แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - pslkoo1df5ds5

หน้า: [1]
1

เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน ขี้กลากโรคเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มแพทย์ แก้มหมอเล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในตำรายาไทยบอกว่า เหงือกปลาหมอสามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกประเภท
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณเด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้แต่ โรคอีสุกอีใส ที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสก็จะเบาลงลง
สมุนไพร เหงือกปลาแพทย์เป็นไม้พุ่มที่มีขนาดกลางๆสูงโดยประมาณ 1-2 เมตร ส่วนของลำต้นและใบจะมีหนามมีหนาม ใบหนามแข็งรวมทั้งมีขอบเว้าหนามแหลมใบออกเป็นคู้ตรงข้ามกัน ส่วนของดอกจะออกเป็นช่อตามยอด กลีบดอกไม้จะมีสีขาอมม่วง มี 4 กลีบแยกจากกันผลเป็นฝักสีน้ำตาล มี เม็ด จะสามารถพบมากตามชายน้ำ ริมฝั่งคลองบริเวณปากแม่น้ำ
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่อง แม้จะรุนแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วๆไป แต่ว่าเมื่อใช้เหงือกปลาแพทย์เป็นทั้งยังยากินและก็ต้มน้ำอาบติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 3 เดือนขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะลดลงลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับคนเจ็บโรคผิวหนังด้วย
วิธีปรุงยาและก็วิธีการใช้ยาก็มีหลายแนวทางหมายถึง
วิธีต้มยารับประทานรวมทั้งอาบ
เอาเหงือกปลาแพทย์สดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มรับประทานขณะอุ่นๆทีละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้าตรู่-เย็น ก่อนกินอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น จะต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำจำเป็นต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดซะก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้า-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แม้กระนั้นถ้าหากมีเหงือกปลาหมอเป็นจำนวนมาก บางทีอาจจะต้มยาเพื่อแช่หมดทั้งตัวในอ่างก็ยิ่งดี
แนวทางการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมอ 5 คราวตากแห้งมาบดเป็นผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2 เม็ด เด็กบางทีอาจจะกินทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุแล้วก็น้ำหนัก กินวันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ยามเช้า-เย็น กินไปเรื่อยๆจวบจนกระทั่งจะหาย แม้กระนั้นถ้าเป็นโรคผิวหนังจากภูมิคุ้มกันขาดตกบกพร่องก็จำเป็นต้องกินตลอดกาล

แนวทางการทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาแพทย์ที่ผ่านการร่อนเป็นผงละเอียดราวกับแป้งใส่แคปซูลขนาด 250 มก. ผู้ใหญ่กินครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนรับประทานอาหาร เด็กน้อยลงตามส่วน
เหงือกปลาแพทย์มีคุณประโยชน์มากมายก่ายกอง ยกตัวอย่างเช่น
-ราก มีสรรพคุณสำหรับการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ และก็ใช้ขับเสลด
-ต้น มีสรรพคุณรักษาโรคหลายประเภท โดยใช้ต้นตำผสมน้ำกินรักษาวัณโรค อาการซูบผอม ถ้าหากใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้สรรพคุณทางยาแตกต่างออกไปอีก
-อีกทั้งต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้ต้นลม แก้โรคผิวหนังทุกชนิด
-อีกทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มรับประทานแก้พิษโรคฝีดาษ ฝีทั้งปวง ผลรับประทานเป็นยาขับโลหิตระดู นอกจาก หากตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาหมดทั้งตัว
- ทั้งยังต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะดีขึ้น
- ตำเอาน้ำกินกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน คุดทะราด เป็นไข้จับสั่น
- ทั้งยังต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนรับประทาน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผอมแห้งแรงน้อยเหลืองตลอดตัว รับประทานวันแล้ววันเล่า
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือนิดหนึ่ง หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำจนเดือดให้งวดจึงชูลง กลั้นหายใจรับประทานขณะอุ่นจนหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนทั้งตัว มึนหัว ตามัว เจ็บระบมตลอดตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาหมอ" ทั้งยัง 5 รวมราก กับ อาหารเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ปริมาณเสมอกัน กะตามต้องการ ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้าตรู่ ช่วงกลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย และต้องระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาแพทย์" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นรับประทานทุกวี่วัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค ปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกจำพวกหาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 จำพวก หูดี
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
กินได้ 7 เดือน ผิวสวย
กินได้ 8 เดือน เสียงน่าฟัง
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนหากผิวแตกหมดทั้งตัวหายได้ ทั้งผองที่บอกเป็นตำราเรียนยาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่สมควรลบหลู่ รู้ไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

2

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งปนเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้สวยในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบมากตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกได้ไม่ยาก ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกลงในแปลง รักษาราวกับ พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกึ่งกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือเปล่าอ่อนจนเกินความจำเป็น ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดิบได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และแผนกได้เรียนพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดแจ้ง แต่ว่าไม่เป็นอันตรายพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ว่าไม่มีไข้) จากแมลงที่เป็นพิษกัดต่อย ตัวอย่างเช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากมายน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้รอบคอบ เพิ่มเติมแอลกอฮอล์พอเพียงเปียกยา ตั้งทิ้งเอาไว้ 1 อาทิตย์ หมั่นคนยาทุกวี่ทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ รวมทั้งกากทาบบริเวณที่เจ็บบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสลดพังพอน เพราะเสลดพังพอนมีหมดทั้งตัวผู้ละตัวเมีย แต่ว่าเพศผู้ไม่นิยมนำมาใช้เหตุเพราะมีฤทธิ์อ่อน และเพื่อไม่ให้สับสนก็เลยเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" ส่วนมากเอามาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกรุ๊ปพืชทำลายพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาทารักษาภายนอก มีสรรพคุณทุเลาการอักเสบของผิวหนังได้ดี  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส
คุณสมบัติของผงพญายอในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับเหล้า แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและเม็ดผื่นผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับสุราใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก พญายอมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนได้ดี
- อีกแบบเรียนกล่าวว่านอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลยุ่ยเนื่องมาจากถูกแมงกะพรุนไฟ แผลสุนัขกัด แล้วก็แผลที่เกิดจากการเช็ดกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย นำมาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองเจริญ ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือและสุรา ใช้พอกรอบๆที่เป็น เปลี่ยนยาทุกยามเช้าและเย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ทำลายพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง อื่นๆอีกมากมาย
- พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังจำพวกเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง รวมทั้งใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและเอากากพอกบริเวณแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บปวด ช่วยลดอาการปวด
- มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์

กรรมวิธีการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ชำระล้างผิวหน้าด้วยสินค้าล้างหน้าล้างตาแล้วก็เช็ดเครื่องสำอางให้สะอาดก่อนกรรมวิธีการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำสะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง น้ำนม หรือโยเกิร์ต เพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้ผิวหน้าและผิวกาย เสมอๆ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง


     - สำหรับผิวหน้า พญายอถ้าเกิดเป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลุกลามไปทั่วบริเวณใบหน้า และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผิวหน้ามากเกินไป พอกทิ้งไว้ราวๆ 15 นาที
     - แม้ใช้ขัด (สำหรับผู้ที่ไม่เป็นสิว และผิวกาย) ให้ขัดให้เบาไม้เบามือที่สุด ราวๆเพียงแค่ลูบคลำพากเพียรจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด และก็ให้ขัดเพียงแค่ 5 นาทีก็เพียงพอที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งไว้จนถึงแห้ง (บางทีอาจใช้ช่วงเวลาพอกทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที)

  • พญายอ หลังจากแห้งแล้ว ให้ทำความสะอาดโดยการล้างด้วยน้ำธรรมดา (ไม่สมควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบเบาที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆและจากนั้นก็ปลดปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือคลำให้เบาที่สุด โดยใช้วิธีการล้างเดียวกับการขัดหน้า คือ อุตสาหะจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าเสร็จแล้ว ซับหน้าให้แห้ง


Tip  เพื่อการบำรุงที่มากขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำกินธรรมดาในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเสมอกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วบริเวณใบหน้าสักบางส่วน ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความสดชื่นให้แก่ผิว ทั้งยังช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มและกระจ่างใส ดูอ่อนกว่าวัยเพิ่มขึ้น http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเสลดพังพอน (พญายอ)

3

ชื่อสกุล : LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
ชื่อสามัญ : Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree
ชื่อท้องถิ่นอื่น : ต้นลมแล้ง (ภาคเหนือ) ; ปูโย, เปอโซ, ปือยู, แมะหล่าหยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ; คูณ (ภาคกลาง, ภาคเหนือ) ; ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ์ (ภาคกึ่งกลาง) ; กุเพยะ (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี)
จำพวกนี้ตำราหลังเล่มเสนอ ชื่อใหม่เป็นเพียงแค่ระดับประเภทย่อย คือ Cassia javanica L.subsp javanica K.& S.S .Larsen พืชจำพวกนี้เป็นไม้ใหญ่ขนาดเล็ก ถึงขนาดกลาง สูงได้ถึง ๑๕ เมตร เมื่อลำต้นอย่างอ่อนอยู่มีน้ำแข็งที่เกิดขึ้นมาจากกิ่งแก่ที่ร่วงหล่นไป แต่เมื่อต้นแก่ขึ้นจะหายไป ลำต้นไม่ตะปุ่มตะป่ำ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับกัน มีใบย่อย ๕-๑๕ คู่ ก้านใบยาว ๑.๕-๔ เซนติเมตร แกนกลางใบยาว ๒๐-๓๐ เซนติเมตร ใบย่อยรูปไข่ปนรูปมูลหรือรูปขอบขนาน กว้าง ๑.๕-๓ เซนติเมตร ยาว ๒-๕ ซม. ปลายใบกลมหรือมน โคนใบกลม ใต้ใบมีขนละเอียดอยู่เอนราบกับผิวใบ ก้านใบย่อยสั้นมากมาย ดอกออกเป็นช่อตามกิ่ง ก้านช่อดอกใหญ่และแข็ง ไม่แตกกิ่ง ยาว ๕-๑๖ ซม. เมื่อเริ่มบานมีสีชมพูแล้ว กลายเป็นสีแดงเข้ม เมื่อใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีออกขาว ดอกย่อยมีก้านเรียวยาว ๓-๕ ซม.ราชพฤกษ์ มีกลีบเลี้ยงมี สีแดงเข้มถึงสีแดงอมน้ำตาล รูปไข่ ปลายแหลม ยาว ๗-๑๐ มิลลิเมตรกลีบดอกไม้รูปไข่กลับ กว้าง ๗-๘ มม. ยาว ๒๕-๓๕มิลลิเมตร โคนกลีบดอกเป็นก้านยาวราว ๓ มิลลิเมตร  เกสรเพศผู้มี ๑๐ อัน ขนาดยาวแตกต่างกัน รังไข่เรียว ขนหุ้มบางๆผลเป็นฝักรูปกระบอกขนาดวัดผ่าศูนย์กลางราม ๑-๑.๕ ซม. ยาว ๒๐-๖๐ ซม. ห้อยลงมาจากกิ่ง ฝักแก่สีดำ สะอาด ไม่มีขน ไม่แตก มีเมล็ดจำนวนไม่น้อย แล้วก็รูปแบนเกือบกลม สีน้ำตาลเป็นมัน
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
ต้นไม้ (T) สูงราว 5-15 เมตร เปลือกต้นเรียบ เกลี้ยง สีเทาอ่อนหรือสีเทาอมน้ำตาล สีเทาอมขาว หรือสีนวล
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบเรียงสลับ ลักษณะใบย่อยรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ โคนใบมน แผ่นใบสีเขียว มีใบย่อยโดยประมาณ 4-12 คู่
ดอก มีดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ เป็นช่อแขวนระย้าออกตามกิ่งหรือออกตามง่ามใบ ออกดอกแบบสมมาตรข้างๆ มีกลีบดอก 5 กลีบ สีเหลืองสด โดยกลีบบนสุดจะเรียงอยู่รอบในสุด ดอกมีกลิ่นหอมหวนอ่อนๆ
ผล เป็นฝักกลม ทรงกระบอกยาว ผิวเรียบ แล้วก็มีเปลือกแข็ง ข้างในมีฝาผนังแบนสีน้ำตาล กันเป็นห้องแล้วก็มีเม็ดห้องละ 1 เมล็ด ผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ
เม็ด มีเนื้อห่อหุ้มนุ่มๆสีน้ำตาลไหม้ หรือสีดำ ลักษณะกลมมนแล้วก็แบน มีรสหวาน
นิเวศวิทยา
ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วๆไป มีมากทางภาคเหนือ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับและปลูกข้างถนนเพื่อความงาม
การปลูกและแพร่พันธุ์
ปลูกได้ไม่ยากและเจริญเติบโตได้ในดินดูเหมือนจะทุกประเภท แม้กระนั้นจะถูกใจดินร่วนคละเคล้าทราย เพาะพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและก็ตอนกิ่ง

คุณประโยชน์ทางยา
รสและก็คุณประโยชน์ในแบบเรียนยา
ราก รสเมา เป็นยาบำรุง รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี เป็นยาถ่ายอย่างแรง รักษาลักษณะของการมีไข้ ระบายพิษไข้ ถ่ายสิ่งโสโครกออกมาจากร่างกาย ฆ่าเชื้อโรคคุดทะราด แก้กลากโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึม หนักหัว
เปลือกราก รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้ไข้จับสั่นรวมทั้งระบายพิษไข้ ใช้ร่วมกับเนื้อในฝักเป็นยาแก้ไข้ไข้มาลาเรียแล้วก็เป็นยาระบาย
แก่น รสเมา ใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน รักษาอาการท้องร่วง และช่วยรีบคลอด
ราชพฤกษ์เปลือกต้น รสฝาดเมา ใช้เป็นยาช่วยเร่งคลอด รักษาอาการท้องเดิน
กระพี้ รสเมา ใช้แก้รำมะนาด
ฝัก เนื้อในฝักรสหวานเบื่อ ใช้รับประทานเป็นยาระบาย ช่วยทุเลาอาการแน่นหน้าอก ถูหรือชำระน้ำดี แก้ลมเข้าข้อและขัดข้อ
เปลือกฝัก รสเฝื่อนฝาดเมา ทำให้แท้งลูก ขับรกที่ค้าง รวมทั้งทำให้คลื่นไส้
ใบแก่ รสเมา ใบสดหรือตากแห้ง ใช้เป็นยาถ่าย รักษาอัมพาต ฆ่าเชื้อโรคทั้งปวง ฆ่าพยาธิผิวหนัง รักษาอัมพาตของกล้ามบนใบหน้า พอกแก้ปวดข้อ หรือต้มน้ำดื่มแก้โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง แก้เส้นเอ็นพิการ
ใบอ่อน รสเมา ตำพอกหรือคั้นเอาน้ำทารักษาโรคขี้กลากเกลื้อน แก้ไข้รูมาติก
ดอก รสเปรี้ยวขม ใช้รักษาโรคกระเพาะ เป็นยาถ่ายพยาธิ ต้มดื่มแก้ไข้ แก้แผลเรื้อรัง ช่วยหล่อลื่นในไส้ ระบายท้อง
เม็ด ช่วยกระตุ้นให้อ้วก เป็นยาถ่าย
[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url] แนวทางแล้วก็ปริมาณที่ใช้
แก้ท้องผูก โดยการเอาเนื้อในฝักแก่หนักประมาณ 5-10 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ใส่เกลือน้อย ดื่มก่อนนอนหรือเช้าตรู่ก่อนที่จะรับประทานอาหาร เป็นยาระบายที่เหมาะสำหรับผู้ที่ท้องผูกบ่อยๆ และก็สตรีตั้งท้องก็ใช้ฝักคูณเป็นยาระบายได้
รักษาโรคกระเพาะ โดยใช้ฝักโดยประมาณ 30 กรัม ผสมน้ำ 100 ซีซี ต้มให้เดือดและเหลือน้ำ 50 ซีซี ดื่มให้หมดครั้งเดียว วันละ 3 ครั้ง http://www.disthai.com/

4

กระเทียม
ลักษณะทางกายภาพและก็เคมีที่ดี:
           จำนวนน้ำไม่เกิน 68% w/w  จำนวนขี้เถ้ารวมไม่เกิน 2.5% w/w  ปริมาณเถ้าที่ไม่ละลายในกรดไม่เกิน 1% รวมทั้งจำนวนสารสกัดเฮกเซน แอลกอฮอล์ รวมทั้งน้ำ โดยประมาณ 0.52, 0.50 และ 15% w/w  ตามลำดับ เภสัชตำรับอังกฤษระบุจำนวนสาร alliin ไม่น้อยกว่า 0.45 % w/w
คุณประโยชน์:
           ตำรายาไทยใช้หัวกระเทียมเป็นยาขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการ  อาหารไม่ย่อย ขับเสลด ขับเหงื่อ ลดไขมัน รักษาปอด แก้ปอดพิการ  แก้อุจจาระเป็นมูกเลือด  บำรุงธาตุ  กระจายเลือด  ขับฉี่ แก้บวมพุพอง  ขับพยาธิ  แก้ตาปลา  แก้ตาแดง น้ำตาไหล  ตามัว รักษาโรคลักปิดลักเปิด  รักษามะเร็งคุด   รักษาริดสีดวง แก้ไอ  คุมกำเนิด แก้สะอึก  บำบัดรักษาโรคในอก แก้พรรดึก รักษาฟันเป็นโรครำมะนาด  แก้หูอื้อ แก้อัมพาต  ลมเข้าข้อ  แก้อาการชักกระตุกของเด็ก พอกหัวเหน่าแก้ขัดค่อย รักษาวัณโรค  แก้โรคประสาท แก้หืด แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงสุขภาพทางกามคุณ  ขับเลือดระดู  บำรุงเส้นประสาท   แก้ไข้   แก้บวมช้ำ แก้ปวดกระบอกตา แก้โรคในปาก แก้หวัดคัดจมูก   แก้ไข้เพื่อเสลด ทำให้ผมเงาสวย  บำรุงเส้นผมให้ดกดำ ใช้ข้างนอก รักษาแผลเรื้อรัง รักษาขี้กลากโรคเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง  ทาข้างนอกทุเลาลักษณะของการปวดบวมตามข้อด้วยเหตุว่าเป็นยาพอกให้ร้อน ใช้พอกตรงที่ถูกแมลง ตะขาบ แมงป่องต่อยเป็นส่วนประกอบในตำรับยาเหลืองปิดสมุทร (แก้ท้องเสีย), ยาประสะไพล (ขับน้ำคาวปลา ในสตรีข้างหลังคลอด), ยาธาตุบรรจบ (แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  ท้องร่วง ใช้กระเทียม 3 กลีบ ทุบชงน้ำร้อน ใช้เป็นน้ำกระสายยา สำหรับยาผง)
         บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้กระเทียมในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาลักษณะของการปวดตามเอ็น กล้าม มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณรักษารอบเดือนมาไม่บ่อยนักหรือมาน้อชูว่าธรรมดา ทุเลาลักษณะของการปวดเมนส์  รวมทั้งขับน้ำคาวปลาในหญิงข้างหลังคลอดลูก
รูปแบบและก็ขนาดการใช้ยา:
กระเทียมสด 2-5 กรัมต่อวัน กระเทียมแห้ง 0.4-1.2 กรัมต่อวัน น้ำมันกระเทียม 2-5 มิลลิกรัมต่อวัน สารสกัด 300-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือแบบยาอื่นๆที่มีสาร alliin 4-12 มก.หรือสาร allicin 2-5 มก.
ขนาดและก็วิธีการใช้สำหรับอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด:
ใช้กระเทียม  5-10  กลีบ ซอกซอยละเอียด  กินหลังรับประทานอาหาร หรือพร้อมของกิน
ขนาดและการใช้สำหรับรักษาขี้กลากโรคเกลื้อน:
                   ฝานกระเทียมถูบ่อยๆรอบๆที่เป็น  หรือตำแล้วขยี้ทาบริเวณที่เป็น  วันละ 2 ครั้ง ก่อนจะทายาใช้ไม้บางๆเล็กๆที่ได้ฆ่าเชื้อโรคแล้ว (โดยการแช่ในแอลกอฮอล์ 70%  หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที) ขูดรอบๆที่เป็น ให้ผิวหนังแดงๆก่อนทา เพื่อให้ตัวยาซึมลงไปก้าวหน้าขึ้น เมื่อหายแล้วให้ทายาต่ออีก 7-10 วัน
ขนาดรวมทั้งวิธีใช้สำหรับแก้ไอ:
                   ตำรายาไทยให้ใช้กระเทียม รวมทั้งขิงสดอย่างละเท่ากันตำละเอียด ละลายน้ำอ้อยสด คั้นเอาน้ำจิบแก้ไอ กัดเสลด ทำให้เสมหะแห้ง หนังสือเรียนยาไทยบางตำรับให้คั้นกระเทียมกับน้ำมะนาวเพิ่มเติมเกลือใช้จิดหรือกวาดคอ
ส่วนประกอบทางเคมี:
           น้ำมันหอมระเหย โดยประมาณ 0.1-0.4% มีองค์ประกอบหลักคือ allicin  ajoene  alliin  allyldisulfide diallyldisulfide ซึ่งเป็นสารประกอบกลุ่มกลุ่ม organosulfur  สารในกลุ่มนี้ที่เจอในกระเทียมดังเช่นว่า  สารกลุ่ม S-(+)-alkyl-L-cysteine sulfoxides , alliin 1% , methiin 0.2% , isoalliin 0.06% และ cycloalliin 0.1% และสารที่ไม่ระเหยเป็น สารกรุ๊ป gamma-L-glutamyl-S-alkyl-L-cysteines , gamma-glutamyl-S-trans-1-propenylcysteine 0.6% แล้วก็ gamma-glutamyl-S-allylcysteine รวมโดยประมาณ 82% ของสารกรุ๊ป organosulpur ทั้งหมดทั้งปวง ส่วนสารกรุ๊ป thiosulfinates (allicin) สารกลุ่ม ajoenes (E-ajoene แล้วก็ Z-ajoene) สารกรุ๊ป vinyldithiins (2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)-1,2-dithiin) แล้วก็สารกรุ๊ป sulfides (diallyl disulfide , diallyl trisulfide) ซึ่งเป็นสารที่มิได้เจอในธรรมชาติแต่มีต้นเหตุจากการสลายตัวของสาร allin ซึ่งถูกย่อยสลายด้วยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alliinase จากนั้นก็เลยมีการรวมตัวกันใหม่ได้สาร allicin ซึ่งเป็นสารที่ไม่เสถียร สลายตัวได้สารกลุ่ม sulfides อื่นๆดังนั้นกระเทียมที่ผ่านขั้นตอนการสกัด การกลั่นน้ำมัน หรือความร้อน สารประกอบจำนวนมากที่พบเป็นสารกลุ่ม diallyl sulfide , diallyl disulfide , diallyl trisulfide รวมทั้ง diallyl tetrasulfide ส่วนกระเทียมที่ผ่านแนวทางการหมักในน้ำมัน สารประกอบที่พบโดยมากเป็น 2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)1,2-dithiin , E-ajoene และ Z-ajoene จำนวนของ alliin ที่พบในกระเทียมสด ราวๆ 0.25-1.15% สารกลุ่มอื่นๆที่พบ ยกตัวอย่างเช่น สารเมือก และ albumin, scordinins, saponins 0.07% , beta-sitosterol 0.0015%, steroids, triterpenoids และ flavonoids
การศึกษาทางเภสัชวิทยา: 
ฤทธิ์คุ้มครองปกป้องตับจากพิษ
      การทดสอบป้อนสาร diallyl disulfide (DADS) จากกระเทียมให้แก่หนูขาว ขนาดวันละ 50 แล้วก็ 100 มก./กก. น้ำหนักตัว ในหนูแต่ละกรุ๊ป นานต่อเนื่องกัน 5 วัน ก่อนรั้งนำให้ตับมีการเสียหายด้วยสาร carbon tetrachloride (CCl4) พบว่า DADS ทั้งคู่ขนาดสามารถคุ้มครองตับเป็นพิษได้ การพิจารณาลักษณะทางจุลกายตอนศาสตร์พบว่าสามารถยับยั้งความเสื่อมโทรมของเซลล์ตับ โดยลดการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี aspartate transaminase (AST) และ alanine transaminase (ALT) ในตับลงได้ ลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวเนื่องในขั้นตอนอักเสบ แล้วก็การเสียชีวิตของเซลล์ตับ ตัวอย่างเช่น Bax, cytochrome C, caspase-3, nuclear factor-kappa B, I kappa B alpha นอกเหนือจากนี้ยังส่งผลเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน แล้วก็โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวเนื่องในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ ตัวอย่างเช่น catalase, superoxide dismutase, glutathione peroxidase, glutathione reductase, glutathione S-transferase ผลจากการศึกษาเล่าเรียนแสดงให้เห็นว่า สาร DADS จากกระเทียมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและก็ปกป้องตับจากพิษ โดยกลไกกระตุ้นลักษณะการทำงานของ nuclear factor E2-related factor 2 (Nrf2) ซึ่งเป็น transcription factor หรือโปรตีนที่ควบคุมการแสดงออกของยีนที่ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์ แล้วก็เนื้อเยื่อจากอนุมูลออกซิเจนที่ว่องต่อปฏิกิริยา การกระตุ้น Nrf2 ส่งผลรั้งนำการผลิตโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีต้านอนุมูลอิสระ และสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในระบบการกำจัดสารพิษออกมาจากร่างกายในขั้นตอนที่ 2 (detoxifying Phase II  enzyme) และยั้ง nuclear factor-kappa B ส่งผลให้ลดการผลิตสารที่เกี่ยวโยงกับการอักเสบลง รวมทั้งปกป้องตับจากพิษได้ (Lee, et al, 2014)
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ
      เล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานการอักเสบของสารสกัดน้ำโดยไม่ผ่านความร้อน (raw garlic) แล้วก็สารสกัดกระเทียมที่ผ่านการต้มแล้ว นำมาทดลองในหลอดทดสอบ โดยใช้เนื้อเยื่อของกระต่าย พบว่า raw garlic สามารถยับยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase (ที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการผลิตสารอักเสบ) แบบ non-competitive แล้วก็ irreversible จากการเรียนพบว่า raw garlic สามารถยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase ได้ โดยมีค่า IC50 ต่อเกล็ดเลือด,ปอด และหลอดเลือดแดงในกระต่ายพอๆกับ 0.35, 1.10 รวมทั้ง 0.90 mg ในขณะกระเทียมที่ต้มแล้วมีฤทธิ์ยั้ง cyclooxygenase ได้บางส่วนเมื่อเปรียบเทียบกับกระเทียมที่ไม่ผ่านความร้อน เพราะเหตุว่าองค์ประกอบสำคัญในกระเทียมนั้นถูกทำลายในตอนที่ให้ความร้อน จากผลการศึกษาเรียนรู้ทำให้เห็นว่ากระเทียมน่าจะมีสาระสำหรับในการคุ้มครองโรคเส้นเลือดตันได้ (Ali, 1995)
      จากการรวบรวมงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัย ที่เรียนฤทธิ์ต้านการอักเสบของกระเทียม โดยสรุปพบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบผ่านหลายกลไก ดังต่อไปนี้เป็น ต้านการอักเสบผ่าน T-cell lymphocytes โดยไปยับยั้ง SDF1a-chemokine-induced chemotaxis มีผลให้การมารวมกรุ๊ปกันของสารที่ทำให้มีการเกิดการอักเสบน้อยลง, ยับยั้ง transendothelial migration of neutrophils ส่งผลให้ลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวจำพวก neutrophil ในขั้นตอนการอักเสบลง, ยั้งการหลั่งสาร TNFα ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นในกระบวนการอักเสบ, กดการผลิตอนุมูลไนโตรเจนที่คล่องแคล่วต่อการเกิดปฏิกิริยาการอักเสบ และการทำงานผ่าน ERK1/2  2 กลไก เป็นต้นว่า การหยุดยั้ง phosphatase-activity (directly related with ERK1/2 phosphorylation) รวมทั้งการเพิ่ม phosphorylation of ERK1/2 kinase (ผ่านทาง p21ras protein thioallylation) ส่งผลทำให้การอักเสบลดน้อยลง (Martins, et al, 2016)

ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
      การทดสอบความรู้ความเข้าใจสำหรับในการต่อต้านเชื้อ Escherichia coli ซึ่งป็นเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  รวมทั้งการสกัดสดโดยแนวทางกดดันแบบเย็น โดยใช้วิธี microdilution broth susceptibility test พบว่าการสกัดสดมีค่า MIC และค่า MBC น้อยที่สุด (3.125กรัมต่อลิตร) แล้วก็รองลงมาเป็น สารสกัดจากตัวทำละลาย เอทานอล เมทานอล แล้วก็อะซิโตน ให้ค่า MIC แล้วก็ MBC เท่ากัน (6.25กรัมต่อลิตร) มีความหมายว่าสารสกัดสดมีทรัพย์สินสำหรับการยั้ง และก็ทำลายเชื้อแบคทีเรียเหมาะสมที่สุด เพราะเหตุว่าในกระเทียมสดมี allin เป็นสารประกอบกำมะถันที่สำคัญ เมื่อกระเทียมสดถูกบด หรือผ่านวิธีการแปรรูป allinase จะถูกปล่อยออกมาจากข้างใน vacuole ของเซลล์ และอาศัยน้ำเป็นกลไกในการทำปฏิกิริยาได้เป็น allicin ซึ่งเป็นสารที่มีความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการยั้งเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งแนวทางการสกัดสดช่วยให้กระบวนการทำปฏิกิริยาระหว่างสาร allin แล้วก็ allinase ดียิ่งขึ้น เนื่องด้วยต้องใช้เวลาสำหรับในการบีบเค้นน้ำกระเทียมซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมาแล้วข้างต้นช่วยทำให้กระบวนการทำปฏิกิริยาระหว่างสารมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะก่อให้ได้ allicin เพิ่มขึ้น (ภรดี รวมทั้งรังสินี, 2554)
ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ
         เมื่อนำสารสกัดกระเทียมที่ได้จากการบ่มสกัด (aged garlic extract (AGE) ด้วย 20 % เอทานอล เป็นเวลา 20 เดือน ที่อุณหภูมิห้อง นำมาทดสอบการต้านการเกิดปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชันของไลโปโปรตีนชนิดความหนาแน่นต่ำ หรือต้านการเกิด oxidized LDL (ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว) โดยนำ LDL ที่แยกได้จากคนมาทดสอบในภาวะที่มีไหมมี AGE โดยใช้ CuSO4 แล้วก็ 5-lipoxygenase เหนี่ยวนำให้เกิด oxidized LDL แล้วก็ทดลองสารสกัดของ AGE ผลของการทดลองพบว่า AGE มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระโดยลดการผลิต superoxide ion (อนุมูลอิสระของออกสิเจน) และลดการเกิด lipid peroxide (ออกซิเดชันของไขมัน)  โดย AGE 10%v/v เมื่อใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สามารถยับยั้งการเกิด superoxide ได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ของ AGE ให้ผล 34%  ฤทธิ์ลดการเกิด lipid peroxidation ของ LDL พบว่าสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ลดการเกิด lipid peroxidation ที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำของ Cu2+ รวมทั้ง 5-lipoxygenase ได้ 81% และก็ 37% เป็นลำดับ สรุปได้ว่า AGE มีผลยั้งการเกิด oxidation ของ LDL โดยลดการผลิต superoxide รวมทั้งยับยั้งการเกิด lipid peroxide  ดังนั้น AGE จึงอาจมีบทบาทสำหรับในการปกป้องการเกิดสภาวะเส้นเลือดแดงแข็งตัว (atherosclerotic disease) ได้ (Dillon, et al, 2003)
      การเล่าเรียนฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  รวมทั้งการสกัดสดโดยวิธีบังคับแบบเย็น ทดลองโดยขั้นตอนการยั้งอนุมูลอิสระ DPPH, การต้านออกสิไดส์จากสาร hydrogen peroxide (hydrogen peroxide (H2O2) scavenging activity ผลการทดลองฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH พบว่าการสกัดกระเทียมด้วยตัวทำละลายอะซิโตน ให้ค่า IC50 น้อยที่สุด พอๆกับ 3.58±0.02 mg/ml รองลงมา เป็นต้นว่า สารสกัดเมทานอล เอทานอล และการสกัดสด ตามลำดับ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 3.72±0.03, 4.47±0.20 แล้วก็ 55.36±3.96 mg/ml ตามลำดับ  ผลของการต่อต้านสารออกสิไดซ์ที่ร้ายแรง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) พบว่าสารสกัดด้วยตัวทำละลายเมทานอล มีทรัพย์สมบัติการต้านออกสิไดส์ของสาร H http://www.disthai.com/

5

ทับทิม
ทับทิม คือผลไม้ที่นิยมกินอย่างมากมาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่ได้ผลสำเร็จสดเยอะที่สุดแล้วก็ยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆตัวอย่างเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความงาม ทั้งยังยังคงใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุสูดดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและก็สารพฤกษเคมีหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย จึงมั่นใจว่าบางทีอาจมีคุณประโยชน์สำหรับในการคุ้มครองปกป้องโรคหรือบรรเทาอาการ ยกตัวอย่างเช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือบรรเทาอาการหายใจลำบากจากโรคนี้ โรคหัวใจแล้วก็เส้นเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในโพรงปากและก็โรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง รวมทั้งอื่นๆ
ในปัจจุบันยังมีงานศึกษาวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนการใช้ทับทิมในต้นแบบแตกต่างกันกับการดูแลรักษาโรคที่ค่อนข้างจะจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถที่จะกำหนดประสิทธิภาพของทับทิมต่อการดูแลและรักษาโรคได้ชัดเจน ซึ่งตัวอย่างการเรียนรู้เรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคหลอดเลือดแดงแข็ง ทับทิมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว ดังเช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่เชื่อว่าช่วยยั้งปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการผลิตโฟมเซลล์ แล้วก็ลดการแข็งตัวของเส้นเลือด ก็เลยบางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงสำหรับในการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
จากการเล่าเรียนฤทธิ์การต่อต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินปริมาณ 22 คน จากการทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มิลลิกรัม (มีกรดเอ็งลลิค 610 มิลลิกรัม) และวัดผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการวัดฤทธิ์ในการต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนจะมีการทดสอบ พบว่าค่าดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นลดลง จึงคาดว่าการรับประทานทับทิมอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต
นอกจากนั้น ยังมีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยอีกชิ้นให้คนเจ็บโรคเส้นโลหิตแดงแข็งปริมาณ 15 คน รับประทานอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปและ 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กรุ๊ปที่รับประทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป มีระดับไขมันที่ลดน้อยลงราว 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น ก็เลยแสดงให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดการเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงต้องมีการเล่าเรียนเสริมเติมในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดสอบขนาดใหญ่เยอะขึ้น ทำให้ยังไม่สามารถสรุปผลของทับทิมและก็การดูแลและรักษาโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้อย่างแจ่มแจ้ง
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมเป็นผลไม้อีกจำพวกที่มีคุณสมบัติช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย จึงถูกประยุกต์ใช้เป็นตัวเลือกสำหรับเพื่อการรักษาโรคเหงือก เนื่องจากการดูแลและรักษาหลักบางวิธีที่ยังไม่มีประสิทธิภาพพอเพียงสำหรับการบรรเทาอาการจากโรคมากมายซักเท่าไหร่รวมทั้งลดการเสี่ยงด้านของสุขภาพจากการดูแลและรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางคลินิกกับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อมองประสิทธิภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกลุ่มจะใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกัน ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมพร้อมกันกับการรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยขั้นตอนการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีลักษณะอาการดีขึ้นด้านใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่เหลือสำหรับการทดสอบ ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมจึงบางทีอาจนำไปประยุกต์ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลโพรงปากสำหรับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการดูแลรักษาด้วยวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดสอบอีกชิ้นที่ศึกษาประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกแบบเจลสำหรับการรักษาคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบจำนวน 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 4 อาทิตย์ มีสุขภาพโพรงปากดียิ่งขึ้นและก็ปัญหาโรคเหงือกอักเสบลดลงมากกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมอาจใช้ประโยชน์เป็นส่วนประกอบในสินค้าสำหรับการบำรุงโพรงปาก เป็นต้นว่า ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองและบรรเทาอาการโรคเหงือกอักเสบ
คุ้มครองการเกิดคราบจุลชีพ สารสกัดจากทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับการลดรอยเปื้อนจุลอินทรีย์ตามผิวฟัน รวมทั้งบางทีอาจนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคทางโพรงปากอีกหลากหลายประเภท ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขลักษณะในช่องปากดี จำนวน 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แต่ว่าสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) แล้วก็ยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลินทรีย์น้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งกว่ายาหลอก แต่ว่ามีประสิทธิภาพไม่ได้แตกต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน ก็เลยพอเพียงจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดจังหวะสำหรับการเกิดคราบจุลินทรีย์ด้านในโพรงปาก
ช่วงเวลาเดียวกัน การศึกษาเล่าเรียนอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยในการลดการเกิดรอยเปื้อนจุลินทรีย์ ซึ่งสำหรับการทดลองได้เก็บรอยเปื้อนจุลชีวันจากโพรงปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและก็กำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี จำนวน 60 คน ข้างหลังงดแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเทียบผลก่อนและก็หลังการใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม ดังเช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน รวมทั้งยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีคุณภาพสำหรับการลดคราบเปื้อนจุลอินทรีย์ลงมากที่สุดราวๆ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% และยาหลอกที่ต่ำลงเพียง 11% ก็เลยอาจจะกล่าวว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและก็เป็นตัวเลือกสำหรับเพื่อการใช้กำจัดคราบจุลอินทรีย์บนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงจะต้องมีการต่อว่าดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างสม่ำเสมอ เพราะว่าช่วงเวลาสำหรับการทดลองออกจะสั้น
ภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่พูดกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี จากการเรียนรู้ผลของการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนไข้เบาหวานชนิดที่ 2 รวมทั้งมีภาวะไขมันในเลือดสูงปริมาณ 22 คน เป็นระยะเวลา 8 อาทิตย์โดยระหว่างการทดลองจะมีการเก็บข้อมูลอาหารที่ทานอาหารข้างใน 1 วัน ทุกๆ10 วัน (รวมถึงของกินที่มีสารฟลาโวนอยด์) ข้างหลังจบสัปดาห์ที่ 8 พบว่าผู้ป่วยหรูหราไขมันรวม ไขมันชนิดไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี แล้วก็อัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดต่ำลง แม้กระนั้นไม่พบความเคลื่อนไหวของระดับไตรกลีเซอไรด์และระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งทำให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในคนเจ็บเบาหวานลง แต่ยังบอกมิได้เด่นชัด เนื่องจากอาหารประเภทอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดไขมันในเลือดได้เช่นกัน และกรุ๊ปการทดลองมีขนาดเล็ก จำเป็นต้องขยายผลการเรียนรู้ในกรุ๊ปที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มเติมอีก นอกเหนือจากนั้น การดูแลรักษาภาวะคอเลสเตอรอลสูงควรจะมีการควบคุมของกินรวมทั้งการออกกำลังกายไปพร้อมกัน ซึ่งบางทีอาจมีคุณประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากขึ้น
โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายอย่าง โดยยิ่งไปกว่านั้นสารโพลีฟีนอลที่พบได้ทั่วไปในทับทิม จากรายงานผลที่เจอในห้องทดลองระบุว่าสารกลุ่มนี้มีส่วนสำคัญสำหรับเพื่อการบรรเทาอาการโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังรวมทั้งบางทีอาจชะลอไม่ให้โรคพัฒนาอย่างเร็ว จึงมีการเล่าเรียนคุณภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติม โดยให้คนไข้โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ปริมาณ 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่กินน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่รับประทานยาหลอกติดต่อกันวันแล้ววันเล่าเป็นระยะ 5 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า ไม่เจอสารโพลิฟีนอลอีกทั้งในเลือดและก็เยี่ยวของคนป่วย อีกทั้งยังไม่พบความต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่าง 2 กลุ่ม จึงคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยในการรักษาหรือทุเลาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยปกติสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและก็ตรวจพบได้ในเลือดหรือปัสสาวะ แม้กระนั้นผลการศึกษาวิจัยกลับไม่เจอสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการเสื่อมสลายสารกลุ่มนี้โดยจุลชีพในระบบการทำงานด้านการย่อยอาหาร จึงควรทำความเข้าใจแนวทางการดูดซึมสารอาหารที่ต่างกันก่อนจะอ้างถึงผลดีด้านสุขภาพจากการกิน ด้วยเหตุว่าสารอาหารที่พบในของกินที่กินบางทีอาจมิได้ถูกนำไปใช้คุณประโยชน์ในร่างกายมนุษย์เราทั้งหมด
โรคและอาการอื่นๆอย่างเช่น โรคเส้นเลือดหัวใจ การหย่อนยานความสามารถทางเพศ เจ็บกล้ามหลังการออกกำลังกาย กรุ๊ปอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การต่อว่าดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเดิน โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และก็อื่นๆยังจำเป็นที่จะต้องศึกษาค้นคว้าวิจัยเพิ่มอีกเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับคุณภาพและความปลอดภัยของทับทิมสำหรับในการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มก.
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 12 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มก.
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.293 มก.
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับการกินทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยทั่วไปการรับประทานน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ว่าในบางรายที่มีลักษณะอาการแพ้ผลสดของทับทิมอาจเป็นผลใกล้กันจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสถาพทางร่างกาย การกินรากแล้วก็ลำต้นของทับทิมในปริมาณมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างปลอดภัยสำหรับเพื่อการกินหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แม้กระนั้นอาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้บางส่วนในบางราย ดังเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงท้องหรืออยู่ในตอนให้นมลูก แต่ว่ายังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยสำหรับเพื่อการกินหรือใช้ทับทิมในแบบอื่น ดังเช่น สารสกัดจากทับทิม ควรต้องขอคำแนะนำแพทย์ก่อนที่จะมีการรับประทานทุกคราว
น้ำทับทิมอาจจะเป็นผลให้ความดันโลหิตลดลดน้อยลงเล็กน้อย ซึ่งอาจก่อให้ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการแย่ลง
ผู้ที่มีลักษณะอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะกำเนิดอาการแพ้จากการกินทับทิม
คนไข้ที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานทับทิมอย่างน้อย 2 อาทิตย์ ด้วยเหตุว่าทับทิมส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือส่งผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางประเภทอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา เช่น ยาที่เกี่ยวโยงกับหลักการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือจำพวก P450 3A4 ยาลดความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตตำหนิน คนที่รับประทานยาเป็นประจำหรือมีโรคประจำตัวควรขอความเห็นหมอก่อนจะมีการกินเพื่อความปลอดภัย

6

ขิง
แม้ว่าขิงจะเป็นสมุนไพรซึ่งสามารถใช้ทำอาหารและก็มีสรรพคุณในการรักษาโรค แม้ว่าขิงจะมีกลิ่นฉุนและก็มีรสชาติเผ็ดร้อน เลยทำให้ไม่ถูกปากหลายท่านนั้น แต่ว่าขิงก็เป็นสมุนไพรซึ่งสามารถใช้ทำอาหารและมีสรรพคุณรักษาโรค พวกเรามาดูกันดีกว่าว่าสมุนไพรดีๆอย่างขิงนั้นเป็นประโยชน์รวมทั้งโทษอะไรที่พวกเราไม่คาดฝันบ้าง
คุณประโยชน์ของขิง
+ ลดอาการท้องอืดแม้คุณรู้สึกท้องเฟ้อหรืออาหารไม่ย่อยให้จิบชาน้ำขิงหรือกินขิงสดจะมีผลให้คุณทราบกันดีอยู่แล้วขึ้น หรือหากคุณกำเนิดอาการท้องอืดที่เกิดจากการกินถั่วละก็ ทีหน้าลองฝานถั่วบางๆลงไปในของกินที่มีถั่ว นั่นก็จะช่วยลดของกินท้องอืดได้เช่นกันค่ะ เพราะว่าขิงนั้นเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน สามารถช่วยขับลม และก็กระตุ้นหลักการทำงานของลำไส้ทำให้ อาการท้องอืดบรรเทาลงได้
+ ช่วยบรรเทาอาการไมเกรน
จากการเรียนรู้
พบว่า การรับประทานขิงตอนที่อาการไมเกรนใกล้กำเริบนั้น จะช่วยให้ความเจ็บปวดจากอาการไมเกรนลดลงได้ เนื่องจากขิงจะไปช่วยสกัดการฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการอักเสบ นอกจากนั้นยังมีการเรียนรู้อื่น แสดงให้เห็นอีกว่าขิงสามารถช่วยรักษาอาการไขข้ออักเสบ โดยพบว่าคนที่มีลักษณะอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมหรือโรครูมาตอยด์มีอาการลดลงเมื่อบริโภคขิงผงเป็นประจำทุกเมื่อเชื่อวัน
คุณประโยชน์ของขิง และโทษที่คุณอาจนึกไม่ถึง
+ ช่วยคุ้มครองป้องกันมะเร็ง
 ขิงมีคุณลักษณะสำหรับในการช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็ง โดยมีการเรียนพบว่าขิงช่วยทำให้เซลล์ของมะเร็งด้านในรังไข่ตาย ด้วยเหตุว่าในขิงมีสารเคมีธรรมชาติที่ไปช่วยกระตุ้นเอนไซม์กลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรส ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ก็เลยช่วยคุ้มครองปกป้องโรคมะเร็งได้ นอกเหนือจากนี้ยังเจออีกว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีขิงเป็นองค์ประกอบยังช่วยลดอาการอักเสบในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
+ ช่วยทุเลาอาการคลื่นไส้
 ขิงสามารถทุเลาอาการคลื่นไส้ได้ โดยชาวเอเชียนั้นชอบใช้ขิงสำหรับในการช่วยบรรเทาอาการเมารถ หรือเมาเรือ นอกนั้นยังมีหลายการศึกษาพบว่าขิงสามารถช่วยคุ้มครองปกป้องและก็บรรเทาอาการอาเจียนภายหลังจากการผ่าตัดและก็ยังช่วยทุเลาอาการอ้วกและก็คลื่นไส้ในคนป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับเคมีบำบัดรักษาได้อีกด้วย
+ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
 มีการเรียนรู้ใหม่พบว่า ขิงผงนั้นสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยยิ่งไปกว่านั้นกับผู้เจ็บป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 แต่ก็ควรที่จะหารือหมอก่อนรับประทานขิงร่วมกับยา เพราะขิงบางทีอาจทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้รักษาได้ แล้วก็ควรติดตามผลระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุว่าถ้าเกิดรับประทานขิงมากเกินความจำเป็นก็อาจจะทำให้ระดับอินซูลินต่ำลงมากจนเกินความจำเป็นจนถึงอยู่ในจุดอันตรายได้
ประโยชน์ซึ่งมาจากขิง และโทษที่คุณอาจไม่คาดฝัน
ขิงดอง คุณประโยชน์ดีก็มีนะ รู้ยัง?
 พวกเราบางครั้งก็อาจจะเคยได้ยินกันมาว่าการกินของดองไม่เป็นผลดีสำหรับสุขภาพ แม้กระนั้นต้องขอนอกจากไว้สำหรับขิงดองค่ะ เนื่องจากว่าที่จริงแล้วถึงแม้ขิงดองจะเป็นของกินที่ผ่านการหมักดองด้วยน้ำส้มสายชู แต่ว่าเรื่องสรรพคุณ และคุณประโยชน์เพื่อสุขภาพ ขิงดองก็มีดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าขิงสดๆเลยล่ะค่ะ ซึ่งประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิงดองมีดังนี้
* ช่วยแก้อาการเมาเรือ เมารถ และก็อาการแพ้ท้อง

เนื่องมาจากขิงดองเป็นของกินที่มีกลิ่นฉุนทั้งยังยังมีรสชาติเผ็ดอมเปรี้ยว เลยทำให้เปลี่ยนเป็นของกินที่เหมาะสำหรับมีลักษณะเมาเรือ เมารถ รวมทั้งสตรีที่กำลังมีท้อง ซึ่งชอบมีอาการแพ้ท้อง เอาไว้รับประทานในช่วงเวลาที่รู้สึกอ้วก เนื่องจากจะช่วยบรรเทาอาการได้จ้ะ ไม่ต้องพึ่งยาแก้เมา หรือยาแก้แพ้ท้อง ลองใช้ขิงดองมองนี่ล่ะค่ะ เด็ด !
* ช่วยล้างปากเวลารับประทานอาหาร
 สำหรับผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยที่สงสัยว่าทำไมเวลาไปกินอาหารประเทศญี่ปุ่นแล้วบนจานของกินญี่ปุ่นจะมีขิงดอง คำตอบก็คือขิงดองพวกนั้นมีไว้รับประทานล้างปากค่ะ โดยส่วนมากสำหรับการรับประทานอาหารประเทศญี่ปุ่น จะรับประทานขิงดองตามเข้าไปภายหลังทานอาหารจานนั้นหมดแล้ว เพื่อไม่ให้รสอาหารจานเดิมติดอยู่ในปากจนกระทั่งทำให้เกิดความรู้สึกมันแล้วก็กินจานต่อไปไม่ไหว ทั้งยังยังมีผลให้ชิมรสอาหารจานต่อไปได้อย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย
* โซเดียมต่ำ
 ถึงแม้ขิงดองจะมีรสจัด แต่ว่าน่าประหลาดที่ขิงดองเป็นของกินที่มีโซเดียมต่ำมากมายเมื่อเทียบกับอาหารหมักดองจำพวกอื่นๆเมื่อนำมากินและก็ทำให้ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจกับปริมาณโซเดียม ลดการเสี่ยงที่จะกำเนิดความดันเลือดสูงลงไปได้อีกมากมายเลย
ประโยช์จากขิง และโทษที่คุณอาจคาดไม่ถึง
ข้อควรตรึกตรองในการทานขิง
- อาจจะก่อให้เกิดภาวะสอดแทรกสำหรับในการมีครรภ์ได้
 มีบางการเล่าเรียนพบว่าขิงมีความเชื่อมโยงกับภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์และก็การแท้ง แต่ในการมีท้องรายอื่นๆนั้นไม่พบว่าการรับประทานขิงจะมีผลให้เกิดอาการพวกนั้นขึ้น แถมยังช่วยลดอาการอาเจียนจากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวคุณควรจะไปปรึกษาหมอก่อนจะที่ใช้ขิงในการรักษาอาการแพ้ท้องด้วยตัวเองค่ะ
- กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดแผลร้อนในข้างในปากได้
 ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน ถ้าเกิดกินเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะสามารถเยื่อบุด้านในช่องปากเกิดการอักเสบกระทั่งเป็นอาการร้อนในได้ เพราะฉะนั้นไม่สมควรกินขิงมากเกินไปค่ะ
- ยั้งการแข็งตัวของเลือด
 การเรียนรู้หนึ่งในประเทศออสเตรเลียพบว่า ขิงนั้นมีสรรพคุณสำหรับในการต้านทานการแข็งตัวของเลือดมากกว่ายาแอสไพริน สถาบันสุขภาพของประเทศออสเตรเลียได้ออกคำตักเตือนให้งดเว้นการรับประทานขิงในขณะใช้ยาละายลิ่มเลือดเพราะว่าจะมีผลให้เกิดการเสี่ยงสำหรับในการเกิดอาการช้ำเลือดหรืออาการเลือดออกได้ ด้วยเหตุนั้นหากคุณมีลักษณะอาการเลือดออกไม่ปกติหรือกำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือด ควรหลบหลีกการรับประทานขิงค่ะฃ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]