ผู้เขียน หัวข้อ: RENOVATE รับตกแต่งออกแบบบ้าน ร้านกาแฟ ภายใน ทำร้านโชว์ห่วย มีภาพจำลอง3D ติดต่อ  (อ่าน 250 ครั้ง)

iAmtoto007

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2203
    • ดูรายละเอียด
ให้บริการ - จะมีบางกรณี ถึงจะคิดตามขนาดพื้นที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลเป็นร้านๆไป ชำระก่อนเริ่มงานค่ะ

Renovate, Innovate,  ออกแบบร้านกาแฟ RENOVATE รับตกแต่งออกแบบบ้าน ร้านกาแฟ ภายนอก ทำร้านสักคิ้ว มีภาพจำลอง3D ติดต่อ เรามีสำนักงาน 2 สาขาที่กรุงเทพ และหัวหิน
งานออกแบบปรับปรุงห้องชุดพักอาศัย
โครงการ : NOBLE ORA ซ.ทองหล่อ
style : MODERN CLASSIC

พื้นที่ใช้สอย : 70 ตร.ม.
ค่าออกแบบ : 390 บ./ตร.ม.
ขั้นตอนออกแบบเสร็จสิ้น กำลังดำเนินการผลิต


 
ชงกาแฟให้กลมกล่อม
กาแฟอาราบิก้า ชื่อวิทยาศาสตร์ Coffea arabica L. จัดอยู่ในตระกูลเข็ม (RUBIACEAE)
ต้นกาแฟอาราบิก้า เป็นพืชประจำถิ่นของทวีปอัฟริกา บริเวณประเทศเอธิโอเปีย แต่ว่าชาวอาหรับเป็นชาติแรกที่นำกาแฟมาชงดื่ม ก็เลยทำให้ชื่อภาษาละตินของกาแฟใช้คำว่า “อาราบิก้า” (arabica) จุดหมายถึงชาวอาหรับ โดยต้นกาแฟจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่มีความสูงของต้นราวๆ 2-4 เมตร ในตอนนี้เพาะปลูกกันมากมายในเขตร้อนชื้นรวมทั้งครึ่งเย็น
ใบกาแฟอาราบิก้า ใบเป็นใบผู้เดียว ออกเรียงตรงกันข้าม ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบแหลมน้อย ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างราว 8-12 เซนติเมตร รวมทั้งยาวโดยประมาณ 15-20 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบเป็นเงา บางทีเป็นคลื่น มีหูใบอยู่ระหว่างก้านใบ
ดอกกาแฟอาราบิก้า ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกไม้เป็นสีขาว ชิดกันเป็นหลอด ดอกมีกลิ่นหอม
ผลกาแฟอาราบิก้า ผลสำเร็จสด รูปแบบของผลเป็นรูปไข่ปนรูปทรงกลม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่ว่าเมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีแดงข้อดีของกาแฟอาราบิก้า คือ มีกลิ่นหอมสดชื่นแล้วก็สารกาแฟสูง ทำให้เมื่อดื่มแล้วรู้สึกได้ถึงความแคล่วคล่องว่องไว สดชื่น โดยกาแฟประเภทนี้จะมีปริมาณของคาเฟอีนต่ำ เป็นกาแฟที่มีคุณภาพสูง มีความหอมไม่ด้อยกว่าคนใด ก็แค่ยังไม่มีชื่อเสียงเท่าไรนัก เนื่องจากขาดการผลักดันและสนับสนุนรวมทั้งการโฆษณาที่ดี ในประเทศไทยมีการปลูกกาแฟจำพวกนี้กันมากมายทางภาคเหนือบนภูเขาสูง
กาแฟโรบัสต้า ชื่อสามัญ Robusta coffee
ชื่อวิทยาศาสตร์ Coffea canephora Pierre ex A.Froehner (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Coffea robusta L.Linden)
ต้นกาแฟโรบัสต้า ลำต้นเจริญวัยมาจากรากแก้ว มีลักษณะเป็นข้อรวมทั้งข้อ โคนใบจะอยู่ตามข้อของลำต้น เมื่อต้นโตขึ้นใบจะหลุดล่วงไป โคนใบมีตา 2 จำพวก คือ ตาบนและก็ตาล่าง ตาบนจะแตกกิ่งออกมาเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 1 ลักษณะเป็นกิ่งนอนขนานกับพื้นดินมีข้อและก็ปล้อง แต่ละข้อจะมีกลุ่มตาดอกที่จะติดสำเร็จกาแฟต่อไป ส่วนตาล่างจะแตกออกเป็นกิ่งตั้ง กิ่งจะตั้งชันขึ้นไปเหมือนลำต้น และไม่ติดผล แต่สามารถสร้างกิ่งแขนงที่ให้ดอกผลได้ ซึ่งเรียกเป็นกิ่งกิ้งก้านที่ 1 ด้วยเหมือนกัน และกิ่งกิ้งก้านที่ 1 ยังสามารถแตกกิ่งกิ้งก้านต่อไปได้อีกเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 2 และก็กิ่งแขนงที่ 2 ก็สามารถแตกเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 3 ได้อีก โดยกิ่งแขนงพวกนี้จะเกิดในลักษณะเป็นคู่สลับเยื้องกันบนลำต้นหรือกิ่งตั้ง เมื่อมีการตัดลำต้นกาแฟ ตาล่างบนลำต้นจะแตกกิ่งตั้งมา กิ่งก็จะแตกเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 1, 2 และก็ 3 ต่อจากนั้นก็จะมีการสร้างดอกแล้วก็ผลกาแฟต่อไป โดยต้นกาแฟนั้นจะสามารถเพาะพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ด
ใบกาแฟ ใบเป็นใบคนเดียว เกิดที่ข้อเป็นคู่ตรงข้ามกัน โคนใบและหลายใบเรียวแหลม ส่วนขอบใบหยักเป็นคลื่น ตรงกลางใบกว้าง ผิวใบเรียบนุ่มเป็นมัน มีปากใบอยู่ด้านท้องใบ แต่ละใบจะมีปากใบราว 3 ล้านถึง 6 ล้านรู โดยปากใบโรบัสต้าจะมีขนาดเล็กกว่าปากใบของกาแฟอาราบิก้า แต่จะมีมากมายกว่า อายุใบราว 250 วัน ส่วนก้านใบนั้นมีขนาดสั้น
ดอกกาแฟ ปกติแล้วดอกกาแฟจะออกเป็นดอกเดี่ยวบริบูรณ์เพศ มีกลีบดอกราวๆ 4-9 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 4-5 ใบ มีเกสร 5 อัน และก็มีรังไข่ 2 ห้อง ในแต่ละห้องของรังไข่จะมีไข่ 1 ใบ ผลกาแฟจึงมีเมล็ด 2 เมล็ด ดอกจะออกเป็นกรุ๊ปๆรอบๆโคนใบบนข้อของกิ่งกิ่งก้านสาขาที่1, 2 หรือ 3 กรุ๊ปดอกแต่ละข้อจะมีดอกประมาณ 2-20 ดอก ดอกจะออกจากกิ่งกิ้งก้านจากข้อที่อยู่ใกล้กับลำต้นออกไปหาปลายกิ่งกิ้งก้าน ปกติแล้วต้นกาแฟจะออกดอกตามข้อของกิ่ง ข้อที่ผลิดอกออกผลแล้วในปีต่อไปก็จะไม่มีดอกและก็ให้ผลอีก
ผลกาแฟ ผลมีลักษณะเป็นทรงรี ก้านผลสั้น ผลดิบเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีส้ม รวมทั้งสีแดง ผลกาแฟจะประกอบด้วยเปลือก พื้นที่มีสีเหลือง (เมื่อสุกมีรสหวาน) และก็กะลาที่หุ้มห่อเมล็ด ตอนระหว่างกะลากับเม็ดจะมีเยื่อบางๆที่ห่อหุ้มเม็ดอยู่ ซึ่งเราเรียกว่า “เยื่อห่อเม็ด” ในแต่ละผลจะมี 2 เมล็ดประกับกันอยู่ ก้านที่ประกบกันจะอยู่ภายในมีลักษณะแบน มีร่องกึ่งกลางเมล็ด 1 ร่อง ส่วนด้านนอกโค้ง ลักษณะของเมล็ดจะเป็นเมล็ดโดดเดี่ยวหรือเมล็ดโทน ในบางครั้งถ้าหากการผสมเกสรไม่สมบูรณ์ จะมีผลให้ผลติดเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว (คิดเป็นราวๆ 5-10%) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นรูปกลมรีอีกทั้งเมล็ด มีร่องตรงกลาง 1 ร่อง เมล็ดประเภทนี้จะเรียกว่า “พีเบอร์ปรี่“
คุณลักษณะเด่นของกาแฟโรบัสต้า โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะนำกาแฟโรบัสต้ามาผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป หรือนำมาผสมกับกาแฟอาราบิก้าเล็กน้อย เพื่อผลิตเป็นกาแฟคั่วบดให้มีรสชาติที่ผิดแผกออกไป สำหรับกาแฟโรบัสต้านั้นมีลักษณะเด่นในเรื่องของบอดี้ เมื่อดื่มแล้วจะรู้สึกได้ถึงความนุ่ม ชุ่มคอ กาแฟจำพวกนี้จะมีปริมาณของคาเฟอีนสูงขึ้นยิ่งกว่ากาแฟอาราบิก้าเป็น 2 เท่า กาแฟโรบัสต้าในประเทศไทยจะมีการเพาะกันมากมายทางภาคใต้บนที่ราบ ดังเช่นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและก็จังหวัดชุมพร
Drip : กรรมวิธีการนี้เกิดมาประมาณปี ค.ศ. 1905 ในเยอรมันนีซึ่งต่อมาในปี คริสต์ศักราช 1908 ก็ได้เป็นที่รู้จักอย่างล้นหลามของผู้ซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกใจชงกาแฟดื่มเองที่บ้าน
แนวทางการชงกาแฟแบบ Drip : จะทำโดยการใช้น้ำร้อนหรือหยดน้ำร้อนผ่านกาแฟบด แล้วให้ของเหลวผ่านกระดาษกรอกหรือ filter สำหรับที่ใช้ชงกาแฟแบบ drip ลงไปยังภาชนะรองรับ ซึ่งเมื่อผ่าน filter อาจจะมีการเสียรสชาติไปบ้างแม้กระนั้นไม่มากมาย ซึ่งถือได้ว่าแนวทางที่ง่ายเหมาะสำหรับทำที่บ้านได้ด้วยตัวเอง สามารถใช้ได้กับการชงกาแฟในปริมาณมากกว่า 1 แก้วได้อย่างสบาย โดยจะมีเครื่องต้มกาแฟ ชื่อ drip maker หรือ coffee machine ที่หาซื้อได้ไม่ยาก
French Press : วิธีการนี้เกิดขึ้นราวๆปี 1850 โดยนักออกแบบชาวอิตาเลียน การชงกาแฟโดยวิธีการแบบนี้นั้น ต้องมีเครื่องชงกาแฟแบบ French press ซึ่งหาซื้อได้อย่างไม่ยากเย็นตามท้องตลาด ทำให้ได้รสของกาแฟที่แท้จริงแต่ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลกับเศษหรือกากกาแฟที่หลุดลอดออกมานะด้วยเหตุว่านั่น เป็นเสน่ืห์ของวิธีแบบนี้ ซึ่งกาแฟที่ได้จะไม่ clean เท่าแบบ Drip ก็ไม่ต้องตกใจ
กรรมวิธีชงกาแฟแบบ French Press : ก็ไม่ยุ่งยาก
ขั้นที่ 1 : เราควรจะมีกาแฟบดก่อนซึ่งต้องใช้กาแฟบดที่หยาบคายหน่อยนะเพราะเหตุว่าถ้าหากพวกเราบดละเอียดยิบเลย ผงกาแฟจะหลุดลอดตะแกรงของเครื่องชงได้
ขั้นที่ 2 : เติมผงกาแฟบดลงไปในเครื่องชง ใช้กาแฟประมาณ 7 กรัม
ขั้นที่ 3 : เพิ่มเติมน้ำร้อนลงไปโดยประมาณ 1/3 ของแก้วรอคอยให้กาแฟซึมน้ำซัก 30-40 วินาที ต่อจากนั้นเติมน้ำร้อนเข้าไปกระทั่งเต็ม
ขั้นที่ 4 : เอาฝามาปิด อย่าลืมนะก่อนปิดฝาให้ดึงตะแกรงขึ้นจนสุดก่อน ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 4 นาที
ขั้นที่ 5 : กดตะแกรงลงมาเพื่อดันเศษกาแฟลงไปข้างล่างแล้วต่อจากนั้นก็รินใส่ถ้วยกินได้ในทันทีเลย
Espresso : วิธีการนี้เกิดขึ้นราวปี ค.ศ. 1901 ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี หลายๆท่านบางครั้งก็อาจจะรู้จักดีกับชื่อนี้อย่างใหญ่โต รวมทั้งอาจจะเกิดความสับสนเสมือนผมในคราวก่อนว่า มันเป็น ชื่อจำพวกกาแฟ หรือไม่ก็สูตรกาแฟดำที่ชื่อ เอสเปรสโซ่ ในความเป็นจริงแล้ว Espresso ชื่อนี้เป็นกระบวนการชงกาแฟ มาจากภาษาละตินที่มีความหมายว่า ดัน หรือ กด และกาแฟที่ได้จากเครื่องนี้ก็จะเรียกว่า “กาแฟเอสเปรสโซ่” ซึ่งก็จะเป็นต้นทางของการทำกาแฟสูตรต่างๆดังเช่นว่า Latte, Mocha, Cappuccino, Macchiato หรือ Espresso con Panna ฯลฯ
Chemex : วิธีการแบบนี้เกิดขึ้นในปี คริสต์ศักราช 1931 ซึ่ง ไม่ค่อยแพร่หลายเท่าใด โดย Chemexหมายถึงกรวยชงกาแฟประเภทหนึ่ง โดยลักษณะคล้ายๆกับการ Drip ที่ใช้น้ำร้อนเทใส่ผงกาแฟแล้วก็ผ่านกระดาษกรองลงไป แต่กรรมวิธีการนี้เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ทุกขั้นตอนจะทำด้วยมือตั้งแต่การบดจะไปถึงการเทน้ำร้อนใส่ผงกาแฟ
Cupping : ขั้นตอนการนี้ใช้สำหรับนักลองกาแฟ หรือ Master Taster โดยก่อนที่ผู้ผลิตกาแฟจะส่งขายไปยังคนซื้อควรมีการลองกาแฟก่อน ซึ่งผู้ลองกาแฟก็จะชงกาแฟด้วยวิธี Cupping คือ บดกาแฟที่อยากชิมรสชาติ ยกตัวอย่างเช่น กาแฟ 1 ประเภทก็จะคั่ว 3 ระดับคือ อ่อน กลาง แล้วก็ เข้ม ต่อจากนั้นก็เอามาบดแล้วใส่ผงกาแฟลงในถ้วยแก้ว 3 ถ้วยจากนั้นก็เพิ่มเติมน้ำร้อนลงไป พอเพียงถึงขนาดตอนการลอง เค้าก็จะเอาช้อนปาดหรือตักผงกาแฟที่ลอยอยู่ออกและก็เริ่มทำการชิมกาแฟได้เลย
สรรพคุณของกาแฟ

  • ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการหงุดหงิด อารมณ์ซึมเศร้า รวมถึงความเครียดได้ การดื่มกาแฟจึงทำให้ผู้ดื่มรู้สึกพึงพอใจและมีความสุข โดยมีรายงานผลวิจัยที่ระบุว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว จะสามารถช่วดลดความเครียดได้ประมาณ 15% แต่ถ้าหากดื่มถึงวันละ 4 แก้ว ก็จะช่วยลดความเครียดได้ถึง 20%
  • มีงานวิจัยที่ระบุว่าคาเฟอีนสามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้พลังงานของร่างกาย ทำให้ไขมันเกิดการสลายตัวมากขึ้น การดื่มกาแฟจึงอาจช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักได้ อีกทั้งคาเฟอีนและสารอื่น ๆ ที่มีอยู่ในกาแฟยังช่วยกระตุ้นการหลั่งของกรดและน้ำย่อย จึงช่วยในการย่อยอาหาร ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้คนจำนวนมากหันมาดื่มกาแฟหลังอาหารในแต่ละมื้อ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันได้ว่าคาเฟอีนสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเมตาบอลิซึมและอาจทำให้น้ำหนักลดลงได้ และล่าสุดได้มีผลการวิจัยที่ได้ข้อสรุปว่า คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟสดคั่วบดมีผลต่อการลดน้ำหนักในผู้หญิงได้จริง โดยสามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 7.7 กิโลกรัม ภายใน 22 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาจากชาวอเมริกันจำนวน 58,000 ราย โดยติดตามผลเป็นเวลา 12 ปี พบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งหญิงและชายที่ดื่มกาแฟมากขึ้น กลับมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุคงจากนม น้ำตาล และครีมเทียมที่ใส่ลงไปในกาแฟนั่นเอง
  • จากการศึกษาของนายแพทย์วินเซนต์ ทูบิโอโล แห่งศูนย์การแพทย์ยูซีแอลเออ-ฮาร์เบอร์ เขาได้ตั้งทฤษฎีใหม่ว่า การได้รับคาเฟอีนในขนาด 400 มิลลิกรัมต่อวัน อาจช่วยลดอาการแพ้เกสรจากดอกไม้ได้
ขั้นตอนกล้วยๆที่จะเป็นแถวทางสู่บ้านในฝัน
การออกแบบด้วยสถาปนิกนั้นนับเป็นเรื่องจำเป็นเป็นอย่างมากสำหรับการก่อสร้างบ้าน สถาปนิกที่เก่ง จะช่วยจัดการกับปัญหาการจัดสรรพื้นที่ ช่วยทำให้บ้านของเราสวยสดงดงาม มีสไตล์ แถมยังอยู่สบายสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของผู้อาศัยในบ้าน แม้กระนั้นถ้าเกิดอยากได้ก่อสร้างบ้านข้างหลังเล็ก ย้ำการพำนักอย่างง่าย การออกแบบบ้านด้วยตนเองเป็นอีกหนึ่งวิธีซึ่งสามารถทำเป็น จุดสำคัญเป็นการสื่อสารกับช่างก่อสร้างให้ได้รู้ถึงสิ่งที่จำเป็นของเราเอง รวมทั้งกระบวนการสื่อสารที่ง่ายที่สุดสำหรับการก่อสร้างบ้าน โน่นเป็นการวาดแบบแปลนบ้านนั่นเองครับ สำหรับวันนี้ “บ้านไอเดีย” ขอนำวิธีการดีไซน์บ้านด้วยตัวเองอย่างง่าย โดยจะย้ำไปถึงการจัดสรรพื้นที่ พร้อมกับวาดแผนผังแปลนข้างในบ้านด้วยตัวเอง เพื่อนำแปลนดังที่ได้กล่าวมาแล้วไปให้ผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือบางทีอาจส่งต่อให้คนเขียนแบบเขียนแบบแบบแปลนมาตรฐาน เพื่อจะได้นำไปต่อยอดเป็นแปลนบ้านใช้งานจริงกันครับผม
1. สำรวจที่ดิน : ก่อนจะถึงขั้นตอนการออกแบบบ้าน อย่างแรกที่สำคัญมหาศาลเป็นการศึกษาเล่าเรียนแปลงที่ดินของพวกเราเองอย่างถี่ถ้วน ที่ดินมีหน้ากว้างกี่เมตร ลึกกี่เมตร ด้านไหนอยู่ด้านไหนบ้าง การสำรวจแนวทางนี้เพื่อจะให้พวกเราได้วางผังบ้านได้อย่างเหมาะควร สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศ ลมรวมทั้งแสงอาทิตย์ ขนาดของที่ดินยังบอกถึงขนาดรวมทั้งทรงของบ้าน เช่น มีที่ดิน 40 ตร.มัธยม แต่อยากได้พื้นที่ใช้สอย 200 ตำรวจม แน่ๆว่าต้องออกแบบเป็นบ้าน 2 ชั้นเท่านั้น และการออกแบบจะต้องเผื่อขอบเขตระยะร่นโดยชอบด้วยกฎหมายกำหนดไว้ (อ่านข้อบังคับระยะร่น)
2. กำหนดสไตล์ : การเลือกสไตล์ของบ้าน เป็นการระบุขอบเขต เป้าหมาย เพื่อจินตนาการของความปรารถนามีความแจ่มกระจ่างมากขึ้น ผู้อ่านอาจขับขี่รถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆพักรีสอร์ท เลิศบ้านเพื่อนพ้อง หรือถ้าหากให้สบายหน่อยก็เพียงคลิกเข้าชมเว็บไซต์บ้านไอเดีย ตัวอย่างบ้านกลุ่มนี้เราสามารถนำมาปรับใช้ กำหนดขั้นตอนการวางแบบบ้านในฝันของพวกเราได้ แต่จะต้องขอย้ำให้รู้กันก่อนว่า พวกเราสามารถนำวางแบบมาประยุกต์ใช้ได้ แต่ไม่อาจจะไปจำลองแบบได้นะครับ ยกเว้นจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านหรือเจ้าของแบบโดยตรง โดยปกติแล้วสไตล์ของบ้านมีค่อนข้างนานัปการ ไทยประยุกต์ , Vintage , Loft , Minimal , Tropical , หรืออาจเลือกเอกลักษณ์ของบ้านจากเมืองนอก อาทิเช่น บ้านสไตล์ทัสคานี ฯลฯ ทั้งสิ้นนี้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีส่วนประกอบที่เช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นที่ต้องเป๊ะ เราบางทีอาจประสมประสานรวมแต่ละสไตล์ เลือกจุดที่ถูกใจเอามาประยุกต์ใช้เพื่อให้แปลงเป็นสไตล์ของพวกเราเองได้เหมือนกันนะครับ เผชิญที่ไหน ถ่ายรูปเก็บไว้ หรือถ้าหากถูกใจแบบอย่างแบบบ้านในเว็บไซต์บ้านไอเดีย ก็อาจจะเซฟลิงค์เก็บไว้ เผื่อตอนใช้งานจริงจะได้ค้นหาข้อมูลพบ การเลือกสไตล์บ้านที่ดี เว้นแต่ความนิยมชมชอบส่วนตัวแล้ว สถานที่ก่อสร้างเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรจะดีไซน์บ้านให้เหมาะสม ใกล้เคียงหรือดูเข้ากับสถานที่ ชุมชนที่พักอาศัยด้วยนะครับ
3. เขียนความอยากลงไป : ก่อนที่จะมีการดีไซน์ของที่จำเป็นอย่างมาก คือการวิเคราะห์ความต้องการ ขั้นตอนนี้จะต้องเสวนากันครอบครัว มีสมาชิกกี่คน อยากได้อะไรบ้าง อยากได้แบบไหน มีเฉียง เฉลียงระเบียง มีกี่ห้องนอน กี่ห้องอาบน้ำ เป็นคนชอบทำห้องครัวไหม ห้องรับแขก ห้องดูโทรทัศน์ ห้องทำงาน โจทย์พวกนี้แต่ละบ้านย่อมมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะสิ่งที่ต้องการหลักพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น จำนวนห้องนอน ห้องสุขา ฯลฯ
4. กำหนดขนาด : เมื่อรู้ความต้องการแล้ว กำหนดขนาดพื้นที่ใช้สอยของแต่ละห้องลงไป อยากให้กว้าง ยาว กี่เมตร การกำหนดขนาดแต่ละห้องจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์หาพื้นที่ใช้สอยรวมทั้งหมดได้ ผลพินิจพิจารณานี้จะก่อให้การออกแบบบ้านเด่นชัดยิ่งขึ้น รวมทั้งยังช่วยทำให้พวกเราทราบอีกว่า พวกเราควรสร้างบ้านกี่ชั้นถึงจะสมควร ถ้ามีที่ดินอยู่แล้วต้องออกแบบให้สอดคล้องกับที่ดิน แต่หากยังไม่มีที่ดิน การกำหนดขนาดพื้นที่ใช้สอย จะก่อให้เราหาซื้อที่ดินได้ตามขนาดที่อยากได้ การกำหนดขนาดนี้ยังสามารถนำไปอิงกับการวัดราคาก่อสร้างได้อีกด้วยนะครับ
5. ระบุตำแหน่ง แนวทาง : การออกแบบแผนผังบ้านที่ดีควรออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เพื่อการอยู่อาศัยด้านในภายเป็นไปอย่างเหมาะควรที่สุด โดยรวมแล้วจะคิดถึงแนวทางของแดด แล้วก็ทิศทางลม โดยแดดจะส่องมากมายในทิศตะวันตก ทิศใต้ ห้องที่ต้องการแสงมาก เป็นห้องที่อยากได้กำจัดความชื้น เช่น ห้องน้ำ ครัว ห้องล้าง ส่วนห้องที่ต้องการแสงพอเพียงเหมาะสม ดังเช่นว่า ห้องนอน , ห้องรับแขก , ห้องทำงาน , ห้องดูหนัง เพราะถ้าเกิดแสงสว่างมากจนเกินไปบางทีอาจหมายถึงความร้อนที่มากขึ้นเช่นเดียวกันนะครับ
6. สำหรับแนวทางลม ลมมีสองทิศทางหลัก ทิศเหนือรวมทั้งทิศใต้ขึ้นอยู่กับฤดู (ทิศใต้มีลมเข้า 8-9 เดือน ทิศเหนือ 2-3 เดือน) ซึ่งหากอ้างอิงร่วมกับทิศทางแดด แดดด้านทิศใต้จะค่อนข้างแรงแทบทั้งวัน ส่วนทิศเหนือแดดจะร่มเกือบจะตลอดทั้งวัน ชาวไทยก็เลยนิยมก่อสร้างบ้านให้เบือนหน้าไปทางทิศเหนือ แต่ว่าก็มีเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกันที่เลือกเบือนหน้าไปด้านทิศใต้ เพื่ออยากรับกระแสลมเกือบจะตลอดทั้งปี ดังนี้ก็มิได้เป็นความจำกัดแต่อย่างใด เนื่องจากว่าการใช้งานของแต่ละบ้านนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจออกแบบเพื่อเน้นย้ำการใช้ข้างบ้าน , หลังบ้าน ก็ขึ้นกับการใช้แรงงานจริงด้วยครับผม
7. ลองวาด : เครื่องมือเบื้องต้นที่สุดที่ใช้ในการวาดแบบแปลน คือ ดินสอ + กระดาษ A4 หรือนักอ่านถนัดใช้เครื่องไม้เครื่องมือใดก็สามารถเลือกได้ตามต้องการ อีกทั้งวาดด้วยมือหรือใช้ซอฟต์แวร์มาช่วยก็สามารถทำเป็นเช่นเดียวกันขอรับ แนวทางวาดแปลน วาดเป็นมุมภาพ 2D โดยให้คิดถึงการมองรูปภาพที่นำมาจากบนหลังคาบ้าน ซึ่งอาจจะต้องทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์ฐานรากกันนิดหน่อย ได้แก่ ประตู หน้าต่าง ส่วนห้องอื่นๆสามารถวาดเป็นสี่เหลี่ยมในแบบห้องทั่วๆไป ทั้งนี้ถ้าเกิดนักอ่านไม่เข้าใจเครื่องหมาย ก็ไม่เป็นปัญหาใด แค่เพียงวาดและเขียนคำอธิบายประกอบร่วมด้วย ให้เพียงพอสื่อสารได้ตรงกัน เพียงเท่านี้ก็สามารถนำไปคุยกับช่างรับเหมาได้แล้วนะครับ
 
ข้อควรจะรู้ก่อนการสร้างบ้าน
สถานที่ตั้งบ้าน ความสำคัญของสถานที่ตั้งบ้านนั้นเป็นความสำคัญลำดับแรกที่เราจะต้องคิดก่อนที่จะสร้างบ้าน เพราะว่าเราจำเป็นที่จะต้องนึกถึงการเดินทางระหว่าง บ้านไปยัง ที่ทำงาน,สถานศึกษา ,ตลาด,ศุนย์กิจการค้า,สถานีรถไฟฟ้า,ราคาที่ดิน ฯลฯ ในแต่ก่อนทำเลที่ดีเป็นทำเลที่จำต้องอยู่กลางเมืองเหตุเพราะระบบรถยนต์สาธารณะยังไม่ครอบคลุมเสมือนอย่างเดี๋ยวนี้ ทำให้ผู้คนต่างก็ไปกระจุกกันอยู่ในเมืองเพียงอย่างเดียว ผิดกับปัจจุบันนี้ที่ทำเลที่ตั้งที่ดีเป็นทำเลที่อยู่ไกล้รถไฟฟ้า, ก่อนที่เราจะนึกถึงการสร้างบ้านพวกเราจำเป็นจะต้องมองหาบริเวณที่เราสามาถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะพวกนี้ได้อย่างสะดวกที่สุด รวมถึงความปลอดภัยของย่านที่อยู่ที่จะต้องไม่มองเปลี่ยวจนเหลือเกิน ในค่ำคืนอีกด้วย ได้แก่การซื้อบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านอาจจะรู้สึกอุ่นใจกว่าการสร้างบ้านเดียวที่แต่ละหลังตั้งอยู่ห่างกันไม่น้อยเลยทีเดียวเป็นต้น รวมทั้งอย่าคาดหมายกับแผนการต่างๆที่ยังไม่ทราบว่าจะเกิดเมื่อไหร่หรือเกิดจริงๆหรือไม่ก็ไม่รู้จักตัวอย่างเช่น รอบๆนั้นจะมีรถไฟฟ้าสายใหม่ๆผ่าน ทางด่วน หรือ ถนนหนทางผ่าน เพราะเหตุว่าพวกเราไม่อาจยืนยันได้ว่ามันจะกำเนิดเมื่อใด(นอกจากการซื้อเพื่อเก็งกำไร) ควรจะเลือกจากภาวะเดี๋ยวนี้ที่ดีเยี่ยมที่สุด จะดีมากยิ่งกว่านะครับ
จะถมดินสูงแค่ไหนดีนะ อันนี้เป็นปัญหายอดฮิตก่อนการก่อสร้างบ้านเลยทีเดียว บางบุคคลบอก 50 ซม บ้างก็ว่า 30 ซึม ก็พอแล้วบางบุคคลบอก 1 เมตรไปเลย แล้วจริงๆมันควรถมมากแค่ไหนหละ คำตอบของเรื่องนี้เป็น แล้วแต่ความชื่นชอบขอรับไม่มีการกำหนดที่แน่นอนเพียงแต่มันจะต้องสูงขึ้นมากยิ่งกว่าระดับถนนคอนกรีตหรือถนนลาดยางหน้าบ้านพวกเรา ราว 50 ซึม ก็พอเพียง แต่ว่าถ้าหากถนนหน้าบ้านเป็นถนนหนทางดินแดงก็ให้เพิ่มความสูงของระดับดินกลบเป็น 1 ม.เพื่อเป็นการรองรับความสูงของถนนที่จะเพิ่มสูงมากขึ้นจากการลาดยางหรือทำถนนคอนกรีตในอนาคตนั้นเอง อีกปัจจัยนึงเป็นระดับน้ำท่วมสูงสุดในบริเวณนั้น หากสามารถหาข้อมูลได้พวกเราก็ควรจะกลบที่ดินให้สูงขึ้นมากยิ่งกว่าระดับดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นโดยประมาณ 50 ซม.ขึ้นไป
การกลบดินเพื่อก่อสร้างบ้านเจ้าของบ้านจำเป็นต้องเผื่อการยุบตัวของดินด้วยครับ เป็นเพื่มจำนวนดินถมสูงมากขึ้นไปอีก 30 % เพื่อเผื่อให้ดินได้เซ็ตตัวหรือยุบตัว นั้นเอง อย่างเช่น จะถมดินสูง 50 ซม แม้กระนั้นให้ถมดินไว้ที่ระดับ65 ซึมนั้นเอง และควรจะถมดินไว้ก่อนที่จะมีการก่อสร้างบ้านขั้นต่ำ 4-6 เดือนยิ่งทิ้งเอาไว้ผ่านหน้าฝนซักครั้งจะยิ่งทำให้ดินแน่นมากเพิ่มขึ้นทำให้ลดปัญหาดินทรุดข้างหลังสร้างบ้านได้เป็นอย่างดี
ทิศทางแดดลม กับ การวางตำแหน่งบ้าน หลายท่านบางครั้งก็อาจจะรู้สึกว่าไอ้เรื่องเหล่านี้ มันจะสำคัญอะไรล้นหลามนักจะปลูกบ้านตรงไหนมันก็มีลมทั้งหมดแหละ และที่สำคัญเราก็เปิดเครื่องปรับอากาศทั้งวันอยู่แล้วมองไม่เห็นมีอะไรน่ากังวล คนไหนกันกำลังมีความคิดแบบนี้มั้งนะครับ ถ้ามีชี้แนะว่าให้อ่านเรื่องนี้ก่อนและหลังจากนั้นก็ค่อยมาคิดอีกครั้งนะครับ
ทำไมจำต้องมองทิศทางแดด-ลม ก่อนที่จะมีการวางตำแหน่งบ้าน ก็เพราะพวกเราคงไม่อยากนอนในห้องนอนที่แสนจะร้อนในช่วงเวลากลางคืนหรือจำต้องอุดอู้อึดอัดอยู่ในบ้านที่ไม่มีลมระบายเลย เรื่องเหล่านี้ค่อนข้างจะประณีตบรรจง มีข้อสังเกตุหลายอย่างในการวางตำแหน่งบ้านเพื่อให้บ้านอีกทั้งหลังเป็นบ้านที่อยู่อย่างสบาย สุขสบาย รวมทั้งใชัพลังงานน้อยลง
ปกติแดดของบ้านพวกเราจะวิ่งเป็นแถวตะวันออกแล้วอ้อมโค้งไปตอนใต้ก่อนจะตกในทิศตะวันตก จะก่อให้ทิศใต้ไปจนกระทั่งทิศตะวันตกได้รับแสงสว่างมากที่สุดของวันคือตั้งแต่หลังเที่ยงตรงไปจนกระทั่งห้าโมงเย็น ด้านนี้ควรต้องเป็นส่วนหลังบ้านรวมทั้งส่วนล้างหรือกิจกรรมอื่นที่อยากได้แสงสว่างเยอะแยะๆส่วนทางทิศตะวันออกจะได้รับแสงอ่อนๆในตอนเช้าและก็แสงจะแรงมากมายแค่เพียงช่วง 10 นาฬิกาตอนเช้าจนกระทั่งเที่ยงตรงซึ่งก็เพียง 3 ดู ยิ่งทิศเหนือแล้วยิ่งได้รับแดดต่ำที่สุด 2 ด้านนี้ก็เลยเหมาจะวางตำแหน่งของห้องพักผ่อนที่อยากแสงสว่างรบกวนน้อย ตัวอย่างเช่น ห้องนอนและก็ห้องรับแขก
พวกเรานิยมวางแนวด้านแคบของตัวบ้านหันไปทางทิศทางรับแดด เพื่อผนังที่รับแดดมีน้อยที่สุด ทำให้ฝาผนังสามาถดูดกลืนความร้อนในจำนวนน้อยและทำให้ภายในบ้านไม่ร้อนจนกระทั่งเหลือเกินในตอนกลางคืน เพราะธรรมชาติของผนังปูนนั้นจะดูดความร้อนเมื่อแดดส่องและจะถ่ายเทความร้อนออกมาในยามค่ำคืน ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าเกิดฝาผนังบ้านถูกแดดตะวันตกน้อยก็จะทำให้ความร้อนที่จะถ่ายออกมาช่วงกลางคืนมีน้อยเหมือนกัน
ส่วนลมนั้นลมประจำฤดูของบ้านเราจะพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งจะพัดพาอากาศหนาวจากจีนมาในช่วงหน้าหนาว และ จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่จะพัดพาความชื้นจากทะเลมาในช่วงฤดูร้อนแล้วก็ฤดูฝน บ้านที่ดีด้านยาวของบ้านจึงควรหันเข้าพบแนวทางลมเพื่อให้ลมธรรมชาติพัดเข้าตัวบ้านเพื่อระบายความร้อนออกไปให้ได้มากที่สุดและก็ทำให้อดออมค่าไฟสำหรับแอร์ภายในบ้านเป็นต้น
 
 
ออกแบบ เพื่อนำเสนอห้าง
โครงการ : ร้านอาหาร / เครื่องดื่ม
style : cottage style

พื้นที่ใช้สอย : 40 ตร.ม.
ค่าออกแบบ : 220 บ./ตร.ม.


รับทำออกแบบ Design & RE-NOVATE BUILD มีจำลอง3D ติดต่อ
สาขากทม. 098 292 4496 หัวหิน 094 982 2636

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.alldecorate.com/

Tags : รับตกแต่งร้านกาแฟ,ออกแบบคอนโด,รับออกแบบบ้าน

 

Sitemap 1 2 3