ามของมดลูก บำรุงหัวใจ ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดขึ้นมาจากความดันโลหิตสูง ขับน้ำนม มีฤทธิ์ราวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งเบาหวาน ลดระดับไขมันในเลือด กระตุ้นภูมิต้านทาน ต่อต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็ง ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะ ยับยั้งพิษต่อตับ
สารสำคัญที่พบในรากเป็นสาร steroidal saponins ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เอาอย่างฮอร์โมนเพศ จึงคงจะมีบทบาทสำหรับในการรักษาอาการที่เกิดขึ้นในช่วงวัยหมดระดูของสตรี รวมถึงการช่วยคุ้มครองการเกิดโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือดรวมถึงโรคกระดูกพรุน
จากการศึกษาเล่าเรียน
ในหนูแรทโดยใช้สารสกัดจากรากด้วยเอทานอล แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงทันควันและก็ช่วงยาวตลอด โดยการเรียนในตอนกระทันหันป้อนสารสกัดเอทานอลจากรากสามสิบในขนาด 1.25 กรัมต่อกิโล ให้กับหนูแรทที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน หนูแรทที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 และจำพวกที่ 2 พบว่าไม่มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ช่วยให้ทนต่อการเพิ่มขึ้นของกลูโคส ในนาทีที่ 30  ส่วนการศึกษาตอนยาวตลอดวันละ 2 ครั้ง นาน 28 วัน ให้กับหนูที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ รวมทั้งเพิ่มระดับของอินซูลิน 30%เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มระดับอินซูลินในตับอ่อน และก็เพิ่มไกลวัวเจนที่ตับ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มโรคเบาหวานควบคุม จึงสรุปได้ว่าฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดจากรากสามสิบน่าจะเป็นผลมาจากการขัดขวางการย่อยและก็การดูดซึมสารคาร์โบไฮเดรต และก็เพิ่มการหลั่งอินซูลิน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับในการใช้ประโยชน์รักษาผู้เจ็บป่วยเบาหวานได้9
จากการทดสอบทางสถานพยาบาลเป็นการใช้รักษาโรคกระเพาะในคนจริงๆโดยการกินผงแห้งของราก พบว่าได้ผลดีสำหรับเพื่อการรักษาแผลที่กระเพาะและลำไส้เล็ก จากการที่กรดเกิน
เมื่อปี คริสต์ศักราช1997 ที่ประเทศอินได้ทำการทดสอบการใช้รากสามสิบกับคนป่วยความดันเลือดสูงจำพวก mild hypertension โดยทดลองเปรียบเทียบกับยาลดความดัน (Propranolol) ใช้ช่วงเวลากระทำทดลองนาน 3 เดือน ผลของการทดสอบพบว่า คนป่วยมีความดันเลือดลดน้อยลง < 90 mm.Hg. รวมทั้งลดไขมันได้ผลดี

  • K. Mitra รวมทั้งคณะ (ค.ศ.1996) ที่ประเทศอินเดียได้กระทำการทดลองใช้สารสกัดจากรากสามสิบกับหนูทดลองที่ถูกกระตุ้นด้วย Streptozotocin ผลการทดลองพบว่า สารสกัดดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วสามารถกระตุ้นตับอ่อนของหนูให้เพิ่มการหลักhttp://www.disthai.com/

3

กระเทียม
กระเทียมกับผลดีต่อสุขภาพ
กระเทียม เป็นไม้ล้มลุกที่มีหัวลักษณะเป็นทรงกระเปาะอยู่ใต้ดินเหมือนกับหัวหอม ซึ่งแต่ละหัวจะประกอบด้วย 6-10 กลีบ นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงปรุงอาหาร กระเทียมเป็นพืชที่ออกจะต่างจากพืชทั่วๆไป ด้วยเหตุว่าอุดมไปด้วยกำมะถันหรือซัลเฟอร์ในปริมาณมาก นอกเหนือจากนี้กระเทียมประกอบไปด้วยสารอาหารฯลฯ อาทิเช่น อาร์จีนีน (Arginine) โอลิโกแซ็คคาไรด์ (Oligosaccharides) ฟลาโวนอยด์ (Flavoniods) รวมทั้งซีลีเนียม (Selenium) ซึ่งล้วนเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
กระเทียม
คนจำนวนไม่น้อยบางทีอาจจดจำกระเทียมได้จากกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว ซึ่งมีสาเหตุมาจากสารอัลลิซิน (Allicin) นอกเหนือจากที่จะทำให้กระเทียมมีกลิ่นที่เด่นแล้ว อัลลิสินยังเป็นสารออกฤทธิ์หลักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย รวมทั้งอาจมีส่วนช่วยรักษาโรคหรือทำให้อาการต่างๆ โดยที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยมั่นใจว่าการรับประทานกระเทียมบางทีอาจช่วยทุเลาอาการที่เกี่ยวกับหัวใจแล้วก็เส้นเลือด ความดันเลือด คอเลสเตอรอล ทุเลาหวัด รวมทั้งใช้น้ำมันกระเทียมเป็นยาทาภายนอกเพื่อรักษาอาการติดเชื้อทางผิวหนัง เล็บ หรือช่วยรักษาอาการผมร่วงอีกด้วย
ทั้งนี้สิ่งที่ใช้พิสูจน์หรือหลักฐานด้านการแพทย์มีมากมายน้อยเพียงใดที่จะช่วยรับรองคุณประโยชน์ ประโยชน์ และความปลอดภัยของการกินกระเทียมที่มีหน้าที่หรือส่วนช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคเหล่านี้
ความดันโลหิตสูง อัลลิสินซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่พบได้ในกระเทียมสดหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาการที่มีส่วนประกอบของกระเทียม อาจมีส่วนช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเรียบที่เรียงหน้าในเส้นโลหิตแล้วก็ส่งผลให้เส้นโลหิตขยายตัวรวมทั้งทำให้ระดับความดันโลหิตลดลดน้อยลง ซึ่งสอดคล้องกับการทดสอบชิ้นหนึ่งให้คนไข้ที่มีระดับความดันเลือดสูงโดยที่มีค่าความดันซิสโตลิก (Systolic Blood Pressure: SBP) มากกว่าหรือเท่ากับ 140 ไม่ลลิตรปรอท รับประทานกระเทียมบ่มสกัด (Aged Garlic Extract: AGE) ขนาด 960 มิลลิกรัม ตรงเวลา 12 อาทิตย์ พบว่าค่าความดันซิสโตลิกลดลดลงมากกว่าเมื่อเทียบกับคนเจ็บที่กินยาหลอก ก็เลยอาจกล่าวได้ว่าการกินกระเทียมบ่มสกัดอาจมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการรักษาผู้เจ็บป่วยความดันเลือดสูงได้ดียิ่งไปกว่ายาหลอก
ถึงแม้ว่าจะมีการทดลองอีก 2 ชิ้นที่บอกให้เห็นถึงคุณภาพของกระเทียมสำหรับเพื่อการลดความดันเลือดได้ดีมากยิ่งกว่าการใช้ยาหลอก แม้กระนั้นเพราะเหตุว่าผลของการทดสอบอาจยังไม่แม่นพอเพียงที่จะสรุปความสามารถของกระเทียมได้ว่าสามารถรักษาหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจแล้วก็เส้นเลือดในคนป่วยความดันเลือดสูง ก็เลยยังจึงควรเล่าเรียนเพิ่มเติมเพื่อรับรองสมรรถนะที่แจ่มชัดเพิ่มขึ้น
โรคมะเร็ง ความเกี่ยวพันของการบริโภคกระเทียมแล้วก็ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งยังไม่ชัดแจ้งแล้วก็ยังคงเป็นที่คัดค้านกันอยู่ ซึ่งจะมองเห็นได้จากการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งที่ให้ชาวจีนทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะจำนวนกว่า 5,000 คน รับประทานสารอัลลิทริดินขนาด 200 มก.ต่อวัน ร่วมกับสารซีลีเนียมขนาด 100 ไมโครกรัมวันเว้นวัน ซึ่งล้วนเป็นสารสกัดที่ได้จากกระเทียม โดยการทำการทดสอบตรงเวลา 5 ปี รวมทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอกแล้วพบว่ากรุ๊ปที่กินสารอัลลิทริดินร่วมกับสารซีลีเนียมมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกลดน้อยลง 33 เปอร์เซ็นต์ และมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะลดลงถึง 52 เปอร์เซ็นต์
แต่ มีการศึกษาวิจัยอีก 19 ชิ้นชี้ให้เห็นว่า ยังไม่เจอหลักฐานที่น่าไว้วางใจถึงที่กะไว้จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ของการบริโภคกระเทียมต่อความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะ โรคมะเร็งหน้าอก มะเร็งปอด หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมีหลักฐานที่ค่อนข้างจำกัดที่ส่งเสริมว่าการบริโภคกระเทียมบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งไส้ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งหลอดของกิน มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งในช่องปาก หรือโรคมะเร็งรังไข่
ดังนี้สถาบันโรคมะเร็งแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา (NCI) ได้บอกว่ากระเทียมเป็นพืชผักประเภทหนึ่งที่อาจมีคุณสมบัติต้านทานโรคมะเร็ง แม้กระนั้นยังมีต้นสายปลายเหตุอื่นๆเป็นต้นว่า รูปแบบของสินค้าที่ทำมาจากกระเทียม หรือปริมาณความเข้มข้นที่มากมาย อาจจะทำให้พิสูจน์ถึงประสิทธิภาพของกระเทียมได้ยาก รวมทั้งเมื่อเวลาผ่านไปหรือเก็บไว้ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ก็อาจจะส่งผลให้ความสามารถของกระเทียมสิ้นสุดไปได้เหมือนกัน
แก้หวัด ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยมั่นใจว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์และก็เชื้อไวรัส แล้วก็มีการประยุกต์ใช้เพื่อคุ้มครองปกป้องและบรรเทาอาการหวัดมาอย่างนาน ซึ่งสอดคล้องกับการเรียนชิ้นหนึ่งที่ให้อาสาสมัครปริมาณ 146 คน รับประทานสารสกัดจากกระเทียมแบบเป็นเม็ดซึ่งประกอบไปด้วยสารอัลลิซินขนาด 180 มก.วันละ 1 ครั้ง ตรงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วให้อาสาสมัครจดบันทึกอาการเมื่อเป็นหวัด พบว่าในกลุ่มที่กินสารสกัดจากกระเทียมมีรายงานการเป็นหวัดปริมาณ 24 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกรุ๊ปที่กินยาหลอกที่มีรายงานการเป็นหวัดปริมาณ 65 ครั้ง ทั้งยังยังพบว่าช่วงเวลาของการเป็นหวัดในกลุ่มที่กินสารสกัดจากกระเทียมมีปริมาณวันที่น้อยกว่า แต่ว่าระยะเวลาการฟื้นฟูสภาพจากอาการหวัดของอีกทั้ง 2 กลุ่มมีความไม่เหมือนกันเพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าผลของการทดสอบข้างต้นจะบ่งบอกถึงถึงความสามารถของกระเทียม แต่ว่าหลักฐานการทดลองทางสถานพยาบาลยังน้อยเกินไปและก็จึงควรเล่าเรียนเสริมเติมเพื่อยืนยันคุณภาพของกระเทียมให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น
ลดความอ้วนและก็มวลไขมัน ในผู้ป่วยภาวการณ์ไขมันพอกตับ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดื่มแอลกอฮอล์ แม้กระนั้นมักเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากโรคอ้วน โรคเบาหวานจำพวกที่ 2 ความดันเลือดสูง แล้วก็ไขมันในเลือดสูง ซึ่งการดูแลและรักษาด้วยการกินยา การผ่าตัด หรือลดน้ำหนักอาจไม่เพียงพอ ถ้าเกิดไม่ดูแลเรื่องการรับประทานอาหารควบคู่ไปด้วย การกินกระเทียมก็เลยอาจเป็นช่องทางหนึ่งที่น่าดึงดูด เพราะว่ากระเทียมเป็นพืชสมุนไพรที่อุดมไปด้วยกำมะถันหรือซัลเฟอร์รวมทั้งสารอาหารอื่นๆที่อาจมีคุณสมบัติคุ้มครองป้องกันสภาวะอ้วน ซึ่งสอดคล้องกับการค้นคว้าชิ้นหนึ่งที่ให้ผู้ป่วยไขมันพอกตับที่มิได้มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ทั้งปวงศชายและเพศหญิง อายุตั้งแต่ 20-70 ปี ปริมาณทั้งมวล 110 คน รับประทานกระเทียมผงประเภทแคปซูลขนาด 400 มก. ซึ่งภายในประกอบไปด้วยสารอัลสิลินขนาด 1.5 มก. วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 15 สัปดาห์ โดยสามารถกินอาหารได้ตามธรรมดา แม้กระนั้นกินกระเทียมได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 2 กลีบ จากผลการทดสอบชี้ให้เห็นว่า น้ำหนักและก็มวลร่างกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับประทานยาหลอก ก็เลยอาจจะบอกได้ว่าการรับประทานกระเทียมบางทีอาจช่วยลดจำนวนไขมันในตับและก็คุ้มครองป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวการณ์ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตามการเล่าเรียนในอนาคตยังต้องออกแบบการทดสอบให้ดียิ่งขึ้นและควรเพิ่มช่วงเวลาสำหรับเพื่อการทดลองเพื่อยืนยันสมรรถนะของกระเทียมให้ชัดแจ้งเพิ่มขึ้น
ลดระดับคอเลสเตอรอล หลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกระเทียมต่อการลดระดับคอเลสเตอรอลยังคงขัดแย้ง จึงทำให้ยังไม่อาจจะสรุปได้อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสอดคล้องกับการทดสอบรวมทั้งการเรียนโดยการทบทวนงานศึกษาเรียนรู้ที่เกี่ยวพันจำนวน 29 ชิ้น ได้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานกระเทียมอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมได้นิดหน่อย แต่ว่าไม่ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (High-Density Lipoprotein: HDL) เพิ่มสูงขึ้น ไหมทำให้ระดับคอเลสเตอรอลประเภทที่ไม่ดี (Low-Density Lipoprotein: LDL) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจลดลงอะไร ก็เลยยังจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อหาบทสรุปและรับรองความสามารถของกระเทียมต่อระดับคอเลสเตอรอลที่เด่นชัดยิ่งขึ้น

ความปลอดภัยสำหรับในการรับประทานกระเทียม
การรับประทานกระเทียมออกจะไม่เป็นอันตรายถ้ารับประทานในจำนวนที่สมควร แต่ว่าอาจจะทำให้เกิดผลข้างๆได้ อาทิเช่น ปากเหม็น มีกลิ่นตัว รู้สึกแสบร้อนที่บริเวณปากหรือที่กระเพาะอาหาร แสบร้อนกลางอก ท้องขึ้น คลื่นไส้ คลื่นไส้ หรือท้องเสีย อาการพวกนี้บางทีอาจทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อรับประทานกระเทียมสด อีกทั้งการใช้กระเทียมสดทาหรือสัมผัสที่บริเวณผิวหนังอาจก่อให้เกิดอาการแสบร้อนและก็ระคายเคืองได้
สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับการรับประทานกระเทียมโดยยิ่งไปกว่านั้นบุคคลในกลุ่มตั้งแต่นี้ต่อไป
คนที่กำลังตั้งครรภ์หรือคนที่อยู่ในตอนให้นมบุตร การกินกระเทียมในช่วงการมีท้องค่อนข้างไม่เป็นอันตรายถ้ารับประทานเป็นของกินหรือในจำนวนที่สมควร แต่บางทีอาจไม่ปลอดภัยถ้าหากกินกระเทียมเป็นยารักษาโรค อีกทั้งยังไม่มีช้อมูลที่น่าไว้วางใจเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทากระเทียมที่บริเวณผิวหนังในช่วงการมีครรภ์หรือให้นมลูก
เด็ก การกินกระเทียมในจำนวนที่สมควรและก็ในระยะสั้นๆบางทีอาจไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก แต่ว่าการใช้กระเทียมทาบริเวณผิวหนังอาจทำให้กำเนิดอาการแสบร้อนและก็ระคายเคือง
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือการย่อยอาหาร อาจจะทำให้มีการระคายเคืองที่เดินอาหารได้
ผู้ที่มีความดันเลือดต่ำ การกินกระเทียมอาจส่งผลให้ระดับความดันเลือดลดลดน้อยลงมากกว่าปกติ
ผู้ที่คิดแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานกระเทียมก่อนจะมีการผ่าตัดอย่างต่ำ 2 อาทิตย์ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้เลือดออกมากและมีผลต่อความดันเลือดในระหว่างการผ่าตัด และก็คนที่มีภาวการณ์เลือดออกไม่ปกติไม่ควรรับประทานกระเทียม โดยเฉพาะกระเทียมสด เนื่องจากว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น
คนที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาโรค ยกตัวอย่างเช่น ไอโซไนอะซิด เนื่องจากกระเทียมบางทีอาจลดการดูดซึมของยาในร่างกายแล้วก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพแนวทางการทำงานของยา รวมถึงไม่สมควรกินกระเทียมในระหว่างใช้ยาดังต่อไปนี้
ยารักษาการติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
ยาคุม
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาต้านทานเกล็ดเลือด
http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรกระเทียม

4

กระเทียม
สรรพคุณกระเทียม
ปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับธรรมดา
ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับคนไข้โรคเบาหวาน
บำรุงเลือด ป้องกันอาการโลหิตจาง
เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
ป้องกันโรคหัวใจ
ลดอาการท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายปฏิบัติงานได้ดีขึ้น
ช่วยขับลม แก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง
คุ้มครองป้องกันหวัด ยั้งการเติบโตของเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
มีสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ รวมทั้งลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการเป็นโรคมะเร็ง
chopped-garlicsiStock
กระเทียม กับ 10 คุณประโยชน์ดีๆที่เราอยากให้ท่านทานวันแล้ววันเล่า
วิธีทานกระเทียมให้ได้ประโยชน์
สารอัลลิซินในกระเทียมที่มีสาระต่อสุขภาพร่างกายของเรา จะต้องผ่านการหั่น สับ ทุบ หรือบด จึงควรหั่น สับ ตี หรือบดกระเทียมก่อนเอามาประกอบอาหาร 5-10 นาที โดยสารอัลลิซินนี้จะไม่สลายหายไปเมื่อถูกความร้อน ด้วยเหตุนั้นจะทานสด หรือจะปรุงอาหารในน้ำมันก็ช่างเถอะ
ปริมาณกระเทียมที่ควรจะทานต่อวัน
ในวัยผู้ใหญ่สามารถทานกระเทียมได้ราวๆ4 กรัมต่อวัน แต่ไม่ควรทานมากเกินกว่านี้ต่อเนื่องกันเกิน 10 วัน ด้วยเหตุว่าจะเพิ่มความเสี่ยงภาวะเลือดแข็งตัวช้า  หรือเลือดไหลไม่หยุดเมื่อเกิดบาดแผล
แนวทางเลือกซื้อกระเทียมมาทำอาหาร
ควรที่จะทำการเลือกกระเทียมที่ศีรษะแน่นๆไม่ฝ่อ เปลือกบาง เนื้อสีเหลืองอ่อน สด ไม่เน่า ไม่มีราขึ้น และหากอยากได้รสชาติของกระเทียมแบบแรงๆควรเลือกกระเทียมหัวเล็กๆ
ว่าแล้วอาหารมื้อต่อไปก็บอกให้แม่ครัวพ่อครัวใส่กระเทียมลงไปในอาหารให้ด้วยนะคะ แม้กระนั้นระวังสักนิด ถ้าหากทานกระเทียมมากมายๆโดยยิ่งไปกว่านั้นกระเทียมสด อาจมีอาการเจ็บคอคราวหลัง แล้วก็อย่าลืมระแวดระวังกลิ่นปากกันด้วยจ้ะ ประเดี๋ยวจะกล่าวหาไม่เตือนนะ
ลักษณะทั่วไปของกระเทียม
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกประเภทรับประทานหัว ลำต้นสูง 1-2 ฟุต มีหัวลักษณะกลมแป้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว ด้านนอกของหัวกระเทียมมีเปลือกบางๆห่อหุ้มอยู่หลายชั้น ด้านในหัวประกอบแกนแข็งกึ่งกลาง ภายนอกเป็นกลีบเล็กๆปริมาณ 10-20 กลีบ เนื้อกระเทียมในกลีบมีสีเหลืองอ่อนและใส  มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง มีกลิ่นแรงจัด
ลำต้นและหัวกระเทียมสด
แหล่งเพาะปลูก
กระเทียมสามารถปลูกได้ทั่วๆไปในทุกภาคของประเทศไทย แต่ว่านิยมนำมาปลูกกันมากทางภาคเหนือแล้วก็ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากมีภาวะดินรวมทั้งสภาพการณ์อากาศที่เหมาะมากกว่าภาคอื่นๆทำให้กระเทียมเติบโตได้ดี สำเร็จผลิตสูงและก็มีรสชาติที่ดีมากยิ่งกว่า

ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกรวมทั้งใหญ่ยาว สูง 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นแรง มีหัวใต้ดิน2 ลักษณะกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 เซนติเมตร มีแผ่นเยื่อสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูหุ้มห่ออยู่ 3-4 ชั้น ซึ่งลอกออกได้ แต่ละหัวมี 6-10 กลีบ กลีบเกิดขึ้นจากตาซอกใบของใบอ่อน ลำต้นลดรูปลงไปมาก ใบโดดเดี่ยว (Simple leaf) ขึ้นมาจากดิน เรียงซ้อนสลับ แบนเป็นแถบแคบ กว้าง 0.5-2.5 เซนติเมตร ยาว 30-60 ซม. ปลายแหลมแบบ Acute ขอบเรียบแล้วก็พับทบเป็นสันตลอดความยาวของใบ โคนแผ่เป็นแผ่นและเชื่อมชิดกันเป็นวงห่อหุ้มรอบใบที่อ่อนกว่าและก็ก้านช่อดอกส่งผลให้เกิดเป็นลำต้นเทียม ปลายใบสีเขียวรวมทั้งสีจะเบาๆจางลงจนตราบเท่าถึงโคนใบ ส่วนที่หุ้มห่อหัวอยู่มีสีขาวหรือขาวอมเขียว ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม (Umbel) ประกอบด้วยตะเกียงรูปไข่เล็กๆจำนวนไม่น้อยอยู่ปนเปกับดอกขนาดเล็กซึ่งมีปริมาณน้อย มีใบตกแต่งใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5-10 ซม. ลักษณะบาง ใส แห้ง เป็นจะงอยแหลมห่อหุ้มช่อดอกระหว่างที่ยังตูมอยู่ แต่ว่าเมื่อช่อดอกบานใบเสริมแต่งจะเปิดอ้าออกแล้วก็ห้อยลงรองรับช่อดอกไว้ ก้านช่อดอกเป็นก้านกระโดด เรียบ ทรงกระบอกตัน ยาว 40-60 เซนติเมตร ดอกบริบูรณ์เพศ กลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกันหรือชิดกันที่โคน รูปใบหอกปลายแหลม ยาวราวๆ 4 มิลลิเมตร สีขาวหรือขาวอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อัน ติดที่โคนกลีบรวม อับเรณูและก้านเกสรเพศเมียยื่นขึ้นมาสูงขึ้นมากยิ่งกว่าส่วนอื่นๆของดอก รังไข่ 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1-2 เม็ด ผลเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆรูปไข่หรือออกจะกลม มี 3 พู เมล็ดเล็ก สีดำ
ในประเทศไทยปลูกมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและก็ภาคเหนือ แต่ว่ากระเทียมที่มีชื่อว่าเป็นกระเทียมคุณภาพดี กลิ่นฉุน เป็นต้นว่ากระเทียมจากจังหวัดศรีสะผม
แนวทางเลือกซื้อกระเทียม
วิธีการสำหรับเลือกซื้อกระเทียมนั้น มีหลักพิจารที่กล้วยๆคือ เลือกกระเทียมที่ศีรษะแน่น กลีบแน่น เปลือกบาง มีเนื้อสีเหลืองอ่อน สด แน่น ไม่ฝ่อและไม่มีเชื้อรา ที่สำคัญถ้าหากจะต้องทำครัวที่อยากกลิ่นแรงๆจำเป็นต้องเลือกกระเทียมหัวเล็กเท่านั้น
กระเทียมสดคุณภาพดี
จะเห็นว่ากระเทียมเป็นประโยชน์แล้วก็สรรพคุณมากไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงกระเทียมจะมีกลิ่นแรง แม้กระนั้นก้ไม่ยากเกินความจำเป็นที่จะกินครับ ดังนั้นอย่าลืมเพิ่สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับการกินกระเทียมโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในกรุ๊ปต่อไปนี้
คนที่กำลังมีท้องหรือผู้ที่อยู่ในตอนให้นมลูก การรับประทานกระเทียมในช่วงการตั้งท้องค่อนข้างจะไม่เป็นอันตรายแม้รับประทานเป็นของกินหรือในปริมาณที่สมควร แม้กระนั้นบางทีอาจไม่ปลอดภัยหากรับประทานกระเทียมเป็นยารักษาโรค ทั้งยังยังไม่มีช้อมูลที่น่าเชื่อถือพอเพียงเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทากระเทียมที่รอบๆผิวหนังในช่วงการมีท้องหรือให้นมลูก
เด็ก การกินกระเทียมในจำนวนที่เหมาะสมและก็ในระยะสั้นๆบางทีอาจปลอดภัยสำหรับเด็ก แม้กระนั้นการใช้กระเทียมทาบริเวณผิวหนังอาจจะทำให้กำเนิดอาการแสบร้อนรวมทั้งเคือง
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือการย่อยของอาหาร อาจจะส่งผลให้เกิดการระคายพื้นที่เดินของกินได้
ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ การกินกระเทียมอาจจะเป็นผลให้ระดับความดันโลหิตลดต่ำลงมากกว่าปกติ
คนที่คิดแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรจะหยุดกินกระเทียมก่อนจะมีการผ่าตัดขั้นต่ำ 2 อาทิตย์เนื่องจากอาจส่งผลให้เลือดออกมากแล้วก็ส่งผลต่อความดันโลหิตในระหว่างการผ่าตัด รวมทั้งคนที่มีภาวะเลือดออกไม่ปกติไม่สมควรรับประทานกระเทียม โดยยิ่งไปกว่านั้นกระเทียมสด เพราะว่าบางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่อยู่ในระหว่างการกินยารักษาโรค อย่างเช่น ไอโซไนอะสิด เพราะเหตุว่ากระเทียมบางทีอาจลดการดูดซึมของยาในร่างกายและก็มีผลต่อความสามารถแนวทางการทำงานของยา รวมถึงไม่ควรรับประทานกระเทียมในระหว่างใช้ยาดังต่อไปนี้
ยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์
ยาคุมกำเนิด
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาต้านทานเกล็ดเลือดกระเทียมลงในเมนูอาหารของท่านนะครับ สรรพคุณและคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากกระเทียมนั้นเหลือร้ายจริงๆ http://www.disthai.com/

5

ขิง
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ภายนอกเหง้าเป็นน้ำตาลปนเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักเอามาประกอบอาหารเนื่องจากส่งกลิ่นหอม นอกจากนี้ ขิงยังคงใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ รวมทั้งเครื่องสำอางทั้งหลายด้วยเหมือนกัน ด้านคุณประโยชน์ต่อร่างกาย มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลายประเภทมาอย่างช้านาน อาทิเช่น โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารอย่างท้องร่วง มีแก๊สในกระเพาะ อาหารไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ คลื่นไส้ ไม่อยากอาหาร
คุณลักษณะของขิงมั่นใจว่าประกอบด้วยสารที่บางทีอาจช่วยลดอาการอ้วกและก็ลดการอักเสบ โดยนักค้นคว้าส่วนมากคาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะและก็ลำไส้ แล้วก็สารนี้อาจส่งผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการอ้วกด้วย แม้กระนั้นการสันนิษฐานดังที่กล่าวมาข้างต้นยังไม่กระจ่างนัก และคุณลักษณะด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิงต่อร่างกายที่พวกเราเชื่อกันนั้น บัดนี้ด้านวิทยาศาสตร์มีข้อมูลชี้แจงไว้ดังนี้
การรักษาที่บางทีอาจได้ผล
อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดขึ้นมาจากการใช้ยาต้านทานไวรัสเอชไอวีหรือเอดส์ คุณประโยชน์บรรเทาอาการอ้วกคลื่นไส้ของขิงอาจมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคนี้ที่เห็นแก่ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการเล่าเรียนคนเจ็บปริมาณ 102 คน แบ่งให้กรุ๊ปหนึ่งรับประทานขิง 500 กรัม อีกกลุ่มกินยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในช่วง 30 นาทีก่อนที่จะได้รับยารักษาโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องอย่างยาต้านรีโทรไวรัส เป็นเวลาทั้งปวง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการอ้วกอาเจียนที่เกิดจากการดูแลและรักษาโรคติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องได้
อาการอาเจียนคลื่นไส้ภายหลังจากการผ่าตัด ขิงอาจช่วยทุเลาอาการคลื่นไส้แล้วก็อ้วกจากการผ่าตัดได้สิ่งเดียวกัน โดยการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากชี้ว่าการรับประทานขิง 1-1.5 กรัม ในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนจะมีการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการอาเจียนอ้วกที่อาจเกิดขึ้นในระหว่าง 24 ชั่วโมงหลังได้รับการผ่าตัด
งานศึกษาเรียนรู้วิจัยหนึ่งทดสอบแบ่งผู้ป่วยจำนวน 122 ผู้ที่รับการผ่าตัดต้อกระจกให้กินแคปซูลขิง 1 กรัม แล้วก็อีกกรุ๊ปได้รับแคปซูลขิง 500 มก.แต่ว่าแบ่งให้ 2 ครั้งที่แล้วผ่าตัด ซึ่งผลลัพธ์พบว่าผู้ป่วยในกรุ๊ปข้างหลังมีลักษณะอ้วกอาเจียนน้อยครั้งและก็มีความร้ายแรงของอาการน้อยกว่า โดยงานศึกษาเรียนรู้นี้พบว่าการใช้ขิงนั้นน่าจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานเสมอๆแล้วก็สม่ำเสมอโดยแบ่งจำนวนการใช้
นอกจากนี้ การทดสอบทาน้ำมันขิงรอบๆข้อมือของคนเจ็บก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยคุ้มครองปกป้องอาการอ้วกในผู้เจ็บป่วยราวๆ 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งหมด แต่ว่าการใช้ขิงช่วยลดอาการอ้วกอ้วกร่วมกับยาลดคลื่นไส้อ้วกนั้นบางทีอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก รวมถึงการใช้ขิงกับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการอาเจียนอ้วกน้อยอยู่และบางทีอาจไม่ได้เรื่องเหมือนกัน
อาการแพ้ท้อง การรับประทานขิงอาจมีส่วนช่วยทุเลาอาการแพ้ท้อง ได้แก่ อาเจียน อาเจียน หรือเวียนศีรษะ ผลการค้นคว้าชิ้นหนึ่งที่ช่วยยืนยันคุณลักษณะนี้เป็นการทดลองในหญิงที่มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 20 อาทิตย์ ปริมาณ 120 คน ซึ่งเผชิญอาการแพ้ท้องทุกเมื่อเชื่อวันนานอย่างต่ำ 1 อาทิตย์ และไม่กระปรี้กระเปร่าขึ้นแม้จะเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารแล้วก็ตาม ภายหลังรับประทานสารสกัดจากขิง 125 มก. ซึ่งเท่ากันกับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน คำตอบได้ชี้ให้เห็นว่าขิงบางทีอาจสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในฐานะการดูแลรักษาลู่ทางต่ออาการแพ้ท้องได้
ถือว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยก่อนหน้าที่ชี้ว่าการกินขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการอ้วกอ้วกในหญิงตั้งท้องที่มีอาการแพ้ท้องได้ แต่การใช้ขิงสำหรับคุณประโยชน์ด้านนี้บางทีอาจมองเห็นการดูแลรักษาได้ช้ากว่าหรือได้ผลดีไม่พอๆกับการใช้ยาแก้อ้วกอ้วก ยิ่งกว่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีข้อกำหนดและก็เจอผลสรุปที่ไม่บ่อยนัก โดยมีบางการทดสอบที่ชี้ว่าขิงอาจมิได้มีส่วนช่วยสำหรับในการลดอาการแพ้ท้องด้วยเหมือนกัน
อาการตาลายหัว อาการที่เกิดขึ้นพร้อมกับการคลื่นไส้นี้บางทีอาจทุเลาให้ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการใช้คุณประโยชน์จากขิง จากการค้นคว้าวิจัยที่ทดลองด้วยการให้ผู้ที่มีลักษณะอาการบ้านหมุน และก็ตากระตุๆกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิกินผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการตาลายหัวได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก แต่ไม่ได้ช่วยลดช่วงเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการเรียนรู้บางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีสรรพคุณลดลักษณะการเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากโรคข้อเสื่อม จากการทดลองหนึ่งที่ให้คนป่วยกินสารสกัดจากขิงชนิดหนึ่ง (Zintona EC) ในจำนวน 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดลักษณะของการปวดข้อเข่าภายหลังการรักษาเป็นเวลา 3 เดือน ส่วนอีกการวิจัยที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าให้ผลลัพธ์ในการช่วยลดลักษณะของการเจ็บขณะยืน ลักษณะของการเจ็บข้างหลังเดิน และก็อาการข้อติด
ยิ่งกว่านั้น มีการศึกษาเล่าเรียนเปรียบเทียบสมรรถนะระหว่างขิงรวมทั้งยาพารา โดยให้คนเจ็บโรคข้ออักเสบในกระดูกสะโพกและก็ข้อเข่ากินสารสกัดขิง 500 มก.ทุกๆวัน วันละ 2 ครั้ง ขิงได้ผลบรรเทาอาการปวดได้เท่ากันกับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง รวมทั้งยังมีการค้นคว้าวิจัยที่แนะนำว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงรวมทั้งส้มบางทีอาจช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดแล้วก็อ่อนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของคนไข้ที่มีอาการเจ็บเข่าได้ด้วย
ลักษณะของการปวดรอบเดือน เว้นแต่ลักษณะของการปวดจากโรคข้อเสื่อม การเรียนรู้บางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดเมนส์ อย่างเช่น การทดลองในนักศึกษามหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้รับประทานผงเหง้าขิงครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งในตอน 2 วันก่อนเริ่มมีเมนส์ต่อเนื่องไปจนกระทั่ง 3 วันแรกของการมีเมนส์ รวมเบ็ดเสร็จเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความร้ายแรงของลักษณะของการปวดระดูได้อย่างมีนัยสำคัญด้านการเล่าเรียนเทียบความสามารถของขิงและก็ยาลดลักษณะของการปวดเมนส์อย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มิลลิกรัม ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มรับประทานแคปซูลขิงหรือยาแต่ละชนิดในจำนวน 250 มก. วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีเมนส์ ผลปรากฏไปในทำนองเดียวกันกับงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยแรก คือ ขิงมีคุณภาพบรรเทาความรุนแรงของลักษณะของการปวดระดูไม่มีความต่างกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การดูแลรักษาที่บางทีอาจไม่ได้ผล
อาการเมารถและก็เมาเรือ นับเป็นสรรพคุณของขิงที่มีการกล่าวถึงกันมาก แต่ว่าแม้ขิงบางครั้งก็อาจจะช่วยลดอาการเวียนหัวได้ แต่ว่าสำหรับในการตาลายอ้วกที่เกิดขึ้นจากการเดินทางนั้น งานศึกษาวิจัยส่วนมากบอกว่าขิงบางทีอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง ดังเช่น การแบ่งกลุ่มให้เด็กนักเรียนนายเรือ 80 คนที่ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นแรง กินเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก ปรากฏว่ากรุ๊ปที่รับประทานขิงนั้นมีลักษณะอาการคลื่นไส้และหน้ามืดน้อยลงจริงแต่ว่าอยู่ในระดับเล็กน้อยแค่นั้น หรือในอีกงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่ชี้ว่าการรับประทานผงขิงในปริมาณ 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มิลลิกรัม ต่างไม่มีส่วนช่วยสำหรับในการคุ้มครองอาการเมารถหรือแนวทางการทำงานของกระเพาะอาหารที่เกี่ยวเนื่องกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด
การรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานพอเพียงต่อการระบุความสามารถ
อาการอาเจียนคลื่นไส้จากกระบวนการทำเคมีบำบัด อีกหนึ่งสรรพคุณคือลดอาการอาเจียนรวมทั้งคลื่นไส้ ซึ่งมีการเล่าเรียนด้านวิทยาศาสตร์ แต่ว่าหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในคนป่วยที่รับเคมีบำบัดรักษานั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้ใช่หรือไม่ การศึกษาเล่าเรียนหนึ่งที่ชี้ถึงผลดีข้อนี้ของขิง โดยให้ผู้เจ็บป่วยกินแคปซูลขิงที่มีขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบรรเทานานสม่ำเสมอเป็นเวลา 6 วัน พบว่า มีระดับความรุนแรงของอาการอ้วกที่เกิดขึ้นหลังจากการรักษาน้อยกว่ากรุ๊ปที่มิได้รับประทานแคปซูลขิง แม้กระนั้นเห็นผลได้ชัดในกลุ่มที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมแค่นั้น ส่วนกรุ๊ปที่รับประทานแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับสำเร็จน้อยกว่า หมายความว่าการรับประทานขิงในปริมาณมากก็เลยอาจมิได้ทำให้อาการอ้วกดีขึ้นอย่างที่น่าจะเป็น
อย่างไรก็ดี มีหลักฐานที่โต้เถียงข้อส่งเสริมดังที่กล่าวมาแล้วซึ่งเป็นการค้นคว้าวิจัยที่เปิดเผยว่าการรับประทานขิงมิได้มีคุณภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้คลื่นไส้ ทั้งนี้ ผลการศึกษาเรียนรู้ที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีต้นเหตุมาจากจำนวนขิงที่ใช้ทดลองนั้นแตกต่างกัน รวมถึงขณะที่เริ่มรักษาด้วยการใช้ ขิงจะประยุกต์ใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์ในด้านนี้แล้วเห็นผลหรือไม่อาจจะควรมีการรับรองเพิ่มเติมถัดไป
โรคเบาหวาน คุณสมบัติของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนไข้โรคเบาหวานในขณะนี้ยังมีผลการค้นคว้าที่ไม่แน่นอน งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งพบว่าการกินขิง 2 กรัม นาน 12 สัปดาห์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด แล้วก็สารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในผู้เจ็บป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และบางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางประเภทจากโรคเบาหวานได้ ในขณะเดียวกัน มีงานศึกษาเรียนรู้อื่นๆที่แนะนำว่าขิงนั้นมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง กลับไม่มีผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางงานศึกษาค้นคว้าวิจัยกล่าวว่าขิงมีผลกับอินซูลิน แต่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ซึ่งผลการค้นคว้าที่ไม่เหมือนกันนั้นอาจมาจากจำนวนขิงหรือช่วงเวลาที่คนป่วยได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคเบาหวานในแต่ละการทดลองนั้นแตกต่างกันนั่นเอง
ของกินไม่ย่อย มีการศึกษาค้นคว้าศึกษาคุณภาพของขิงในคนไข้ที่มีอาการของกินไม่ย่อยจำนวน 11 คน โดยให้กินแคปซูลที่มีขิง 1.2 กรัมภายหลังจากการอดของกิน 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะเกิดการย่อยของกินรวมทั้งเกิดการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย แต่ทว่าการรับประทานขิงนั้นไม่มีผลต่ออาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในลำไส้ แม้กระนั้น ผู้ร่วมการทดลองนี้มีจำนวนน้อย ทำให้ไม่อาจเจาะจงได้อย่างชัดเจนว่าขิงช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อยได้แน่นอนเท่าใด
อาการแฮงค์ เช้าใจกันว่าการดื่มน้ำขิงจะสามารถช่วยทุเลาอาการแฮงค์ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับผลดีข้อนี้มีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยแต่ก่อนที่แนะนำว่าการผสมขิงกับเปลือกด้านในของส้มเขียวหวาน รวมทั้งน้ำตาลทรายแดงก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการแฮงค์ในภายหลัง รวมทั้งอาการอ้วก คลื่นไส้และก็ท้องร่วง อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นยังจัดว่าไม่แน่ชัดอยู่มากมายและไม่บางทีอาจรับรองได้ว่าเกิดจากขิงจริงๆหรือส่วนผสมอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณสมบัติของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดลองโดยให้คนไข้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงกินแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ทีละ 1 กรัม คำตอบระบุว่าเมื่อเทียบกับผู้ป่วยกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก ขิงมีคุณภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะให้ผลดีจนถึงสามารถนำมาใช้รักษาผู้เจ็บป่วยภาวการณ์นี้ได้หรือไม่อาจจะต้องรอการเล่าเรียนในอนาคตที่กระจ่างกันถัดไป
ลักษณะการเจ็บกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย คุณลักษณะด้านการบรรเทาปวดแล้วก็ลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดอาการเจ็บจากการออกกำลังกายได้ด้วยหรือไม่นั้นยังคงกำกวมรวมทั้งเป็นที่แย้งกันอยู่เช่นกัน จากการทดลองหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมรับประทานขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมโดยตลอดนาน 124 ชั่วโมง พบว่าขิงสดรวมทั้งขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะการเจ็บกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายแบบหดยืดกล้ามได้ในระดับปานกลางไปจนถึงระดับมากมาย
แต่อีกงานศึกษาวิจัยหนึ่งกลับพบผลสรุปตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ทำกิจกรรมบริหารร่างกายยืดหดกล้ามเหมือนกัน รับประทานขิง 2 กรัมในตอน 24 ชั่วโมงและ 48 ชั่วโมงหลังจากการบริหารร่างกาย พบว่าไม่ได้ส่งผลให้ลักษณะการเจ็บกล้ามเนื้อ การอักเสบ หรือบาดเจ็บที่เกิดจากการออกกำลังกายลดลง แต่ผู้ศึกษาวิจัยพบว่าการกินขิงบางทีอาจช่วยให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อเบาๆดียิ่งขึ้นในแต่ละวัน ถึงแม้อาจมองไม่เห็นผลประโยชน์ทันที
ลักษณะของการปวดศีรษะไมเกรน มีการศึกษากับคนเจ็บ 100 คน ที่เคยมีลักษณะอาการปวดหัวไมเกรนฉับพลันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรขิง

หน้า: [1]