แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ind4s2fuo6p0

หน้า: [1]
2

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี


รากพญายอ
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพร เสลดพังพอน (พญายอ)

3


ราชพฤกษ์

คูน ผลดีและคุณประโยชน์ของคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ความเป็นมาดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้ท้องถิ่นของเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน ประเทศอินเดีย ประเทศพม่า รวมทั้งศรีลังกา โดยนิยมนำมาปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีใน รวมทั้งมีชื่อเสียงในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ก็ยังมิได้ข้อสรุปแจ่มชัด จนกว่ามีการเซ็นชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ตอนวันที่ 26 ต.ค. พุทธศักราช 2544
ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เนื่องจากว่า ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองชูช่อ มองสง่างาม ทั้งยังยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระมหากษัตริย์" และก็มีการลงนามให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นหนึ่งใน 3 เครื่องหมายประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย แล้วก็ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เพราะเหตุว่าเป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แล้วก็มีอยู่ทุกภาคของเมืองไทย
  • มีประวัติเกี่ยวเนื่องกับจารีตสำคัญๆในไทยและก็ฯลฯพืชที่มีความมงคลที่นิยมปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เป็นต้นว่า ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ ฯลฯ
  • มีสีเหลืองแพรวพราว พุ่มไม้สวยเต็มต้น เปรียบเป็นเครื่องหมายแห่งศาสนาพุทธ
  • มีอายุยืนนาน และคงทน


คูน หรือ ราชพฤกษ์ (Golden Shower, Indian Laburnum) เป็นพืชสมุนไพรชนิดยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงกับขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกตามแคว้นต่างๆดังเช่น ภาคเหนือเรียก ราชพฤกษ์, ราชพฤกษ์ หรือชัยพฤกษ์ ส่วนจังหวัดปัตตานีเรียก ลักเคย หรือลักเกลือ และก็กะเหรี่ยง-กาญจนบุรีเรียก กุเพยะ ฯลฯ ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรประจำถิ่นของทวีปเอเชียใต้ไปจนถึงอินเดีย ศรีลังกา แล้วก็พม่า รวมถึงคูนหรือราชพฤกษ์นี้ยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของไทยอีกด้วย
————– advertisements ————–
การดูแลรักษา
           แสงสว่าง : อยากได้แดดจัด หรือกลางแจ้ง แล้วก็เติบโตได้ดีในเป็นพิเศษ
           น้ำ : ถูกใจน้ำน้อย ควรจะรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพภูมิอากาศร้อนได้ดิบได้ดี
           ดิน : สามารถเติบโตได้ดีในดินซึ่งร่วนซุย ดินร่วนคละเคล้าทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมใส่ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยหมัก ในอัตรา 2-3 กิโลต่อต้น รวมทั้งควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
การขยายพันธุ์
           แนวทางขยายพันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยมหมายถึงการเพาะเม็ด โดยใช้เม็ดสดๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แม้กระนั้นต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน เพราะเหตุว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ ต่อจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งเอาไว้ผ่านวัน จึงค่อยเทน้ำออกให้เหลือปริมาณพอหล่อเลี้ยงเม็ดได้ ต่อจากนั้นทิ้งไว้อีกคืนก็จะเจอรากผลิออก รวมทั้งสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าเป็นต้นพืชที่มีความมงคล ที่ควรจะปลูกเอาไว้ภายในทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วก็แม้ปลูกไว้ในบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติยศ เกียรติ แล้วก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยศาสตร์ โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ เพราะว่าเป็นพืชที่มีความมงคลนาม
ลักษณะทั่วไปของคูน
สำหรับต้นคูนนั้นจัดว่าเป็นไม้ต้นขนาดกึ่งกลาง โดยลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา มักขึ้นตามป่าผลัดใบ หรือในดินที่สามารถระบายน้ำได้ดิบได้ดี ส่วนใบจะมีสีเขียวเป็นเงา วัวนมน เนื้อใบหมดจดและก็บาง ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบทรงไข่กลับอยู่ 5 กลีบ และเห็นเส้นกลีบแน่ชัด ฝักอ่อนมีสีเขียวและจะเป็นสีดำเมื่อแก่จัด รวมทั้งในฝักจะมีผนังเยื่อบางๆกันเป็นช่องๆอยู่ตามแนวขวางของฝัก แล้วก็ภายในช่องกลุ่มนี้จะมีเม็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ผลดีแล้วก็คุณประโยชน์ของคูน
ใบ – ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเชื้อโรคต่างๆช่วยระบายท้อง สามารถใช้พอกแก้อาการปวดข้อ หรือแก้ลมตามข้อ และช่วยแก้โรคอัมพาตของกล้ามบนใบหน้า หรือนำไปต้มกินแก้เส้นพิการ และโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมอง ให้รสเมา
ดอกราชพฤกษ์ – ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ แก้พรรดึก (ท้องผูก) รวมทั้งโรคกระเพาะอาหาร รวมทั้งแผลเรื้อรัง ให้รสขมเปรี้ยว
ราก – ช่วยสำหรับเพื่อการทำลายเชื้อโรคกุฏฐัง ระบายพิษไข้ แก้กลากหรือโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึมหนักแถวๆศีรษะ แล้วก็ช่วยถ่ายสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนออกมาจากร่างกาย แก้อาการหายใจขัด ทำให้สดชื่นหน้าอก แก้ลักษณะของการมีไข้ ไปจนกระทั่งรักษาโรคหัวใจ ถุงน้ำดี มีฤทธิ์ถ่ายแรงกว่าเนื้อในฝัก สามารถใช้ได้กับเด็กหรือสตรีมีท้อง ไม่มีผลข้างเคียงอะไรก็ตามให้รสเมา
แก่น – ช่วยสำหรับเพื่อการขับพยาธิไส้เดือน ให้รสเมา
กระพี้ – ช่วยแก้โรครำมะนาด ให้รสเมา
เนื้อในฝัก – ใช้พอกเพื่อช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ แก้ตานขโมย ปรับแต่งมาลาเรีย แก้บิด ถ่ายพยาธิ หรือคนที่มีลักษณะอาการท้องผูกเรื้อรัง รวมทั้งถ่ายเสมะแล้วก็แก้พรรดึก (ท้องผูก) ไปจนกระทั่งระบายพิษไข้ สามารถใช้ได้ในเด็กแล้วก็สตรีมีท้อง ไปจนถึงเป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนหรือไข้ท้อง ให้รสหวานเอียน
เปลือกฝัก – ทำให้แท้งลูก ทำให้คลื่นไส้ และขับเกลื่อนกลาดที่ค้างอยู่ออกมา ให้รสขื่นเมา
เมล็ด – ทำให้อ้วก ให้รสขื่นเมา
เปลือกต้น – ช่วยแก้อาการท้องเดิน ใช้ฝนผสมกับหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ และน้ำตาล กินเพื่อกำเนิดลมเบ่ง ให้รสฝาดเมา
เปลือกราก – ช่วยแก้ไข้ไข้มาลาเรีย แล้วก็ระบายพิษไข้ ให้รสฝาด
ดอกคูน หรือ ดอกราชพฤกษ์
ต้นคูนมักนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนแล้วก็ครึ่งเขตร้อน สามารถเติบโตเจริญในที่โล่งแจ้ง รวมทั้งปลูกได้ง่ายอีกทั้งในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว และยังทนต่อลักษณะอากาศแล้งรวมทั้งดินเค็มก้าวหน้า แต่ว่าหากอากาศหนาวจัดอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคราหรือโรคใบจุดได้http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรราชพฤษ์

4

ทับทิม
มารู้จะ “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ
นักกำหนดของกินขึ้นบัญชีวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา
ในสมัยที่คนใดกันก็ห่วงสุขภาพ รักการออกกำลังกาย หมั่นรับประทานผัก ผลไม้ต่างๆเมื่อพูดถึง “ทับทิม” ผู้คนจำนวนมากอาจจะรู้จักกันดีกับผลไม้ที่มีกลิ่นหอมยวนใจ รสอร่อยเชื้อเชิญพึงใจ ทับทิมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียและก็อิหร่าน โดยในบันทึกโบราณด้านการแพทย์กล่าวว่า ทับทิมถูกใช้เป็นยารักษาโรคแล้วก็ใช้สำหรับในการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายมานานนับพันๆปี
เดี๋ยวนี้ทับทิมจัดเป็นผลไม้ในกลุ่ม ซุปเปอร์ฟรุ๊ต ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน แร่สารพฤกษเคมีรวมทั้งสารแอนติออกซิแดนท์ซึ่งมีปริมาณสูงเลิศในทับทิมโดยสูงเป็น 3 เท่าของของกินอื่นที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง ทั้งมีใยอาหารสูงมาก นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูง มีวิตามินบี 5 (กรดแพนโทธีนิค) วิตามินเอ วิตามินอี ส่วนธาตุที่มีมากคือ แคลเซียม โพแตสเซียม และก็ธาตุเหล็ก
จากการเล่าเรียนพบว่าทับทิมมีสารที่มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการต้านทานขบวนการออกซิเดชันที่เกี่ยวกับการอักเสบ ซึ่งบางทีอาจช่วยคุ้มครองป้องกันโรคมะเร็ง และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระในทับทิมสูงยิ่งกว่า ไวน์รวมทั้งใบชาเขียวถึง 3 เท่า แล้วก็ยังมีจำนวนสารโพลีฟีนอลในทับทิมสูงกว่าน้ำผลไม้อื่นๆเป็นต้นว่า ส้ม องุ่น แคนเบอร์รี่ ลูกแพร แอปเปิ้ล อีกด้วย
ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มสารโพลีฟีนอล ที่สำคัญเป็น สารพูนิติดอยู่ลาจิน พูนิคาลิน และก็กรดกัลลาจิก ทั้งผองนี้อาจมีผลต่อการปกป้องอันตรายต่อเยื่อภายในร่างกายที่จะส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังรังต่างๆการศึกษาวิจัยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมอาจช่วยยับยั้งการก้าวหน้าของเซลล์ของมะเร็ง ทับทิมยังมีสารอโรมาเทสอินฮิบิเตอร์ธรรมชาติ ซึ่งช่วยยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเอสโทรเจนที่บางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงมะเร็งเต้านม นอกเหนือจากนี้สารอาหารรวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมสกัดยังมีคุณประโยชน์ต่อผิวพรรณ อาจต่อต้านการเกิดริ้วรอย ช่วยทำให้มีผิวพรรณอ่อนกว่าวัยแล้วก็มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ยิ่งกว่านั้นทับทิมยังจัดเป็นผลไม้ที่มีพลังงานต่ำ จึงอาจให้ประโยชน์ต่อการลดพลังงานสำหรับในการควบคุมน้ำหนัก โดยการรับประทานทับทิมแทนอาหารหวาน
ด้วยสารสำคัญต่างๆในทับทิม นักค้นคว้าก็เลยพอใจศึกษาวิจัยถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า สารสกัดจากทับทิมช่วยชะลอการก้าวหน้าของเซลล์ของโรคมะเร็ง แล้วก็สามารถฆ่าเซลล์ของโรคมะเร็งในห้องทดลองได้ นอกจากนี้ยังมีการวิจัยชี้ว่า น้ำทับทิมสกัดยังสามารถช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเทอคอยล ซึ่งเป็นคอเลสเทอคอยลไม่ดี ทำให้เส้นเลือดแดงแข็งตัน รวมทั้งยังช่วยลดระดับความดันโลหิต ส่งผลสำหรับในการช่วยคุ้มครองปกป้องโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองตีบแล้วก็หัวใจวาย
ด้วยประโยชน์ของทับทิมที่มีต่อสุขภาพและก็มาจากธรรมชาติ ทำให้ทับทิมเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก ตอนนี้มีการนำทับทิมมาดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์น้ำทับทิมสกัดแบบพร้อมดื่ม เพื่อความสะดวกสำหรับผู้บริโภคที่รักและห่วงใยสำหรับในการดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย
การค้นคว้าวิจัยของ Sharma, Mc Clees and Afaq ล่าสุดในปี 2017 ระบุว่า สารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ยั้งการเกิดเซลล์กลายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดเซลล์มะเร็ง
ด้วยสรรพคุณจำนวนมากดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้ทับทิมได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต” (Super fruit) ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั้งโลก เนื่องจากมีวิตามินและก็แร่
ความศรัทธาแล้วก็ตำนาน
ชาวภาษากรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมเกิดขึ้นจากเลือดของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เทพเทวดาทั้งหมดรวมทั้งเทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ ตั้งท้องขึ้นโดยการใส่ผลทับทิม รวมทั้งให้กำเนิดเทพเทวดาแอตว่ากล่าวส (Attis) ขึ้น โดยเหตุนั้น คนที่เคารพเทวดาแอตติสจึงไม่รับประทานผลทับทิม ชาวยิวในยุคพระผู้เป็นเจ้าโซโลมอนก็จัดว่า ทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน ชาวฮินดู ในอินเดียมั่นใจว่า พระวิฆเนศทรงโปรดทับทิม ผู้ที่นับถือพระพิฆเนศวรจึงนิยมนำผลทับทิมไปถวาย ยิ่งกว่านั้น ยังใช้ดอกทับทิมเส้นไหว้บูชาดวงอาทิตย์ พระนารายณ์ แล้วก็เทวีพระลักษมี อีกด้วย
คนจีนถือว่า ต้นทับทิมเป็นพืชที่มีความมงคล (โดยเฉพาะทับทิมประเภทดอกสีขาว) และถือว่าทับทิมเป็นเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมาก (เพราะเหตุว่าผลทับทิมมีเมล็ดมาก) ก็เลยนิยมได้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่คู่บ่าวสาวในพิธีสมรส (เพื่อมีลูกหลานมากๆ) ในพิธีสมรสนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว รวมทั้งปักยอดทับทิมไว้ที่ข้าวของเซ่นสรวงเจ้า ชาวจีนยังเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ ก็เลยนิยมนำมาปลูกทับทิมไว้ภายในรอบๆบ้าน และใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้าล้างตา ล้างมือ หลังกลับจากงานฌาปนกิจศพ (เพื่อมิให้อสุรกายติดตามมา)
ในประเทศญี่ปุ่นคงรับความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน เปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่ที่รอคุ้มครองปกป้องรักษาเด็กๆให้ไม่มีอันตราย รวมทั้งเชื่อว่าเมื่อเด็กๆได้กินผลทับทิมแล้วจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งหมด คนไทยก็คงได้รับถ่ายทอดความศรัทธาเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายแห่งในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงเป็นเจ้าแม่ที่มีเกิดจากจีนแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อไทยทีหลัง

5

เห็ดหลินจือ
สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่ทรงคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ
เมื่อ ค.ศ 2005 บริษัทของเรามีจุดเริ่มขึ้นจากความจำเป็นหาสมุนไพรประสิทธิภาพสูงจากในหลายประเทศ ตราบจนกระทั่งพวกเราพบแล้วก็มีส่วนร่วมกับบริษัทยยาของรัฐบาลจีน และได้ นำเข้าสปอร์เห็ดหลินจือประสิทธิภาพสูงนับจากนั้นมา
นับ 10 กว่าปี ที่พวกเราเป็นผู้ก่อกำเนิด และก็เป็นหัวหน้าในด้านสปอร์เห็ดหลินจือแดงประสิทธิภาพสูง คุณภาพเป็นหัวใจสำคุณของเรา สปอร์เห็ดหลินจือของเรา จะถูกคัดสรรอย่างยอดเยี่ยมก่อนถึงมือบริโภค เห็ดหลินจือแดงที่พวกเรานำเข้ามา ถูกเพาะด้วยแนวทางพิถีพิถัน ทำให้จับตัวได้ดอกเห็ดที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งกว่า
เราตั้งใจและตรวจทานคุณภาพในทุกกรรมวิธีการผลิตอย่างใกล้ชิด และก็ด้วยแนวทางการผลิตที่ดูแลอย่างยอดเยี่ยม ทำให้พวกเราได้รับการรับรองมาตฐาน GMP (GOOD Manufacturing Practice) ทุกล็อตที่พวกเราผลิตออกมา จะได้รับการตรวจคุณภาพจากห้องแล็ปในโรงพยาบาล
เพื่อคุณประโยชน์สูงสุดของท่านผู้ที่กำลังหาสินค้าเห็ดหลินจือมารับประทาน
งานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยยืนยันว่าการรับประทานสปอร์เห็ดหลินจือจะได้ประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งกว่าการทานดอก เนื่องจากสปอร์มีสารออกฤทธิ์สำคัญมากกว่าและสปอร์ที่ถูกกระเทาะนั้น เปลือกจะต่อต้านโรคมะเร็ง และเสริมภูมิคุ้มกันได้ดีมากว่า เทียบกับแบบมิได้กระเทาะเปลือก
ที่พลาดไม่ได้ที่สุดเป็น.....
ท่านๆสามารถบริโภคเห็ดหลินจือได้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตรายใด อีกกด้วย เห็ดหลินจือมีมากว่า 100 สายพันธุ์แต่สายพันธุ์ที่มีสรรพคุณทางยาเหมาะสมที่สุดเป็นเห็ดหลินจือแดง เพราะสายพันธุ์นี้จะมีสารออกฤทธิ์กลุ่ม Polysaccharide อยู่อย่างมากที่สุด
ส่วนท่านที่กำลังเลือกซื้อเห็ดหลินจือออกมาขายในตลาดต้นแบบต่างๆมากไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งในต้นแบบดอกอบแห้ง แคปซูล น้ำเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจืออื่นๆอีกเยอะแยะ
โดยเหตุนี้การจะเลือกซื้อเห็ดหลินจือให้ได้แบบที่มีคุณภาพดี ต้อง......
ดูตั้งแต่แนวทางการผลิต ว่าตัวเห็ดหลินจือนั้นได้รับการเลี้ยงที่สมควรหรือปล่าว เนื่องจากว่าการควบคุมอณหภูไม่ ความชุ่มชื้น สารอาหาร และขั้นตอนการแปลรูปล้วนมีผลต่อจำนวนสาระสำคัญในตัวเห็ดหลินจือ บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องด้วยเห็ดหลินจือจะขึ้นราได้ง่ายเมื่อโดนความชื้อ โดยเหตุนี้ตัวบรรจุภัณฑ์จะต้องเลือกเป็นขวดที่กันความชื้อได้ดีอีกด้วย
เห็ดหลินจือกับผลดีต่อร่างกาย
เห็ดหลินจือ (Lingzihi หรือ  REISHI)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กาโนเดอร์ มา ลูสิดัม (Ganoderma Lucidum) เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีสีเข้มมีผิวแวววาว มีลักษณะเหมือนไม้ แล้วก็มีรสขม มีประวัตศาสตร์นานสำหรับเพื่อการใช้เห็ดหลินจือ เพื่อรักษาหรือบำรุงสุขภาพในประเทศแถบเอเซีย โดย เฉพาะจีนและก็ญี่ปุ่น เพราะเหตุว่ามั่นใจว่าสารประกอบภายในเหลืดหลินจือมีคุณค่าต่อร่างกาย
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่อาจเป็นผลดีต่อสุขภาพจำนวนมาก พวกเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินแล้วก็แร่บางชนิด เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองดูแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ป่ายปีนอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลโคโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) รวมทั้งสารอนุพันธ์อื่นๆโดยยิ่งไปกว่านั้นกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) รวมทั้งลิวซีน (Leucine)ฉะนั้น มีบางบุคคลหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาประกอบอาหารรวมทั้งดัดแปลงเพื่อการบริโภคอย่างมากมาย นักวิทยาศาสตร์จึงมีความสนใจและนำเห็ดหลินจือมาทดลองหาประสิทธิผลทางการรักษาและก็การบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดจำพวกนี้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของคนเราจริงหรือไม่

เห็ดหลินมีประโยชน์ต่อร่างกายที่บางทีอาจเป็นไปได้ใช่หรือ?
แม้มีการค้นคว้าทดลองจำนวนมากเกี่ยวกับคุณสมบัติรวมทั้งคุณค่าที่บางทีอาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ว่าในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานหรือข้อยืนยันด้านวิทยาศาสตร์และก็การแพทย์ที่เด่นชัดถึงคุณสมบัติรวมทั้งคุณค่าที่อาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือแต่ว่า ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งพิสูจน์ด้านวิทยาศาสตร์แล้วก็การแพทย์ที่แน่ชัดถึงคุณลักษณะและก็ประสิทธิผลด้านใดๆโดยเหตุนี้ คนซื้อควรศึกษาค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ จำนวนและก็แนวทางการบริโภคที่เหมาะสม และก็ความจำกัดต่างๆและต้นสายปลายเหตุทางสุขภาพของตนเองให้ดีก่อนจะมีการบริโภค
แบบอย่างงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อร่างกาย
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานศึกษาเรียนรู้วิจัยหนึ่งได้ทดสอบหาประสิทธิผลและก็ความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในผู้ป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จำนวน 32 ราย  ผลสรุปคือ เห็ดหลินจืออาจมีสรรพคุณในด้านการระงับลักษณะของการปวด ไม่มีอันตรายต่อการกินไปสู่ร่างกายและไม่มีผลข้างๆ อย่างไรก็ตาม กลับไม่ปรากฏผลที่มีความนัยสำคัญสำหรับเพื่อการต้านทานปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลการปรับระบบภูมิต้านทานอะไร
เพิ่มสมรรถภาพร่างกาย
มีการทดสอบที่ทดสอบความสามารถของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถยนต์ภาพของร่างกาย โดยได้ ทดสอบในคนเจ็บโรคปวดกล้ามเนื้อไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)ผู้หญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดเวลาการทดสอบ 6 อาทิตย์ คนเจ็บบริโภคเห็ดหลินจือปริมาณ 6 กรัม/วัน แล้วต่อจากนั้นจึงทดสอบความสามารถร่างกายของผู้เจ็บป่วย ผลของการทดสอบและวางแผนรักษาผู้ป่วยโรคนี้ต่อไป แต่ยังคงขาดหลักฐานเกื้อหนุนที่กระจ่างแจ้ง ควรต้องมีการทำการวิจัยในด้าน เพื่อหาหลักฐานรวมทั้งข้อพิสูจน์ที่แนชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อไป
ต้านทานการเกิดปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน รวมทั้งคุ้มครองป้องกันการทำลายเซลล์ตับ
จากการทดลองหาประสิทธิภาพของสารสามเทอร์พีนอยด์ (Trirpenoids)และก็โพลีแซ็กคาไรด์(Polysaccharide)ในเห็ดหลินจือในด้านการต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน และการปกป้องการทำลายเซลล์ตับในกลุ่มผู้ทดลองที่มีร่างกายแข็งแรง 42 คน คำตอบหนแสดงถึงความสามารถของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ รวมทั้งยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของตับ
อย่างไรก็ดี ถึงแม้เห็ดหลินจืออาจช่วยต้านทานปริกิรริยาออกซิเดชันได้ แต่ว่าการทดลองดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นเพียงแค่การค้นคว้าวิจัยขนาดเล็ก ควรศึกษาค้นคว้าถัดไปเพื่อหาหลักฐานรวมทั้งข้อพสจน์ที่ชัดเจนที่แจ้งชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ

6

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่พวกเราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกันกับบุกชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ว่าต่างประเภทกัน ซึ่งมีคุณสมบัติรวมทั้งสรรพคุณทางยาที่ใกล้เคียงกัน และสามารถนำมาใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (ภาษาจีนกลาง) เป็นต้น
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราว 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปออกจะกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและก็กิ่งไม้มีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปะปนอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวราว 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกผู้เดียว รูปแบบของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกรวมทั้งผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (สกลนคร), กระบุก (จังหวัดบุรีรัมย์), บุกคางคก บุกระอุงคก (จังหวัดชลบุรี), หัวบุก (จังหวัดปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกึ่งกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอ หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกกะแท่งหรือเท้าคุณยายม่อมหัว แก่ได้นานยาวนานหลายปี มีความสูงของต้นราว 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอ้วนและก็อวบน้ำไม่มีแก่น ผิวตะปุ่มตะป่ำ ลำต้นกลมและก็มีลายเขียวๆแดงๆลักษณะซึ่งคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นแพร่พันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้ประเภทนี้จะเจริญงอกงามในฤดูฝน และจะร่วงโรยไปในตอนต้นหน้าหนาว ในประเทศไทยพบได้บ่อยขึ้นเองตามป่าราบริมฝั่งรวมทั้งที่อำเภอศรีราชา ส่วนในเมืองนอกบุกคางคกนั้นเป็นพืชพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะออกจะกลมแล้วก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 เซนติเมตรขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและเป็นมูกลื่น มียาง โดยเฉพาะหัวสด ถ้าหากสัมผัสเข้าจะมีผลให้เกิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นอาหารนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้เป็นเมือกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 35 โล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบผู้เดียว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแบออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าหาเส้นกลางใบ ส่วนขอบของใบจักเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและก็ยาวได้โดยประมาณ 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบประดับประดาเป็นรูปหุ้มห่อช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นแล้วก็บานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางเรือนจำ
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสำเร็จสด เนื้อนุ่ม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว ปริมาณยาวโดยประมาณ 1.2 ซม. ผลมีไม่น้อยเลยทีเดียวติดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนถึงสีแดง ภายในผลมีเมล็ดโดยประมาณ 1-3 เม็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแต่เม็ดแยกออกมาจากกัน เมล็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
สรรพคุณของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ แล้วก็ระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและก็คนไข้โรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำ โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เอามาชงกับน้ำกินก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสลด ละลายเสมหะ ช่วยกระจัดกระจายเสมหะที่ตันรอบๆหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสลดเถาดาน และเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้เมนส์ไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับระดูของสตรี (ราก)
หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟลุกน้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้าและก็กัดหนองเจริญ (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลกล่าวว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้ฟกช้ำ (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มความสามารถทางเพศ โดยคุณนิล สกุณา (บ้านหนองพลวง ต.โคกกึ่งกลาง อำเภอลำปลายทอง จ.บุรีรัมย์) เสนอแนะให้ลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พิงปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดเอามาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วก็ใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอเพียงท่วมเมล็ดบุก ต้มจนถึงเมล็ดบุกหล่นลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดและจากนั้นก็ให้เพิ่มน้ำตาลทรายแดงพอประมาณลงไปต้มให้พอเพียงหวาน ต่อไปลองชิมดู ถ้ายังมีลักษณะอาการคันคออยู่ก็ให้เติมน้ำตาลเพิ่มแล้วค่อยชิมใหม่ ถ้าเกิดไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ แล้วก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่เคยรู้ล้มใส่เข้าไปด้วยราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นแล้วก็เก็บไว้ภายในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ประมาณ 30 นาที จะปวดปัสสาวะโดยธรรมชาติ ภายหลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้โดยทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วเอามาชงกับน้ำ ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำกินก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ทีละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าคือส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง จึงสามารถนำมากินได้ หากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือนำมาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ล้างบริเวณที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะๆ ที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก็ก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วรับประทานเข้าไปจะมีผลให้ลิ้นพองรวมทั้งคันปากได้8ก่อนนำมารับประทานจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด6
วิธีการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำเพียงพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นคราวแรก แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวถึงมาแล้วสำหรับในการประกอบอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6หากอาการเป็นพิษจากการรับประทานบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เนื่องจากว่าวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) ก็เลยไม่ควรบริโภควุ้นบกวันหลังการรับประทาน แม้กระนั้นให้รับประทานก่อนที่จะรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่ผลิตจากวุ้น อาทิเช่น วุ้นก้อนและก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังอาหารได้ เนื่องจากวุ้นดังที่กล่าวผ่านมาแล้วได้ผ่านกรรมวิธีและได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และการการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องด้วยไม่มีการสลายตัวเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินแล้วก็แร่ หรือสารอาหารอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดน้อยลง (ตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค) ซึ่งจะไม่เกิดโทษต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่ว่าจะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (ได้แก่ วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจทำให้มีลักษณะท้องเสียหรืออาการท้องอืด มีลักษณะอาการกระหายน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการอ่อนล้าเพราะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่พบ ดังเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี และยังพบสารที่เป็นพิษเป็นConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine รวมทั้งวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 และหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ปริมาณร้อยละ 5-6 แล้วก็มีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงปริมาณร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญ คือ กลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส และก็ฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องด้วยมีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากก็ยิ่งมีผลการดูดซึมกลูโคส ฉะนั้น กลูวัวแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum จึงสามารถลดน้ำตาลได้ดีกว่า ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับผู้เจ็บป่วยเบาหวานรวมทั้งสำหรับคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูโคแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนไม่เหมือนกันออกไปตามชนิดของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนราว 90% แล้วก็สิ่งเจือปนอื่นๆได้แก่ alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, รวมทั้งพิษอื่น โมเลกุลของกลูวัวแมนแนนนั้นหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองชนิดเป็นเดกซ์โทรส 2 ส่วน และก็แมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลจำพวกลำดับที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งแตกต่างจากแป้งที่พบในพืชทั่วๆไป ก็เลยผิดย่อยโดยกรดและก็น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 เว้นเสียแต่กลูวัวแมนแนนจะเจอได้ในบุกแล้ว ยังพบได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูวัวแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำและก็ขยายตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อพวกเรารับประทานกลูโคแมนแนนก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะอาหารของพวกเรา แล้วมีการพองตัวจนทำให้พวกเรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรากินได้ลดน้อยลงกว่าธรรมดาด้วย ทั้งกลูวัวแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูโคแมนแนนจึงช่วยสำหรับในการควบคุมน้ำหนักรวมทั้งเป็นของกินของผู้ที่ต้องการลดหุ่นได้เป็นอย่างดี8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูต่ำลงคิดเป็น 44% และ Triglyceride น้อยลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ซึมซับน้ำในกระเพาะและก็ลำไส้ก้าวหน้ามาก รวมทั้งยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้มากขึ้น ทำให้มีการขับของที่ค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะบวมที่ขากินครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูน้อยลง6
ประโยชน์ของบุกคนไทยเรานิ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรบุก

หน้า: [1]