ผู้เขียน หัวข้อ: 2 ตัวชี้วัดที่บ่งบอกว่าราคา Bitcoin จะไม่ร่วงทะลุ $ 33,000 อีกนาน  (อ่าน 258 ครั้ง)

sagame777

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 2
    • ดูรายละเอียด
ทำไมฟองสบู่ถึงเป็นสิ่งที่ดีต่อ Bitcoin ?

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาของ Bitcoin ได้พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่สูงกว่าระดับ 41,000 ดอลลาร์ นับตั้งแต่นั้นมาราคาก็ได้ดิ่งร่วงลดลงอย่างรวดเร็วและเริ่มมีความกังวลที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับฟองสบู่ครั้งใหม่ ซึ่งนี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ว่าเพราะเหตุใดฟองสบู่เหล่านี้จึงก่อตัวขึ้นและอนาคตของ Bitcoin จะเป็นอย่างไร

ความผันผวนของราคา Bitcoin ทำให้เกิดความไม่แน่นอนของตลาดและมักถูกมองว่าเป็นสัญญาณของฟองสบู่ อย่างไรก็ตามสำหรับ Bitcoin ความผันผวนของราคาเช่นฟองสบู่ที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้มีขนาดที่แตกต่างไปจากปี 2017 และ 2019 แต่สิ่งนี่จะเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่ออนาคตของ Bitcoin เนื่องจากมันจะช่วยส่งเสริมการยอมรับเทคโนโลยีนี้ในวงกว้างมากขึ้น

ในอีกความหมายหนึ่งของฟองสบู่ เราจะนิยามว่าเป็นราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนที่ราคาจะร่วงลดลงภายหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อราคาฟื้นตัวกลับขึ้นมาสิ่งนี้จะกลายเป็นการโฆษณาครั้งใหญ่ให้กับ Bitcoin เสมอ โดยมีพาดหัวข่าวที่แพร่สะพัดออกไปเกี่ยวกับราคาที่เพิ่มสูงขึ้น และในไม่ช้าผู้คนก็จะเริ่มสงสัยเกี่ยวกับ Bitcoin

ข้อมูลดังกล่าวนี้ได้ปรากฏขึ้นในงานวิจัยของนาย Yanhao “Max” Wei ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่ USC Marshall School of Business ที่ได้ทำร่วมกับนาย Anthony Dukes เพื่อนร่วมงานของเขา โดยการผสมผสานโมเดลพื้นฐานในการกระจายตัวของผลิตภัณฑ์เข้ากับเศรษฐศาสตร์การเงินมหภาคเพื่อค้นหามุมมองใหม่ ๆ ในการลงทุนคริปโต

โมเดลนี้แสดงให้ว่า ฟองสบู่ราคากับการยอมรับของผู้คนมีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริงเทรนด์การค้นหา Bitcoin บน Google ได้พุ่งแตะจุดสูงสุดในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ราคา Bitcoin ได้พุ่งแตะสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2013 และธันวาคม 2017 พอดี
ความสนใจของผู้คนได้สะท้อนให้เห็นในเทรนด์การค้นหาข้อมูลบน Google ที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อราคาของ Bitcoin ปรับตัวเพิ่มขึ้น งานวิจัยของ Wei ตั้งข้อสังเกตว่า ความสนใจที่เพิ่มสูงขึ้นนี้มักจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เช่นการเปิดตัวบริการ Shared Coin ในเดือนพฤศจิกายน 2013 ซึ่งได้นำเสนอการทำธุรกรรมแบบไม่ต้องเปิดเผยตัวตนให้กับผู้ใช้งาน

นอกจากนี้หากเราดูจำนวนบัญชี Bitcoin Wallet ในอดีตเราจะเห็นได้ว่า จำนวนบัญชีมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างมากในช่วงเดือนธันวาคม 2017 ซึ่งตรงกับจุดสูงสุดในแนวโน้มของ Google Trend พอดี ความสนใจที่เพิ่มขึ้นนี้ได้สอดคล้องกับการตัดสินใจของญี่ปุ่น, รัสเซียและนอร์เวย์ในการยอมรับ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ความสนใจและการยอมรับที่เพิ่มขึ้นนี้เองที่ส่งผลทำให้ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นอย่างมาก เนื่องจาก Bitcoin ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้นและช่วยดึงดูดผู้คนให้หันมาใช้ Bitcoin กันมากขึ้น ดังนั้นราคาของ Bitcoin จึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

โดยพื้นฐานแล้วฟองสบู่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อ Bitcoin เนื่องจากการไหลเข้าของนักลงทุนจะช่วยให้สกุลเงินนั้นมีสภาพคล่องเพิ่มสูงขึ้น แต่ในทางกลับกันการขาดสภาพคล่องก็ถือเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงอีกประการหนึ่งสำหรับการนำ Bitcoin มาใช้

จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ฟองสบู่ Bitcoin อาจมีส่วนช่วยในการเติบโตของราคาและขับเคลื่อนการยอมรับของผู้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากทั้งสองปัจจัยนี้มีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราจึงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าฟองสบู่ Bitcoin จำเป็นจะต้องมีอยู่ต่อไปในอุตสาหกรรมแห่งนี้

3 สาเหตุที่ราคา Bitcoin ร่วงลงไปแตะระดับ 30,000 ดอลลาร์ในวันนี้

ราคา Bitcoin นั้นดูเหมือนว่าจะถูกแรงเทขายซัดเข้ามาอีกระลอกหนึ่งแล้วในช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา โดยเราได้เห็นจุดต่ำที่ราคา 30,828 ดอลลาร์ในวันนี้เมื่อเวลาประมาณ 1 ทุ่มบนคู่เทรด BTCUSD จาก TradingView โดยมีเม็ดเงินราว ๆ 662 ล้านดอลลาร์จากนักเทรดที่ถูกล้างพอร์ทไปในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ อ้างอิงข้อมูลจาก Bybt คำถามที่ตามมาก็คือ อะไรเป็นสาเหตุ?

แนวต้านที่ระดับราคา 35,000 ดอลลาร์ที่แข็งแกร่ง ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นการพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ที่ไปแตะระดับ 34,915 ดอลลาร์อย่างรุนแรง ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงสุดหากนับตั้งแต่วันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นราคาก็ได้ร่วงลงไปราว ๆ 16% เลยทีเดียว การพุ่งขึ้นของราคาดังกล่าวนั้นดูเหมือนว่าจะอยู่ได้ไม่นาน ก่อนที่จะร่วงลงมาอย่างรุนแรง และทำให้นักเทรดที่เปิด long นั้นต้องขาดทุนกันไปอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้นแท่งเทียนบนกราฟราคาของ Bitcoin นั้นยังเผยให้เห็นแท่งที่ชื่อว่า Doji อีกด้วย ซึ่งหากลองดูที่ภาพด้านล่างที่เป็นกราฟรายวันของ Bitcoin แล้วจะเห็นว่าแท่งสีแดง ๆ ที่มีเส้นผอม ๆ ยาว ๆ สูง ๆ ขึ้นมานั้นกำลังบ่งบอกว่าราคากำลังกลับตัวเป็นขาลง

นักเทรดกำลังออกจากเว็บกระดานเทรดตัวชี้วัดที่ชื่อว่า Miners’ Position Index (MPI) หรือเครื่องมือจากบริษัท CryptoQuant ที่เอาไว้ใช้วัดการเปิด position ในตลาดของนักขุด Bitcoin นั้นได้แสดงให้เห็นว่าตัวเลขดังกล่าวได้พุ่งไปแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติกาลก่อนหน้านี้

โดย CEO ของ CryptoQuant หรือนาย Ki Young Ju นั้นเคยออกมาอธิบายว่านักขุดนั้นกำลังทำการ take profit เรื่อย ๆ หลังจากที่ราคา Bitcoin ได้พุ่งไปแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติกาลที่ 42,000 ดอลลาร์ และสิ่งนี้เองที่ส่งผลทำให้ตลาดนั้นเริ่มมีการกลับตัวเป็นขาลง

“พวกเขาได้ทำการเคลื่อนย้าย Bitcoin เป็นจำนวนมหาศาลเมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นได้ทำการ take profit อยู่เรื่อย ๆ ตั้งแต่ตอนที่ราคา
นั้นพุ่งไปแตะ 42,000 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมผมถึงยังมีมุมมองในด้านขาลงอยู่”

ตลาดหุ้นกำลังแย่งความสนใจไปจาก Bitcoinตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นดูเหมือนว่าจะมีโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาดคริปโตในขณะนี้ โดยก่อนหน้านี้นาย Sven Henrich หรือผู้ก่อตั้ง Northman Trader นั้นได้ออกมากล่าวว่าตลาด S&P นั้นได้แซงหน้าของ bitcoin ไปแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับตอนที่หุ้น Tesla นั้นถูกเพิ่มเข้ามาในตลาด

ในขณะเดียวกันหุ้นบริษัทเกมอย่าง GameStop นั้นดูเหมือนว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของราคาที่มากกว่า 4 เท่าจากในช่วงไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งคาดการณ์ว่าตลาดเหล่านี้ได้แย่งความสนใจและเม็ดเงินจากนักลงทุนไปจากตลาด Bitcoin เป็นจำนวนมากนั่นเอง

2 ตัวชี้วัดที่บ่งบอกว่าราคา Bitcoin จะไม่ร่วงทะลุ $ 33,000 อีกนาน

ในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมาราคา Bitcoin ( BTC ) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 31,000 ดอลลาร์ไปเป็น 34,800 ดอลลาร์ ก่อนที่จะปรับฐานราคาลดลง แม้ว่าราคาที่ลดลงมูลค่ากว่า 3,800 ดอลลาร์นี้อาจดูไม่สำคัญอะไรมากนัก แต่ในทางกลับกันความผันผวนกว่า 12% นี้ได้ล้างพอร์ตนักเทรดฟิวเจอร์สไปเป็นมูลค่ากว่า 660 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดเกี่ยวกับเบื้องหลังการร่วงลดลงของราคาในครั้งนี้ แต่ในวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมาประธานาธิบดีโจไบเดนได้แสดงความเต็มใจที่จะปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสิ่งนี้อาจลดแรงจูงใจของผู้ที่ซื้อ BTC เพื่อใช้ป้องกันภาวะเงินเฟ้อหรือป้องกันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ลดเมื่อเทียบกับสกุลเงินชั้นนำทั่วโลก

แม้ว่ากราฟราคาในระยะสั้นอาจจะไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนของ Bitcoin แต่ตัวชี้วัดบนตลาดฟิวเจอร์สหลายตัวและพฤติกรรมของนักเทรดชั้นนำชี้ให้เห็นแล้วว่า มันไม่มีที่ว่างเหลือให้กับราคาที่ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 30,000 ดอลลาร์อีกแล้ว

ราคา Bitcoin ได้ร่วงลงทดสอบแนวรับระดับ $ 30,800 แต่ผู้ซื้อได้แสดงท่าทีเชิงรุกที่ต่ำกว่าระดับนั้น ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้ง MicroStrategy และ Marathon Patent Group จะเพิ่งประกาศการเข้าซื้อ Bitcoin ครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตามสัญญาฟิวเจอร์สมีกำหนดให้หมดอายุลงในวันที่ 29 มกราคมนี้ ซึ่งจะทำให้สัญญาฟิวเจอร์สมูลค่ากว่า 4.9 พันล้านดอลลาร์หรือ 47% ของ Open interest ทั้งหมดมีการเปลี่ยนแปลงหรือถูกปิด Position ลงไปข้อมูลแสดงให้เห็นว่านักเทรดชั้นนำของ OKEx ได้มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นเมื่อตลาดมีการย่อตัวและสัญญาซื้อขายฟิวเจอร์สพรีเมี่ยมก็ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงอัตราเลเวอเรจที่มากจนเกินไปจากฝั่งผู้ซื้อ

แม้ว่าเรื่องนี้จะดูน่าเป็นห่วง แต่ส่วนใหญ่ของสัญญาเหล่านั้นมักจะถูกยกเลิกเสมอ ซึ่งรวมถึง 1.53 พันล้านดอลลาร์ที่ OKEx, 875 ล้านดอลลาร์ที่ CME และ 840 ล้านดอลลาร์ที่ Binance เพื่อให้เข้าใจได้มากขึ้นว่าเจ้ามือและนักเทรดชั้นนำมีพฤติกรรมอย่างไรในช่วงเวลานี้ บทความนี้เราจะมาวิเคราะห์อัตราส่วน Long-to-short ของนักเทรดชั้นนำและสัญญาฟิวเจอร์สกัน นักเทรดชั้นนำมีการลงทุนเพิ่มเมื่อตลาดมีการย่อตัว นับตั้งแต่วันที่ 22 มกราคมนักเทรดอันดับต้น ๆ ของ Binance มีการเปิด Postion

อยู่ในระดับที่สมดุล แต่พวกเขาเริ่มมีการเปิด Long position เพิ่มสูงขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 25 มกราคมและแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 26 มกราคมและปัจจุบันตัวชี้วัดเผยให้เห็นว่าฝั่ง Long ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกว่า 13% โดยปัจจุบันอัตราส่วน Long-to-Short ของนักเทรดอันดับต้น ๆ ของ Binance ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือน 1.20

ในทางกลับกันนักเทรดอันดับต้น ๆ ของ Huobi มีอัตราส่วน Long-to-Short อยู่ที่ 0.85 ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา โดยฝั่ง Short ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกว่า 15% เมื่อวันที่ 25 มกราคมและเนื่องจาก Bitcoin มีราคาเพิ่มขึ้นแตะสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 34,800 ดอลลาร์ นักเทรดเหล่านั้นจึงได้เพิ่มสัญญา Short อีกกว่า 25% ดังนั้นด้วยการคาดการณ์ราคาที่ถูกต้องพวกเขาจึงสามารถซื้อสัญญาเหล่านั้นกลับคืนในราคาที่ต่ำกว่า โดยปัจจุบันนักเทรดอันดับต้น ๆ ของ Huobi มีอัตราส่วน Long-to-Short อยู่ที่ 0.85 ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยรายเดือน

สุดท้ายนักเทรดอันดับต้น ๆ ของ OKEx ได้ทำการซื้ออย่างจริงจังนับตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมทำให้อัตราส่วน Long-to-Short รายเดือนพุ่งแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 2.64 และนั้นหมายความว่ามีนักเทรดฝั่ง Long กว่า 164% ที่กำลังเสี่ยงขาดทุนอยู่ในขณะนี้ เมื่อพิจารณาจากราคาของ BTC ที่ร่วงลดลงจากระดับ 34,800 ดอลลาร์เหลือ 31,100 ดอลลาร์

อัตราพรีเมี่ยมร่วงแตะจุดต่ำสุด ปกติแล้วอัตราพรีเมี่ยมบนตลาดฟิวเจอร์สเฉลี่ยต่อปี (พื้นฐาน) ควรอยู่ที่ระดับ 10% ถึง 20% เมื่อเทียบกับกระดานเทรดแบบ Spot หรือจะให้พูดง่าย ๆ ตัวชี้วัดนี้เทียบได้กับอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากรายปีของธนาคารนั่นเอง
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ตัวชี้วัดดังกล่าวมีระดับค่าเฉลี่ยพื้นฐาน นี่อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงความน่ากลัว ในทางกลับกันหากค่าเฉลี่ยพื้นฐานสูง

กว่า 20% มันจะเป็นการส่งสัญญาณว่าผู้ซื้อมีการใช้อัตราเลเวอเรจมากเกินไปทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะถูกล้างพอร์ตจำนวนมหาศาลและตลาดอาจพังทลายลงไปในที่สุด กราฟด้านบนแสดงให้เห็นถึงอัตราค่าพรีเมี่ยมที่มีการเคลื่อนไหวขึ้น ๆ ลง ๆ ที่ใกล้กับระดับ 4.5% และนั้นหมายถึงอัตราค่าพรีเมี่ยมเฉลี่ยอยู่ที่ 22% ต่อปี แต่หลังจากราคา BTC ร่วงลดลงทดสอบแนวรับที่ 31,000 ดอลลาร์ ในวันที่ 20 มกราคม ตัวชี้วัดดังกล่าวก็ได้ร่วงกลับลงมาอยู่ที่ระดับ 3.3% และเมื่อเร็ว ๆ นี้กลายเป็น 2.2% หรือคิดเป็นอัตราพรีเมี่ยมรายปีอยู่ที่ 12%

สิ่งนี้สรุปได้ว่าตลาดฟิวเจอร์สยังไม่มีสัญญาณของความสิ้นหวัง อัตราพรีเมี่ยมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่มีการใช้อัตราเลเวอเลจมากจนเกินไป ดังนั้นโอกาสที่ราคา Bitcoin จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นเป็นไปได้สูง แม้ว่าอัตราส่วน Long-to-Short บนเว็บเทรด OKEx อาจดูเหมือนว่าสูงมากเกินไป แต่โครงสร้างตลาดโดยรวมยังคงห่างไกลจากการใช้อัตราเลเวอเลจที่มากจนเกินไป ดังนั้นแม้ว่าราคา BTC จะร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า $ 28,000 ในวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา แต่ผู้ซื้อก็ยังมีกระสุนเหลือพอที่จะหลีกเลี่ยงแนวโน้มขาลงในระยะสั้น

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนได้ที่
: https://sagame777.bet/blog/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2-sagame66-%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%99

 

Sitemap 1 2 3