แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - gmkpas5s9q81a3

หน้า: [1]
1

สมุนไพรพญายอ
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อตระกูล ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อเขตแดนผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาข้อคำ  พญาปล้องดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสมหะพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มคอยเลื้อย ลำต้นและก็แขนงสะอาดเป็นเงา สูงได้ถึง 3 เมตร ใบผู้เดียวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานปนใบหอก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซนติเมตร โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซ็นต์ ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอด กลีบดอกไม้สีส้มแดงเชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 ซม. ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาแล้วก็สรรพคุณ


-ส่วนใบ รักษาอาการเนื่องด้วยแมลงกัดต่อยแล้วก็โรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides เช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และก็สารกรุ๊ป glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยั้งไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าช่องท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอร้อยละ 5  ใน cold cream และก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อเอามาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แต่ว่าเมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่ได้เรื่อง
ฤทธิ์ลดอาการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์รับประทานสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บปวดของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีตำหนิค  ขึ้นรถสกัดความแรง 90 มก./กก. จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ และก็สารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่มีผลลดความเจ็บปวด

ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส
ไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และก็เอทิลอะซิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต้านทานไวรัสเชื้อเริม HSV-1  และก็เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 4 แล้วก็ใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต้านทานไวรัสเจริญและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  ตอนที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการรักษาคนเจ็บโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์จำพวกเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  รวมทั้งยาหลอก  โดยให้คนเจ็บทายาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่แตกต่างในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลผู้ป่วยที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอแล้วก็ยา acyclovir   โดยแผลจะเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน และก็หายสนิทด้านใน 7 วัน ซึ่งไม่เหมือนกันกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่นำมาซึ่งการอักเสบ ระคาย ในตอนที่ acyclovir ทำให้แสบ   นอกนั้นมีการใช้ยาที่ทำมาจากพญายอ ในผู้เจ็บป่วยโรคเริม งูสวัด และแผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลแล้วก็ลดการอักเสบก้าวหน้า   
ไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายไวรัส Varicella zoster ที่เป็นต้นเหตุโรคงูสวัดรวมทั้งอีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่ไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 7-14 วัน ตราบจนกระทั่งแผลจะหาย  พบว่าคนเจ็บที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดด้านใน 3 วัน และก็หายภายใน 7-10 วัน จะมีเป็นจำนวนมากกว่ากลุ่มสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระดับความเจ็บลดน้อยลงเร็วกว่ากรุ๊ปยาหลอก และไม่เจอผลกระทบใดๆก็ตาม


อาการข้างเคียง


ความเป็นพิษทั่วๆไปและต่อระบบแพร่พันธุ์


การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษน้อย แต่ว่ามีพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กิโลกรัม (หรือเท่ากันใบแห้ง 5.44 กรัม/โล) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการพิษอะไรก็ตาม
การเรียนพิษ
พญายอครึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กก. และก็ 540 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุกเมื่อเชื่อวัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเจริญเติบโต แม้กระนั้นน้ำหนักต่อมธัยมัเศร้าใจลง ในช่วงเวลาที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่เจอความเปลี่ยนไปจากปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่เจออาการไม่พึงประสงค์ใดๆ หนูแรทที่รับประทานสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/โล ทุกวี่วันนาน 90 วัน พบว่าการกินอาหารของกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดและก็กลุ่มควบคุมไม่ได้ต่างอะไรกัน แต่ว่าน้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/กก. น้อยกว่าพญายอกรุ๊ปควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งคู่เพศสูงกว่า และครีอาติเตียนนินน้อยกว่ากลุ่มควบคุม  แต่ว่าไม่เจอความแปลกด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน และก็พยาธิสภาพภายนอกhttp://www.disthai.com/

2

เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มแพทย์ แก้มหมอเล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในแบบเรียนยาไทยกล่าวว่า เหงือกปลาหมอสามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกประเภท
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์เด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้กระทั้ง โรคอีสุกอีใส ที่เกิดจากเชื้อไวรัสก็จะลดน้อยลงลง
สมุนไพร เหงือกปลาหมอเป็นไม้พุ่มที่มีขนาดกลางสูงประมาณ 1-2 เมตร ส่วนของลำต้นแล้วก็ใบจะมีหนามมีหนาม ใบหนามแข็งรวมทั้งมีขอบเว้าหนามแหลมใบออกเป็นคู้ตรงกันข้ามกัน ส่วนของดอกจะออกเป็นช่อตามยอด กลีบดอกจะมีสีขาอมม่วง มี 4 กลีบแยกจากกันผลเป็นฝักสีน้ำตาล มี เมล็ด จะสามารถมักพบตามชายน้ำ ริมฝั่งลำคลองรอบๆปากแม่น้ำ
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสเอดส์ แม้ว่าจะรุนแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วๆไป แต่ว่าเมื่อใช้เหงือกปลาหมอเป็นยารับประทานรวมทั้งต้มน้ำอาบติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ข้างขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะบรรเทาเบาบางลงอย่างชัดเจน สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังด้วย
แนวทางปรุงยาแล้วก็วิธีการใช้ยาก็มีหลายวิธีหมายถึง
แนวทางต้มยารับประทานแล้วก็อาบ
เอาเหงือกปลาแพทย์สดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มรับประทานขณะอุ่นๆครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง รุ่งเช้า-เย็น ก่อนที่จะกินอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น ต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำจะต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดซะก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แต่ว่าถ้ามีเหงือกปลาหมอเยอะๆ บางทีก็อาจจะต้มยาเพื่อเป็นการแช่หมดทั้งตัวในอ่างก็ยิ่งดี
วิธีการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมอทั้ง 5 หนตากแห้งมาบดเป็นผุยผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. คนแก่รับประทานทีละ 2 เม็ด เด็กบางครั้งอาจจะรับประทานทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุและก็น้ำหนัก กินวันละ 2 ครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร ตอนเช้า-เย็น กินไปเรื่อยกระทั่งจะหาย แต่หากเป็นโรคผิวหนังจากภูมิต้านทานขาดตกบกพร่องก็จะต้องรับประทานตลอดกาล

แนวทางการทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาแพทย์ที่ผ่านการบินร่อนเป็นผุยผงละเอียดเสมือนแป้งใส่แคปซูลขนาด 250 มก. ผู้ใหญ่รับประทานทีละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนรับประทานอาหาร เด็กลดลงตามส่วน
เหงือกปลาแพทย์มีคุณประโยชน์มากมายก่ายกอง ได้แก่
-ราก มีคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ และใช้ขับเสลด
-ต้น มีสรรพคุณรักษาโรคหลากหลายประเภท โดยใช้ต้นตำผสมน้ำกินรักษาวัณโรค อาการผอมเกร็ง ถ้าเกิดใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้คุณประโยชน์ทางยาแตกต่างกันออกไปอีก
-อีกทั้งต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกประเภท
-ต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังทำลายพิษ ต้มกินแก้พิษไข้ทรพิษ ฝีทั้งปวง ผลกินเป็นยาขับเลือดระดู นอกนั้น ถ้าตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ทั้งต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาตลอดตัว
- ต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะดียิ่งขึ้น
- ตำเอาน้ำกินกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน โรคกุฏฐัง จับไข้จับสั่น
- ต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บข้างหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนกิน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผอมเกร็งเหลืองหมดทั้งตัว กินทุกเมื่อเชื่อวัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเสมอกันใส่หม้อ เกลือนิดหนึ่ง หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำจนถึงเดือดให้งวดจึงยกลง อั้นลมหายใจกินขณะอุ่นจนหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนทั้งตัว มึนหัว ตามัว เจ็บระบมหมดทั้งตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาแพทย์" อีกทั้ง 5 รวมราก กับ อาหารเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ จำนวนเท่ากัน กะตามอยาก ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา รุ่งเช้า ช่วงกลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดียิ่งขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย และต้องระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาแพทย์" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นรับประทานทุกเมื่อเชื่อวัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค สติปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกชนิดหาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 พวก หูไว
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่เคยทราบเมื่อยล้า
กินได้ 7 เดือน ผิวสวย
กินได้ 8 เดือน เสียงน่าฟัง
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนถ้าหากผิวแตกตลอดตัวหายได้ ทั้งหมดที่บอกเป็นแบบเรียนยาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่สมควรดูหมิ่น ทราบไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

3

บัวบก
บัวบก ชื่อสามัญ Gotu kola
บัวบก ชื่อวิทยาศาสตร์ Centella asiatica (L.) Urb. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)
สมุนไพรบัวบก มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า ผักหนอก (ภาคเหนือ), ผักแว่น (ภาคใต้), กะโต่ ฯลฯ จัดเป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดในแถบทวีปเอเชีย เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก มีกลิ่นแรง มีรสขมหวาน
เมื่อพูดถึงบัวบก สมุนไพรชนิดนี้ขึ้นมาทีไร ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยอาจคิดไปว่ามันเพียงแค่ช่วยแก้อาการบอบช้ำในเฉยๆ(ส่วนอาการอกหักนี้ไม่เกี่ยวกันนะ) แต่ที่จริงแล้ว บัวบกหรือใบบัวบกนั้นมีคุณประโยชน์ล้นหลาม เนื่องจากว่าได้รับการกล่าวขวัญเกี่ยวการดูแลและรักษาโรคได้หลายประเภท อย่างโรคลมชัก โรคผิวหนัง ท้องเสีย ท้องอืด แผลในกระเพาะ มีฤทธิ์กล่อมประสาท ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มความจำ ช่วยลดความเหน็ดเหนื่อยของสมอง
ใบบัวบก มีสารประกอบสำคัญหลายอย่าง ได้แก่ บราโมซัยด์ บราไม่โนซัยด์ สามเตอพีนอยด์ มาดิแคสโซซัยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ และก็ยังมีกรดมาดิแคสซิค วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินเอ วิตามินเค ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโซเดียม และกรดอะมิโน ดังเช่นว่า แอสพาเรต กรดกลูตามิก เซรีน ทรีโอนีน อะลานีน ไลซีน ฮีสหนดิน เป็นต้น
ใบบัวบกเหมาะกับผู้ที่ขี้ร้อน มีสภาวะแกร่ง หรือมีความร้อนชื้น เพราะเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาเย็น
บัวบกคุณประโยชน์ของใบบัวบกประโยชน์ของใบบัวบก
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากใบบัวบก
บัวบกเป็นพืชที่มีแคลเซียมในระดับปานกลางถึงสูง แต่ว่าหรูหราสารออกซาเลตที่เป็นโทษต่อสภาพร่างกายในปริมาณต่ำ
ใบบัวบกช่วยคืนความอ่อนเยาว์ ย้อนอายุแล้วก็วัย
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ
ช่วยสร้างเสริมและก็กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและก็อีลาสติน
มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านการเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากใบบัวบก ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ฟื้นฟูรอบดวงตา เพราะเหตุว่าบัวบกมีวิตามินเอสูง
ช่วยรักษาอาการตาอักเสบบวมแดง ด้วยการกางใบบัวบกล้างน้ำสะอาด คั้นมัวแต่น้ำนำมาหยดที่ตา 3-4 ครั้งต่อวัน
ช่วยบำรุงรักษาประสาทและก็สมองเสมือนใบแปะก๊วย
ช่วยทำให้ความจำดีขึ้นรวมทั้งทำให้มีปฏิภาณความฉลาดมากขึ้น
ช่วยเพิ่มความจำในคนชรา
เชื่อว่าใบบัวบกมีส่วนช่วยเพิ่มความฉลาดทางสติปัญญา ความฉลาด และก็ความสามารถสำหรับเพื่อการเรียนรู้
ใบบัวบกมีสรรพคุณช่วยชะลอลักษณะโรคสมองเสื่อมในคนแก่ สตรีวัยทอง โรคอัลไซเมอร์หรืออาการลืมระยะสั้นได้
ช่วยเพิ่มสมาธิ แก้สมาธิสั้น
ช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับการตัดสินใจเฉพาะหน้า
ช่วยแก้ลักษณะของการปวดศีรษะ ปวดหัวข้างเดียว
ช่วยแก้อาการเวียนหัวศีรษะ
ช่วยความเครียดน้อยลง
ช่วยเสริมหลักการทำงานของกาบา (GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยรักษาสมดุลของจิตใจ จึงช่วยบรรเทาแล้วก็ทำให้หลับง่ายมากยิ่งขึ้น
ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆเจริญเพิ่มขึ้น
ช่วยกระตุ้นการผลิตเนื้อเยื่อใหม่
ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย
ช่วยทำนุบำรุงเลือดในร่างกาย
ช่วยบำรุงหัวใจ
ช่วยฟื้นฟูสุขภาพจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
ช่วยทำให้จิตใจสดชื่น อารมณ์แจ่มใส
ช่วยให้เค้าหน้าแจ่มใสราวกับเป็นวัยรุ่น
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ
ช่วยบำรุงรักษาเสียง
ช่วยรักษาลักษณะการเจ็บคอ ด้วยการใช้บัวบกสดประมาณ 1 กำมือ เอามาตำคั้นเอาน้ำแล้วเพิ่มน้ำส้มสายชู 1-3 ช้อนแกง แล้วจิบรับประทานเสมอๆ
ช่วยแก้อยากดื่มน้ำคุณประโยชน์ใบบัวบก
ใบบัวบกมีคุณประโยชน์ช่วยแก้อาการร้อนใน ตัวร้อน
ใบบัวบกมีสารยั้งหรือชะลอการขยายตัวของเซลล์ของมะเร็ง ช่วยต้านโรคมะเร็ง
ช่วยรักษาโรคโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานได้ดี
ช่วยรักษาโรคโรคตับเหลืองจากสภาวะร้อนชื้น ด้วยการใช้บัวบก 30 กรัม น้ำตาลก้อนกรวด 30 กรัม ต้มน้ำดื่ม
ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง
ช่วยถนอมอาหารโรคหืด
ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง ด้วยการใช้ต้นสด 1 กำมือต้มกับน้ำแล้วนำมาดื่ม หรือจะใช้บัวบกสดๆต้นประมาณ 30 กรัมเอามาค้นเอาน้ำ เติมน้ำตาลนิดหน่อยแล้วดื่มรับประทานประมาณ 5-7 วัน
ช่วยรักษาโรคลมชัก
ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ
ช่วยรักษาอาการเต้านมอักเสบเป็นหนองในระยะเริ่มต้น ด้วยการใช้บัวบกและก็เปลือกของลูกหมาก 1 ผล นำมาต้มกับสุราดื่ม
ช่วยแก้คนเป็นบ้า
ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับเลือด
ช่วยลดความดันเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นให้เส้นเลือด และก็ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
ช่วยรักษาโรคที่มีสมุฏฐานจากเสลด
ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า
ช่วยแก้ไข้
ช่วยห้ามเลือดกำเดา เพราะเหตุว่าทำให้เลือดเดิน แต่ว่าเลือดจะไม่ออกจากเส้นโลหิตแล้วก็ยังเป็นเหตุให้ใจร้ายอีกด้วย
ช่วยแก้อาการช้ำใน เจ็บจากการกระทบกระแทก
เป็นพืชที่ย่อยได้ง่าย
ช่วยทำให้เจริญอาหาร รับประทานอาหารได้มากขึ้น
ช่วยแก้อาการท้องร่วง
สารสกัดจากใบบัวบกมีฤทธิ์ปกป้องและยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยแก้อาการเริ่มที่จะเป็นบิด
ช่วยรักษาโรคบิดหรือมีมูกเลือดผสมเมื่อถ่าย
ช่วยรักษากระเพาะเป็นแผล
ใช้เป็นยาระบาย ช่วยระบายท้อง แก้ลม
ใช้เป็นยาขับฉี่
แก้อาการฉี่ติดขัด ด้วยการกางใบบัวบกโดยประมาณ 50 กรัม เอามาตำแล้วพอกบริเวณสะดือ เมื่อฉี่คล่องก็ดีแล้วค่อยเอาออก
ช่วยขับความร้อนเปียกชื้นฟุตบาทเยี่ยว ปกป้องการเกิดนิ่ว
ช่วยรักษาโรคนิ่วฟุตบาทปัสสาวะด้วยการใช้บัวบก 50 กรัมต้มกับน้ำแช่ข้าวครั้งที่ 2 แล้วเอามาดื่ม
ช่วยรักษาอาการมีหนองออกจากเยี่ยว
ช่วยแก้อาการน้ำดีภายในร่างกายมากเกินไป
ช่วยรักษาโรคม้ามโต
ช่วยรักษาอาการติดเชื้อโรคของเชื้อไวรัสตับอักเสบ
แก้ลักษณะของการปวดข้อรูมาตอยด์
ใช้เป็นยาห้ามเลือด ใส่แผลสด ด้วยการกางใบสดประมาณ 20 ใบนำมาล้างให้สะอาด ตำพอกแผลสด
ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วเพิ่มขึ้น ช่วยรีบการสร้างเยื่อ
ช่วยแก้อาการบวมช้ำ ด้วยการกางใบบัวบกมาทุบให้แหลกแล้วนำมาโปะรอบๆที่ฟกช้ำ หรือจะใช้ใบบัวบกโดยประมาณ 40 กรัม ต้มกับสุราแดงประมาณ 250 cc. ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วนำมาดื่ม
ใช้บัวบกตำเอามาพอกรักษาความร้อนบวมของโรคไฟลามทุ่ง หรือใช้รักษาอาการด้วยการใช้น้ำคั้นบัวบกนำมาผสมกับแป้งข้าวเหนียวทำเป็นแป้งเหลว พอกบริเวณที่เป็น
ช่วยรักษาพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ช่วยรักษาโรคผิวหนังต่างๆดังเช่นว่า โรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน หิด ฝึกฝน ฯลฯ
ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดหนอง
ช่วยลดอาการอักเสบของแผลได้อย่างดีเยี่ยมรวมทั้งใช้ทารักษาแผลอักเสบจากการผ่าตัดได้อีกด้วย
ช่วยรักษาผิวหนังเป็นด่างขาว
ใช้เป็นยาทำลายพิษ ช่วยลดลักษณะของการปวดแสบปวดร้อนจากแผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ทั้งยังต้นสดของบัวบกโดยประมาณ 3 ต้นนำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้แหลกแล้วเอามาพอกแผลไฟไหม้
บัวบกมีการเอามาสร้างเป็นแคปซูลวางจำหน่าย มีสรรพคุณสำหรับการช่วยทำนุบำรุงสมองเป็นหลัก (Brain tonic)
เดี๋ยวนี้มีการนำไปทำเป็นยาเป็นแผนปัจจุบันในรูปแบบผงใช้โรยแผล และก็ในแบบเป็นเม็ดกินเพื่อรักษาแผลผ่าตัด แผลสด ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือฝีหนองได้ และก็ยังช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดแผลเป็นอีกด้วย
ช่วยแก้อาการก้างปลาติดคอ ด้วยการนำบัวบกไปต้มน้ำ แล้วค่อยๆกลืนน้ำลงคอ
ใบและเถาบัวบกใช้กินเป็นผักสดกับน้ำพริกกะปิคั่ว หมี่กรอบ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ลาบ ก้อย แกงเผ็ด ยำใบบัวบก ซุปหน่อไม้ เป็นต้น
น้ำคั้นจากใบบัวบกเอามาทำเป็นน้ำมันบัวบกใช้ชโลมหัว มีสรรพคุณช่วยบำรุงรักษาหนังศีรษะและเส้นผม ช่วยให้เส้นผมดกดำ แก้ปัญหาผมร่วง ผมหงอกก่อนวัย
น้ำใบบัวบกเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับฤดูร้อนเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็นดับร้อนในร่างกายได้สารพัด
สารสกัดจากใบบัวบก มีคุณลักษณะช่วยลดการระคายเคืองผิวแล้วก็ไม่มีอันตรายต่อสภาพร่างกาย
สารสกัดจากใบบัวบกมีการนำมาใช้เพื่อเป็นส่วนประกอบในการผลิตเครื่องสำอาง
มีการนำสารสกัดจากใบบัวบกมาใช้ทำเป็นสิ่งของปิดแผล
ลบรอยตีนกาตื้นๆด้วยน้ำใบบัวบก ด้วยการนำบัวบกมาล้างน้ำให้สะอาด นำไปปั่นกระทั่งละเอียด แล้วนำน้ำที่ได้มาใช้สำลีชุบน้ำทาทั่วรอบๆหางตาหรือทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ราวๆ 15 นาทีแล้วล้างออก โดยควรทาทุกวี่วันก่อนนอน
มีการนำสารสกัดจากใบบัวบกมาผลิตเป็นสบู่ใบบัวบก ซึ่งผู้สร้างอ้างว่าช่วยรักษาสิว ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างขาวใส ผิวหน้าเต่งตึงได้

วิธีการทำน้ำบัวบก
วิธีทำน้ำบัวบกขั้นตอนการทำน้ำบัวบก ควรจะเลือกใช้ใบบัวบกที่แก่กว่า รับประทานเป็นผักสด โดยใช้ทั้งรากนำมาล้างน้ำทำความสะอาด
ใบบัวบกจะเหนียวให้ตัดเป็น 2-3 ท่อน ก่อนนำมาบด
คั้นน้ำแรกโดยผสมน้ำกับใบบัวบกที่บด แล้วนำกากที่เหลือมาคั้นน้ำที่สองเพื่อให้ได้ตัวยาสมุนไพรที่ยังเหลืออยู่ (ควรใช้น้ำที่สะอาด และก็ห้ามใช้น้ำร้อนหรือนำน้ำที่คั้นได้ไปต้ม)
กรองน้ำบัวบกด้วยผ้าขาวบางห่างๆ(แบบผ้ามุ้ง ถี่มากจะกรองไม่ได้)
ข้างหลังกรองจะมีกากให้ทิ้งไป ให้รินเฉพาะน้ำส่วนใสๆมาดื่ม
น้ำบัวบกจะต้องคั้นใหม่ๆจากใบสดๆและไม่ควรที่จะเก็บน้ำที่คั้นได้ไว้นานหรือควรแช่เย็นเก็บไว้
น้ำเชื่อมถ้าทำจากน้ำสุกใบเตย จะก่อให้น้ำบัวบกอร่อยมากขึ้น
สรรพคุณของน้ำใบบัวบกช่วยแก้ร้อนใน ช้ำใน
ไข่เจียวบัวบก
ใบบัวบกวัตถุดิบที่จำเป็นต้องจัดแจงอาทิเช่น บัวบกสด 20 กรัม / ไข่ 2 ฟอง / น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ / น้ำปลานิดหน่อย / น้ำมันพืชสำหรับใช้สำหรับทอด
นำบัวบกมาล้างจนถึงสะอาดแล้วหั่นซอกซอยเป็นชิ้นเล็กๆ
นำไข่มาตอกแล้วตีไข่ เพิ่มเครื่องปรุงต่างๆ
นำใบบัวบกที่ซอกซอยแล้วผสมลงไปในไข่ คนให้เข้ากัน
นำมาทอดในไฟอ่อนจนไข่สุก
สรรพคุณช่วยทุเลาอาการปวดศีรษะ และเวียนหัวศีรษะ
ข่างปองบัวบก (บัวบกชุบแป้งทอด)
ตระเตรียมวัตถุดิบดังนี้ บัวบกสด / ไข่ไก่ / แป้งทอดกรอบ / กระเทียมหั่นหยาบคาย / หอมแดงหั่นหยาบคาย / เกลือ / พริกไทยป่น
นำบัวบกสดที่ได้มาล้างชำระล้าง แล้วหั่นหยาบๆให้พอดิบพอดีคำ
นำแป้งที่ใช้ทอดกรอบมาผสมกับไข่ไก่ กระเทียม หอมแดง พริกไทย และก็เกลือ ผสมเข้าด้วยกัน
นำบัวบกที่หั่นจัดเตรียมไว้ เอามาชุบกับแป้งที่ผสมไว้
หลักแล้วตั้งกระทะ ใส่น้ำมันให้ร้อน
แล้วจึงน้ำบัวบกที่ชุบแป้งแล้ว นำมาทอดให้พอเพียงเหลืองกรอบแล้วชูลงให้สะเด็ดน้ำมัน
เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย นำมาจิ้มรับประทานกับน้ำจิ้มไก่ได้เลย
คุกกี้บัวบก
ให้เตรียมวัตถุดิบดังต่อไปนี้ บัวบกหั่นละเอียด 2 ถ้วยตวง / ไข่ไก่ 1 ฟอง / แป้งอเนกประสงค์ 2 ถ้วยตวง / เนยสดรสเค็ม 2 ถ้วยตวง / น้ำตาล 1.1/2 ถ้วยตวง / ผงฟู 2 ช้อนชา / กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
นำใบบัวบกมาล้างชำระล้างแล้วหั่นอย่างละเอียด โดยตัดก้านแล้วก็ใบออกจากกัน ก้านให้หั่นเป็นท่อนเล็กๆส่วนใบเอามาเรียงทับกันแล้วหั่นตามแนวขวางและก็กลับมาหั่นอีกข้าง แล้วพักไว้
นำแป้งรวมทั้งผงฟูมาร่อนผ่านที่กรอง 2 รอบ แล้วพักไว้
นำเนยสดมาตีให้กับน้ำตาลด้วยความเร็วปานกลางจนถึงขึ้นฟู ราว 1 นาที
ใส่ไข่ไก่และก็กลิ่นวานิลลาลงไป แล้วตีให้ถูกกัน
เบาๆใส่แป้งที่ร่อนไว้แล้วลงไปทีละน้อย (ครั้งละ 1 ส่วน 3 ของแป้งทั้งหมดทั้งปวง) แล้วตีแป้งให้กับส่วนผสมทั้งหมดทั้งปวง
นำบัวบกที่หั่นละเอียดแล้วใส่ลงไปในแป้ง แล้วผสมเข้าด้วยกันไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้ากันอีกครั้ง
นำไปอบในตู้อบ โดยวางใส่ถาดที่ทาเนยหรือกระดาษทนความร้อน ซึ่งต้องตักแป้งให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ
ใช้เวลาอบราว 6-8 นาที ด้วยอุณหภูมิราว 250 องศา หรือมองว่าขอบเริ่มเหลืองก็เป็นอันใช้ได้แล้ว เสร็จแล้ว คุกกี้บัวบก
กระบวนการทำน้ำมันบัวบก
จัดแจงส่วนประกอบดังนี้ บัวบก 4 กิโล / น้ำมันที่ทำขึ้นมาจากมะพร้าว 1 ลิตร / น้ำที่สะอาด 1 ลิตร
นำบัวบกมาล้างน้ำชำระล้าง แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
เติมน้ำลงไปในบัวบก แล้วก็ค่อยนำไปปั่นจนละเอียด
เสร็จแล้วให้กรองเอาแต่น้ำบัวบกที่ได้จากการปั่น
นำน้ำบัวบกที่กรองได้ไปต้มกับน้ำมันที่สกัดจากมะพร้าวโดยใช้ไฟอ่อนๆประมาณ 80 องศาเซลเซียส
เคี่ยวไปเรื่อยจนถึงเหลือแค่น้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะพร้าว โดยให้พินิจลักษณะกากของน้ำมัน จะมีลักษณะแห้งแบบเม็ดทราย นับได้ว่าเป็นอันใช้ได้ ยกลงจากเตาแล้วกรองเอาน้ำมัน เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย
วิธีใช้น้ำมันบัวบก
ใช้น้ำมันที่ได้นำมาชโลมเส้นผม แล้วนวดให้ทั่วหนังศีรษะ
นวดเสร็จแล้วให้หมักทิ้งเอาไว้ราว 30 นาที
ครบเวลาแล้วให้สระผมด้วยน้ำอุ่นพร้อมแชมพูตามเดิม เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย
น้ำมันบัวบก สรรพคุณช่วยทำนุบำรุงหนังศีรษะรวมทั้งเส้นผม ช่วยทำให้เส้นผมดกดำ ไขปัญหาผมตก ผมหงอกก่อนวัย
คำตักเตือนแล้วก็ข้อเสนอแนะ
สรรพคุณของใบบัวบกการกินใบบัวบกคุณควรจะพิจารณาฐานรากของร่างกาย อย่ามองดูแต่สรรพคุณเพียงอย่างเดียว
บัวบกไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวการณ์เย็นพร่อง หรือขี้หนาว ท้องเฟ้อเสมอๆ
การรับประทานบัวบกในจำนวนที่มากเหลือเกิน จะก่อให้ธาตุในร่างกา
http://www.disthai.com/

4

รากสามสิบ
รากสามสิบ ชื่อสามัญ Shatavari8
รากสามสิบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Asparagus racemosus Willd. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Protasparagus racemosus (Willd.) Oberm.) จัดอยู่ในวงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (ASPARAGACEAE) แล้วก็อยู่ในตระกูลย่อย ASPARAGOIDEAE4
สมุนไพรรากสามสิบ มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า สามร้อยราก (จังหวัดกาญจนบุรี), ผักหนาม (นครราชสีมา), ผักชีช้าง (จังหวัดหนองคาย), จ๋วงเครือ (ภาคเหนือ), เตอสีเบาะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เพียงพอควายเมะ (กะเหรี่ยง-จังหวัดเชียงใหม่), ชีช้าง, ผักชีช้าง, จั่นดิน, ม้าสามต๋อน, สามสิบ, ว่านรากสามสิบ, ว่านสามสิบ, ว่านสามร้อยราก, สามร้อยผัว, สาวร้อยสามี, ศตาวรี ฯลฯ
รูปแบบของรากสามสิบ
ต้นรากสามสิบ จัดเป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพันต้นไม้อื่นด้วยหนาม (หนามแปลงมาจากใบเกล็ดรอบๆข้อ) สามารถเลื้อยป่ายปีนต้นไม้อื่นขึ้นไปได้สูงโดยประมาณ 1.5-4 เมตร แตกกิ่งเป็นเถาห่างๆลำต้นเป็นสีเขียวหรือสีขาวปนเหลือง เถามีขนาดเล็กเรียว กลม เรียบ ลื่น และก็วาว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 2-5 มม. เถาอ่อนเป็นเหลี่ยม ตามข้อเถามีหนามแหลม หนามมีลักษณะโค้งกลับ ยาวราวๆ 1-4 มิลลิเมตร รอบๆข้อมีกิ่งแตกแขนงแบบรอบข้อ และกิ่งนี้จะกลายเป็นสีเขียวลักษณะแบนเป็นรูปขอบขนาน ปลายแหลม กว้างราวๆ 0.5-1 มม. รวมทั้งยาวราวๆ 0.5-2.5 มม. ทำหน้าที่แทนใบ มีเหง้าและรากอยู่ใต้ดิน ออกเป็นกลุ่มคล้ายกระสวย ลักษณะของรากออกเป็นพวงคล้ายรากกระชาย ลักษณะอวบน้ำ เป็นเส้นกลมยาว มีขนาดโตกว่าเถามาก มีเขตการกระจายประเภทในประเทศไทย ประเทศอินเดีย ศรีลังกา ชวา จีน มาเลเซีย และก็ประเทศออสเตรเลีย พบขึ้นตามป่าในเขตร้อนชื้น ป่าเขตร้อนแล้ง ป่าผลัดใบ ป่าโปร่งหรือตามเขาหินปูน
ต้นรากสามสิบ
สามร้อยราก
ใบรากสามสิบ ใบเป็นใบผู้เดียว แข็ง ออกรอบข้อเป็นฝอยๆเล็กคล้ายหางกระรอก หรือออกเรียงสลับเป็นกระจุก 3-4 ใบ ใบเป็นสีเขียวดก รูปแบบของใบเป็นรูปเข็มขนาดเล็ก ปลายใบแหลม เป็นรูปเคียว โคนใบแหลม มีขนาดกว้างโดยประมาณ 0.5-1 มม. และยาวโดยประมาณ 10-36 มม. แผ่นมักโค้ง สันเป็นสามเหลี่ยม มี 3 สัน มีหนามที่ซอกกระจุกใบ ก้านใบยาวราวๆ 13-20 เซนติเมตร
ใบรากสามสิบ
ดอกรากสามสิบ มีดอกเป็นช่อกระจะ ยาวประมาณ 2-4 ซม. โดยจะออกที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบรวมทั้งข้อเถา ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ดอกเป็นสีขาวและมีกลิ่นหอม มีโดยประมาณ 12-17 ดอก ก้านดอกย่อยยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร มีกลีบรวม 6 กลีบ แยกเป็น 2 วง วงนอก 3 กลีบ และวงในอีก 3 กลีบ กลีบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลีบมน ขอบเรียบ กลีบกว้างประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร และก็ยาวประมาณ 2.5-3.5 มิลลิเมตร กลีบดอกมีลักษณะบางรวมทั้งย่น โคนกลีบเชื่อมชิดกันเป็นหลอดรูปดอกเข็มยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ส่วนปลายแยกเป็นแฉก ดอกมีเกสรผู้เชื่อมและก็อยู่ตรงข้ามกับกลีบรวม เป็นเส้นเล็ก 6 อัน ก้านชูอับเรณูเป็นสีขาว อับเรณูเป็นสีน้ำตาลเข้ม รังไข่เป็นรูปไข่กลับ อยู่เหนือวงกลีบ ยาวประมาณ 1 มม. มี 2 ช่อง ในแต่ละช่องมีออวุล 2 เมล็ด หรือมากยิ่งกว่า ส่วนก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉกขนาดเล็ก โดยจะมีดอกในตอนประมาณเดือนเมษายนถึงมิ.ย.1,2,4,5
ดอกรากสามสิบ
ผลรากสามสิบ ลักษณะของผลเป็นทรงค่อนข้างกลม หรือเป็นพู 3 พู ผิวผลเรียบเป็นมัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 4-6 มม. ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีแดงหรือสีม่วงแดง ข้างในผลมีเม็ดราว 2-6 เมล็ด เม็ดเป็นสีดำ เปลือกมีลักษณะแข็งแต่เปราะ ผลิดอกออกผลในช่วงราวๆเมษายนถึงกรกฎาคม1,8
ผลรากสามสิบ
เมล็ดรากสามสิบ

สรรพคุณของรากสามสิบ
รากสามสิบมีรสเฝื่อนเย็น มีคุณประโยชน์เป็นยาบำรุงกำลัง ใช้เป็นยาชูกำลัง (ราก)
ตำราเรียนยาไทยจะใช้รากเป็นยาแก้กระษัย (ราก)
ในประเทศประเทศอินเดียจะใช้รากเป็นยากระตุ้นประสาท (ราก)
รากใช้ผสมกับเหง้าขิงป่าแล้วก็ต้นจันทน์แดง ผสมกับสุราโรงใช้เป็นยาแก้วิงเวียน (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาลดระดับความดันโลหิตแล้วก็ลดไขมันในเลือด (ราก)
รากสามสิบมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยไปกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนให้เพิ่มการหลั่งสาร insulin (ราก)
ทั้งยังต้นหรือรากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคคอพอก (ราก, ต้น)
ผลมีรสเย็น ใช้ปรุงเป็นยาแก้พิษไข้เซื่องซึม แก้พิษไข้กลับไข้ซ้ำ มักใช้ร่วมกับผลราชดัด เพื่อเป็นยาดับพิษไข้จากบิดเรื้อรัง (ผล)
รากมีรสเฝื่อนฝาดเย็น ใช้รับประทานเป็นยาแก้พิษร้อนในอยากดื่มน้ำ (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ (ราก)
ช่วยขับเสลด4 แก้การติดเชื้อที่หลอดลม (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาช่วยขับลม และก็ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร (ราก)
ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้อาการของกินไม่ย่อย รักษาแผลในกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะ (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการท้องเสีย แก้บิด (ราก)
ใบมีสรรพคุณเป็นยาระบาย (ใบ)
ตำราเรียนยาสมุนไพรประจำถิ่นของจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
รากมีสรรพคุณเป็นยาแก้ขัดค่อย ขับเยี่ยว ช่วยหล่อลื่นรวมทั้งกระตุ้น (ราก)
ช่วยรักษาอาการรอบเดือนผิดปกติของสตรี (ราก)
ทั้งต้นหรือรากเอามาต้มกับน้ำเป็นยาแก้แท้งลูก (ราก, ทั้งยังต้น)
ในประเทศอินเดียจะใช้[url=http://www.disthai.com/16660416/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2]รากสามสิบ[/url]เป็นยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศอีกทั้งชายแล้วก็หญิง คนทางภาคเหนือบ้านพวกเราจะใช้รากสามสิบทำเป็นยาดอง ใช้รับประทานเป็นยาบำรุงสำหรับเพศชาย กินแล้วมีชีวิตชีวาเสมือนม้า 3 ตัว จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ม้าสามต๋อน” ส่วนแพทย์ยาโบราณจะใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรี ซึ่งเป็นต้นเหตุของชื่อ “สาวร้อยผัว” หรือ “สามร้อยผัว” กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ยังสามารถมีลูกมีสามีได้ อายุเท่าไรก็ยังมองสาวเสมอ แต่ว่าไม่ใช่รับประทานแล้วจะสามารถมีสามีได้เป็นร้อยคน ในหนังสือเรียนอายุรเวทจะใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรหลักสำหรับการบำรุงสตรี ทำให้กลับมาเป็นสาว ช่วยขจัดปัญหาต่างๆของสตรี ไม่ว่าจะเป็นภาวะระดูผิดปกติ ภาวการณ์หมดประจำเดือน ปวดประจำเดือน ตกขาว มีลูกยาก ไม่มีอารมณ์ทางเพศ ช่วยบำรุงท้อง บำรุงนม คุ้มครองการแท้ง อื่นๆอีกมากมาย สำหรับแนวทางการใช้ก็ให้นำรากมาต้มกิน หรือนำรากมาตากแห้งแล้วบดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง นอกจากนี้ยังใช้กระตุ้นน้ำนมในวัวนมได้อีกด้วย (ราก)
ใช้เป็นยาบำรุงตับรวมทั้งปอดให้กำเนิดกำลังเป็นปกติ แก้ตับและปอดทุพพลภาพ (ราก)
รากใช้ฝนทาแก้พิษจากแมลงป่องกัดต่อย (ราก)
รากใช้ฝนทาแก้ลักษณะของการปวดฝี ทำให้เย็น ช่วยถอนพิษฝี พิษปวดแสบปวดร้อน (ราก)
ช่วยบรรเทาอาการระคาย (ราก)
รากใช้กินเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อย ครั่นตัว (ราก)
ช่วยแก้อาการปวดข้อและก็คอ (ราก)
ใบมีสรรพคุณช่วยขับน้ำนม ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)
รากใช้เป็นยาบำรุงทารกในท้อง บำรุงน้ำนม บำรุงร่างกายหลังการคลอดลูกของสตรี (ราก)
ใน “พระตำราคุณประโยชน์ (แลมหาพิกัด)” ได้เอ่ยถึงคุณประโยชน์ของรากสามสิบไว้ว่า “ผักหวานเพศผู้มีรสหวาน แก้กำเดา แก้จักษุโรค รากสามสิบอีกทั้ง 2 มีคุณมากกว่าผักหวาน” กำเดาหรือไข้กำเดา มีอยู่ 2 ชนิด สิ่งแรกหมายถึงตัวร้อน เบื่อข้าว ปวดศีรษะ และอีกอย่างหนึ่ง คือ มีลักษณะอาการร้ายแรงมากยิ่งกว่า มีเม็ดผุดขึ้นตามร่างกาย มีลักษณะอาการคัน ไอ มีเสมหะ และก็มีเลือดออกทางปากรวมทั้งจมูก (ราก)
ส่วนในหนังสือ “พระคัมภีร์เวชศาสตร์อนุเคราะห์” ได้กล่าวถึงตำรับยารักษาคนธาตุหย่อนยาน อันมีตัวยารากสามสิบรวมอยู่ด้วยร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆอีกหลายแบบ โดยกล่าวว่ามีสรรพคุณ (ที่ค่อนจะเข้าใจยาก) ว่าช่วยกันจำเริญชีวิตให้กำเนิดกำลัง ให้บำรุงธาตุไฟ ให้เจริญอินทรีย์แต่ละอย่าง มีกำลังมากแตกต่าง รับประทานเข้าไปแล้วหาโทษไม่ได้ ใช้ได้ทั้งเด็ก ผู้สูงวัย คนมีกำลัง คนผอม คนไม่มีกำลัง คนธาตุหย่อนยาน ให้ประกอบยานี้กันเถอะ อนึ่ง กินแล้วให้มีขึ้นลูก ให้อกตอแค่นเดือนงทั้ง 4 มีกำลัง ถึงกระหักก็ดี หมอก็เชื่อถือรักษาโดยใช้ยานี้เถิด (ราก)
อีกตำรับหนึ่งเป็นยาแก้โรคซูบซีด แก้หอบหืด แก้ปิดตะ และแก้โรคลมต่างๆจะมีสมุนไพรอยู่ด้วยกัน 20 อย่างรวมทั้งรากสามสิบ (ราก)
ใน “พระหนังสือวรโยคสาร” ตำรับยา “วะระนาทิแผนก” เป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยรากไม้ 17 อย่าง รวมทั้งรากสามสิบ ซึ่งเป็นตำรับยาที่ใช้แก้อันตะวิทราโรค หรือโรคที่มีลักษณะเสียดแทงในลำไส้ใหญ่ ใช้เป็นยาแก้มันทาคินี แก้เสมหะ แก้ลุกลุมโรคหายแล แล้วก็ยังมีตำรับยาอีกอย่างก็คือ ตำรับยาแก้เสลด ที่มีสมุนไพรรวมอยู่ด้วย 16 อย่าง รวมทั้งรากสามสิบ (ราก)
ตำรับยาบำรุงครรภ์ แก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ ประกอบไปด้วยสมุนไพร 13 ชนิด ยกตัวอย่างเช่น รากสามสิบ แก่นสน กฤษณา กระลำพัก ขอนดอก ชะลูด อบเชย เปลือกสมุลแว้ง เทียนทั้งยัง 5 บัวน้ำอีกทั้ง 5 โกฐทั้ง 5 จันทน์ทั้ง 4 รวมทั้งเทพทาโร (ใช้อย่างละเสมอกัน) นำทั้งปวงมาใส่ในหม้อฉาบหรือหม้อดิน เติมน้ำลงไปให้ท่วมยาสูงราว 6-7 ซม. แช่ทิ้งไว้โดยประมาณ 15 นาที แล้วนำขึ้นตั้งด้วยไฟอ่อนๆต้มเคี่ยวประมาณ 30 นาที น้ำยาเดือดและก็มีกลิ่นหอมยวนใจจึงชูลงจากเตา ใช้ดื่มก่อนรับประทานอาหารเช้ารวมทั้งเย็น วันละ 2 เวลา เป็นยาบำรุงท้องอย่างยอดเยี่ยม (ราก)
นอกเหนือจากนั้นยังมีคุณประโยชน์ของรากสามสิบตามเว็บต่างๆนอกจากที่กล่าวมา สมุนไพรจำพวกนี้ยังมีสรรพคุณช่วยสร้างสมดุลให้แก่ระบบฮอร์โมนผู้หญิง แก้วัยทองคำ เพิ่มขนาดหน้าอกรวมทั้งบั้นท้าย ช่วยไขปัญหาช่องคลอดอักเสบ ขจัดกลิ่นในช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยกระชับรูปร่าง ลดไขมันส่วนเกิน บำรุงโลหิต บำรุงผิวพรรณ ลดสิว ลดฝ้า ทำให้ผิวขาวใส ช่วยชะลอความแก่ชรา ลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก ช่วยเสริมสร้างแล้วก็พัฒนาความจำและก็สติปัญญา (ไม่มีอ้างอิง)
ขนาดและวิธีใช้ : การใช้รากตาม ให้ใช้รากราว 90-100 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มวันละครั้งในรุ่งเช้า
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของรากสามสิบ
สารสำคัญที่เจอ ได้แก่ asparagamine, cetanoate, daucostirol, sarsasapogenin, shatavarin, racemosol, rutin
สมุนไพรรากสามสิบมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ต้านทานเชื้อรา ลดการอักเสบ แก้ลักษณะของการปวด คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ คุ้มครองป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดขึ้นจากความดันโลหิตสูง ขับนม มีฤทธิ์ราวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ยั้งเบาหวาน ลดระดับไขมันในเลือด กระตุ้นภูมิต้านทาน ต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็ง ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยั้งพิษต่อตับ
สารสำคัญที่พบในรากคือสาร steroidal saponins ซึ่งเป็นสารที่ปฏิบัติหน้าที่เอาอย่างฮอร์โมนเพศ จึงคงจะมีบทบาทสำหรับในการรักษาอาการที่เกิดขึ้นในช่วงวัยหมดระดูของสตรี รวมไปถึงการช่วยปกป้องการเกิดโรคหัวใจรวมทั้งเส้นเลือดรวมถึงโรคกระดูกพรุน
จากการศึกษา
ในหนูแรทโดยใช้สารสกัดจากรากด้วยเอทานอล แบ่งเป็น 2 ตอนเป็นช่วงรุนแรงรวมทั้งช่วงยาวตลอด โดยการเรียนในช่วงฉับพลันป้อนสารสกัดเอทานอลจากรากสามสิบในขนาด 1.25 กรัมต่อกก. ให้กับหนูแรทที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน หนูแรทที่เป็นโรคเบาหวานจำพวกที่ 1 รวมทั้งประเภทที่ 2 พบว่าไม่เป็นผลลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ว่าช่วยให้ทนต่อการเพิ่มขึ้นของเดกซ์โทรส ในนาทีที่ 30  ส่วนการเล่าเรียนช่วงยาวสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง นาน 28 วัน ให้กับหนูที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และเพิ่มระดับของอินซูลิน 30%เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มระดับอินซูลินในตับอ่อน และเพิ่มไกลวัวเจนที่ตับ เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปเบาหวานควบคุม จึงสรุปได้ว่าฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดจากรากสามสิบน่าจะเป็นผลมาจากการหยุดยั้งการสรุปยและการดูดซึมสารคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งเพิ่มการหลั่งอินซูลิน ซึ่งคงจะมีคุณประโยชน์สำหรับในการนำไปใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานได้9
จากการทดสอบทางคลินิกหมายถึงการใช้รักษาโรคกระเพาะในคนจริงๆโดยการกินผงแห้งของราก พบว่าได้ประสิทธิภาพที่ดีสำหรับการรักษาแผลที่กระเพาะและลำไส้เล็ก จากการที่กรดเกิน
เมื่อปี คริสต์ศักราช1997 ที่ประเทศอินได้กระทำทดสอบการใช้รากสามสิบกับผู้เจ็บป่วยความดันเลือดสูงจำพวก mild hypertension โดยทดสอบเปรียบเทียบกับยาลดความดัน (Propranolol) ใช้ระยะเวลาทำทดลองนาน 3 เดือน ผลการทดลองพบว่า ผู้ป่วยมีความดันเลือดลดลง < 90 mm.Hg. และลดไขมันได้ผลลัพธ์ที่ดี

  • K. Mitra แล้วก็แผนก (ค.ศ.1996) ที่อินเดียได้ทำการทดสอบการใช้สารสกัดจากรากสามสิบกับตัวทดลองที่ถูกกระตุ้นด้วย Streptozotocin ผลของการทดลองพบว่า สารสกัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้วสามารถกระตุ้นตับอ่อนของหนูให้เพิ่มการหลักhttp://www.disthai.com/


    Tags : สมุนไพรรากสามสิบ

5

ราชพฤกษ์
ราชพฤกษ์ ชื่อสามัญ Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree, Purging Cassia
ราชพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L. จัดอยู่ในตระกูลถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) แล้วก็อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรราชพฤกษ์ มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า กุเพยะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ปูโย ปีอยู เปอโซ แมะหล่าอยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ลักเกลือ ลักเคย (กะเหรี่ยง), ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ (ภาคกึ่งกลาง), ราชพฤกษ์ (ภาคเหนือ), ราชพฤกษ์ (ภาคใต้), คูน (ทั่วๆไปเรียกและชอบเขียนไม่ถูกหรือสะกดผิดเป็น “ต้นคูณ” หรือ “คูณ“) ฯลฯ
คำว่า “ราชพฤกษ์” หมายความว่า “ต้นไม้ของพระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงนิทรรศการพืชสวนโลกซึ่งจัดขึ้นเพื่อฉลองในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระเจ้าแผ่นดินของพวกเราทรงครองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี
ต้นราชพฤกษ์ ต้นไม้ประจำชาติไทย
เมื่อปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้มีข้อแนะนำแล้วก็สรุปให้มีการระบุสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย ดอกไม้ สัตว์ และสถาปัตยกรรม ซึ่งจากการพิเคราะห์ได้ผลสรุปว่า ให้สัตว์ประจำชาติเป็น “ช้างไทย” ส่วนในด้านสถาปัตยกรรมประจำชาติเป็น “ศาลาไทย” แล้วก็ในส่วนของดอกไม้ประจำชาติก็คือ “ดอกราชพฤกษ์” โดยมีเหตุมีผลในการคัดเลือกดังนี้
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์ จัดฯลฯไม้ประจำชาติไทย (ตามประกาศของกรมป่าไม้)ต้นไม้ราชพฤกษ์ ฯลฯไม้ที่คนประเทศไทยทั่วๆไปรู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในนามของ “ต้นคูน” สามารถประสบพบเห็นได้ทั่วไปของทุกภาคในประเทศ
ต้นราชพฤกษ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีชาวไทยมาอย่างนาน เพราะเป็นไม้มงคลนามและก็ใช้สำหรับการประกอบพิธีสำคัญๆต่างๆหลายพิธี ดังเช่น พิธีการลงเสาหลักเมือง ทำคทาจอมพล ใช้ทำยอดธงชัยเฉลิมพล เป็นต้น
ต้นราชพฤกษ์นั้นสามารถประยุกต์ใช้ผลดีได้อย่างนานาประการ ตัวอย่างเช่น การใช้เป็นยาสมุนไพรหรือนำมาใช้ทำเป็นเสาบ้านเสาเรือนได้ อื่นๆอีกมากมาย
ต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่แก่ยืนนานและแข็งแรงทนทาน
ต้นราชพฤกษ์มีทรงแล้วก็พุ่มไม้ที่งาม มีดอกเหลืองแพรวพราวเต็มต้น ดูสวยยิ่งนัก
ดอกราชพฤกษ์มีสีเหลือง ซึ่งเป็นเครื่องหมายของชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ที่ศาสนาพุทธ รวมทั้งยังเป็นเครื่องหมายของวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ยิ่งไปกว่านี้ตามตำราพืชที่มีความมงคล 9 จำพวกยังระบุไว้ว่า ต้นราชพฤกษ์เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเป็นใหญ่ ความมีอิทธิพลวาสนา มีโชคมีชัย
สมุนไพรราชพฤกษ์ กับการนำมาใช้รักษาโรคแล้วก็อาการต่างๆโดยส่วนที่ประยุกต์ใช้เป็นคุณประโยชน์ทางยานั้น อาทิเช่น ส่วนของใบ ดอก เปลือก ฝัก แก่น กระพี้ ราก แล้วก็เมล็ด ซึ่งสมุนไพรราชพฤกษ์ เป็นสมุนไพรซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกับเด็ก สตรี รวมถึงคนสูงอายุ โดยปลอดภัยใดๆก็ตาม
ลักษณะของต้นราชพฤกษ์
ต้นราชพฤกษ์ (ต้นคูน) เป็นพืชพื้นบ้านในแถบเอเชียใต้ ไล่ตั้งแต่ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถานไปจนถึงประเทศอินเดีย ประเทศพม่า แล้วก็ประเทศศรีลังกา โดยจัดเป็นพรรณไม้ขนาดกลาง มีลำต้นสีน้ำตาลแกมเทาเกลี้ยง มักขึ้นทั่วๆไปตามป่าผลัดใบหรือในดินที่มีการระบายน้ำดี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ดแล้วย้ายกล้ามาปลูกไว้ในถุงเพาะชำ เมื่อโตพอแล้วก็ย้ายมาปลูกลงในพื้นที่ แม้กระนั้นในขณะนี้บางทีก็อาจจะใช้กระบวนการทาบกิ่งและก็ทิ่มยอดก็ได้ แต่จังหวะสำเร็จจะน้อยกว่ากรรมวิธีการเพาะเม็ด
ใบราชพฤกษ์ (ใบคูน) รูปแบบของใบออกเป็นช่อ ใบสีเขียวเป็นมัน ช่อหนึ่งยาวราวๆ 2.5 เซนติเมตร รวมทั้งมีใบย่อยเป็นไข่หรือรูปป้อมๆโดยประมาณ 3-6 คู่ ใบย่อยมีความกว้างประมาณ 5-7 ซม. รวมทั้งยาวประมาณ 9-15 เซนติเมตร โคนใบมนและก็สอบไปทางปลายใบ เนื้อใบบางสะอาด มีเส้นกิ่งก้านสาขาใบถี่และโค้งไปตามรูปใบ
ใบราชพฤกษ์
ดอกราชพฤกษ์ (ดอกคูน) มีดอกเป็นช่อ ยาวประมาณ 20-45 ซม. มีกลีบรองดอกรูปขอบขนาน มีความยาวราวๆ 1 เซนติเมตร กลีบมี 5 กลีบ หลุดตกได้ง่าย และกลีบดอกยาวกว่ากลีบรองดอกประมาณ 2-3 เท่า รวมทั้งมีกลีบรูปไข่ปริมาณ 5 กลีบ รอบๆพื้นกลีบจะเห็นเส้นกลีบแจ่มแจ้ง ที่ดอกมีเกสรตัวผู้ขนาดแตกต่างกันปริมาณ 10 ก้าน มีก้านอับเรณูโค้งงอขึ้น ดอกมักจะบานในช่วงเดือนมีนาคมถึงพ.ค. แต่ว่าก็มีบางกรณีที่มีดอกนอกฤดูแบบเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ในช่วงธันวาคมถึงมกราคม
ดอกราชพฤกษ์ดอกคูน
ผลราชพฤกษ์ หรือ ฝักราชพฤกษ์ (ฝักคูณ) ผลมีลักษณะเป็นฝักทรงกระบอกสะอาดๆฝักยาวประมาณ 20-60 ซม. และวัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ราว 2-2.5 เซนติเมตร ฝักอ่อนจะมีสีเขียว ส่วนฝักแก่จัดจะมีสีดำ ในฝักจะมีผนังเยื่อบางๆติดกันอยู่เป็นช่องๆตามทางขวางของฝัก แล้วก็ในช่องจะมีเม็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่ มีขนาดโดยประมาณ 0.8-0.9 เซนติเมตร
ฝักคูนฝักราชพฤกษ์
คุณประโยชน์ของราชพฤกษ์
ช่วยทำนุบำรุงเลือดในร่างกาย (เปลือก)
สารสกัดจากลำต้นและใบของราชพฤกษ์มีฤทธิ์ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ (ลำต้น, ใบ)
สารสกัดจากเมล็ดมีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (เม็ด)
ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือถุงน้ำดี (ราก)
ราชพฤกษ์มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ (ราก)
ฝักราชพฤกษ์มีคุณประโยชน์ทางยาช่วยแก้ไข้ไข้มาลาเรีย (ฝัก)
ช่วยแก้ไข้รูมาติกด้วยการใช้ใบอ่อนนำมาต้มกับน้ำกิน (ใบ)
ฝักอ่อนมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อย มีกลิ่นเหม็นเหม็นเบื่อ เย็นจัด สรรพคุณสามารถใช้ขับเสมหะได้ (ฝักอ่อน)
ช่วยแก้อาการอยากดื่มน้ำ (ฝัก)
เปลือกเมล็ดและเปลือกฝักมีคุณประโยชน์ช่วยทำลายพิษ ทำให้อาเจียน หรือจะใช้เม็ดราว 5-6 เมล็ด นำมาบดเป็นผุยผงแล้วกินก็ได้ (เม็ด, ฝัก)
ต้นราชพฤกษ์ สรรพคุณของกระพี้ใช้แก้ลักษณะของการปวดฟัน (กระพี้)
ในอินเดียมีการใช้ฝัก เปลือก ราก ดอก รวมทั้งใบมาทำเป็นยา ใช้เป็นยาแก้ไข้รวมทั้งหัวใจ แก้อาการหายใจขัด ช่วยถ่ายของเสียออกจากร่างกาย แก้อาการซึมเศร้า หนักศีรษะ หนักตัว ทำให้ชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวยอก (เปลือก, ราก, ดอก, ใบ, ฝัก)
คุณประโยชน์ราชพฤกษ์ช่วยแก้โรครำมะนาด (กระพี้, แก่น)
ช่วยรักษาเด็กเป็นตานขโมยด้วยการใช้ฝักแห้งโดยประมาณ 30 กรัมนำมาต้มกับน้ำกิน (ฝัก)
ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก (เนื้อในฝัก)
ฝักแก่ใช้เป็นยาระบาย ช่วยสำหรับเพื่อการถ่าย ทำให้ถ่ายได้สะดวก ไม่มวนท้อง แก้ท้องผูก เหมาะกับคนที่มีอาการท้องผูกเสมอๆแล้วก็สตรีท้อง เพราะมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone glycoside) เป็นตัวช่วยระบาย สำหรับวิธีการใช้ ให้ใช้ฝักแก่ขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือ (หนักประมาณ 4 กรัม) และน้ำอีก 1 ถ้วยแก้วใส่หม้อต้ม แล้วผสมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มก่อนกินอาหารยามเช้าหรือตอนก่อนนอนเพียงแต่ครั้งเดียว (ฝักแก่, ดอก, เนื้อในฝัก, ราก, เมล็ด)
เม็ดมีรสฝาดเมา สรรพคุณช่วยแก้ท้องเสีย (เม็ด)
ช่วยหล่อลื่นไส้ รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารแล้วก็แผลเรื้อรัง (ดอก)
ช่วยรักษาโรคบิด (เม็ด)
สรรพคุณของราชพฤกษ์ ฝักช่วยแก้อาการจุกเสียด (ฝัก)
ช่วยทำให้กำเนิดลมเบ่ง ด้วยการใช้เมล็ดฝนกับหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ รวมทั้งน้ำตาล แล้วนำมากิน (เมล็ด)
ฝักรวมทั้งใบมีสรรพคุณช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้ฝักแห้งราวๆ 30 กรัมนำมาต้มกับน้ำกิน (ใบ, ฝัก, เนื้อในฝัก)
ต้นคูณมีคุณประโยชน์ช่วยขับพยาธิไส้เดือนในท้อง (แก่น)
เปลือกฝักมีรสเฝื่อนฝาดเมา ช่วยขับรกที่ค้าง ทำให้แท้งลูก (เปลือกฝัก)
สารสกัดจากใบคูนมีฤทธิ์ช่วยต่อต้านการเกิดพิษที่ตับ (ใบ)
สรรพคุณของคูน รากใช้แก้โรคโรคกุฏฐัง (ราก)
ใบสามารถนำมาใช้สำหรับเพื่อการฆ่าเชื้อโรค เชื้อโรคบนผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อราได้ (ใบ)
ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง (ใบ)
รากเอามาฝนใช้ทารักษาขี้กลากโรคเกลื้อน รวมทั้งใบอ่อนก็ใช้แก้ขี้กลากได้เช่นเดียวกัน (ราก, ใบ)
เปลือกและใบเอามาบดผสมกันใช้ทาแก้เม็ดผื่นผื่นตามร่างกายได้ (เปลือก, ใบ)
เปลือกมีคุณประโยชน์ช่วยแก้ฝี แก้บวม หรือจะใช้เปลือกรวมทั้งใบเอามาบดผสมกันใช้ทารักษาฝี (เปลือก, ใบ)
คูน คุณประโยชน์ของดอกช่วยแก้รอยแผลเรื้อรัง รักษาแผลเรื้อรัง (ดอก)
เปลือกราชพฤกษ์ คุณประโยชน์ช่วยสมานบาดแผล (เปลือก)
ฝักคูณมีคุณประโยชน์ช่วยแก้อาการปวดข้อ (เนื้อในฝัก)
คนแขกใช้ใบนำมาตำ นำมาพอกแล้วนวด ช่วยแก้โรคปวดข้อและอัมพาต (ใบ)
ช่วยกำจัดหนอนแล้วก็แมลง โดยฝักแก่มีสารออกฤทธิ์ที่มีผลต่อระบบประสาทของแมลง เมื่อนำฝักมาบดผสมกับน้ำทิ้งไว้ราว 2-3 วัน แล้วก็ใช้สารละลายที่กรองได้มาฉีดพ่นจะช่วยกำจัดแมลงรวมทั้งหนอนในแปลงผักได้ (ฝักแก่)
สารสกัดจากรากราชพฤกษ์มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Acetylcholinesterase
นอกนั้นยังมีการนำสมุนไพรราชพฤกษ์มาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆเยอะแยะ ตัวอย่างเช่น
น้ำมันนวดราชพฤกษ์ ที่ต้มมาจากน้ำมันจากใบคูน เป็นน้ำมันนวดสูตรร้อนหรือสูตรเย็น ที่ใช้นวดแก้อัมพฤกษ์อัมพาต และก็แก้ปัญหาเรื่องเส้น
ลูกประคบราชตารู เป็นลูกประคบสูตรโบราณ ที่ใช้ใบคูนเป็นตัวยาตั้งต้น ประกอบไปด้วย ขมิ้นอ้อย เทียนดำ กระวาน รวมทั้งอบเชยเทศ โดยลูกประคบสูตรนี้จะใช้ปรุงตามอาการ โดยจะดูตามโรคและความปรารถนาเป็นหลัก ซึ่งแต่ละคนจะได้แตกต่างกัน
ผงพอกคูนคาดข้อ ทำมาจากใบคูนที่นำมาบดเป็นผุยผง ช่วยแก้อาการปวดเส้น อัมพฤกษ์อัมพาต โดยเอามาพอกบริเวณที่เป็นจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของโลหิต บรรเทาอาการปวดข้อ รักษาโรคเกาต์ และยังช่วยลดอาการอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งสูตรนี้สามารถใช้กับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งส่วน ตาไม่หลับ มุมปากตกได้ด้วย
ชาสุวรรณาคา ทำมาจากใบคูน คุณประโยชน์ช่วยในด้านสมอง ไขปัญหาเส้นโลหิตตีบในสมอง ช่วยทำให้ระบบไหลเวียนภายในร่างกาย ช่วยแก้อัมพฤกษ์อัมพาต โดยเป็นตัวยาที่มีไว้ชงดื่มควบคู่ไปกับการรักษาแบบอื่นๆ

ข้อควรคำนึง !
:การทำเป็นยาต้ม ควรจะต้มให้พอควรก็เลยจะได้ผลดี ถ้าต้มนานเกินความจำเป็นหรือเกินกว่า 8 ชั่วโมง ยาจะไม่มีฤทธิ์ระบาย แต่จะก่อให้ท้องผูกแทน แล้วก็ควรที่จะเลือกใช้ฝักที่ไม่มากจนเกินความจำเป็น แล้วก็ยาต้มที่ได้หากกินมากเกินไปอาจจะเป็นผลให้อ้วกได้
คุณประโยชน์ซึ่งมาจากราชพฤกษ์
นิยมปลูกไว้ฯลฯไม้ประดับตามสถานที่ต่างๆอย่างเช่น สถานที่ราชการ บริเวณริมถนนข้างทาง และสถานที่อื่นๆ
ต้นราชพฤกษ์กับความเชื่อ ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความมงคลนามที่คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดที่ปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะช่วยให้ทรงเกียรติและศักดิ์ศรี มูลเหตุเพราะว่าคนให้การสารภาพว่าต้นราชพฤกษ์เป็นไม้ที่มีคุณค่าสูงและยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยอีกด้วย และก็ยังเชื่อว่าจะทำให้ผู้อาศัยนั้นเจริญ โดยจะนิยมปลูกต้นราชพฤกษ์ในวันเสาร์และก็ปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉใต้ของบ้าน (อาจเกิดขึ้นเนื่องจากด้านดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้รับแสงอาทิตย์จัดในช่วงตอนเวลาบ่าย เลยปลูกไว้เพื่อช่วยลดความร้อนข้างในบ้านแล้วก็ช่วยลดการใช้พลังงาน)
ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความมงคลรวมทั้งศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ในพิธีบูชาต่างๆทางศาสนา ดังเช่น พิธีวางศิลาฤกษ์ ใช้ทำเสาหลักเมือง เสาฤกษ์สำหรับการก่อสร้างพระตำหนัก ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร คทาจอมพล ส่วนใบของต้นราชพฤกษ์จะใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ไว้สะเดาะเคราะห์ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก เป็นต้น
เนื้อไม้ใช้ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ด้ามเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆหรือทำเป็นไม้ไว้ใช้สอยอื่นๆได้แก่ ใช้ทำเสา เสาสะพาน ทำสากตำข้าว ล้อเกวียน คันไถ เป็นต้น
เนื้อของฝักแก่สามารถประยุกต์ใช้แทนกากน้ำตาลสำหรับเพื่อการทำเป็นหัวเชื้อจุลชีพรวมทั้งจุลชีวันขยายได้
ฝักแก่สามารถประยุกต์ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการหุงต้มด้วยเตาเศรษฐกิจที่มีขนาดเหมาะสม โดยไม่ต้องผ่า ตัด หรือเลื่อย
แหล่งอ้างอิง :
เว็บไซต์สำนักงานแผนการสงวนพันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า แล้วก็พืชพันธุ์, เว็บไทยโพส, สำนักงานปรับปรุงเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน), งานแสดงนิทรรศการพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554, ที่ทำการกองทุนเกื้อหนุนการผลิตเสริมสุขภาพ (สสส.) http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรราชพฤษ์

6

กระเทียม
ลักษณะด้านกายภาพรวมทั้งเคมีที่ดี:
           ปริมาณน้ำไม่เกิน 68% w/w  ปริมาณเถ้ารวมไม่เกิน 2.5% w/w  ปริมาณขี้เถ้าที่ไม่ละลายในกรดไม่เกิน 1% แล้วก็จำนวนสารสกัดเฮกเซน แอลกอฮอล์ แล้วก็น้ำ ประมาณ 0.52, 0.50 และ 15% w/w  เป็นลำดับ เภสัชตำรับอังกฤษเจาะจงปริมาณสาร alliin ไม่น้อยกว่า 0.45 % w/w
สรรพคุณ:
           ตำราเรียนยาไทยใช้หัวกระเทียมเป็นยาขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการ  อาหารไม่ย่อย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ลดไขมัน รักษาปอด แก้ปอดพิการ  แก้อุจจาระเป็นมูกเลือด  บำรุงธาตุ  กระจัดกระจายเลือด  ขับเยี่ยว แก้บวมพุพอง  ขับพยาธิ  แก้ตาปลา  แก้ตาแดง น้ำตาไหล  ตามัว รักษาโรคลักปิดลักเปิด  รักษามะเร็งคุด   รักษาริดสีดวง แก้ไอ  คุมกำเนิด แก้สะอึก  บำบัดรักษาโรคในอก แก้พรรดึก รักษาฟันเป็นโรครำมะนาด  แก้หูอื้อ แก้อัมพาต  ลมเข้าข้อ  แก้อาการชักกระตุกของเด็ก พอกหัวเหน่าแก้ขัดเบา รักษาวัณโรค  แก้โรคประสาท แก้โรคหืด แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงสุขภาพทางกามคุณ  ขับเลือดระดู  บำรุงเส้นประสาท   แก้ไข้   แก้ฟกช้ำ แก้ปวดกระบอกตา แก้โรคในปาก แก้หวัดคัดจมูก   แก้ไข้เพื่อเสมหะ ทำให้ผมเงาสวย  บำรุงเส้นผมให้ดกดำ ใช้ภายนอก รักษาแผลเรื้อรัง รักษาขี้กลากเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง  ทาภายนอกทุเลาลักษณะของการปวดบวมตามข้อเพราะเหตุว่าเป็นยาพอกให้ร้อน ใช้พอกตรงที่ถูกแมลง ตะขาบ แมงป่องต่อยเป็นส่วนประกอบในตำรับยาเหลืองปิดสมุทร (แก้ท้องร่วง), ยาประสะไพล (ขับน้ำคร่ำ ในสตรีหลังคลอด), ยาธาตุบรรจบ (แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  ท้องเสีย ใช้กระเทียม 3 กลีบ ทุบชงน้ำร้อน ใช้เป็นน้ำกระสายยา สำหรับยาผง)
         บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ กำหนดการใช้กระเทียมในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดตามเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์รักษาประจำเดือนมาไม่บ่อยนักหรือมาน้อยกว่าธรรมดา บรรเทาอาการปวดรอบเดือน  และขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดลูก
แบบอย่างรวมทั้งขนาดวิธีการใช้ยา:
กระเทียมสด 2-5 กรัมต่อวัน กระเทียมแห้ง 0.4-1.2 กรัมต่อวัน น้ำมันกระเทียม 2-5 มก.ต่อวัน สารสกัด 300-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือรูปแบบยาอื่นๆที่มีสาร alliin 4-12 มก.หรือสาร allicin 2-5 มิลลิกรัม
ขนาดและการใช้สำหรับอาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด:
ใช้กระเทียม  5-10  กลีบ ซอยละเอียด  กินหลังอาหาร หรือพร้อมของกิน
ขนาดและวิธีการใช้สำหรับรักษากลากโรคเกลื้อน:
                   ฝานกระเทียมถูเสมอๆรอบๆที่เป็น  หรือตำแล้วขยี้ทาบริเวณที่เป็น  วันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะทายาใช้ไม้บางๆเล็กๆที่ได้ฆ่าเชื้อโรคแล้ว (โดยการแช่ในแอลกอฮอล์ 70%  หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที) ขูดบริเวณที่เป็น ให้ผิวหนังแดงๆก่อนทา เพื่อตัวยาซึมลงไปได้ดิบได้ดีขึ้น เมื่อหายแล้วให้ทายาต่ออีก 7-10 วัน
ขนาดรวมทั้งวิธีการใช้สำหรับแก้ไอ:
                   ตำรายาไทยให้ใช้กระเทียม แล้วก็ขิงสดอย่างละเท่ากันตำละเอียด ละลายน้ำอ้อยสด คั้นเอาน้ำจิบแก้ไอ กัดเสลด ทำให้เสลดแห้ง ตำราเรียนยาไทยบางตำรับให้คั้นกระเทียมกับน้ำมะนาวเพิ่มเติมเกลือใช้จิดหรือกวาดคอ
ส่วนประกอบทางเคมี:
           น้ำมันหอมระเหย ประมาณ 0.1-0.4% มีส่วนประกอบหลักเป็น allicin  ajoene  alliin  allyldisulfide diallyldisulfide ซึ่งเป็นสารประกอบกลุ่มกรุ๊ป organosulfur  สารในกลุ่มนี้ที่พบในกระเทียมได้แก่  สารกรุ๊ป S-(+)-alkyl-L-cysteine sulfoxides , alliin 1% , methiin 0.2% , isoalliin 0.06% และก็ cycloalliin 0.1% และก็สารที่ไม่ระเหยเป็น สารกลุ่ม gamma-L-glutamyl-S-alkyl-L-cysteines , gamma-glutamyl-S-trans-1-propenylcysteine 0.6% และ gamma-glutamyl-S-allylcysteine รวมราว 82% ของสารกลุ่ม organosulpur ทั้งหมด ส่วนสารกลุ่ม thiosulfinates (allicin) สารกรุ๊ป ajoenes (E-ajoene และก็ Z-ajoene) สารกลุ่ม vinyldithiins (2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)-1,2-dithiin) และก็สารกรุ๊ป sulfides (diallyl disulfide , diallyl trisulfide) ซึ่งเป็นสารที่มิได้เจอในธรรมชาติแต่ว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการย่อยสลายของสาร allin ซึ่งถูกเสื่อมสภาพด้วยเอนไซม์ alliinase ต่อจากนั้นก็เลยมีการรวมตัวกันใหม่ได้สาร allicin ซึ่งเป็นสารที่ไม่เสถียร ย่อยสลายได้สารกลุ่ม sulfides อื่นๆโดยเหตุนี้กระเทียมที่ผ่านกระบวนการสกัด การกลั่นน้ำมัน หรือความร้อน สารประกอบส่วนมากที่พบเป็นสารกลุ่ม diallyl sulfide , diallyl disulfide , diallyl trisulfide รวมทั้ง diallyl tetrasulfide ส่วนกระเทียมที่ผ่านกระบวนการหมักในน้ำมัน สารประกอบที่พบส่วนใหญ่เป็น 2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)1,2-dithiin , E-ajoene และก็ Z-ajoene ปริมาณของ alliin ที่เจอในกระเทียมสด ราวๆ 0.25-1.15% สารกลุ่มอื่นๆที่พบ ตัวอย่างเช่น สารมูก รวมทั้ง albumin, scordinins, saponins 0.07% , beta-sitosterol 0.0015%, steroids, triterpenoids และก็ flavonoids
การเรียนทางเภสัชวิทยา: 
ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันตับจากสารพิษ
      การทดสอบป้อนสาร diallyl disulfide (DADS) จากกระเทียมให้แก่หนูขาว ขนาดวันละ 50 และก็ 100 มก./กก. น้ำหนักตัว ในหนูแต่ละกลุ่ม นานติดต่อกัน 5 วัน ก่อนเหนี่ยวนำให้ตับมีการเสียหายด้วยสาร carbon tetrachloride (CCl4) พบว่า DADS ทั้งคู่ขนาดสามารถคุ้มครองป้องกันตับเป็นพิษได้ การตรวจทานลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์พบว่าสามารถยับยั้งความทรุดโทรมของเซลล์ตับ โดยลดลักษณะการทำงานของเอนไซม์ aspartate transaminase (AST) รวมทั้ง alanine transaminase (ALT) ในตับลงได้ ลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวเนื่องในขั้นตอนการอักเสบ และการถึงแก่กรรมของเซลล์ตับ เช่น Bax, cytochrome C, caspase-3, nuclear factor-kappa B, I kappa B alpha นอกจากนี้ยังส่งผลเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน และก็โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้นว่า catalase, superoxide dismutase, glutathione peroxidase, glutathione reductase, glutathione S-transferase ผลจากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า สาร DADS จากกระเทียมมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งคุ้มครองตับจากพิษ โดยกลไกกระตุ้นแนวทางการทำงานของ nuclear factor E2-related factor 2 (Nrf2) ซึ่งเป็น transcription factor หรือโปรตีนที่ควบคุมการแสดงออกของยีนที่ปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองป้องกันเซลล์ รวมทั้งเนื้อเยื่อจากอนุมูลออกซิเจนที่ว่องไวต่อปฏิกิริยา การกระตุ้น Nrf2 ส่งผลเหนี่ยวนำการสร้างเอนไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระ และก็สร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในระบบการกำจัดสารพิษออกมาจากร่างกายในขั้นตอนที่ 2 (detoxifying Phase II  enzyme) แล้วก็ยั้ง nuclear factor-kappa B ส่งผลให้ลดการสร้างสารที่เกี่ยวกับการอักเสบลง รวมทั้งปกป้องตับจากสารพิษได้ (Lee, et al, 2014)
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
      เรียนรู้ฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดน้ำโดยไม่ผ่านความร้อน (raw garlic) และก็สารสกัดกระเทียมที่ผ่านการต้มแล้ว นำมาทดลองในหลอดทดสอบ โดยใช้เนื้อเยื่อของกระต่าย พบว่า raw garlic สามารถยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase (ที่ก่อให้เกิดการผลิตสารอักเสบ) แบบ non-competitive แล้วก็ irreversible จากการเล่าเรียนพบว่า raw garlic สามารถยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase ได้ โดยมีค่า IC50 ต่อเกล็ดเลือด,ปอด และก็เส้นเลือดแดงในกระต่ายพอๆกับ 0.35, 1.10 รวมทั้ง 0.90 mg ในระหว่างที่กระเทียมที่ต้มแล้วมีฤทธิ์ยั้ง cyclooxygenase ได้เล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกระเทียมที่ไม่ผ่านความร้อน เนื่องด้วยองค์ประกอบสำคัญในกระเทียมนั้นถูกทำลายเวลาที่ให้ความร้อน จากผลการศึกษาเรียนรู้ทำให้เห็นว่ากระเทียมคงจะมีคุณประโยชน์สำหรับการคุ้มครองโรคเส้นโลหิตตันได้ (Ali, 1995)
      จากการรวบรวมงานศึกษาเรียนรู้ ที่เล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานการอักเสบของกระเทียม โดยสรุปพบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบผ่านหลายกลไก ดังต่อไปนี้คือ ต้านการอักเสบผ่าน T-cell lymphocytes โดยไปยับยั้ง SDF1a-chemokine-induced chemotaxis ส่งผลให้การมารวมกลุ่มกันของสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบลดน้อยลง, ยั้ง transendothelial migration of neutrophils มีผลให้ลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวจำพวก neutrophil ในขั้นตอนอักเสบลง, ยั้งการหลั่งสาร TNFα ซึ่งเป็นสารเริ่มในขั้นตอนอักเสบ, กดการผลิตอนุมูลไนโตรเจนที่คล่องแคล่วต่อการเกิดปฏิกิริยาการอักเสบ และการทำงานผ่าน ERK1/2 ทั้งยัง 2 กลไก เช่น การยับยั้ง phosphatase-activity (directly related with ERK1/2 phosphorylation) แล้วก็การเพิ่ม phosphorylation of ERK1/2 kinase (ผ่านทาง p21ras protein thioallylation) มีผลทำให้การอักเสบต่ำลง (Martins, et al, 2016)

ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
      การทดสอบความสามารถสำหรับการต้านเชื้อ Escherichia coli ซึ่งป็นเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  แล้วก็การสกัดสดโดยแนวทางบีบคั้นแบบเย็น โดยใช้วิธี microdilution broth susceptibility test พบว่าการสกัดสดมีค่า MIC รวมทั้งค่า MBC ต่ำที่สุด (3.125กรัมต่อลิตร) และรองลงมาเป็น สารสกัดจากตัวทำละลาย เอทานอล เมทานอล แล้วก็อะซิโตน ให้ค่า MIC รวมทั้ง MBC เสมอกัน (6.25กรัมต่อลิตร) มีความหมายว่าสารสกัดสดมีสมบัติสำหรับเพื่อการยับยั้ง และทำลายเชื้อแบคทีเรียยอดเยี่ยม เนื่องจากว่าในกระเทียมสดมี allin เป็นสารประกอบกำมะถันที่สำคัญ เมื่อกระเทียมสดถูกบด หรือผ่านกระบวนการแปรรูป allinase จะถูกปล่อยออกมาจากภายใน vacuole ของเซลล์ รวมทั้งอาศัยน้ำเป็นกลไกสำหรับเพื่อการทำปฏิกิริยาได้เป็น allicin ซึ่งเป็นสารที่มีความรู้ความเข้าใจสำหรับการยั้งเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งขั้นตอนการสกัดสดช่วยให้การทำปฏิกิริยาระหว่างสาร allin รวมทั้ง allinase  เนื่องจากว่าจะต้องใช้เวลาสำหรับการบีบคาดคั้นน้ำกระเทียมซึ่งระยะเวลาดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วช่วยให้กระบวนการทำปฏิกิริยาระหว่างสารมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะส่งผลให้ได้ allicin เพิ่มขึ้น (ภรเจริญ แล้วก็รังสินี, 2554)
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
         เมื่อนำสารสกัดกระเทียมที่ได้จากการบ่มสกัด (aged garlic extract (AGE) ด้วย 20 % เอทานอล เป็นเวลา 20 เดือน ที่อุณหภูมิห้อง นำมาทดสอบการต้านทานการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไลโปโปรตีนชนิดความหนาแน่นต่ำ หรือต่อต้านการเกิด oxidized LDL (ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดสภาวะเส้นโลหิตแดงแข็งตัว) โดยนำ LDL ที่แยกได้จากคนมาทดสอบในภาวการณ์ที่มีไหมมี AGE โดยใช้ CuSO4 และ 5-lipoxygenase เหนี่ยวนำให้เกิด oxidized LDL รวมทั้งทดลองสารสกัดของ AGE ผลการทดลองพบว่า AGE มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระโดยลดการผลิต superoxide ion (อนุมูลอิสระของออกซิเจน) และก็ลดการเกิด lipid peroxide (ออกซิเดชันของไขมัน)  โดย AGE 10%v/v เมื่อใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สามารถยั้งการเกิด superoxide ได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ของ AGE ได้ผล 34%  ฤทธิ์ลดการเกิด lipid peroxidation ของ LDL พบว่าสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ลดการเกิด lipid peroxidation ที่เกิดจากการเหนี่ยวนำของ Cu2+ และ 5-lipoxygenase ได้ 81% แล้วก็ 37% เป็นลำดับ สรุปได้ว่า AGE มีผลยั้งการเกิด oxidation ของ LDL โดยลดการผลิต superoxide แล้วก็ยั้งการเกิด lipid peroxide  ด้วยเหตุผลดังกล่าว AGE ก็เลยอาจมีหน้าที่สำหรับเพื่อการคุ้มครองป้องกันการเกิดภาวการณ์เส้นโลหิตแดงแข็ง (atherosclerotic disease) ได้ (Dillon, et al, 2003)
      การศึกษาฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  รวมทั้งการสกัดสดโดยวิธีบีบบังคับแบบเย็น ทดลองโดยกรรมวิธียับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH, การต้านออกสิไดส์จากสาร hydrogen peroxide (hydrogen peroxide (H2O2) scavenging activity ผลของการทดลองฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH พบว่าการสกัดกระเทียมด้วยตัวทำละลายอะซิโตน ให้ค่า IC50 น้อยที่สุด เท่ากับ 3.58±0.02 mg/ml รองลงมา ดังเช่นว่า สารสกัดเมทานอล เอทานอล รวมทั้งการสกัดสด เป็นลำดับ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 3.72±0.03, 4.47±0.20 แล้วก็ 55.36±3.96 mg/ml ตามลำดับ  ผลของการต้านทานสารออกซิไดซ์ที่ร้ายแรง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) พบว่าสารสกัดด้วยตัวทำละลายเมทานอล มีสมบัติการต้านออกซิไดส์ของสาร H http://www.disthai.com/

7

กระเทียม
กระเทียม ชื่อสามัญ Garlic
กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ คือคำว่า Allium sativum L. จัดอยู่ในสกุลพลับพลึง (AMARYLLIDACEAE) และอยู่ในสกุลย่อย ALLIOIDEAE (ALLIACEAE)
สำหรับในประเทศไทยนิยมนำมาปลูกมากมายในทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่สำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดี กลิ่นแรงอาจจะหนีไม่พ้นจังหวัดศรีสะเกศ
คุณประโยชน์ของกระเทียม
ช่วยทำนุบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพแข็งแรงและแข็งแรง
ช่วยสร้างเสริมการเจริญเติบโตของเยื่อภายในร่างกาย
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและก็น้ำตาลในเลือด
ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
ช่วยแก้อาการวิงเวียนหัว อาการมึน ปวดหัว หูอื้อ
ช่วยในเรื่องระบบขยายพันธุ์แล้วก็ระบบทางเดินฉี่ เนื่องจากว่ามีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนอีกทั้งหญิงและชาย ช่วยทำให้มดลูกบีบตัว เพิ่มพลังให้มีเรี่ยวแรง
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดการเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวทันควัน
ช่วยต่อต้านเนื้องอก
ช่วยจัดการกับปัญหาผมบาง ยาวช้า มีสีเทา
ช่วยป้องกันการเกิดและรักษาโรคโลหิตจาง
ช่วยสำหรับในการขับพิษและพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด
ช่วยคุ้มครองป้องกันผนังเส้นเลือดหนาและแข็งตัว
สารสกัดน้ำมันกระเทียมมีสารที่มีส่วนช่วยในการละลายลิ่มเลือด
ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดเส้นโลหิตอุดตัน
มีสารต่อต้านไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
ช่วยบรรเทาอาการไอ น้ำมูกไหล ป้องกันหวัด
ช่วยรักษาโรคหวัดแล้วก็ไข้หวัดใหญ่
ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบรวมทั้งไซนัส
ช่วยรักษาโรคโรคไอกรน
ช่วยแก้อาการหอบ หืด
ช่วยรักษาโรคหลอดลม
ช่วยหยุดกลิ่นปากกระเทียม
ช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยสำหรับเพื่อการขับเสลด
ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ
ช่วยในการขับลม
ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง อาการท้องอืด ท้องอืด
ช่วยคุ้มครองโรคท้องผูก
ช่วยรักษาโรคบิด
ช่วยสำหรับเพื่อการขับปัสสาวะ
ช่วยสำหรับเพื่อการขับพยาธิได้หลายแบบ อย่างเช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิด้าย พยาธิเข็มหมุด พยาธิไส้เดือน เป็นต้น
ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบประเภทร้ายแรงได้
ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคไต
ช่วยทำลายเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียต่างๆรวมถึงเชื้อราตามหนังศีรษะและก็บริเวณเล็บ
ช่วยยั้งเชื้อต่างๆอาทิเช่น เชื้อที่ส่งผลให้เกิดฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดบวม เชื้อวัณโรค ฯลฯ
ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่วกระเทียมคุณประโยชน์
ช่วยรักษากลาก เกลื้อน
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อรวมทั้งกระดูกในร่างกาย
บรรเทาลักษณะของการปวดข้อและเมื่อยตามร่างกาย
ช่วยแก้อาการเคล็ดลับปวดเมื่อยและก็เท้าพลิก เนื่องจากว่ามีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมายังบริเวณที่นวดยาได้ดีมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
มีสารต่อต้านอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาติเตียนสซั่ม
กระเทียมมีกลิ่นฉุนก็เลยสามารถช่วยไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากอาหาร
คุณประโยช์จากกระเทียม
ประโยชน์สำคัญๆของกระเทียมอาจจะหนีไม่พ้นการนำมาใช้เพื่อช่วยปรุงรสชาติของอาหาร ไม่ว่าจะใช้ผัด แกง ทอด ยำ ต้มยำ หรือน้ำพริกต่างๆอีกสารพัน
กระเทียมเป็นเครื่องสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่ธาตุหลากหลายประเภท แล้วก็ยังเป็นพืชที่ธาตุซีลีเนียมสูงขึ้นมากยิ่งกว่าพืชประเภทอื่นๆทั้งยังยังมีสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA แล้วก็ RNA ของเซลล์ในร่างกาย
นอกเหนือจากนั้นยังมีการนำกระเทียมไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างนานาประการ ตัวอย่างเช่น กระเทียมเสริมอาหาร กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 149 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม
เส้นใยอาหาร 2.1 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 6.36 กรัม
วิตามินบี 1 0.2 มก. 17%
วิตามินบี 2 0.11 มก. 9%
วิตามินบี 3 0.7 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 5 0.596 มก. 12%
วิตามินบี 6 1.235 มิลลิกรัม 95%
วิตามินบี 9 3 ไมโครกรัม 1%
วิตามินซี 31.2 มิลลิกรัม 38%
ธาตุแคลเซียม 181 มก. 18%
ธาตุเหล็ก 1.7 มิลลิกรัม 13%
ธาตุแมกนีเซียม 25 มก. 7%
ธาตุแมงกานีส 1.672 มิลลิกรัม 80%
ธาตุฟอสฟอรัส 153 มก. 22%
ธาตุโพแทสเซียม 401 มิลลิกรัม 9%
ธาตุสังกะสี 1.16 มก. 12%
ธาตุซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม
% จำนวนร้อยละของปริมาณชี้แนะที่ร่างกายอยากได้ในทุกๆวันสำหรับคนแก่ (มูลเหตุ : USDA Nutrient database)
ข้อแนะนำแล้วก็ข้อควรพิจารณาสำหรับเพื่อการใช้กระเทียม
กระเทียมยิ่งสดเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสรรพคุณที่ดีเยี่ยมขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับกระเทียมที่ผ่านความร้อนด้วยแนวทางต่างๆหรือผ่านการดอง จะมีผลให้วิตามินรวมทั้งสารอัลลิสินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นย่อยสลายไป
วิตามินและธาตุที่อยู่ในกระเทียมนั้น จะมีมากมายหรือน้อยก็ขึ้นกับดินและก็สภาพภูมิอากาศที่ใช้สำหรับการเพาะปลูกอีกด้วย
สำหรับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดเป็นปกติ หรูหราความดันเลือดเป็นปกติ คนที่มีลักษณะของเลือดหยุดไหลช้า รวมถึงคนที่ใช้ยาอื่นๆเสมอๆ เป็นต้นว่า ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต้านไวรัส คุณไม่สมควรกินกระเทียมหรือผลิตภัณฑ์กระเทียมเสริมในจำนวนที่มากจนเหลือเกิน เนื่องจากอาจจะเป็นผลให้เป็นโทษต่อร่างกายได้
สำหรับคนที่ได้รับกลิ่นของกระเทียมเสมอๆ อาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้กระเทียมเมื่อรับประทานได้ โดยอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการคลื่นไส้ และก็มีอาหารหัวใจที่เต้นแรงแตกต่างจากปกติ แต่อาการดังที่กล่าวถึงมาแล้วจะค่อยๆหายไปเองภายในช่วงเวลา 3-4 ชั่วโมง ซึ่งกระเทียมที่ประยุกต์ใช้สำหรับในการประกอบอาหารชอบนำไปสู่อาการแพ้ได้น้อยกว่ากระเทียมแบบสดๆ
สำหรับผู้ที่อยู่ในห้องครัวหรือผู้จำเป็นต้องใช้มือสัมผัสกับกระเทียมเสมอๆและเป็นเวลานาน อาจจะเป็นผลให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ มีตุ่มน้ำได้ ด้วยเหตุดังกล่าวคุณควรหลบหลีกการสัมผัสกระเทียมโดยตรงเป็นประจำด้วยการใส่ถึงมือทุกหนในตอนที่จะใช้กระเทียม
ถึงแม้กระเทียมจะเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์อยู่เยอะแยะ แต่ว่าคุณก็ไม่ควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลสำหรับในการรักษาอาการหรือโรคใดโรคหนึ่ง ทั้งยังคำตอบที่ได้ในแต่ละบุคคลก็อาจจะต่างกันออกไป ฉะนั้นคุณควรที่จะเลือกกินให้มากมายและครบ 5 กลุ่ม จะเป็นช่องทางที่เหมาะสมที่สุด เพราะผักสมุนไพรปกติ ถ้าหากศึกษากันอันที่จริงแล้ว มันก็มีคุณประโยชน์มากพอๆกับกันเลย
เดี๋ยวนี้ในบ้านพวกเรายังไม่มีการรับรองว่ากระเทียมนั้นจะสามารถรักษาโรคได้จริง คงจะเป็นได้เพียงสมุนไพรโอกาสสำหรับการรักษาและสมุนไพรเสริมสุขภาพแค่นั้นhttp://www.disthai.com/

8

ขิง
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’เจอ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในตระกูลขิง (ZINGIBERACEAE)
ขิง จัดเป็นสมุนไพรที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพร่างกายในหลายๆด้าน เพราะว่าอุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างมากต่อสภาพทางด้านร่างกายของเรา อาทิเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และก็เส้นใยจำนวนไม่ใช่น้อยอีกด้วย ซึ่งคุณประโยช์จากขิงนั้น พวกเราสามารถนำมาใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น แล้วก็ผลก็ได้ทั้งนั้น
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอดเยี่ยม
มีสารต้านทานอนุมูลอิสระไม่น้อยเลยทีเดียว ช่วยชะลอความแก่และก็ชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยสำหรับการคุ้มครองปกป้อง ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต่อต้านการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ช่วยลดผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ใช้สำหรับการรักษาโรคมะเร็ง เพราะฉะนั้นควรรับประทานขิงควบคู่ไปกับการรักษาโรคมะเร็งจะมีผลดี
ขิง มีฤทธิ์อุ่น ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และก็ช่วยสำหรับในการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นใหม่ๆเอามาตีให้แหลกราว 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำดื่ม
ช่วยลดน้ำหนัก ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดศีรษะและไมเกรน ด้วยการรับประทานน้ำขิงบ่อยๆ
ช่วยลดความต้องการของผู้ติดสิ่งเสพติดลงได้
แก้ตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วเอามากิน
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำกิน
ช่วยทำนุบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยบรรเทาลักษณะโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจขุ่นมัว (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับคุณแม่หลังคลอดลูก ด้วยการรับประทานไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดโดยประมาณ 1 องคุลีเอามาต้มกับน้ำดื่ม ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้กินเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงน้ำนมของแม่ (ผล)
ช่วยให้นอนหลับได้อย่างสบาย
การกินขิงจะช่วยให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ราวครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เอามาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วนำมาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
ช่วยแก้หวัด ทุเลาอาการไอ บรรเทาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือนิดเดียว
ละอองน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายเชื้อไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในคนเจ็บที่มีลักษณะเมายาสลบหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการใช้ขิงสดนำมาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำดื่ม (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
ช่วยแก้ไขปัญหาผมร่วง หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนอุ่น แล้วนำมาตำให้แหลก นำมาพอกรอบๆที่มีผมหล่น วันละ 2 ครั้งจนอาการ หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะกอกแล้วเอามาหมักผม นวดให้ทั่วศีรษะโดยประมาณ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมหล่นได้เหมือนกัน แถมยังช่วยทำให้ผมสวย แข็งแรง มีความนิ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยบำรุงรักษาสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา และใช้แก้อาการตาพร่า (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาเฉอะแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้ง เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอเปื่อยยุ่ย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาอาการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาทุบให้รอบคอบคั่วกับน้ำสารส้มจนถึงเกรียม แล้วบดจนเป็นผง ต่อจากนั้นเอามาพอกรอบๆฟันที่ปวดแก้เสมหะ เสลดขาวเหลวปริมาณมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาสภาวะน้ำลายมาก อ้วกเป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นและก็เกลือเล็กน้อย เอามาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยทำนุบำรุงฟันแล้วก็คุ้มครองป้องกันการเกิดฟันผุ
ช่วยดับกลิ่นจั๊กกะแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาทุบให้แหลก แล้วนำมาคั้นเอาน้ำมาทารักแร้เป็นประจำ จะช่วยในการกำจัดรอยคราบกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำจนกระทั่งแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งบางส่วน คนให้เข้ากันแล้วเอามาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดโดยประมาณ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลแดง เอามาตำจนถึงถูกกัน แล้วรับประทาน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอ้วก (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดราวๆ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ นำมาตีให้แตกแล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดการคลื่นไส้อ้วกจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงมีครรภ์ไม่ควรรับประทานบ่อยครั้งจนถึงเกินไป)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในลำไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาทุบพอเพียงแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งไว้ราวๆ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้อของกิน
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดในตอนก่อนหลังระดู ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วประมาณ 30 กรัมมาต้มกับน้ำดื่มเสมอๆ
ช่วยสำหรับในการย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดอก)
ช่วยปกป้องการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยสำหรับในการถ่าย รวมทั้งช่วยในเรื่องของระบบลำไส้ให้ทำงานได้อย่างปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดฉี่ (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาเยี่ยวรดที่นอนในผู้ป่วยที่มีสภาวะหยางพร่อง มีความเย็นภายในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำดำเขียว (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาลักษณะของการปวดข้อตามร่างกายด้วยการกินขิงสดเป็นประจำ
มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
จัดการกับปัญหาหนังที่มือลอกเป็นเกล็ด ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วนำมาแช่เหล้า 1 ถ้วยชา ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำแผ่นขิงมาถูรอบๆดังที่กล่าวมาแล้ววันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมรอบๆข้างหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว นำมาเผาเปลือกนอกจนเป็นถ่าน คอยปาดถ่านที่ผิวนอกออกไปเรื่อยๆแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูเอามาทาบริเวณที่เป็นแผลซึ่งถ้าหากว่าถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆนำมาวางทับรอบๆที่ถูกกัดจะช่วยทุเลาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง เป็นต้น ช่วยคุ้มครองการแพ้อาหารทะเลจนเกิดผื่นคัน ลมพิษ หรืออาหารช็อกคุณประโยชน์ของขิง
ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกรอบๆแผล เพื่อปกป้องการอักเสบแล้วก็การเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
ในด้านการปรุงอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสอาหารได้เป็นอย่างดี และสามารถช่วยกำจัดกลิ่นคาวของของกินเจริญอีกด้วย
ในด้านความสวยสดงดงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งตัวที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนยิ่งขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วนำมานวดรอบๆต้นขา ตูด หรือรอบๆที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความตะปุ่มตะป่ำของผิวได้อีกด้วย
ผลิตภัณฑ์จากขิงนั้นเอามาแปรรูปได้หลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น บัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว เป็นต้น

วิธีการทำน้ำขิง
แนวทางการทำน้ำขิงแนวทางการทำน้ำขิงขั้นแรกให้จัดแจงส่วนประกอบดังต่อไปนี้ ขิงแก่ 1 กิโล / น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง / น้ำที่สะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด เอามาตีให้แตก แล้วนำมาใส่ในหม้อต้ม เติมน้ำที่สะอาดลงไป เอาขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มจนน้ำเดือดแล้วค่อยค่อยไฟลง เคี่ยวประมาณ 20 นาทีกระทั่งน้ำขิงละลายออกมาจนถึงหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วชูลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มน้ำตาลทรายแดงลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามความอยากได้) แล้วคนให้เข้ากัน
เป็นระเบียบและจากนั้นก็สามารถเอามากินได้ โดยนำมาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ควรเพิ่มน้ำตาลมากกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากเกินไป เนื่องจากมีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่ควรใช้จำนวนที่เข้มข้นจนกระทั่งเหลือเกิน เพราะจะมีอันตรายต่อสถาพทางร่างกายได้ ด้วยเหตุว่าจะไปหยุดการบีบตัวของไส้ จนกระทั่งทำให้ลำไส้หยุดการบีบตัว ด้วยเหตุนี้ควรจะคั้นในจำนวนน้อยๆหรือดื่มจนชินก่อน
พวกเรามักจะรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นของกินที่นิยมประยุกต์ใช้ในการเข้าครัวและทำเครื่องดื่ม ซึ่งอันที่จริงแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการบำบัดรักษาโรคต่างๆได้สารพัดสารพัน นับว่าเป็นตัวช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคได้เลยทีเดียว แม้กระนั้นดังนี้พวกเราก็ไม่สมควรจะหวังพึ่งคุณประโยชน์ของขิงเพียงอย่างเดียวในการเยียวยารักษาโรค ควรทำอย่างอื่นหรือดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของพวกเราร่วมด้วยจะได้ผลลัพธ์ที่ดีนักแล
พวกเรามักนิยมใช้ขิงแก่ เพราะยิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน จึงมีคุณประโยชน์ทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน แล้วก็ยังมีใยอาหารเยอะขึ้นตามไปด้วย แต่เพราะว่าขิงมีรสเผ็ด มีคุณลักษณะอุ่น ก็เลยไม่เหมาะกับผู้ที่มีความร้อนในร่างกายอยู่แล้ว อาทิเช่นคนที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกช่วงเวลากลางคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากยิ่งกว่าปกติ แต่ถ้าหากจะกินควรระมัดระวังเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรขิง

หน้า: [1]