แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - iutpppx08dd55

หน้า: [1]
1

สมุนไพรพญายอ
เสลดพังพอนตัวเมีย
เสมหะพังพอนตัวเมีย ชื่อสามัญ Snake Plant
เสลดพังพอนตัวเมีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees, Clinacanthus siamensis Bremek., Justicia nutans Burm. f.) จัดอยู่ในสกุลเหงือกปลาแพทย์ (ACANTHACEAE)
สมุนไพรเสลดพังพอนตัวเมีย พญายอ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (เชียงใหม่), พญาข้อคำ (ลำปาง), เสลดพังพอนตัวเมีย (พิษณุโลก), พญาข้อดำ พญาปล้องทอง (ภาคกลาง), ลิ้นงูเห่า พญายอ (ทั่วๆไป), โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ชิงเจี้ยน หนิ่วซิ้วฮวา (จีนแมนดาริน) เป็นต้น
ลักษณะของเสมหะพังพอนตัวเมีย
ต้นเสมหะพังพอนตัวเมีย จัดเป็นพรรณไม้พุ่มแกมเถา มักเลื้อยพาดไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้โดยประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะสะอาด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบเป็นข้อสีเขียว เพาะพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำหรือแยกเหง้าแขนงไปปลูก เจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในดินทุกชนิด ชอบดินร่วน ระบายน้ำดี มีแสงแดดจัด มีเขตผู้กระทำระจายชนิดในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมทั้งไทย ในประเทศไทยพบได้มากขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศ หรือพบปลูกกันตามบ้านทั่วๆไป
ต้นเสมหะพังพอนตัวเมีย
ต้นพญายอ
ใบเสมหะพังพอนตัวเมีย ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ออกเรียงตรงกันข้ามกันเป็นคู่ๆรูปแบบของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบแล้วก็โคนใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 2-3 ซม. แล้วก็ยาวโดยประมาณ 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
ใบเสมหะพังพอนตัวเมีย
ดอกพญายอเสมหะพังพอนตัวเมีย ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกราว 3-6 ดอก กลีบเป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกเชื่อมชิดกันเป็นหลอด ยาวราวๆ 3-4 ซม. ปลายแยกออกเป็น 2 ปากเป็นปากล่างและปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบดอกไม้นั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนเป็นต่อมเหนียวๆอยู่โดยรอบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียเกลี้ยงไม่มีขน มีดอกในตอนราวเดือนตุลาคมถึงม.ค. (แม้กระนั้นชอบไม่ค่อยมีดอก)
ดอกเสมหะพังพอนตัวเมีย
พญาข้อทองคำ
ลิ้นงูเห่า
ผลเสลดพังพอนตัวเมีย ผลได้ผลแห้งและแตกได้ (แต่ว่าผลไม่เคยติดเป็นฝักในประเทศไทย) ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราว 0.5 ซม. ก้านสั้น ด้านในผลมีเม็ดราวๆ 4 เมล็ด
หมายเหตุ : เสมหะพังพอน เป็นชื่อพ้องของพรรณไม้ 2 จำพวก คือ เสลดพังพอนตัวผู้ และก็เสมหะพังพอนตัวเมีย ซึ่งจะแตกต่างกันตรงที่เสมหะพังพอนเพศผู้ลำต้นจะมีหนามและมีดอกเป็นสีเหลือง ส่วนเสมหะพังพอนตัวเมียลำต้นจะไม่มีหนามแล้วก็มีดอกเป็นสีแดงส้ม เพื่อไม่ให้เป็นการงงงวยหลายๆแบบเรียนจึงนิยมเรียกเสมหะพังพอนตัวเมียว่า “พญายอ” หรือ “พญาบ้องทองคำ” โดยเสมหะพังพอนเพศผู้นั้นจะมีสรรพคุณทางยาอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย และตำราเรียนยาไทยนิยมประยุกต์ใช้ทำยากันมาก
คุณประโยชน์ของเสมหะพังพอนตัวเมีย
รากและเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง (รากและก็เปลือกต้น)
อีกทั้งต้นและใบใช้รับประทานเป็นยาทำลายพิษไข้ ดับพิษร้อน (ต้นและใบ)1,3 ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการใช้ใบสด 1 กำมือ ตำอย่างรอบคอบ ผสมกับน้ำซาวข้าว ใช้พอกบนหัวคนเจ็บโดยประมาณ 30 นาที อาการไข้แล้วก็อาการปวดศีรษะจะหายไป (ใบ)6
ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (กินอาหารแสลงไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบ) ด้วยการใช้รากสดเอามาต้มกินทีละราว 2 ช้อนแกง (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาเคี้ยวราว 10 ใบ กลืนมัวแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง (ใบ)6
ช่วยแก้คางทูม ด้วยการกางใบสดราว 10-15 ใบ ตำให้ถี่ถ้วนผสมกับสุราโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป และอาการเจ็บปวดจะหายไปข้างใน 30 นาที (ใบ)
ใช้เป็นยารักษาโรคบิด (อีกทั้งต้นรวมทั้งใบ)
รากใช้ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เมนส์มาผิดปกติ (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้อักเสบแบบดีซ่าน (ต้น)
ใช้เป็นยาแก้แผลอักเสบเป็นไข้ ไข่ดันบวม ด้วยการใช้ใบสดโดยประมาณ 3-4 ใบ เอามาตำกับข้าวสาร 3-4 เม็ด ผสมกับน้ำเพียงพอแฉะ ใช้พอกโดยประมาณ 2-3 รอบ จะช่วยให้อาการดียิ่งขึ้น (ใบ)
ลำต้นนำมาฝนแล้วใช้ทาแผลสดจะช่วยทำให้แผลหายเร็ว (ลำต้น)ใช้รักษาแผลจากหมากัดมีเลือดไหล ด้วยการกางใบสดประมาณ 5 ใบ นำมาตำพอกบริเวณแผลสัก 10 นาที (ใบ)
ใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการกางใบสดเอามาตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผล แผลจะแห้ง หรือจะใช้ใบสดเอามาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา ใช้เป็นยาพอกรอบๆที่ถูกไฟลุกหรือน้ำร้อนลวก จะมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนเจริญ4 ส่วนอีกตำราเรียนบอกว่า นอกเหนือจากที่จะใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยเพราะถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด รวมทั้งแผลที่เกิดจากการถูกกรดได้อีกด้วย แค่เพียงนำใบไปหุงกับน้ำมันแล้วเอามาทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ด้วยการกางใบราวๆ 3-4 ใบ กับข้าวสาร 5-6 เม็ด เติมน้ำลงไปให้เพียงพอแฉะ แล้วเอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองก้าวหน้า ทำให้แผลแห้งไว โดยให้เปลี่ยนแปลงยาวันละ 2 ครั้ง พอกไปครู่หนึ่งหนึ่งแล้วให้เอาน้ำมาหยอดกันยาแห้งด้วย (ใบ)
ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ด้วยการกางใบสดตำผสมกับเหล้าใช้ทา หรือใช้สุราสกัดใบเสลดพังพอน จะได้น้ำยาสีเขียวนำมาทาแก้ผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำใบมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวแล้วก็เม็ดผดผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้ฝี ด้วยการกางใบเอามาตำผสมกับเกลือและก็สุรา ใช้พอกรอบๆที่เป็น เปลี่ยนแปลงยาทุกเช้าตรู่และเย็น (ใบ)
อีกทั้งต้นแล้วก็ใบใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยเฉพาะพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้นว่า งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ รวมถึงผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ใบสดโดยประมาณ 5-10 ใบ นำมาขยี้หรือตำใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบสดนำมาตำให้พอเพียงแหลก แช่ในเหล้าขาวประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วจากนั้นจึงค่อยนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลส่วนอีกตำรับยาแก้ผื่นคัน ตามข้อมูลระบุว่า ให้ใช้ใบตำผสมกับดินสอพอง ใส่น้ำบางส่วน ใช้ทาบริเวณที่เป็น (ใบ)

ชาวเมืองจะนำใบมาตากแห้งแล้วตำผสมกับแมงป่องปิ้ง ใช้เป็นยาแก้พิษงู (ใบ)
พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังชนิดเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ขยุ้มตีนหมา และใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆด้วยการใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสดราวๆ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มวาว ไม่อ่อนหรือแก่กระทั่งเกินความจำเป็น) แล้วเอามาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและก็เอากากพอกบริเวณแผล หรืออีกวิธีให้จัดแจงเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้ทารักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก โดยใช้ใบสด 1 กิโลกรัม เอามาปั่นให้ถี่ถ้วน เพิ่มเติมแอลกอฮอล์ 70% ลงไป 1 ลิตร แล้วหมักทิ้งเอาไว้ 7 วัน ระเหยบนเครื่องอังละอองน้ำให้ขนาดต่ำลงครึ่งหนึ่ง (ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด) แล้วก็เติมกลีเซอรีน (Glycerine pure) อีกเท่าตัว (ครึ่งลิตร) แล้วนำน้ำยาเสลดพังพอนกลีเซอรีนที่ได้มาใช้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก แล้วก็ใช้ทำลายพิษต่างๆสำหรับหนังสือเรียนยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบสดผสมกับลำโพง โกฐน้ำเต้า อย่างละเท่ากัน รวมกันตำให้พอแหลก แช่กับสุรา แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด (ใบ)
พญายอ ใช้แก้ถูกหนามท้องดอตำหรือถูกใบตะลังตังช้าง ด้วยการนำขี้ผึ้งแท้มาลนลานไฟให้ร้อน แล้วนำมากดเพื่อดูดเอาขนย้ายใบตะลังตังช้างออกเสียก่อน แล้วจึงใช้ใบเสมหะพังพอนผสมกับเหล้าทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้เป็นยาแก้แพ้เกสรรักษาป่า ยางรักป่า และก็ยางสาวน้อยประแป้ง ด้วยการกางใบผสมกับสุรา นำมาทาบริเวณที่คัน (ใบ
ใช้แก้ฝึกฝน เหือด ด้วยการใช้ใบสดราว 7 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 8 แก้ว ต้มให้เดือด 30 นาที เทยาออกรวมทั้งผึ่งให้เย็น แล้วนำใบสดมาอีก 7 กำมือ ตำผสมกับน้ำ 8 แก้ว แล้วเอาน้ำยาทั้งสองมาผสมกัน ใช้รับประทานและชโลมทา (ยาชโลมให้ใส่พิมเสนลงไปนิดหน่อย) เด็กที่เป็นหัด เหือด ให้กินวันละ 3 ครั้ง ทีละครึ่งแก้ว (ใบ)
พญายอ ต้นใช้เป็นยาแก้ปวดบวม เคล็ดลับปวดเมื่อย ฟกช้ำดำเขียว กระดูกร้าว ช่วยขับความชุ่มชื้นภายในร่างกาย แก้ลักษณะของการปวดปวดเมื่อยเนื่องมาจากเย็นชื้น (ทั้งต้น)
รากใช้เป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยบั้นเอว (ราก)
ขนาดและการใช้ : ยาแห้งให้ใช้ทีละ 5-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน ส่วนยาสดให้ใช้ทีละ 30 กรัม เอามาตำคั้นเอาน้ำกิน หรือตำพอกแผลด้านนอก
ข้อควรปฏิบัติตามพญายอ
: หากแม้ในสมัยก่อนจะมีการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกรอบๆที่เป็นแผล แต่ว่าในปัจจุบันแนวทางลักษณะนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบแล้ว เพราะว่าจะชำระล้างได้ยาก ทำให้กากติดแผล และอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคเป็นหนองได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเสลดพังพอนตัวเมีย
พญายอ รากพบสาร Betulin, Lupeol, β-sitosterol ส่วนใบพบสาร Flavonoids ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกรุ๊ป monoglycosyl diglycerides ยกตัวอย่างเช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และสารกลุ่ม glycoglycerolipids ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสเริม
จากการทดลองในสัตว์ใช้สกัดจากใบสดของเสมหะพังพอนตัวเมียด้วย n-butanol พบว่า สามารถลดการอักเสบได้2 โดยพบว่าจะช่วยลดการอักเสบของข้อเท้าหนูที่ทำให้บวมด้วยสาร carrageenan ได้ เมื่อใช้ตำรับยาที่มีเสลดพังพอนตัวเมียปริมาณร้อยละ 5 ใน Cold cream รวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เอามาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้ แต่ว่าเมื่อใช้สารสกัดด้วย n-butanol มาทาที่ผิวหนังจะไม่เป็นผล
สารสกัดจากใบความเข้ม 15 กรัม ต่อ 1 กิโล มีประสิทธิภาพต่อต้านการอักเสบเจริญ
เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วย n-butanol จากใบ พบว่า จะช่วยลดความเจ็บปวดของหนูที่ถูกรั้งนำให้ปวดด้วยกรดอะซีว่ากล่าวคได้ โดยสารสกัดความแรง 90 มก.ต่อโล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัมต่อกก. ส่วนสารสกัดด้วยน้ำและก็สารสกัดด้วยเอทานอล 60 จากใบ พบว่าไม่เป็นผลลดความเจ็บปวด
สารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล รวมทั้งเอทิลอะสิเตทจากใบเสลดพังพอนตัวเมียมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสเชื้อเริม HSV-1 เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นร้อยละ 4 และใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล พบว่าจะมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสได้ดิบได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์ ในขณะที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์ และก็จากรายงานการรักษาผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาจากสารสกัดเสลดพังพอนตัวเมีย เปรียบเทียบกับยา acyclovir รวมทั้งยาหลอก โดยให้ผู้เจ็บป่วยป้ายยาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่ได้มีความแตกต่างในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลผู้ป่วยที่ใช้ยาจากสารสกัดใบและก็ยา acyclovir โดยแผลจะตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน รวมทั้งหายสนิทข้างใน 7 วัน ซึ่งแตกต่างกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยยาที่สกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมียจะไม่นำมาซึ่งการอักเสบรวมทั้งเคือง ตอนที่ acyclovir จะมีผลให้แสบ นอกเหนือจากนั้นยังมีการใช้ยาที่ทำมาจากเสมหะพังพอนตัวเมียในคนไข้โรคเริม งูสวัด แล้วก็แผลอักเสบในปาก แล้วพบว่าสามารถรักษาแผลและก็ลดการอักเสบเจริญ
พญายอ สารที่สกัดจากบิวทานอล (Butanol) ของใบเสลดพังพอนตัวเมีย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสจำพวกที่ส่งผลให้เกิดเริมและก็อีสุกอีใส3 จากรายงานการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดจากใบเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยให้ทายาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 1-2 สัปดาห์ กระทั่งแผลจะหาย พบว่าผู้เจ็บป่วยหวานใจษาด้วยสารสกัดจากใบเสลดพังพอนตัวเมีย แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดด้านใน 3 วัน รวมทั้งหายข้างใน 7-10 วัน จะมีหลายชิ้นกว่ากลุ่มสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ และระดับความเจ็บปวดจะน้อยลงเร็วกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก โดยไม่เจอผลกระทบใดๆ9
จากการทดลองความเป็นพิษ เมื่อป้อนสารสกัด n-butanol จากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษน้อย แต่จะเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัมต่อกก. (เท่ากันใบแห้ง 5.44 กรัมต่อกิโลกรัม) เมื่อเอามาป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ พบว่าไม่นำมาซึ่งอาการเป็นพิษใดๆก็ตาม
จากการเรียนพิษกึ่งเรื้อรัง
ด้วยการป้อนสารสกัด n-butanol จากใบในขนาด 270 และก็ 540 มก.ต่อกิโล ให้หนูแรททุกวี่วัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเจริญเติบโต แต่ว่าพบว่ามีน้ำหนักต่อมธัยมัเสียใจลง ในระหว่างที่น้ำหนักของตับเพิ่มขึ้น และไม่พบว่ามีความผิดธรรมดาต่ออวัยวะอื่นๆหรืออาการไม่พึงปรารถนาแม้กระนั้นอ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเสลดพังพอน (พญายอ)

2

สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
ชื่อวงศ์ : ACANTHACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acanthus ebracteatus Vahl
ชื่อพ้อง : Acanthus ilicfolius L. ; Acanthus ilicfolius L. var intergrifolia T.Anderson
ชื่อสามัญ : Sea holly
ชื่อประจำถิ่นอื่น : แก้มหมอ, แก้มหมอเล (กระบี่) ; จะเกร็ง, นางเกร็ง, เหงือกปลาหมอ, เหงือกปลาหมอน้ำเงิน (ทั่วไป) ; อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มขนาดเล็ก (US) สูงประมาณ 30-100 เซนติเมตร ลักษณะลำต้นเป็นข้อ แข็ง และมีหนามอ่อนๆตามข้อๆละ 4 หนาม
ใบ เป็นใบคนเดียว ออกตรงกันข้ามกันเป็นคู่ๆสีเขียวเข้ม ลักษณะใบรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ขอบของใบเว้าหรือเรียบ และก็มีหนามแหลม ปลายใบแหลม มีก้านใบสั่นๆ
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกเป็นช่อตั้งตรงที่ยอด ช่อดอกยาว กลีบรองกลีบ มี 4 กลีบ แยกจากกันสีเขียวอ่อน กลีบดอกสีขาว สีขาวขริบฟ้า หรือสีฟ้าอมม่วง แยกเป็น 2 ทาง กลีบบนยาวพอๆกับกลีบรองกลีบดอก แม้กระนั้นกลีบข้างล่างแผ่กว้างและโค้งลง ปลายกลีบหยักเว้าเป็น 3 หยักตื้นๆ
ผล เป็นฝักสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน มีเมล็ดภายใน 4 เม็ด
นิเวศวิทยา
เป็นไม้กลางแจ้ง มีอยู่ทั่วๆไปในป่าชายเลน ตามที่ลุ่มริมแม่น้ำคลอง ส่วนใหญ่ถูกใจขึ้นในที่น้ำกร่อย บางทีก็พบในน้ำจืดบ้างเช่นกัน
การปลูกรวมทั้งขยายพันธุ์
เติบโตได้ดิบได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ความชื้นปานกลาง เพาะพันธุ์ด้วยการเพาะเม็ด
ผลดีทางยา
รสรวมทั้งสรรพคุณในตำราเรียนยา
ทั้งต้น รสเค็มกร่อย แก้อาการผื่นผื่นคัน
ใบ รสเค็มกร่อย รักษาโรคปวดบวมแล้วก็แผลอักเสบ แก้ท้องเฟ้อ ท้องอืดท้องเฟ้อ แพทย์แผนไทยตามชนบทใช้อีกทั้ง 5 เป็นยาแก้ไข้หัว พิษฝี พิษรอยดำเจริญ แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ปรุงกับฟ้าทลายมิจฉาชีพรมหัวริดสีดวงทวาร โขลกใบผสมกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาแก้อาการตาเจ็บหรือตาแดง
ผล รสเค็มกร่อย ใช้เป็นยาขับเลือดอย่างแรง และก็แก้ฝีซาง ฝีตาน
ในประเทศประเทศอินเดีย ใช้ยอดและใบอ่อนโขลกผสมน้ำนิดหน่อยปิดแผลที่ถูกงูกัด อีกทั้งต้นใช้รักษาแก้โรคที่เกี่ยวกับหลอดลมแล้วก็แก้ไอ และนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยารักษาธาตุทุพพลภาพ
ในประเทศประเทศสิงคโปร์ ใช้เม็ดเป็นยาแก้ไอ โดยต้มเมล็ดกับดอกมะเฟืองหรือดอกตะลิงปลิง แล้วเพิ่มเติมเปลือกอบเชย แล้วก็น้ำตาลกรวด จิบแก้ไอ เมล็ดบดเป็นผุยผงใช้พอกแก้ฝี หรือนำไปคั่วแล้วป่นละลายน้ำดื่มแก้ฝี ฝักต้มกินเป็นยาขับเลือด แล้วก็แก้ฝี รากต้มเป็นยาดื่มแก้โรคงูสวัด
วิธีแล้วก็ปริมาณที่ใช้
รักษาโรคผิวหนัง แผลพุพอง น้ำเหลืองเสีย โดยใช้ทั้งต้นแล้วก็ใบสด 3-4 กำมือ ล้างให้สะอาด สับเป็นชิ้นนำไปต้มน้ำ แล้วใช้น้ำอาบ ยามเช้า-เย็น เป็นเวลา 1 สัปดาห์
ข้อควรจะรู้
เหงือกปลาหมอมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด เป็น
เหงือกปลาหมอ Acanthus ilifolius L. หรือ Acanthus ilifolius L. var intergrifolia T.Anderson ลักษณะจะมีดอกสีฟ้าอมม่วง มีประสีเหลืองกึ่งกลางกลีบ มีใบเสริมแต่งสีเขียวอีก 2 กลีบ รองรับดอกอยู่เป็นประจำไป
เหงือกปลาหมอ Acanthus ebracteatus Vahl ลักษณะจะมีดอกสีขาวค่อนข้างเล็ก มีใบตกแต่งรองรับช่อดอก แม้กระนั้นตกหลุดไปก่อน
สรรพคุณของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน สุขภาพแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นโลหิตไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคลุกเคล้าผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าหากกินต่อเนื่องกัน 1 เดือน จะมีผลให้สติปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 พวก หูไว / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงไพเราะเพราะพริ้ง / 9 เดือน หนังเหนียว (ต้น, ราก)
[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]เหงือกปลาหมอ[/url]มีคุณประโยชน์ช่วยทำนุบำรุงประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุผิดปกติ (อีกทั้งต้น)
ช่วยทำให้เลือดลมเป็นปกติ (ทั้งยังต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยให้เจริญอาหาร (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้โรคกษัย อาการผอมโซเหลืองทั้งตัว ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผุยผงกินทุกวี่วัน (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนหมดทั้งตัว เจ็บระบบทั้งตัว ตัวแห้ง เวียนศีรษะ หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ต้นของเหงือกปลาหมอและเปลือกมะรุมอย่างละเท่ากัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือบางส่วน หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วก็ใช้ฟืน 30 แท่ง ต้มกับน้ำเดือดกระทั่งงวดแล้วยกลง เมื่อเสร็จให้อั้นลมหายใจรับประทานขณะอุ่นๆจนกระทั่งหมด อาการก็จะ (อีกทั้งต้น)
ช่วยยับยั้งมะเร็ง ต่อต้านมะเร็ง (ทั้งต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งต้นแล้วก็ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ในสัดส่วนที่เท่ากัน เอามาต้มกับน้ำจนเดือดแล้วนำมาดื่มในขณะอุ่นๆครั้งละ 1 แก้ว เช้า กลางวัน เย็น อาการจะดีขึ้น (ทั้งยังต้น)
รักษาปอดอักเสบ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยแก้อาการปวดหัว (ต้น)
รากช่วยแก้และก็ทุเลาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดเอามาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เช่นเดียวกัน (ราก, เมล็ด)
ช่วยแก้หืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นนำมาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้ลักษณะของการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งต้นเอามาตำผสมกับขิง คั้นเอาแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (ทั้งต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (ทั้งยังต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้ต้นรวมถึงรากเอามาต้มอาบแก้อาการ (ต้น)
แก้อาการไอ เมล็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด เอามาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เม็ด)
ช่วยขับเสมหะ (ราก)
ถ้าเป็นลมเป็นแล้ง ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำอย่างรอบคอบเป็นผุยผงแล้วเอามาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้ทั้งยังต้นรวมทั้งพริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (ทั้งต้น)
ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย นำมาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายขโมย ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับฉี่ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดตกขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการกางใบและก็ต้นเอามาตำเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนกินแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรี ด้วยการใช้ทั้งยังต้นนำมาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (อีกทั้งต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการกางใบเอามาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตพิการ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)

ผลช่วยขับเลือด หรือจะใช้เมล็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด เอามาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนและก็พริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนรับประทานก็ได้ (เม็ด, ผล, อีกทั้งต้น)
ช่วยฟอกโลหิต ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยสมานแผล ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (ทั้งยังต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น นำมาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เม็ด)
สำหรับคนป่วยเอดส์ที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง แม้ใช้ต้นมาต้มอาบรวมทั้งทำเป็นยากินติดต่อกันโดยประมาณ 3 เดือนจะช่วยทำให้อาการของแผลพุพองบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประป่าดง รักษากลากโรคเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคโรคเรื้อน โรคกุฏฐัง ด้วยการใช้ต้นเอามาตำเอาแต่น้ำกิน (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้ผื่นผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดรวมทั้งใบสดล้างสะอาดราว 3-4 กำมือ เอามาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันติดต่อกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีสรรพคุณทางยาช่วยแก้ผื่นคัน (ต้น)
รากสดเอามาต้มมัวแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง ฝีดาษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกประเภททั้งข้างในด้านนอก ด้วยการใช้ต้นและใบอีกทั้งสดรวมทั้งแห้งโดยประมาณ 1 กำมือ เอามาบดอย่างรอบคอบ แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือแนวทางลำดับที่สองจะเอามาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งเอาไว้ 10 นาที แล้วเอามาดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารทีละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง ราว 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เมล็ดเอามาคั่วให้ไหม้เกรียมแล้วป่นให้รอบคอบ ชงกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เม็ด)
เม็ดใช้ปิดพอกฝี (เมล็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน สรรพคุณช่วยทำลายพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดนำมาตำอย่างระมัดระวัง สามารถใช้พอกรอบๆแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกหมดทั้งตัว ด้วยการใช้ทั้งยังต้นของเหงือกปลาหมอ1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผุยผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (ต้น)
ต้น ถ้าเกิดประยุกต์ใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาทั้งตัวได้ (ต้น)
รากมีสรรพคุณช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้ลักษณะการเจ็บหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศเอามาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนกิน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบปรับแต่งข้ออักเสบรวมทั้งแก้ลักษณะของการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยบำรุงรากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบนำมาทาให้ทั่วศีรษะ จะช่วยทำนุบำรุงรากผมได้ (ใบ) http://www.disthai.com/

3

บัวบก
ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่เติบโตในแถบอินเดีย แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใบและก็ลำต้นประยุกต์ใช้เป็นยารักษาโรคตามแพทย์แผนโบราณของอินเดียและก็จีนมาอย่างนาน ใช้รักษาหลายโรค ยกตัวอย่างเช่น โรคซิฟิลิส โรคหอบหืด หรือโรคสะเก็ดเงิน รวมทั้งยังเอามาเข้าครัวได้อีกด้วย
ใบบัวบก
ใบบัวบกประกอบด้วยสารออกฤทธิ์หลักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่หลายประเภท อย่างเช่น ซาโปนิน (Saponin) หรือสามเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) เอเชียตำหนิวัวไซด์ (Asiaticoside) กรดทวีปเอเชียติก (Asiatic Acid) มาเดแคสโซไซด์ (Madecassoside) แล้วก็กรดมาดีค้างสสิค (Madecassic Acid) จึงทำให้นำมาใช้ในทางการแพทย์ โดยมั่นใจว่ามีสรรพคุณหลายประเภท เช่น บรรเทาอาการอักเสบ แม้ใช้รับประทานอาจมีคุณสมบัติช่วยลดระดับความดันเลือดในเส้นเลือดดำ และก็นำมาใช้รักษาโรคหรืออาการที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิตต่างๆเป็นต้นว่า หวัด ไข้หวัดใหญ่ การตำหนิดเชื้อที่ระบบฟุตบาทฉี่ โรคงูสวัด โรคเรื้อน อหิวาต์ โรคบิด โรคเท้าช้าง วัณโรค โรคพยาธิใบไม้ในเลือด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีความคิดกันว่าถ้าหากใช้ใบบัวบกทาที่ผิวหนังอาจช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นหัวใจหลักสำหรับในการสมานบาดแผล ลดลางเลือนรอยแผลเป็น รวมทั้งปัญหาท้องลายที่มีสาเหตุจากการตั้งครรภ์ แต่ข้อรับรองหรือหลักฐานทางด้านการแพทย์มีมากมายน้อยมีมากน้อยเท่าใดที่จะช่วยรับรองความศรัทธา คุณประโยชน์ และก็ความปลอดภัยของใบบัวบกในการรักษาโรคเหล่านี้
การดูแลรักษาด้วยใบบัวบกที่บางทีอาจได้ผล
เส้นเลือดขอด มีการเรียนชิ้นหนึ่งรายงานว่าใบบัวบกอาจมีส่วนช่วยทำนุบำรุงและก็สร้างสมดุลสำหรับเพื่อการเติบโตของเยื่อเกี่ยวข้อง (Connective Tissues) เพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นเลือด ส่งผลต่อความดันในเส้นเลือดฝอยแล้วก็เส้นโลหิตขอด ลดอัตราการกรองของเส้นเลือดฝอยโดยปรับแต่งการไหลเวียนของโลหิต นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาโดยการทบทวนงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่เกี่ยวเนื่อง 8 ชิ้นเกี่ยวกับการดูแลรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบกในคนไข้ที่มีปัญหาเส้นโลหิตขอดเรื้อรัง พบว่าอาการปวดขา ขาหนัก แล้วก็อาการบวมน้ำทุเลาลงอย่างมีนัยสำคัญ ถึงสารสกัดจากใบบัวบกบางทีอาจช่วยทุเลาอาการผู้ป่วยเส้นโลหิตขอดเรื้อรังลงได้ แม้กระนั้นจากการค้นคว้าวิจัยกล่าวว่าผลสรุปข้างต้นจะต้องตีความด้วยความระแวดระวังเนื่องด้วยความจำกัดต่างๆของงานค้นคว้าวิจัย และก็ยังจึงควรศึกษาเสริมเติมเพื่อหาหลักฐานที่มีความถูกต้องรวมทั้งมีคุณภาพมากพอสำหรับในการประเมินคุณภาพการดูแลและรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบก
การดูแลและรักษาด้วยใบบัวบกที่เป็นไปได้ แต่ยังมีหลักฐานส่งเสริมไม่พอ
โรคเส้นเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ใบบัวบกอาจช่วยสำหรับการลดจำนวนไขมันในเส้นเลือดได้ จากการเรียนรู้ชิ้นหนึ่งโดยให้อาสาสมัครโรคเส้นโลหิตแดงแข็งที่ไม่แสดงอาการกลุ่มหนึ่งกินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกตรงเวลา 6 เดือน รวมทั้งอีกกลุ่มไม่รับประทาน แล้วตรวจค้นความหนาแน่นของไขมันหรือพลัค (Plagues) ที่เกาะอยู่ตามเยื่อบุของหลอดเลือด พบว่า ระดับคอเลสเตอรอลของอาสาสมัคร 2 กลุ่มไม่แตกต่างกัน แม้กระนั้นในกรุ๊ปที่ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกพบว่า อนุมูลอิสระในเลือดลดลง จำนวนไขมันหรือพลัคที่เส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอและขาลดลง รวมทั้งลักษณะของพลัคอีกทั้งความครึ้มและความยาวก็ลดลงด้วยด้วยเหมือนกัน อีกทั้งยังไม่เจออาการที่ไม่ปรารถนา สามารถทนต่ออาการข้างๆได้ แล้วก็มีการบันทึกผลการตรวจเลือดเป็นประจำ เพราะเหตุว่าหลักฐานสนับสนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อโรคเส้นเลือดแดงแข็งยังน้อยเกินไป จึงจำเป็นต้องศึกษาต่อไป
ป้องกันลิ่มเลือด การกินใบบัวบกบางทีอาจช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดลิ่มเลือดที่ขาซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการโดยสารเครื่องบินเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จากหลักฐานที่ได้รับการพัฒนาเสนอแนะว่าใบบัวบกบางทีอาจช่วยลดของเหลวรวมทั้งเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในคนที่ขึ้นรถเรือบินติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่กระจ่างแจ้งว่าการเรียนรู้ชิ้นนี้จะเป็นการลดการสะสมของลิ่มเลือด เพราะเหตุว่าหลักฐานเกื้อหนุนคุณสมบัติของใบบัวบกต่อการคุ้มครองป้องกันลิ่มเลือดยังน้อยเกินไป ก็เลยจำเป็นจะต้องศึกษาต่อไป
กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ในคนป่วยเบาหวาน การค้นคว้าหนึ่งให้ผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดฝอยจำนวน 50 คน กินสารสกัดจากใบบัวบกซึ่งมีสารตรีเทอร์พีนอยด์เป็นหัวใจสำคัญ ขนาด 60 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันตรงเวลา 6 เดือน เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่กินยาหลอก พบว่าสารสามเทอร์พีนอยด์ของใบบัวบกมีสาระต่อการไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอยของคนป่วยโรคเบาหวาน แต่หลักฐานสนับสนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อการไหลเวียนของโลหิตยังน้อยเกินไป จึงจะต้องศึกษาต่อไป
แผลเบาหวาน มีการทำการศึกษาเกี่ยวกับสมรรถนะและก็ผลกระทบของการกินสารสกัดจากใบบัวบกต่อแผลเบาหวาน โดยแบ่งคนไข้โรคเบาหวานปริมาณ 200 คนออกเป็น 2 กรุ๊ป โดยกรุ๊ปหนึ่งรับประทานสารทวีปเอเชียว่ากล่าววัวไซด์ซึ่งเป็นสกัดจากใบบัวบกขนาด 50 มิลลิกรัม รวมทั้งอีกกลุ่มรับประทานยาหลอกปริมาณ 2 แคปซูลหลังมื้ออาหารวันละ 3 ครั้ง และมีการให้คะแนนทุก 7 วัน พบว่าแผลของคนเจ็บที่กินสารสกัดจากใบบัวบกมีการหดรั้ง (Wound Contraction) ที่ดีมากกว่าและไม่พบผลข้างเคียง หรือพูดได้ว่าสารสกัดจากใบบัวบกอาจมีความสามารถสำหรับเพื่อการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น รวมทั้งสามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพโดยไม่เกิดผลใกล้กัน แต่เพราะว่าหลักฐานสนับสนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อการดูแลและรักษาแผลโรคเบาหวานยังไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องศึกษาต่อไป
รอยแผล สารออกฤทธิ์ของใบบัวบก ตัวอย่างเช่น ทวีปเอเชียว่ากล่าวโคไซด์ กรดเอเชียตำหนิก มาเดแคสโซไซด์ รวมทั้งกรดมาดีติดอยู่สสิค เป็นสารช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกายแล้วก็อาจมีประสิทธิภาพในการรักษาแผลต่างๆทั้งยังแผลขนาดเล็ก แผลไฟเผา รอยแผลจากโรคสะเก็ดเงินหรือโรคหนังแข็ง รวมถึงแผลเป็นแบบนูน ซึ่งจากงานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งได้ชี้แนะว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกรอบๆผิวหนังหลังจากเย็บแผลแล้ว 2 ครั้งต่อวัน สม่ำเสมอนาน 6-8 อาทิตย์ อาจช่วยลดการเกิดรอยแผลได้ รวมถึงรอยแผลแบบนูนหรือคีลอยด์ แต่เหตุเพราะหลักฐานเกื้อหนุนคุณสมบัติของใบบัวบกต่อแผลเป็นยังไม่พอ ก็เลยจำเป็นต้องศึกษาต่อไป
ท้องลาย จากการมีท้อง ได้มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยแนะนำให้ผู้ที่กำลังมีครรภ์ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี และก็คอลลาเจน เป็นประจำทุกวี่ทุกวันในช่วง 6 เดือนท้ายที่สุดก่อนจะมีการคลอด ซึ่งอาจช่วยปัญหารอยแตกได้ นอกจากนี้ ยังมีการทดลองโดยให้หญิงตั้งครรภ์จำนวน 100 คน ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี และคอลลาเจน-อีลาสติน ไฮโดรไลเซท ทาบริเวณผิวหนังที่มีรอยแตกเปรียบเทียบกับการใช้ยาหลอก พบว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของใบบัวบกอาจจะส่งผลให้เกิดรอยแตกหรือท้องลายน้อยกว่าในกลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่ว่าเนื่องจากว่าหลักฐานช่วยเหลือคุณสมบัติของใบบัวบกต่อรอยแตกหรือท้องลายยังไม่แน่นอน ก็เลยจำต้องศึกษาต่อไป
ลดความรู้สึกกังวล การดูแลรักษาแบบหมอแผนจีนมีการนำใบบัวบกมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเหงาหงอยและความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจ ซึ่งสอดคล้องกับการเรียนทดลองชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับคุณภาพของใบบัวบกสำหรับเพื่อการลดความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ โดยสุ่มให้อาสาสมัครรับประทานใบบัวบกในจำนวน 12 กรัมหรือกินยาหลอก จากผลของการทดสอบทำให้เห็นว่าใบบัวบกมีฤทธิ์ต้านทานความวิตก ช่วยลดความเคร่งเครียด แม้กระนั้นยังคงจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติมถัดไปถึงคุณภาพของใบบัวบกในการรักษาโรควิตก
โรคและก็อาการอื่นๆตัวอย่างเช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นลมแดด การต่อว่าดเชื้อทางเท้าปัสสาวะ โรคตับอักเสบ โรคดีซ่าน ท้องร่วง ของกินไม่ย่อย ซึ่งยังจำต้องทำการวิจัยหาความสามารถและก็ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรักษาต่อไป

ความปลอดภัยสำหรับในการรับประทานใบบัวบก
 การใช้สารสกัดจากใบบัวบกทาบริเวณผิวหนังอาจมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ว่าการกินใบบัวบกบางทีอาจไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก คนที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคนที่อยู่ในตอนให้นมลูก เนื่องจากว่ายังไม่มีหลักฐานทางด้านการแพทย์พอเพียงที่จะช่วยเหลือถึงเรื่องความปลอดภัยทั้งยังต่อเด็ก แม่ หรือลูกในท้อง
การรับประทานใบบัวบกอาจเป็นต้นเหตุให้เกิดความย่ำแย่ต่อตับ ฉะนั้นคนที่เป็นโรคตับหรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับไม่สมควรกินใบบัวบก เพราะอาจจะก่อให้อาการต่างๆห่วยแตกลงได้ รวมถึงไม่ควรรับประทานใบบัวบกร่วมกับยาที่มีผลต่อตับในกลุ่มพวกนี้ อย่างเช่น พาราเซตามอล อะมิโอดาโรน คาร์บามาซีตะกาย ไอโซไนอะซิด ซิมวาสแตติน เป็นต้น
การกินใบบัวบกในปริมาณมากอาจก่อให้รู้สึกง่วงงุนได้มากกว่าปกติ หรือแม้รับประทานร่วมกับยานอนหลับหรือยาคลายความกังวลใจ ได้แก่ โคลนาซีแพม ลอราซีแพม ฟิโนบาร์บิทอล และโซลพิเดม
ควรจะหยุดกินใบบัวบกอย่างต่ำ 2 อาทิตย์สำหรับผู้ที่คิดแผนเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากบางทีอาจเกิดปฏิกิริยากับยาที่ใช้ในการผ่าตัดและก็อาจก่อให้รู้สึกง่วงได้มากขึ้น
ควรปรึกษาหมอก่อนรับประทานใบบัวบก หากอยู่ในตอนการใช้ยาหรืออาหารเสริมจำพวกอื่นๆอยู่เป็นประจำ เพราะว่าอาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงปรารถนาถ้ารับประทานใบบัวบกในระหว่างการดูแลและรักษาของคนเจ็บโรคตื่นตระหนก ผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ผู้เจ็บป่วยอัลไซเมอร์ รวมถึงผู้ที่ใช้ยานอนหลับหรือยาหนักใจลดลง รวมทั้งผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะว่าอาจจะทำให้กดประสาทมากยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/

4

กระเทียม
คุณประโยชน์กระเทียม
ปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับธรรมดา
ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ก็เลยเหมาะสมกับผู้เจ็บป่วยเบาหวาน
บำรุงเลือด ป้องกันอาการโลหิตจาง
เพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
ปกป้องโรคหัวใจ
ลดอาการท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานก้าวหน้าขึ้น
ช่วยขับลม แก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง
คุ้มครองไข้หวัด ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
มีสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ และก็ลดการเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคมะเร็ง
chopped-garlicsiStock
กระเทียม กับ 10 คุณประโยชน์ดีๆที่พวกเราอยากให้ท่านทานทุกวัน
แนวทางทานกระเทียมให้ได้ประโยชน์
สารอัลลิซินในกระเทียมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรา จะต้องผ่านการหั่น สับ ตี หรือบด จำเป็นต้องหั่น สับ ทุบ หรือบดกระเทียมก่อนนำมาประกอบอาหาร 5-10 นาที โดยสารอัลลิซินนี้จะไม่สลายหายไปเมื่อถูกความร้อน ดังนั้นจะทานสด หรือจะทำกับข้าวในน้ำมันก็ช่างเถอะ
ปริมาณกระเทียมที่ควรทานต่อวัน
ในวัยผู้ใหญ่สามารถทานกระเทียมได้ราว4 กรัมต่อวัน แต่ว่าไม่สมควรทานมากเกินกว่านี้ติดต่อกันเกิน 10 วัน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงสภาวะเลือดแข็งช้า  หรือเลือดไหลไม่หยุดเมื่อเกิดรอยแผล
วิธีเลือกซื้อกระเทียมมาปรุงอาหาร
ควรที่จะเลือกกระเทียมที่ศีรษะแน่นๆไม่ฝ่อ เปลือกบาง เนื้อสีเหลืองอ่อน สด ไม่เน่า ไม่มีราขึ้น และก็ถ้าอยากได้รสของกระเทียมแบบแรงๆควรเลือกกระเทียมหัวเล็กๆ
ว่าแล้วอาหารมื้อต่อไปก็บอกให้คนประกอบอาหารพ่อครัวใส่กระเทียมลงไปในอาหารให้ด้วยนะคะ แต่ว่าระวังสักหน่อย ถ้าทานกระเทียมมากมายๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระเทียมสด อาจมีลักษณะของการเจ็บคอตอนหลัง และก็อย่าลืมระแวดระวังกลิ่นปากกันด้วยจ้ะ เดี๋ยวจะกล่าวหาไม่เตือนนะ
ลักษณะทั่วไปของกระเทียม
กระเทียมเป็นพืชล้มลุกชนิดกินหัว ลำต้นสูง 1-2 ฟุต มีหัวลักษณะกลมแป้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว ข้างนอกของหัวกระเทียมมีเปลือกบางๆหุ้มอยู่หลายชั้น ด้านในหัวประกอบแกนแข็งกึ่งกลาง ภายนอกเป็นกลีบเล็กๆปริมาณ 10-20 กลีบ เนื้อกระเทียมในกลีบมีสีเหลืองอ่อนและก็ใส  มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง มีกลิ่นแรงจัด
ลำต้นรวมทั้งหัวกระเทียมสด
แหล่งเพาะปลูก
กระเทียมสามารถปลูกได้ทั่วๆไปในทุกภาคของเมืองไทย แม้กระนั้นนิยมนำมาปลูกกันมากทางภาคเหนือรวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะว่ามีสภาพดินและก็สภาพการณ์อากาศที่เหมาะอย่างยิ่งกว่าภาคอื่นๆทำให้กระเทียมเติบโตได้ดี ได้ผลผลิตสูงและมีรสชาติที่ดีมากยิ่งกว่า

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกและใหญ่ยาว สูง 30-60 ซม. มีกลิ่นฉุน มีหัวใต้ดิน2 ลักษณะกลมแป้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-4 เซนติเมตร มีแผ่นเยื่อสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูหุ้มห่ออยู่ 3-4 ชั้น ซึ่งลอกออกได้ แต่ละหัวมี 6-10 กลีบ กลีบมีเหตุมาจากตาซอกใบของใบอ่อน ลำต้นลดรูปลงไปๆมาๆก ใบลำพัง (Simple leaf) ขึ้นมาจากดิน เรียงซ้อนสลับ แบนเป็นแถบแคบ กว้าง 0.5-2.5 เซนติเมตร ยาว 30-60 ซม. ปลายแหลมแบบ Acute ขอบเรียบและก็พับทบเป็นสันตลอดความยาวของใบ โคนแผ่เป็นแผ่นและเชื่อมชิดกันเป็นวงห่อรอบใบที่อ่อนกว่าแล้วก็ก้านช่อดอกนำมาซึ่งเป็นลำต้นเทียม ปลายใบสีเขียวและก็สีจะเบาๆจางลงจนกว่าถึงโคนใบ ส่วนที่ห่อหุ้มหัวอยู่มีสีขาวหรือขาวอมเขียว ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม (Umbel) มีตะเกียงรูปไข่เล็กๆจำนวนไม่ใช่น้อยอยู่ปนเปกับดอกขนาดเล็กซึ่งมีจำนวนน้อย มีใบตกแต่งใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5-10 ซม. ลักษณะบาง ใส แห้ง เป็นจะงอยแหลมห่อช่อดอกตอนที่ยังตูมอยู่ แต่เมื่อช่อดอกบานใบแต่งแต้มจะเปิดอ้าออกแล้วก็แขวนลงรองรับช่อดอกไว้ ก้านช่อดอกเป็นก้านโดด เรียบ รูปทรงกระบอกตัน ยาว 40-60 เซนติเมตร ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกันหรือชิดกันที่โคน รูปใบหอกปลายแหลม ยาวราวๆ 4 มิลลิเมตร สีขาวหรือขาวอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อัน ติดที่โคนกลีบรวม อับเรณูและก้านเกสรเพศเมียยื่นขึ้นมาสูงกว่าส่วนอื่นๆของดอก รังไข่ 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1-2 เม็ด ผลเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆรูปไข่หรือค่อนข้างกลม มี 3 พู เม็ดเล็ก สีดำ
ในประเทศไทยปลูกมากทางภาคอีสานและก็ภาคเหนือ แต่ว่ากระเทียมที่มีชื่อเสียงว่าเป็นกระเทียมคุณภาพดี กลิ่นแรง เช่นกระเทียมจากจังหวัดศรีสะเกศ
วิธีเลือกซื้อกระเทียม
การเลือกซื้อกระเทียมนั้น มีหลักไต่ตรองที่กล้วยๆคือ เลือกกระเทียมที่ศีรษะแน่น กลีบแน่น เปลือกบาง มีเนื้อสีเหลืองอ่อน สด แน่น ไม่ฝ่อและไม่มีเชื้อรา ที่สำคัญถ้าหากจำเป็นต้องประกอบอาหารที่อยากกลิ่นฉุนๆจำต้องเลือกกระเทียมหัวเล็กแค่นั้น
กระเทียมสดคุณภาพดี
จะเห็นว่ากระเทียมมีประโยชน์แล้วก็สรรพคุณเยอะมาก ถึงกระเทียมจะมีกลิ่นฉุน แม้กระนั้นก้ไม่ยากเกินไปที่จะกินนะครับ ดังนั้นอย่าลืมเพิ่ข้อควรตรึกตรองสำหรับในการรับประทานกระเทียมโดยยิ่งไปกว่านั้นบุคคลในกลุ่มต่อไปนี้
คนที่กำลังท้องหรือผู้ที่อยู่ในตอนให้นมบุตร การรับประทานกระเทียมในตอนการมีท้องออกจะไม่มีอันตรายหากรับประทานเป็นอาหารหรือในจำนวนที่สมควร แต่ว่าบางทีอาจไม่ปลอดภัยถ้าเกิดกินกระเทียมเป็นยารักษาโรค อีกทั้งยังไม่มีช้อมูลที่น่าไว้ใจพอเพียงเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทากระเทียมที่รอบๆผิวหนังในตอนการมีท้องหรือให้นมบุตร
เด็ก การรับประทานกระเทียมในปริมาณที่สมควรและในระยะสั้นๆบางทีอาจไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก แต่ว่าการใช้กระเทียมทาบริเวณผิวหนังอาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการแสบร้อนและก็เคือง
คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือการย่อยอาหาร อาจจะทำให้เกิดการระคายพื้นที่เดินอาหารได้
ผู้ที่มีความดันเลือดต่ำ การกินกระเทียมอาจส่งผลให้ระดับความดันเลือดลดลดน้อยลงมากยิ่งกว่าธรรมดา
ผู้ที่วางแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดกินกระเทียมก่อนจะมีการผ่าตัดอย่างต่ำ 2 อาทิตย์ด้วยเหตุว่าอาจจะส่งผลให้เลือดออกมากและก็มีผลต่อความดันเลือดในระหว่างการผ่าตัด และผู้ที่มีสภาวะเลือดออกไม่ปกติไม่ควรกินกระเทียม โดยยิ่งไปกว่านั้นกระเทียมสด เพราะเหตุว่าบางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงให้เลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
คนที่อยู่ในระหว่างการกินยารักษาโรค ได้แก่ ไอโซไนอะซิด เนื่องจากกระเทียมอาจลดการดูดซึมของยาในร่างกายและมีผลต่อความสามารถลักษณะการทำงานของยา รวมถึงไม่ควรกินกระเทียมในระหว่างใช้ยาดังนี้
ยารักษาการติดเชื้อโรคเอชไอวีหรือโรคเอดส์
ยาคุมกำเนิด
ยาต้านทานการแข็งตัวของเลือด
ยาต่อต้านเกล็ดเลือดกระเทียมลงในเมนูอาหารของท่านนะครับ คุณประโยชน์แล้วก็คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากกระเทียมนั้นร้ายมากจริงๆ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรกระเทียม

5

ทับทิม
ทับทิม ชื่อสามัญ Pomegranate
ทับทิม ชื่อวิทยาศาสตร์ Punica granatum L. จัดอยู่ในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE)
ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิหร่านทางตอนใต้ของอัฟกานิสถาน ผลไม้ชนิดนี้จะชอบอากาศหนาวเป็นพิเศษ ยิ่งหนาวมากเท่าไหร่ เนื้อทับทิมนั้นจะมีสีแดงเข้มมากขึ้นเท่านั้น และยังเป็นผลไม้มงคลของคนจีนอีกด้วย ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ดมากจึงสื่อความหมายถึงการมีลูกชายมาก ๆ ด้วยนั่นเอง โดยกิ่งใบของทับทิมก็นำมาใช้ในพิธีการต่าง ๆ ที่มีน้ำมนต์ในการประกอบพิธีหรือนำมาใช้พรมน้ำมนต์เพราะเชื่อว่ามีไว้ติดตัวจะช่วยในเรื่องการคุ้มครองจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย
ทับทิมยังถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ โดยประโยชน์ของทับทิมและสรรพคุณของทับทิมนั้นมีมากมาย ด้วยทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำทับทิมจึงมีวิตามินซีสูงและยังประกอบด้วยเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย อย่างเช่น บรรเทาอาการของโรคหัวใจ รักษาความดันโลหิตสูง ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวขอเลือด รักษาโรคท้องเดิน โรคบิด เป็นต้น
ประโยชน์ของทับทิม
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยในการชะลอวัย
น้ำทับทิมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง ด้วยการนำน้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชามาทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก
น้ำทับทิมช่วยเพิ่มความสดชื่น แก้กระหาย คลายร้อนได้เป็นอย่างดี
ช่วยระงับกลิ่นปากได้อีกด้วย
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง บรรเทาอาการหวัด
ช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด
ทับทับมีวิตามินซีสูงมาก และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี และกรดโฟลิกอีกด้วย
ใบทับทิมใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมนต์ในการประกอบพิธี
ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์
ช่วยในการปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน
ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
ช่วยในการบำบัดอาการของโรคเบาหวาน
ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาอักเสบ
น้ำต้มเปลือกทับทิมช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจ ด้วยการช่วยเสริมสุขภาพหัวใจให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยบำรุงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด
ช่วยในการฟอกไตและท่อปัสสาวะ
ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง
มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้อาการระดูขาว ตกเลือด
ช่วยบำรุงสุขภาพตับให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยบำรุงและต่อต้านอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
เปลือกทับทิมสามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้ เพราะมีสารในกลุ่มแทนนินอยู่ในปริมาณมาก
เปลือกทับทิมมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ
เปลือกผลช่วยรักษาแผลหิด กลากเกลื้อน
เปลือกของทับทิมช่วยต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
ยาต้มจากเปลือกผลช่วยรักษาอาการอุจจาระร่วงได้ โดยช่วยลดจำนวนครั้งในการขับถ่ายและทำให้ระยะเวลาเริ่มถ่ายครั้งแรกนานขึ้น

เปลือกต้นและเปลือกรากของทับทิมสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลมได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำเปลือกของรากและต้นที่ยังสด ๆ ประมาณครึ่งกำมือ เติมกานพลูลงไปเล็กน้อยเพื่อแต่งรส นำมาต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือถ้วยครึ่ง แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงจึงรับประทานยาถ่าย เช่น ดีเกลืออีก 2 ช้อนโต๊ะตามไปอีกครั้งหนึ่ง
ดอกทับทิมใช้ห้ามเลือดได้ ด้วยการนำดอกแห้งมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาทาหรือโรยใส่บริเวณบาดแผล
ดอกทับทิมช่วยแก้อาการหูชั้นในอักเสบ
ใบของทับทิมสามารถนำมาอมกลั้วคอหรือทำเป็นยาล้างตาก็ได้
ทับทิมช่วยลดปัญหาผมร่วง ด้วยการนำยาพอกที่ได้จากใบ แล้วนำมาพอกหนังศีรษะ
ชาวอินเดียนำน้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกของทับทิมมาปรุงเป็นยาธาตุ สมานลำไส้ บำรุงหัวใจ
ทับทิมช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 13 ชนิด โดยช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
ช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อ ทับทิม ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม
ประโยชน์ของทับทิมน้ำตาล 13.67 กรัม
เส้นใย 4 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
โปรตีน 1.67 กรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.377 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม 10%
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม 12%
วิตามินอี 0.6 มิลลิกรัม 4%
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม 4%
ธาตุแคลเซียม 10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.119 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.35 มิลลิกรัม 4%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ http://www.disthai.com/

6

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลอย่างไรต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันสูง และก็โรคอื่นๆอันแสนเพลียที่จะรักษา ติดตามผลการศึกษายืนยันสรรพคุณได้ในเนื้อหานี้จ้ะ
บทความพวกนี้อ้างอิงคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษายืนยันจากที่ต่างๆเพื่อให้เพื่อนฝูงได้พินิจพิเคราะห์ด้วยตัวเองว่ารักษาโรคก้าวหน้าขนาดไหนแล้วก็น่าเชื่อถือแค่ไหน ถ้าเกิดเพื่อนพ้องๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานค้นคว้าเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเท่าใดหรือเปล่ารู้เรื่อง บทความในเว็บแห่งนี้นักเขียนได้คัดรวมทั้งสะสมจากหลายที่และเขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำเป็น
สหายๆถูกใจเนื้อหานี้ก็จะเป็นอันมากหัวใจให้คนเขียนได้บทความดีๆให้เพื่อนอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนๆจะต้องถูกใจ
ระบบภูมิต้านทานคือกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีแปลกปลอม เซลล์ของมะเร็ง และสิ่งปลอมปนอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อสภาพร่างกายเรานั้นเอง โดยเหตุนั้นถ้าเพื่อนฝูงๆมีระบบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่เจ็บป่วยง่าย หรือถ้าป่วยก็จะฟื้นเร็ว แม้กระนั้นถ้าหากระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีก็จะป่วยไข้บ่อยและก็เป็นหนักกว่าผู้ที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวนี้แล้วสหายๆคงจะเห็นความสำคัญของการมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกันแล้ว
ชาวจีนโบราณใช้เห็ดหลินจือมายาวนานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ว่าในยุคนั้นยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าเพราะเหตุใดทานเห็ดหลินจือถึงแก่ยืนและก็แข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค เดี๋ยวนี้เราสมารถยนต์พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับเราได้จริง สารกรุ๊ปดังกล่าวข้างต้นสามารถกระตุ้นการสร้าง Interleukin รวมทั้ง Immuoglodulin ซึ่งทำให้ระบบภูมคุ้มครองดีและก็แข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิต้านทานที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านวรัส เซลล์ของโรคมะเร็ง และจำกัดสารอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังช่วยให้ผู้ที่ถูกผลกระทบที่โดนยาต้านทานมะเร็งบางตัวแล้วก็กระบวนการทำคีโมกดภูมิต้านทานให้มีระบบระเบียบภูมิคุ้มกันดีขึ้นอีก และเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กรุ๊ปดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคือกลุ่ม Bitter Triterpenoids
A
นักวิจัยได้ศึกษาค้นพบสารหลากหลายประเภทในเหล็ดหลินจือที่ช่วยลดจำนวนไขมันในเส้นเลือดเป็นGanoderic Acid และก็ Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 ประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว นอกเหนือจากช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้แล้ว ยังคุ้มครองไม่ให้ไขมันอุดตันเส้นโลหิตได้โดยตรงอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นยังมีสารกลุ่ม Nucleotide ซึ่งสามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นเลือด แล้วก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นทดสอบให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับผู้ที่เป็นโรคไขมันเส้นโลหิตสูง 70 ราย แล้วก็ทำการเก็บผลของการทดลองภายหลังจากผ่านไป 3 เดือน พบว่าวัวเรสเตอคอยลของผู้รับการทดลองลดน้อยลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลการวิเคาะห์จากทั่วทั้งโลก รวมทั้งยังพบว่าเห็ดหลินจือ เว้นเสียแต่ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดแล้ว ยังเป็นเหตุให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอีกด้วย
ด้วยเหตุนั้น จึงอาจพูดได้ว่า เครื่องพิสูจน์ทางคุณสมบัติแล้วก็คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาเรียนรู้เป็นการทดลองขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแค่การทดสอบในผู้เจ็บป่วยบางกรุ๊ปแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นหัวข้อการค้นคว้าที่ควรจะจัดการทดสอบถัดไป เพื่อให้ได้เห็นผลลัพ์ที่กระจ่างแจ้ง รวมทั้งมีคุณประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลรักษาคนป่วยโรคมะเร็งได้ในอนาคต

ภาวการณ์ต่อมลูกหมากโต แล้วก็การเจ็บป่วยในระบบฟุตบาทเยี่ยว
มีขั้นตอนการทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในคนเจ็บเพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะเยี่ยวขัดข้อง หลังการทดลองกว่า 12 อาทิตย์ ผลสรุปที่ได้เป็น ผู้ป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ดียิ่งขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลในการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของคนเจ็บจากการตอบปัญหา แต่กลับไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากอะไร
ด้วยเหตุนั้น การทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่แจ่มแจ้งเพียงพอ จำเป็นที่จะต้องมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ถัดไปในอนาคต เพื่อค้นหาข้างหลังฐานที่แจ่มแจ้งสำหรับการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการรักษาภาวการณ์ต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอะไรก็ตามที่เกี่ยวโยง
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นโลหิตหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดสอบทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีผู้เจ็บป่วยเบาหวานจำพวก 2 เข้าร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะสนับสนุนผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับในการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเหมือนกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยพวกนั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
ดังนั้นจำเป็นจะต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงความสามารถของเห็ดหลินจือสำหรับการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆพวกนี้เพื่อคุ้มครองและการดูแลและรักษาโรคเส้นโลหิตหัวใจต่อไป รวมถึงให้ได้ความชัดเจนชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวผ่านมาแล้วเยอะขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลดีต่อกรรมวิธีการรักษาป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจแล้วก็อาการต่างๆที่เกี่ยวโยงต่อไปในอนาคต

7

เห็ดหลินจือ
สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่ทรงคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ
เมื่อ ค.ศ 2005 บริษัทของเรามีจุดกำเนิดขึ้นจากความอยากได้หาสมุนไพรประสิทธิภาพสูงจากในหลายประเทศ จนถึงพวกเราพบแล้วก็มีส่วนร่วมกับบริษัทยยาของรัฐบาลจีน รวมทั้งได้ นำเข้าสปอร์เห็ดหลินจือประสิทธิภาพสูงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นับ 10 กว่าปี ที่พวกเราเป็นผู้ก่อตั้ง และก็เป็นผู้นำในด้านสปอร์เห็ดหลินจือแดงคุณภาพสูง คุณภาพเป็นหัวใจสำคุณของพวกเรา สปอร์เห็ดหลินจือของพวกเรา จะถูกคัดสรรอย่างยอดเยี่ยมก่อนถึงมือบริโภค เห็ดหลินจือแดงที่พวกเรานำเข้ามา ถูกเพาะด้วยแนวทางละเอียดลออ ทำให้จับตัวได้ดอกเห็ดที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งกว่า
เราตั้งใจแล้วก็ตรวจดูประสิทธิภาพในทุกแนวทางการผลิตอย่างใกล้ชิด และด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ดูแลอย่างยอดเยี่ยม ทำให้พวกเราได้รับการรับรองมาตฐาน GMP (GOOD Manufacturing Practice) ทุกล็อตที่เราผลิตออกมา จะได้รับการตรวจประสิทธิภาพจากห้องแล็ปในโรงหมอ
เพื่อประโยชน์สูงสุดของท่านผู้ที่กำลังหาผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือมารับประทาน
งานศึกษาวิจัยรับรองว่าการกินสปอร์เห็ดหลินจือจะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งกว่าการทานดอก เพราะสปอร์มีสารออกฤทธิ์สำคัญมากกว่าและสปอร์ที่ถูกกระเทาะนั้น เปลือกหุ้มจะต่อต้านโรคมะเร็ง และเสริมภูมิคุ้มกันได้ดีมากยิ่งกว่า เทียบกับแบบมิได้กระเทาะเปลือก
ที่พลาดไม่ได้ที่สุดเป็น.....
ท่านๆสามารถบริโภคเห็ดหลินจือได้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆโดยปลอดภัยใด อีกกด้วย เห็ดหลินจือมีมากว่า 100 สายพันธุ์แต่สายพันธุ์ที่มีคุณประโยชน์ทางยายอดเยี่ยมเป็นเห็ดหลินจือแดง เพราะว่าสายพันธุ์นี้จะมีสารออกฤทธิ์กลุ่ม Polysaccharide อยู่อย่างมากที่สุด
ส่วนท่านที่กำลังเลือกซื้อเห็ดหลินจือออกมาขายในท้องตลาดแบบอย่างต่างๆล้นหลาม อีกทั้งในแบบดอกอบแห้ง แคปซูล น้ำเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจืออื่นๆอีกเพียบเลย
ด้วยเหตุผลดังกล่าวการจะเลือกซื้อเห็ดหลินจือให้ได้แบบที่มีคุณภาพดี ต้อง......
ดูตั้งแต่กรรมวิธีการผลิต ว่าตัวเห็ดหลินจือนั้นได้รับการเลี้ยงที่เหมาะสมหรือปล่าว เพราะการควบคุมอณหภูเขามิ ความชื้น สารอาหาร แล้วก็แนวทางการแปลรูปล้วนส่งผลต่อปริมาณสาระสำคัญในตัวเห็ดหลินจือ บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ด้วยเหตุว่าเห็ดหลินจือจะขึ้นราได้ง่ายเมื่อโดนความชื้อ ฉะนั้นตัวบรรจุภัณฑ์จะต้องเลือกเป็นขวดที่กันความชื้อได้ดีอีกด้วย
เห็ดหลินจือกับประโยชน์ต่อร่างกาย
เห็ดหลินจือ (Lingzihi หรือ  REISHI)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กาโนเดอร์ มา ลูซิดัม (Ganoderma Lucidum) เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีสีแก่มีผิวแวววาว มีลักษณะเหมือนไม้ แล้วก็มีรสขม มีประวัตศาสตร์ยาวนานสำหรับเพื่อการใช้เห็ดหลินจือ เพื่อรักษาหรือบำรุงสุขภาพในประเทศแถบเอเซีย โดย เฉพาะประเทศจีนแล้วก็ญี่ปุ่น เพราะว่ามั่นใจว่าสารประกอบภายในเหลืดหลินจือมีคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่บางทีอาจมีผลดีต่อร่างกายมากมายก่ายกอง ชนิดเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและธาตุบางจำพวก เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองดูแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ป่ายปีนอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลโคโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) รวมทั้งสารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) และก็ลิวซีน (Leucine)ดังนี้ มีบางบุคคลหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาเตรียมอาหารรวมทั้งดัดแปลงเพื่อการบริโภคอย่างนานัปการ นักวิทยาศาสตร์จึงให้ความสนใจแล้วก็นำเห็ดหลินจือมาทดสอบหาประสิทธิผลทางการรักษารวมทั้งการบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดชนิดนี้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราจริงหรือไม่

เห็ดหลินมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่บางทีอาจเป็นไปได้จริงหรือ?
หากแม้มีการค้นคว้าทดสอบเยอะมากเกี่ยวกับคุณสมบัติแล้วก็คุณค่าที่อาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อยืนยันทางวิทยาศาสตร์และก็การแพทย์ที่แจ่มชัดถึงคุณลักษณะแล้วก็คุณประโยชน์ที่บางทีอาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือแม้กระนั้น ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อยืนยันทางด้านวิทยาศาสตร์แล้วก็การแพทย์ที่ชัดแจ้งถึงคุณสมบัติและก็ประสิทธิผลด้านใดๆก็ตามเพราะฉะนั้น คนซื้อควรศึกษาข้อมูลของเห็ดหลินจือ ปริมาณรวมทั้งกรรมวิธีการบริโภคที่สมควร รวมทั้งข้อจำกัดต่างๆและต้นสายปลายเหตุทางสุขภาพของตนเองให้ดีก่อนจะมีการบริโภค
ตัวอย่างงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยที่เล่าเรียนเกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อสุขภาพ
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานศึกษาค้นคว้าวิจัยหนึ่งได้ทดลองหาประสิทธิผลรวมทั้งความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในผู้ป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จำนวน 32 ราย  ผลสรุปคือ เห็ดหลินจืออาจมีสรรพคุณในด้านการระงับอาการปวด ไม่เป็นอันตรายต่อการกินไปสู่ร่างกายและไม่ส่งผลใกล้กัน แต่ กลับไม่ปรากฏผลที่มีความนัยสำคัญสำหรับเพื่อการต้านทานปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลการปรับระบบภูมิคุ้มกันแต่อย่างใด
เพิ่มสมรรถนะร่างกาย
มีการทดสอบที่ทดสอบคุณภาพของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถยนต์ภาพของร่างกาย โดยได้ ทดสอบในคนเจ็บโรคปวดกล้ามเนื้อไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)เพศหญิงจำนวน 64 ราย ตลอดเวลาการทดลอง 6 อาทิตย์ ผู้ป่วยบริโภคเห็ดหลินจือจำนวน 6 กรัม/วัน จากนั้นจึงทดลองสมรรถนะร่างกายของคนไข้ ผลของการทดลองรวมทั้งกำหนดแผนการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ถัดไป แต่ว่ายังคงขาดหลักฐานสนับสนุนที่กระจ่างแจ้ง จำเป็นต้องมีการทำการศึกษาเรียนรู้ในด้าน เพื่อหาหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่แนชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อไป
ต่อต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน รวมทั้งคุ้มครองการทำลายเซลล์ตับ
จากการทดลองหาคุณภาพของสารไตรเทอร์พีนอยด์ (Trirpenoids)แล้วก็โพลีแซ็กคาไรด์(Polysaccharide)ในเห็ดหลินจือในด้านการต้านการเกิดปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน แล้วก็การคุ้มครองการทำลายเซลล์ตับในกลุ่มผู้ทดลองที่มีสุขภาพแข็งแรง 42 คน ผลคราวแสดงถึงความสามารถของเห็ดหลินจือสำหรับการช่วยต้านอนุมูลอิสระ แล้วก็ยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของตับ
แม้กระนั้น ถึงแม้เห็ดหลินจืออาจช่วยต่อต้านปริกิรริยาออกซิเดชันได้ แต่ว่าการทดสอบดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นเพียงแต่การศึกษาเรียนรู้ขนาดเล็ก ควรศึกษาถัดไปเพื่อหาหลักฐานแล้วก็ข้อพสจน์ที่ชัดเจนที่แจ่มแจ้งถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือ http://www.disthai.com/

8

บุก
บุก มีคุณประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีประจำเดือนมาผิดปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้แล้วก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาแก้ปวด แก้ฟกช้ำ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับเมนส์ของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี
บุก มีชื่อสามัญว่า Konjac อ่านออกเสียงว่า คอน-จัค มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch ชื่อเรียกอื่นๆของบุก เป็นต้นว่า บุกระอุงคก เบีย เบือ มันซูรัน หัวบุก บุกคางคก บุกหนาม บุกหลวง แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว หมอยื่อ ฯลฯ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นบุก
ต้นบุก ถือเป็น ไม้ล้มลุกชนิกหนึ่ง เป็นไม้เนื้ออ่อน ลักษณะของลำต้นอวบแล้วก็มีสีเขียวเข้ม ใบบุกเป็นใบผู้เดียว ซึ่งใบของบุกจะแตกใบที่ยอดแล้วก็ใบแผ่ขึ้นเสมือนร่มกาง ดอกของบุกจะมีสีเหลือง จะบานในตอนเวลาเย็น มีกลิ่นแรง ลักษณะราวกับดอกหน้าโค
ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นโดยประมาณ 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างกลมแบนบางส่วน หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและกิ่งก้านมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปนเปอยู่
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีปริมาณยาวราว 15-20 เซนติเมตร
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกคนเดียว รูปแบบของดอกเป็นทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
สรรพคุณของบุก
สำหรับคุณประโยชน์ของบุก พวกเรานิยมใช่ประโยน์ทางยาของบุก จาก หัว รากแล้วก็เนื้อของลำต้น รายละเอียด ดังนี้
หัวบุก มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต รักษาโรคโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีประจำเดือนมาไม่ปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาพารา แก้ฟกช้ำดำเขียว
รากของบุก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับประจำเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี

ข้อพึงระวังสำหรับการบริโภคบุก
สำหรับข้อที่ไม่อนุญาตสำหรับการรับประทานบุก คือ หัวบุกจะมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน เป็นพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร โดยเหตุนี้ ในกลุ่มของผู้คนที่ ม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร ไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงรับประทาน และไม่รับประทานมากเกินความจำเป็น ซึงข้อควรพิจารณาสำหรับเพื่อการบริโภคบุก มีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะมากๆ ที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก็ก้านใบถ้าเกิดปรุงไม่ดีแล้วรับประทานเข้าไปจะมีผลให้ลิ้นพองและก็คันปากได้
ก่อนนำมากินจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด
กรรมวิธีกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำเพียงพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นครั้งแรก และจากนั้นจึงนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมตัวกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวมาแล้วสำหรับการทำอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้ถ้าอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เนื่องจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกคราวหลังการกิน แต่ให้รับประทานก่อนที่จะรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่สร้างจากวุ้น อาทิเช่น วุ้นก้อนและก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ เพราะวุ้นดังที่กล่าวถึงมาแล้วได้ผ่านกระบวนการรวมทั้งได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และก็การการที่จะขยายตัวหรือขยายตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เพราะว่าไม่มีการย่อยสลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินและธาตุ หรือสารอาหารใดๆก็ตามที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพร่างกายเลยกลูโคแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันน้อยลง ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่จะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจทำให้มีลักษณะอาการท้องเดินหรือท้องขึ้น มีอาการหิวน้ำมากกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการอ่อนเพลียด้วยเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้http://www.disthai.com/

หน้า: [1]