แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - sdfnheaq5qa1squ4

หน้า: [1]
1

[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้[/url][/size][/b]
ตะไคร้ เป็นพืชสมุนไพรเขตแดนในประเทศแถบทวีปเอเชียเขตร้อน มีลักษณะเหมือนต้นหญ้าแล้วก็มีใบสูงยาวส่งกลิ่นเฉพาะบุคคล เว้นแต่นำมาใช้เข้าครัว แต่งกลิ่นในของกิน รวมทั้งทำเครื่องดื่มแล้ว ตะไคร้ยังถูกนำไปใช้ในหลากสาขา ดังเช่นว่า อุตสาหกรรมสบู่ เครื่องแต่งตัว การบำบัดด้วยกลิ่น หรือการสกัดเป็นยารักษา โดยมีความคิดว่าสารเคมีในตะไคร้ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ บางทีอาจสามารถช่วยคุ้มครองปกป้องการเจริญเติบโตของแบคทีเรียกับยีสต์ได้ ช่วยลดลักษณะของการปวดเมื่อยล้ากล้าม ทุเลาอาการปวดและลดไข้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในระหว่างมีเมนส์ และก็เป็นส่วนประกอบในสารที่ช่วยไล่ยุงได้ ฯลฯ
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymbopogon citratus จัดเป็นไม้ล้มลุก มีลักษณะเป็นกอ มักนิยมนำมาปลูกไว้ตามบ้านแล้วก็เอามาปรุงอาหาร เป็นสมุนไพรที่มีสาระรวมทั้งช่วยทุเลาลักษณะของโรคบางประเภทได้ แต่หารู้หรือเปล่าว่าในความเป็นจริงแล้ว ภายใต้ต้นแข็งๆรวมทั้งใบที่คมของตะไคร้ยังซ่อนคุณประโยชน์เอาไว้จำนวนมากกระทั่งนึกไม่ถึง วันนี้พวกเราไปดูคุณประโยชน์ซึ่งมาจากตะไคร้ที่ทราบดีแล้วต้องตลึงที่นำมาจากเว็บไซต์ allwomenstalk กันดีกว่าจ้ะ ผู้ใดที่ชอบกลิ่นหอมๆของมัน ต้องยิ่งรักเจ้าสมุนไพรชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
คุณประโยชน์ของตะไคร้ ผลดีดีๆของสมุนไพรใกล้ตัว
อุดมไปด้วยวิตามิน
          อย่าคิดว่าตะไคร้มีประโยชน์เพียงแค่ใช้ประกอบอาหารเพียงแค่นั้น เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วตะไคร้นั้นอุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งแร่จำนวนมาก อีกทั้งวิตามินเอ วิตามินซี รวมทั้งวิตามินบี ยิ่งกว่านั้นยังมีโฟเลต แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส โอ้โห้... วิตามินมากมายขนาดนี้คราวหน้าเจอตะไคร้ในอาหารก็อย่าเขี่ยทิ้งนะ
ช่วยไล่แมลง
          นอกเหนือจากที่จะเอามาทำกับข้าวแล้ว ตะไคร้ยังมีประโยชน์สำหรับเพื่อการไล่แมลงอีกด้วย เพราะเหตุว่าในตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ทั้งยังในใบและก็ในลำต้น ซึ่งน้ำมันหอมระเหยกลุ่มนี้มีคุณสมบัติสำหรับในการไล่แมลงได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่น่าสนเท่ห์ใจที่เราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์สบู่ ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงที่มีส่วนผสมของตะไคร้ขายอยู่ในท้องตลาดล้นหลาม ผู้ใดที่ชอบกลิ่นตะไคร้ละก็ลองหามาใช้ได้นะคะ

ล้างพิษ
          สำหรับผู้ที่รักสุขภาพรวมทั้งชอบล้างพิษภายในร่างกายเสมอๆไม่ควรพลาดเจ้าตะไคร้เลยจ้ะ เนื่องจากว่ามันมีคุณลักษณะสำหรับในการล้างพิษในร่างกายด้วยการทำให้ท่านฉี่หลายครั้งขึ้น เนื่องจากว่าสารเคมีที่อยู่ในตะไคร้จะช่วยชำระล้างระบบย่อยอาหาร ดังเช่นว่า ตับ ตับอ่อน ไต และก็กระเพาะปัสสาวะ ขับพิษแล้วก็กรดยูริกออกมาจากร่างกาย ทำให้ระบบการทำงานด้านการย่อยอาหารของคุณสะอาดขึ้น และก็ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจ้ะ
ตะไคร้ กับ 7 คุณประโยชน์
ช่วยย่อยอาหาร
          ตะไคร้ ช่วยให้ระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารทำงานเจริญขึ้นจ้ะ ด้วยเหตุว่ามีการเรียนรู้หนึ่งพบว่าการดื่มเกิดไคร้จะช่วยสำหรับในการย่อย ลดอาการปวดท้อง แก้หวัด ลดอาการตะคิวในไส้ และก็ท้องร่วงได้ นอกจากนั้นยังช่วยปกป้องแล้วก็ลดก๊าซในลำไส้ได้อีกด้วย
ช่วยซ่อมรวมทั้งบำรุงระบบประสาท
          มีการศึกษาเล่าเรียนจำนวนมากพบว่าตะไคร้สามารถช่วยซ่อมบำรุงและเสริมความแข็งแรงให้กับระบบประสาทได้ พิสูจน์ได้อย่างง่ายๆด้วยการนำน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มาหยดลงบนผิว คุณจะรู้สึกได้ว่ามันอุ่นๆซึ่งมันจะทำให้กล้ามของคุณบรรเทามากมายแล้วก็ลดอาการตะคิวได้ แต่ก็อย่าลืมว่าเมื่อใดก็ตามจะใช้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้คุณควรที่จะผสมมันกับน้ำมันตัวพา (Carrier oil) และก็ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยโดยตรงกับผิวเด็ดขาดจ้ะ
ตะไคร้
ช่วยรักษาอาการอักเสบ
          ตะไคร้สามารถช่วยทำให้คุณรู้สึกบรรเทาและก็บรรเทาอาการปวดต่างๆได้ ยิ่งกว่านั้นยังช่วยลดอาการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของลักษณะของการปวดต่างๆเช่น ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ หรือการปวดตามข้อได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าหากว่าคุณรู้สึกเจ็บปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย ลองหาน้ำมันที่ผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มานวดมองนะคะรับประกันว่าหายแน่นอน
ช่วยทำนุบำรุงผิว
          ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ด้วยเหตุผลดังกล่าวมันก็เลยสามารถช่วยบำรุงผิวของคุณได้ ทำให้ผิวของคุณส่องแสงความมีสุขภาพแข็งแรงออกมา แถมยังช่วยทำให้ผิวของคุณมองอ่อนเยาว์อยู่เป็นประจำ รวมทั้งช่วยลดสิวต่างๆได้อีกด้วย
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ จำนวนน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งเดียวของปริมาณหนูขาวทั้งหมดทั้งปวง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้งการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งหนึ่ง พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษรุนแรงของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากลุ่มที่ไคุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การศึกษาเล่าเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญมี โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ธาตุฟอสฟอรัส 30 มก. เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มก. ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม ไนอาสิน 2.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มก. และก็ ขี้เถ้า 1.4 กรัมม้ได้รับ แล้วก็ค่าทางเคมีของเลือดไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร http://www.disthai.com/

2

ทับทิม
มารู้จะ “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ
นักระบุของกินจดทะเบียนวิชาชีพอเมริกา
ในยุคที่คนไหนกันแน่ก็ห่วงสุขภาพ รักการบริหารร่างกาย หมั่นกินผัก ผลไม้ต่างๆเมื่อกล่าวถึง “ทับทิม” หลายท่านคงคุ้นเคยกันดีกับผลไม้ที่มีกลิ่นหอมยวนใจ รสอร่อยชักชวนพึงใจ ทับทิมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียและก็เปอร์เซีย โดยในบันทึกโบราณทางการแพทย์ระบุว่า ทับทิมถูกใช้เป็นยารักษาโรคและใช้สำหรับการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายมานานนับพันๆปี
ตอนนี้ทับทิมจัดคือผลไม้ในกลุ่ม ซุปเปอร์ฟรุ๊ต ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุสารพฤกษเคมีรวมทั้งสารแอนติออกซิแดนท์ซึ่งมีจำนวนสูงเยี่ยมในทับทิมโดยสูงเป็น 3 เท่าของอาหารอื่นที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง อีกทั้งมีใยอาหารสูงมากมาย ยิ่งกว่านั้นยังมีวิตามินซีสูง มีวิตามินบี 5 (กรดแพนโทธีนิค) วิตามินเอ วิตามินอี ส่วนแร่ธาตุที่มีมากมายเป็น แคลเซียม โพแตสเซียม และก็ธาตุเหล็ก
จากการเล่าเรียนพบว่าทับทิมมีสารที่มีฤทธิ์ในการต้านขบวนการออกซิเดชันที่เกี่ยวกับการอักเสบ ซึ่งบางทีอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็ง แล้วก็โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในทับทิมสูงขึ้นยิ่งกว่า ไวน์แดงและใบชาเขียวถึง 3 เท่า รวมทั้งยังมีปริมาณสารโพลีฟีนอลในทับทิมสูงขึ้นยิ่งกว่าน้ำผลไม้อื่นๆยกตัวอย่างเช่น ส้ม องุ่น แคนเบอร์ปรี่ ลูกแพร แอปเปิ้ล อีกด้วย
ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มสารโพลีฟีนอล ที่สำคัญเป็น สารพูนิคาลาจิน พูนิติดอยู่ลิน และก็กรดกัลลาจิก ทั้งหมดนี้อาจมีผลต่อการคุ้มครองป้องกันอันตรายต่อเนื้อเยื่อในร่างกายที่จะส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังรังต่างๆการศึกษาเรียนรู้วิจัยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมบางทีอาจช่วยยั้งการเจริญก้าวหน้าของเซลล์ของมะเร็ง ทับทิมยังมีสารอโรมาเทสอินฮิบิเตอร์ธรรมชาติ ซึ่งช่วยยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเอสโทรเจนที่อาจช่วยลดการเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม นอกเหนือจากนี้สารอาหารและก็สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมสกัดยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ อาจต้านทานการเกิดริ้วรอย ช่วยทำให้มีผิวพรรณอ่อนกว่าวัยรวมทั้งมีสุขภาพดี ยิ่งไปกว่านี้ทับทิมยังจัดคือผลไม้ที่มีพลังงานต่ำ ก็เลยบางทีอาจให้คุณประโยชน์ต่อการลดพลังงานในการควบคุมน้ำหนัก โดยการรับประทานทับทิมแทนของหวาน
ด้วยสารสำคัญต่างๆในทับทิม นักค้นคว้าก็เลยพอใจทำการวิจัยถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า สารสกัดจากทับทิมช่วยชะลอการเจริญก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง และก็สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในห้องแลปได้ นอกนั้นยังมีการศึกษาค้นคว้าชี้ว่า น้ำทับทิมสกัดยังสามารถช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเทอรอคอยล ซึ่งเป็นคอเลสเทอคอยลไม่ดี ทำให้เส้นโลหิตแดงแข็งตัน แล้วก็ยังช่วยลดระดับความดันโลหิต ส่งผลสำหรับในการช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคเส้นโลหิตสมองตีบรวมทั้งหัวใจวาย
ด้วยคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากทับทิมที่มีต่อสุขภาพแล้วก็มาจากธรรมชาติ ทำให้ทับทิมได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั่วโลก ปัจจุบันนี้มีการนำทับทิมมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำทับทิมสกัดแบบพร้อมดื่ม เพื่อความสบายสำหรับลูกค้าหวานใจและก็หวังดีสำหรับเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย
งานศึกษาเรียนรู้วิจัยของ Sharma, Mc Clees and Afaq ล่าสุดในปี 2017 ระบุว่า สารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ยับยั้งการเกิดเซลล์กลายพันธุ์ที่ส่งผลให้เกิดเซลล์ของมะเร็ง
ด้วยคุณประโยชน์มากมายก่ายกองดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ทำให้ทับทิมได้รับการตั้งชื่อว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต” (Super fruit) ยอดนิยมแพร่หลายไปทั่วทั้งโลก เพราะมีวิตามินรวมทั้งธาตุ
ความศรัทธาและก็ตำนาน
ชาวภาษากรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมเกิดจากเลือดของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเทพเจ้าทั้งมวลรวมทั้งเทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ ท้องขึ้นโดยการสอดผลทับทิม รวมทั้งให้กำเนิดเทพเจ้าแอตติเตียนส (Attis) ขึ้น เพราะฉะนั้น คนที่เคารพเทวดาแอตว่ากล่าวสจึงไม่รับประทานผลทับทิม ชาวยิวในยุคพระผู้เป็นเจ้าโซโลมอนก็นับว่า ทับทิมคือผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน ชาวฮินดู ในอินเดียเชื่อว่า พระวิฆเนศทรงโปรดทับทิม คนที่เคารพพระพิฆเนศก็เลยนิยมนำผลทับทิมไปถวาย ยิ่งไปกว่านี้ ยังคงใช้ดอกทับทิมบวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ พระนารายณ์ และก็เทวีพระลักษมี อีกด้วย
คนจีนถือว่า ต้นทับทิมเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคล (โดยเฉพาะทับทิมประเภทดอกสีขาว) รวมทั้งนับว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์ที่ความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากไม่น้อยเลยทีเดียว (เนื่องด้วยผลทับทิมมีเม็ดมาก) จึงนิยมให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่คู่สมรสในพิธีสมรส (เพื่อให้มีลูกหลานมากมายๆ) ในพิธีสมรสนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว แล้วก็ปักยอดทับทิมไว้ที่ข้าวของเซ่นสรวงเจ้า คนจีนยังมั่นใจว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ ก็เลยนิยมปลูกทับทิมไว้ภายในบริเวณบ้าน แล้วก็ใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ หลังกลับจากงานฌาปนกิจศพ (เพื่อมิให้ภูติผีปีศาจติดตามมา)
ในประเทศญี่ปุ่นคงรับความศรัทธาเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน เปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่ที่คอยคุ้มครองปกป้องรักษาเด็กๆให้ไม่มีอันตราย แล้วก็มั่นใจว่าเมื่อเด็กๆได้รับประทานผลทับทิมแล้วจะไม่เป็นอันตรายและก็ปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งมวล ชาวไทยก็คงได้รับถ่ายทอดความเชื่อถือเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายที่ในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงเป็นเจ้าแม่ที่มีกำเนิดจากประเทศจีนแล้วกลายเป็นชื่อไทยคราวหน้า

Tags : สมุนไพรทับทิม

3

ทับทิม
ทับทิม คือผลไม้ที่นิยมรับประทานอย่างมากมาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่ได้ผลสำเร็จสดเยอะที่สุดและยังนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความสวย ทั้งยังยังคงใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งสารพฤกษเคมีหลากหลายประเภทที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพร่างกาย ก็เลยมั่นใจว่าบางทีอาจมีประโยชน์สำหรับเพื่อการคุ้มครองปกป้องโรคหรือทุเลาอาการ อย่างเช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือทุเลาอาการหายใจลำบากจากโรคนี้ โรคหัวใจและก็เส้นโลหิต คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันเลือดสูง โรคในช่องปากแล้วก็โรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง รวมทั้งอื่นๆ
ในขณะนี้ยังมีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่เรียนรู้การใช้ทับทิมในแบบต่างกันกับการดูแลและรักษาโรคที่ออกจะจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถเจาะจงประสิทธิภาพของทับทิมต่อการดูแลรักษาโรคได้กระจ่างแจ้ง ซึ่งตัวอย่างการเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว ดังเช่นว่า สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่เชื่อว่าช่วยยับยั้งปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการผลิตโฟมเซลล์ แล้วก็ลดการแข็งตัวของเส้นโลหิต จึงบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคเส้นเลือดแดงแข็ง
จากการเรียนฤทธิ์การต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในผู้ที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (ประกอบด้วยกรดแกลลิค 610 มิลลิกรัม) และก็ประเมินผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการวัดฤทธิ์ในการต้านทานสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนการทดสอบ พบว่าค่าดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นต่ำลง จึงคาดว่าการรับประทานทับทิมอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจแล้วก็เส้นเลือด
นอกเหนือจากนี้ ยังมีงานค้นคว้าวิจัยอีกชิ้นให้คนเจ็บโรคเส้นโลหิตแดงแข็งปริมาณ 15 คน กินอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากยิ่งกว่า 1 ปีขึ้นไปรวมทั้ง 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป หรูหราไขมันที่ลดน้อยลงราว 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น จึงชี้ให้เห็นว่าการรับประทานสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ดังนี้ ยังคงควรมีการเล่าเรียนเพิ่มในระยะยาวกับกลุ่มการทดสอบขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถที่จะสรุปผลของทับทิมและก็การดูแลและรักษาโรคเส้นโลหิตแดงแข็งได้อย่างชัดเจน
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมเป็นผลไม้อีกจำพวกที่มีคุณลักษณะช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย จึงถูกประยุกต์ใช้เป็นตัวเลือกในการรักษาโรคเหงือก เนื่องมาจากการดูแลและรักษาหลักบางแนวทางที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการบรรเทาอาการจากโรคมากมายซักเท่าไหร่รวมทั้งลดการเสี่ยงด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดลองทางคลินิกกับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง ปริมาณ 40 คน เพื่อมองประสิทธิภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้แนวทางรักษาที่แตกต่าง ผลพบว่า กลุ่มที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมพร้อมกันกับการดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกรรมวิธีขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีอาการดียิ่งขึ้นภายใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เหลือสำหรับการทดสอบ ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมจึงอาจนำไปปรับใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการรักษาด้วยแนวทางรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดลองอีกชิ้นที่เรียนรู้ประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกรูปแบบเจลสำหรับในการรักษาผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบจำนวน 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีสุขภาพช่องปากดียิ่งขึ้นและปัญหาโรคเหงือกอักเสบต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจนำไปใช้เป็นส่วนผสมในสินค้าสำหรับดูแลรักษาโพรงปาก ยกตัวอย่างเช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองแล้วก็บรรเทาอาการของโรคเหงือกอักเสบ
ป้องกันการเกิดคราบเปื้อนจุลอินทรีย์ สารสกัดจากทับทิมมีคุณภาพในการลดรอยเปื้อนจุลอินทรีย์ตามผิวฟัน และอาจนำมาซึ่งโรคทางโพรงปากอีกหลายประเภท ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขอนามัยในช่องปากดี จำนวน 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แม้กระนั้นสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) และก็ยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลอินทรีย์ลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งกว่ายาหลอก แม้กระนั้นมีประสิทธิภาพไม่มีความต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน ก็เลยพอเพียงจะพูดได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดโอกาสสำหรับการเกิดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ด้านในช่องปาก
ช่วงเวลาเดียวกัน การศึกษาอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับการลดการเกิดคราบเปื้อนจุลอินทรีย์ ซึ่งสำหรับการทดลองได้เก็บคราบจุลินทรีย์จากช่องปากของอาสาสมัครที่มีร่างกายแข็งแรงและก็กำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน หลังงดแปรงฟันเป็นระยะเวลา 1 วัน เพื่อเทียบผลก่อนและหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากจำพวกแตกต่างกันในแต่ละกรุ๊ป อย่างเช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน และยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีคุณภาพสำหรับในการลดคราบจุลชีวันลงมากที่สุดประมาณ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% แล้วก็ยาหลอกที่ต่ำลงเพียงแต่ 11% จึงอาจจะกล่าวว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียรวมทั้งเป็นตัวเลือกสำหรับเพื่อการใช้ขจัดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน ดังนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงจะต้องมีการตำหนิดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมโดยตลอด เพราะว่าช่วงเวลาสำหรับในการทดสอบค่อนข้างจะสั้น
ภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีคุณประโยชน์ที่พูดกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม จากการเรียนผลของการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนไข้โรคเบาหวานจำพวกที่ 2 รวมทั้งมีภาวะไขมันในเลือดสูงจำนวน 22 คน เป็นระยะเวลา 8 อาทิตย์โดยระหว่างการทดสอบจะมีการเก็บข้อมูลอาหารที่กินอาหารภายใน 24 ชั่วโมง ทุกๆ10 วัน (รวมถึงอาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์) หลังจบอาทิตย์ที่ 8 พบว่าคนป่วยหรูหราไขมันรวม ไขมันจำพวกไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และอัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดต่ำลง แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์แล้วก็ระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในผู้ป่วยเบาหวานลง แต่ว่ายังบอกมิได้ชัดแจ้ง เพราะของกินจำพวกอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดไขมันในเลือดได้เหมือนกัน รวมทั้งกลุ่มการทดสอบมีขนาดเล็ก จำเป็นจะต้องขยายผลการศึกษาในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเสริมเติม นอกจากนี้ การดูแลรักษาภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูงควรจะมีการควบคุมอาหารรวมทั้งการบริหารร่างกายไปพร้อม ซึ่งอาจมีคุณประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากเพิ่มขึ้น
โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารโพลีฟีนอลที่พบได้บ่อยในทับทิม จากรายงานผลที่พบในห้องแลปบอกว่าสารกลุ่มนี้มีส่วนสำคัญในการทุเลาลักษณะของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างเร็ว จึงมีการเรียนรู้คุณภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติม โดยให้ผู้เจ็บป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ปริมาณ 30 คน แบ่งเป็นกรุ๊ปที่กินน้ำทับทิม 400 มิลลิลิตร (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกติดต่อกันทุกวันเป็นระยะ 5 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า ไม่เจอสารโพลิฟีนอลทั้งยังในเลือดรวมทั้งปัสสาวะของคนป่วย อีกทั้งยังไม่เจอความต่างอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กลุ่ม จึงคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือทุเลาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยปกติสารอาหารที่ไปสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและตรวจพบได้ในเลือดหรือเยี่ยว แต่ว่าผลการศึกษาวิจัยกลับไม่เจอสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเสื่อมสภาพสารกลุ่มนี้โดยจุลินทรีย์ในระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร จำเป็นต้องทำความเข้าใจวิธีการซับสารอาหารที่แตกต่างกันก่อนจะอ้างถึงประโยชน์ด้านสุขภาพจากการรับประทาน เพราะเหตุว่าสารอาหารที่เจอในของกินที่กินอาจไม่ได้ถูกเอาไปใช้คุณประโยชน์ภายในร่างกายมนุษย์เราทั้งปวง
โรคและอาการอื่นๆตัวอย่างเช่น โรคเส้นโลหิตหัวใจ การหย่อนยานสมรรถนะทางเพศ เจ็บกล้ามข้างหลังการบริหารร่างกาย กลุ่มอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงอาทิตย์ การต่อว่าดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และอื่นๆยังจำเป็นที่จะต้องทำการวิจัยศึกษาค้นคว้าเพิ่มเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพและก็ความปลอดภัยของทับทิมสำหรับเพื่อการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มก.
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 12 มก.
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มก.
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มก.
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.053 มก.
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มิลลิกรัม
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยปกติการกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีลักษณะแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเกิดผลใกล้กันจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพร่างกาย การกินรากแล้วก็ลำต้นของทับทิมในจำนวนมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมออกจะไม่มีอันตรายในการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้นิดหน่อยในบางราย ดังเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจติดขัด
การกินน้ำทับทิมค่อนข้างจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมลูก แต่ว่ายังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยสำหรับในการกินหรือใช้ทับทิมในต้นแบบอื่น อย่างเช่น สารสกัดจากทับทิม จำเป็นที่จะต้องหารือหมอก่อนการรับประทานทุกคราว
น้ำทับทิมอาจจะเป็นผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลงนิดหน่อย ซึ่งอาจจะส่งผลให้คนไข้ที่มีสภาวะความดันต่ำอาการแย่ลง
คนที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการกินทับทิม
ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดกินทับทิมขั้นต่ำ 2 อาทิตย์ เพราะเหตุว่าทับทิมทำให้ความดันโลหิตต่ำลง จึงอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังข้างหลังการผ่าตัด
การกินทับทิมพร้อมกันกับยาบางประเภทอาจจะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา เช่น ยาที่เกี่ยวโยงกับหลักการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือประเภท P450 3A4 ยาลดความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตติน คนที่กินยาเสมอๆหรือมีโรคประจำตัวควรจะขอคำแนะนำหมอก่อนการกินเพื่อให้มีความปลอดภัย

4

เห็ดหลินจือ
เรื่องเล่าประสบการณ์ตรงจากที่ลงภาคสนาม
ยายคนหนึ่ง อายุราว 67 ปี ทำอาชีพขายเห็ดในตลาด ลักษณะของการป่วยเป็นโรค ดังต่อไปนี้
1.เห็ดหลินจือ สามารถรักษาโรคเบาหวาน เป็นทุนเดิม เป็นโรคนี้มาโดยประมาณ 1x ปี
2.โรคความดันโลหิต เป็นมาพร้อมๆกับโรคเบาหวาน จะต้องกินยาแผนปัจจุบันตลอด มีอาการมึนหัว
3.โรคไขมัน มาพร้อมๆกับเบาหวาน จำต้องกินยาแผนปัจจุบันตลอด
4.โรคไตเสื่อม หลังจากเป็นโรคโรคเบาหวานมาราวๆ 10 ปี แพทย์ตรวจเจอว่า ไตเสื่อม ระยะ 2 มีลักษณะขาบวม หมดแรงเดิน
5.โรคกระเพาะปัสสาวะ อักเสบ มาตอนเป็น ไตเสื่อม กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการฉี่ขับ ฉี่ไม่สุด เจ็บแปล็บๆ
6.โรคเก๊า มาตรวจพบคราวหลัง ว่าค่ายูริก เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
======================
การกระทำของผู้ป่วยและก็ความเป็นมาก่อนรับประทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
1.ช่วงเจ็บไข้ตอนเริ่ม จะมีอาการน้ำตาลในเลือดสูง เกือบจะ 200 มก. แต่พอเพียงผ่านมาเกือบ 10 ปี คิดว่าดูแลตัวเองได้ดี ผลที่ได้กลายเป็นอย่างงี้ สักครู่น้ำตาลสูง เดี๋ยวน้ำตาลต่ำ ทำให้มีการเกิดอาการงุนงงได้ทั้งวัน งานการไม่ต้องทำแล้ว นอนดีมากยิ่งกว่า
2.พอเพียงมีน้ำตาลในเลือดสูง ความดันจะตามมาเลย นำไปสู่อาการโลกหมุน ลายตา จำเป็นต้องนอนอีกตามปกติ
3.พอเพียงตอนหลังเริ่มรับประทานของมันลดน้อยลง สามารถที่จะคุมไขมันได้ แต่พอนานวันเข้า ไขมันคุมได้ แม้กระนั้นพบสามกีซาลายสูงซะงั้น
4.ภายหลังจากเจ็บมา 1x ปี ร่างกายก็ไม่ค่อยได้พักผ่อน ทำให้มีการเกิดตอนอาการน็อคน้ำตาล ไป 2 หน ในรอบ 1 ปีให้หลัง จำต้องเข้า โรงพยาบาล เพื่อให้เดกซ์โทรส ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น
5.พอผ่านมาอีก 6 เดือน แพทย์ตรวจเจอเป็นไตเสื่อมขั้นที่ 2 แถมมีโรคกระเพาะฉี่อักเสบ เพราะเหตุว่ามีไข่ขาวรั่วมาทางเยี่ยวเยอะแยะ ทำให้เรี่ยวแรงสำหรับการเดินไม่มี (แทบเดินไม่ไหว ก้าวขาไม่ออก) แถมเจอโรคเก๊าต์ ถามหาอีก
6.พักหลังจากที่รู้ดีว่าเป็นหลายโรค ชีวิต มันช่างมืดมนอย่างยิ่ง ทำให้เบื่ออาหาร รับประทานมิได้ นอนไม่หลับ ถึงหลับก็ไม่สนิท ขาบวม ใจสั่น โมโหง่าย
7.เพียงพอถึงเวลานี้ คุณยายคนนี้ การกระทำเปลี่ยนไป จากที่เคยจำเป็นต้องออกไปเปิดร้านขายเห็ดในตลาดทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เคยหยุด กลับทำให้เขาไม่ต้องการขายสินค้า ขอหยุดนอนอยู่ในบ้าน ปฏิบัติตัวเสมือนไร้คุณค่า ต้องให้ลูกๆมารอมอง ทำให้เป็นภาระหน้าที่ของลูก
======================
ปัญหา สำหรับลูกที่ดูแล รวมทั้งจุดแปลงแนวคิด
1.ลูกคนนั้น มีความคิด ทำอย่างไงก้อได้ ให้แม่หายจากโรคทั้งปวงนี้
2.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้คุณแม่กลับมาปฏิบัติงานได้อย่างเดิม
3.ทำอย่างไงก็ได้ให้คุณแม่กินข้าวได้เสมือนอดีตเป็นโรคเบาหวาน
4.ทำอย่างไงก็ได้ให้คุณแม่นอนหลับเจริญ
=======================
ท้ายที่สุดลูกคนนั้นได้มาคุยกับผม ผมเลยแนะนำเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้ม แล้วก็ลูกคนนั้นได้เอาไปให้ท่านแม่ทาน
เริ่มที่ม่าม้าไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น จะช่วยให้ชีวิตเขาได้ เพราะว่าคุณแม่ทานสมุนไพร อาหารเสริมมามากแล้ว
=======================

เริ่มกับการทานเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น (ผลอาจนาๆประการในแต่ละบุคคล)
1.ผมเสนอแนะให้ทาน 1 วัน 2 เวลาเป็นเช้า-เย็น ในกรณีของแม่คนนี้ มีโรคประจำตัวมากมาย จะให้ทานอย่างงี้ ภายหลังรับประทานอาหารแล้ว ให้ทานยาแผนปัจจุบัน รวมทั้งรอ 30 นาที ค่อยทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
2.เพียงพอภายหลังจากทานได้ระยะแรก อาการมึนๆงงมากๆเริ่ม นอนหลับเจริญมากยิ่งกว่าเดิม ธรรมดาจะมองจนกระทั่งเที่ยงคืนและหลังจากนั้นก็ค่อยหลับ แล้วตื่น 6-7 นาฬิกายามเช้า มาจัดร้านขายของ กลายเป็น นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่น 6 นาฬิกายามเช้า
3.ภายหลังจากนอนหลับเจริญ  ทำให้อาการขาบวมดีขึ้น ปัสสาวะดียิ่งขึ้นมากมาย ไม่ขัดและฉี่ได้สุด ค่าน้ำตาลดียิ่งขึ้น ไม่สวิงต่ำ-สูง รวมทั้งผลไตดียิ่งขึ้นด้วย
4.คนเจ็บเริ่มกินข้าวได้ปกติ (คุณแม่ไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือช่วยได้จริงไหม เลยทดลองด้วย รับประทานทุเรียน2เม็ด แล้วพรุ่งนี้ไปตรวจเลือด ผลเลือดที่ออกมาม่าม้าตกอกตกใจ ว่าเพราะเหตุไรน้ำตาลธรรมดา ^_^)
5.เพียงพอร่างกายได้ นอนได้เต็มที่ หน้าใส(มีคนทักว่าไปทำอะไรมา) แข็งแรงสามารถชูของหนักๆได้ ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อน แค่เดินยังต้องหาที่นั่งพักเลย
คุณประโยชน์เห็ดหลินจือที่มีงานศึกษาเรียนรู้รับรอง....มีอะไรบ้าง
มีความเห็นมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณสดใส ช่วยให้แก่ช้าลง ความจำ และก็ช่วยอายุยืนนาน
ส่วนสรรพคุณในทางการดูแลรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างล้นหลามเหมือนกัน เป็นต้นว่า แก้โรคตับแข็ง รักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคความดัน แล้วก็ภูมิแพ้เป็นต้น
แต่ทีเด็ดคือ......
มีงานวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือรักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งสำหรับเพื่อการทดสอบศึกษาเล่าเรียนทางคลีนิคและรับรองว่าเห็ดหลินจือมีสรรพคุณดังต่อไปนี้จริง ไม่ใช่แค่ความเชื่อถืออีกต่อไป อันเช่น
-กระตุ้นภูมิต้านทาน
-ต้านเนื้องอกแล้วก็โรคมะเร็ง
-รักษาโรคทางเดินเยี่ยว
-รักษาโรคหัวใจ
-ช่วยให้การนอน
-ลดไขมันในเลือด
-ต้านทานอนุมูลอิสระ
-ต้านทานการอักเสบ

5

บุก
บุก มีคุณประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีรอบเดือนมาแตกต่างจากปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาและก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาแก้ปวด แก้บวมช้ำ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับรอบเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี
บุก มีชื่อสามัญว่า Konjac อ่านออกเสียงว่า คอน-จัค มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch ชื่อเรียกอื่นๆของบุก เป็นต้นว่า บุกปะทุงคก เบีย เบือ มันซูรัน หัวบุก บุกคางคก บุกหนาม บุกหลวง หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว หมอยื่อ ฯลฯ
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์ของต้นบุก
ต้นบุก นับว่าเป็น ไม้ล้มลุกชนิกหนึ่ง เป็นไม้เนื้ออ่อน รูปแบบของลำต้นเจ้าเนื้อและมีสีเขียวเข้ม ใบบุกเป็นใบโดดเดี่ยว ซึ่งใบของบุกจะแตกใบที่ยอดและใบแผ่ขึ้นเหมือนร่มกาง ดอกของบุกจะมีสีเหลือง จะบานในตอนค่ำ มีกลิ่นแรง ลักษณะเสมือนดอกหน้าโค
ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราว 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปออกจะกลมแบนเล็กน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและก็แขนงมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปะปนอยู่
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดยาวราว 15-20 เซนติเมตร
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวราว 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
คุณประโยชน์ของบุก
สำหรับสรรพคุณของบุก พวกเรานิยมใช่ประโยน์ทางยาของบุก จาก หัว รากรวมทั้งเนื้อของลำต้น เนื้อหา ดังนี้
หัวบุก มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต รักษาโรคโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีระดูมาเปลี่ยนไปจากปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาพารา แก้ฟกช้ำ
รากของบุก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับประจำเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี

ข้อควรคำนึงในการบริโภคบุก
สำหรับสิ่งที่ห้ามสำหรับในการกินบุก คือ หัวบุกจะมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน เป็นพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร ด้วยเหตุนั้น ในฝูงชนที่ ม้าม ตับ แล้วก็ระบบทางเดินอาหาร ไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงรับประทาน และไม่รับประทานมากเกินไป ซึงสิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับในการบริโภคบุก มีรายละเอียดดังนี้
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะมากๆ ที่กระตุ้นให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก็ก้านใบถ้าปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะมีผลให้ลิ้นพองและคันปากได้
ก่อนเอามากินต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด
กรรมวิธีกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นครั้งแรก แล้วค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นสำหรับการปรุงอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้ถ้าอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วและก็ตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เนื่องด้วยวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก ก็เลยไม่ควรบริโภควุ้นบกภายหลังการกิน แม้กระนั้นให้กินก่อนกินอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่สร้างมาจากวุ้น ดังเช่น วุ้นก้อนแล้วก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมอาหารหรือหลังอาหารได้ เนื่องจากว่าวุ้นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านวิธีรวมทั้งได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว รวมทั้งการการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณประโยชน์ทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ด้วยเหตุว่าไม่มีการเสื่อมสลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินและแร่ธาตุ หรือสารอาหารใดๆก็ตามที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลยกลูวัวแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันน้อยลง ซึ่งจะไม่เกิดโทษต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่ว่าจะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจจะก่อให้มีลักษณะอาการท้องร่วงหรืออาการท้องอืด มีลักษณะอาการอยากกินน้ำมากกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการเมื่อยล้าเพราะเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้http://www.disthai.com/

6

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะอย่างไรนี่ เรากำลังดูหนังการสู้รบอยู่เหรอ ไม่ครับผม บุกในที่นี้ไม่ได้ถึงข้าศึกบุก แต่ว่าคือหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านพวกเรา ต่างหาก รวมทั้งที่ต้องหนี ไม่ใช่ใครกันแน่ที่ไหน แต่ว่าเป็นโรคฮอตได้รับความนิยมในตอนนี้อย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่จำต้องหนีไป
บุก ส่วนที่มองเห็นคือ หัวบุก ทีแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็ไม่ได้แพร่หลายหรือเป็นที่ได้รับความนิยมเสมือนเวลานี้เพราะว่าจริงๆทีแรกมันก็เป็นพืชพื้นเมืองอยู่ดี  คนภายในท้องถิ่นก็นำบุกมาเข้าครัว เสมือนเผือก ราวกับมันทั่วๆไปพอเริ่มมีคนมาศึกษาค้นคว้า   คุณประโยชน์ต่างๆของมัน เลยแปลงเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยม มีการแปรรูปเป็นรูปแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก รวมทั้งอื่นๆอีกมากมาย วันนี้เองก็คงจะไม่ช้าเกินความจำเป็นที่จะนำทุกคนมารู้จัก พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบถึงกึ๋นมารู้จักบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นซาตาน  น่าขนลุกครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากลักษณะของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อวงศ์    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกระอุงคก (จังหวัดชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (ปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
เราเจอบุกพอดีไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่เจอทั่วไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นอยู่กับตาม ชายป่า และครั้งคราวก็พบตามพื้นที่ ทำไร่ทำนา ตัวอย่างเช่นที่ปทุมธานี รวมทั้งนนทบุรี ฯลฯ บุกขึ้นได้ในสภาพดินทุกประเภท แต่จะเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินซึ่งร่วนซุย น้ำไม่ขังแล้วก็ดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
รูปแบบของต้นบุก
ลักษณะของต้น บุก ชี้ให้เห็นส่วนประกอบคือใบบุก แล้วก็หัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  แบบเดียวกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ประมาณ 25 ซม. (บางพันธ์บางทีอาจเล็กมากยิ่งกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่บางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมของกินของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเหมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางประเภทมีก้านใย เป็นลวดลายบางชนิดมีหนามอ่อนๆ หรือบางครั้งบุกบางชนิดก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะมีความคิดเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่นานาประการมากมาย  แต่ที่เด่นๆสังเกตง่ายว่าเป็บุกคือ จะมีก้านตรงจากกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีทรงแผ่กว้างแบบร่ม แต่บาง จำพวกจะแปลกตรงที่กลับขึ้นข้างบนราวกับหงายร่ม โดยเหตุนี้ลักษณะของใบบุก มีหลายแบบขึ้นอยู่กับชนิดของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าโค แต่ละประเภทมีขนาด สี รวมทั้งรูป ทรงต่างกัน บางชนิดมีดอกใหญ่มาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นราวกับเนื้อสัตว์เน่า บุกประเภทอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกลางหัวบุก เหมือนกันกับก้านใบ บุกชอบมีดอกในช่วงปลายฤดูแล้ง แม้กระนั้นบุกสามารถมีดอกได้ในตอน เวลาต่างๆกัน ช่วงเวลาสำหรับเพื่อการแก่เต็มกำลัง ของดอกที่จะติดผลก็ไม่เหมือนกัน
 ผลบุก (อย่างงงันกับหัวบุกนะ ) หลังจากดอก สืบพันธุ์ก็จะเป็นผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง เพียงพออายุ ได้ 1-2 เดือน จะส่งผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายคล้ายผลกล้วย ผล ของบุกส่วนมากจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ว่าเม็ดภายในแตกต่าง พบว่าส่วนใหญ่มีเมล็ดเป็นรูปทรงอูมยาว  บุกบางประเภทก็มีเม็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาเตรียมอาหาร
เป็นพืชอาหารท้องถิ่นซึ่งชาวไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ท่อนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงแก้ไขตามแต่ละภูมิภาค เป็นต้นว่าทางภาคอีสาน มีการทำขนมที่เรียกว่าขนมบุก แกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคทิศตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วเอามานึ่งรับประทานกับข้าว ทางภาคเหนือโดยเฉพาะชาวเขา มักนำมา ปิ้งรับประทาน ภาคกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งแล้วจึงนำไปทำเป็นของว่าง
*บุกมีหลายอย่างหลายพันธุ์ บางทีอาจขมและก็มีพิษ ทุกประเภทมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งๆที่ก้านใบรวมทั้งหัว ซึ่งอาจก่อให้คัน ก่อนเอามาทำกับข้าวต้องต้มซะก่อน ไม่เช่นนั้นรับประทานเข้าไปทำให้คันปากรวมทั้งลิ้นพอง
อาหารที่ดัดแปลงมาจากบุก
เดี๋ยวนี้มีการนำบุกมาแปรรูป อีกทั้งในรูปแบบของเส้นบุก ซึ่งคือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากท่อนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถเอามาปรุงเป็นอาหารจานอร่อยได้ ผมว่าคนใดกันแน่เคยไปกินเนื้อย่างอาจเคยพบบ้าง เว้นแต่เส้นบุกแล้วมีการนำมาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบฮิตๆยุคเก่าเป็นเจเล่ ผสมผงบุก หากจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าใช้จ่ายในการโฆษณาด้วยครับ)
สรรพคุณของบุก
จากการเรียนรู้พบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูวัวแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่มีน้ำตาล 2 ชนิดเป็นดี-กลูโคส (D-glucose) แล้วก็ (D-mannose) เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ว่าร่างกายย่อยสลายได้ยาก ดูดซับได้ช้า ก็เลยให้พลังงานรวมทั้งสารอาหารน้อย เหลือกากมากมาย ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินงานดี คนที่อยากลดความอ้วนนิยมรับประทานอาหารจากแป้งบุก ยกตัวอย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เนื่องจากว่ากินอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ว่าไม่ทำให้อ้วน
นอกนั้นเองเจ้า สารกลูโคแมนแนนนี้ สามารถลดจำนวนน้ำตาลในเลือดได้ ก็เพราะว่าความเหนี่ยว ซึ่งยั้งการดูดซึมของกลูโคลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมาก็ยิ่งส่งผลลดการดูดซึมกลูโคลส ฉะนั้น กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดีมากมาย เดี๋ยวนี้ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคโรคเบาหวาน และสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละครับคือประโยชน์จากบุก ทดลองหามาทานกันนะครับ มีคุณประโยชน์ขนาดนี้ ปัจจุบันนี้ไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว เสนอแนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นครับผม รับประกันอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

Tags : สมุรไพรบุก

หน้า: [1]