แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - qq111111

หน้า: [1]
1
ไขมันส่วนเกิน สาเหตุของท้องแล้วก็ความอ้วน
พ.ค. 19, 2018  kungtep
ไขมันส่วนเกิน เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายหลายประเภท จำเป็นต้องรีบเผาผลาญไขมัน กำจัดไขมันส่วนเกินออกไป มิฉะนั้นจะพบกับความอ้วน น้ำหนักตัวสูง รูปร่างอ้วนกลมบ๊อก เซลลูไลน์(cellulite)หนักอึ๊ง
ไขมันส่วนเกิน ต้นเหตุของความอ้วน จำต้องสลายไขมันออกไป
ท้องที่เด่นกว่าใบหน้า ความอ้วนที่แบกรับมานานจากปัญหาของไขมันสะสม เรื่องใหญ่ของบุคลิกภาพภายนอก กำจัดให้ออกไปได้ เพียงแต่ใช้สมุนไพรส้มแขก เรียกหุ่นที่ดูดีน่าดูกลับมาอีกครั้ง
ความอ้วน ทำให้ลักษณะท่าทางเสีย ขาดความมั่นใจ
ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพนับสิบนับร้อย นับว่าเป็นความรู้สึกไม่สบายใจอย่างหนึ่งในชีวิต ด้วยเหตุว่าเมื่อได้เกิดการป่วยไข้ขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบตามมาต่อการดำรงชีวิตหลายอย่าง ไม่ว่าจะการทำงาน การพบปะผู้คน การประกอบงานประจำวันต่างๆซึ่งเรื่องของปัญหาสุขภาพในตอนนี้นั้นไม่ได้มีแค่เรื่องโรครุนแรงหรือเรื้อรังอย่างเดียว แต่ยังมีปัญหาสุขภาพในด้านของบุคลิกลักษณ์ที่มีผลต่อความไม่มั่นใจในตนเอง
 
ไขมันส่วนเกิน
ไขมันส่วนเกินสูง cr.adrianjamesnutrition.com
วิธีแก้ไขมันส่วนเกินสูง ต้องการลดหุ่น คุณทำเองได้
ปัญหาความอ้วน เซลลูไลท์มาก ไขมันในร่างกายสูง ซึ่งเกิดเรื่องที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทยพวกเราทุกวันนี้ รวมทั้งในอีกหลายประเทศทั้งโลกเลยก็ว่าได้ และถือได้ว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากในระดับหนึ่งเลย แต่ก็เพียงพอมีแนวทางที่จะช่วยจัดการปัญหานี้ได้ อาทิเช่น
ลดของกินประเภทแป้งแล้วก็น้ำตาล
ลดอาหารประเภททอด
ลดของกินที่มีไขมันสูง เป็นต้นว่า กลุ่ม เนื้อ ไก่
ออกกำลังกาย เพื่อ{เผาผลาญไขมัน|สลายไขมันส่วนเกิน
กินน้ำให้มาก ขั้นต่ำวันละ 2 ลิตร
รับประทานผัก ผลไม้ เป็นอาหารหลัก ตัวอย่างเช่น สลัด
ลดอาหารมื้อเย็น กินให้ลดน้อยลง
อย่าให้ความอ้วน ไขมันส่วนเกิน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
เนื่องจากว่าเรื่องของความอ้วนไม่ใช่เรื่องที่จะหยิบมาล้อเลียนกันได้กล้วยๆเหมือนอย่างที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยเคยทำกันมา คนที่ล้ออาจรู้สึกสนุกสนาน และไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าการหัวเราะประทับใจ คิดแค่ขำๆหน่า แต่ถูกล้อนี่สิ คงจะไม่ขำด้วย เพราะสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องขำขันเอาเสียเลย แถมยังเกิดเรื่องที่รู้สึกขายขี้หน้าในรูปภาพลักษณ์ที่ดูแย่ แปลกกว่าปกติทั่วไปด้วย บางคนที่ถูกล้อหนักๆเสมอๆก็เก็บไปคิดมากกระทั่งเป็นความทุกข์ และสูญเสียความมั่นใจไปหมดทุกเรื่องในชีวิตเลยก็มี ไม่ใช่ว่าเขาเล่านั้นต้องการอ้วนจนกระทั่งถูกล้อเลียนแบบนี้หรอก แต่แบบการใช้ชีวิตแต่ละคนมันหลีกเลี่ยงความอ้วนได้ยาก แล้วก็หลายๆคนก็อ้วนง่ายแต่ว่าลดยากเยอะไป จริงไหม ?

ทางลัด ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดไขมันส่วนเกิน
“ส้มแขก” สมุนไพรช่วยระบายไขมัน ขับความอ้วนออกไป ทุเลาท้องผูก สลายเซลลูไลน์(Cellulite) เมื่อมีปัญหาเรื่องความอ้วน ไขมันส่วนเกินสูง ตรวจสอบและลองใช้

Tags : ไขมันส่วนเกิน

2

ราชพฤกษ์
ราชพฤกษ์ ชื่อสามัญ Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree, Purging Cassia
ราชพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L. จัดอยู่ในสกุลถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) แล้วก็อยู่ในสกุลย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรราชพฤกษ์ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า กุเพยะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ปูโย ปีอยู เปอโซ แมะหล่าอยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ลักเกลือ ลักเคย (กะเหรี่ยง), ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ (ภาคกลาง), ต้นลมแล้ง (ภาคเหนือ), ราชพฤกษ์ (ภาคใต้), คูน (ทั่วๆไปเรียกรวมทั้งมักจะเขียนไม่ถูกหรือสะกดไม่ถูกเป็น “ต้นคูณ” หรือ “คูณ“) เป็นต้น
คำว่า “ราชพฤกษ์” มีความหมายว่า “ต้นไม้ของกษัตริย์” ซึ่งเป็นเครื่องหมายของงานนิทรรศการพืชสวนโลกซึ่งจัดขึ้นเพื่อฉลองในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่ในหลวงของเราทรงครองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี
ต้นราชพฤกษ์ ต้นไม้ประจำชาติไทย
เมื่อปี พุทธศักราช2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้มีข้อเสนอแนะแล้วก็สรุปให้มีการระบุสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย ดอกไม้ สัตว์ และสถาปัตยกรรม ซึ่งจากการพิเคราะห์ได้ผลสรุปว่า ให้สัตว์ประจำชาติคือ “ช้างไทย” ส่วนในด้านสถาปัตยกรรมประจำชาติเป็น “ศาลาไทย” แล้วก็ในส่วนของดอกไม้ประจำชาติก็คือ “ดอกราชพฤกษ์” โดยมีเหตุมีผลในการคัดดังต่อไปนี้
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์ จัดฯลฯไม้ประจำชาติไทย (ตามประกาศของกรมป่าไม้)ต้นไม้ราชพฤกษ์ ฯลฯไม้ที่คนไทยทั่วไปรู้จักกันอย่างล้นหลาม ในนามของ “ต้นคูน” สามารถประสบพบเห็นได้ทั่วๆไปของทุกภาคในประเทศ
ต้นราชพฤกษ์มีความเกี่ยวข้องกับจารีตประเพณีคนประเทศไทยมาอย่างเป็นเวลายาวนาน เนื่องจากว่าเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนามแล้วก็ใช้สำหรับการประกอบพิธีหลักๆต่างๆหลายพิธีการ ยกตัวอย่างเช่น พิธีลงเสาหลักเมือง ทำคทาจอมพล ใช้ทำยอดธงชัยเฉลิมพล ฯลฯ
ต้นราชพฤกษ์นั้นสามารถนำมาใช้คุณประโยชน์ได้อย่างมากมาย เป็นต้นว่า การใช้เป็นยาสมุนไพรหรือประยุกต์ใช้ทำเป็นเสาบ้านเสาเรือนได้ อื่นๆอีกมากมาย
ต้นราชพฤกษ์ฯลฯไม้ที่แก่ยืนนานและแข็งแรงทนทาน
ต้นราชพฤกษ์มีทรงแล้วก็พุ่มที่งาม มีดอกเหลืองอร่ามเต็มต้น แลดูงามยิ่งนัก
ดอกราชพฤกษ์มีสีเหลือง ซึ่งเป็นเครื่องหมายของชาติไทย เป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนา รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชการเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นอกเหนือจากนี้ตามตำราพืชที่มีความเป็นสิริมงคล 9 จำพวกยังระบุไว้ว่า ต้นราชพฤกษ์เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจบุญบารมี มีโชคมีชัย
สมุนไพรราชพฤกษ์ กับการนำมาใช้รักษาโรคและก็อาการต่างๆโดยส่วนที่นำมาใช้เป็นสรรพคุณทางยานั้น ตัวอย่างเช่น ส่วนของใบ ดอก เปลือก ฝัก แก่น กระพี้ ราก และเมล็ด ซึ่งสมุนไพรราชพฤกษ์ เป็นสมุนไพรซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกับเด็ก สตรี รวมไปถึงคนวัยชรา โดยปลอดภัยอะไรก็ตาม
รูปแบบของต้นราชพฤกษ์
ต้นราชพฤกษ์ (ต้นคูน) เป็นพืชพื้นบ้านในแถบเอเชียใต้ ไล่ตั้งแต่ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถานไปจนถึงอินเดีย เมียนมาร์ และประเทศศรีลังกา โดยจัดเป็นพรรณไม้ขนาดกึ่งกลาง มีลำต้นสีน้ำตาลแกมเทาเกลี้ยง มักขึ้นทั่วไปตามป่าผลัดใบหรือในดินที่มีการถ่ายเทน้ำดี เพาะพันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเมล็ดแล้วย้ายกล้ามาปลูกภายในถุงเพาะชำ เมื่อโตพอแล้วก็ย้ายมาปลูกไว้ในพื้นที่ แต่ว่าในตอนนี้บางครั้งอาจจะใช้กรรมวิธีการทาบกิ่งและเสียบยอดก็ได้ แต่ว่าจังหวะสำเร็จจะน้อยกว่าวิธีการเพาะเม็ด
ใบราชพฤกษ์ (ใบคูน) ลักษณะของใบออกเป็นช่อ ใบสีเขียวเป็นมัน ช่อหนึ่งยาวประมาณ 2.5 ซม. รวมทั้งมีใบย่อยเป็นไข่หรือรูปป้อมๆโดยประมาณ 3-6 คู่ ใบย่อยมีความกว้างโดยประมาณ 5-7 ซม. รวมทั้งยาวประมาณ 9-15 เซนติเมตร โคนใบมนแล้วก็สอบไปทางปลายใบ เนื้อใบบางเกลี้ยง มีเส้นกิ่งก้านสาขาใบถี่แล้วก็โค้งไปตามรูปใบ
ใบราชพฤกษ์
ดอกราชพฤกษ์ (ดอกคูน) มีดอกเป็นช่อ ยาวราว 20-45 เซนติเมตร มีกลีบรองดอกรูปขอบขนาน มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร กลีบมี 5 กลีบ หลุดหล่นได้ง่าย รวมทั้งกลีบดอกไม้ยาวกว่ากลีบรองดอกราว 2-3 เท่า แล้วก็มีกลีบรูปไข่จำนวน 5 กลีบ รอบๆพื้นกลีบจะเห็นเส้นกลีบแจ้งชัด ที่ดอกมีเกสรตัวผู้ขนาดต่างกันจำนวน 10 ก้าน มีก้านอับเรณูโค้งงอขึ้น ดอกชอบบานในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม แต่ว่าก็มีบางครั้งที่ออกดอกนอกฤดูเหมือนกัน อาทิเช่น ในตอนธันวาคมถึงเดือนมกราคม
ดอกราชพฤกษ์ดอกคูน
ผลราชพฤกษ์ หรือ ฝักราชพฤกษ์ (ฝักคูณ) ผลมีลักษณะเป็นฝักทรงกระบอกเกลี้ยงๆฝักยาวโดยประมาณ 20-60 เซนติเมตร และก็วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ราว 2-2.5 ซม. ฝักอ่อนจะมีสีเขียว ส่วนฝักแก่จัดจะมีสีดำ ในฝักจะมีฝาผนังเยื่อบางๆติดกันอยู่เป็นช่องๆตามขวางของฝัก แล้วก็ในช่องจะมีเมล็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่ มีขนาดโดยประมาณ 0.8-0.9 เซนติเมตร
ฝักคูนฝักราชพฤกษ์
คุณประโยชน์ของราชพฤกษ์
ช่วยบำรุงโลหิตในร่างกาย (เปลือก)
สารสกัดจากลำต้นและก็ใบของราชพฤกษ์มีฤทธิ์ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ (ลำต้น, ใบ)
สารสกัดจากเมล็ดมีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (เมล็ด)
ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือถุงน้ำดี (ราก)
ราชพฤกษ์มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ (ราก)
ฝักราชพฤกษ์มีสรรพคุณทางยาช่วยแก้ไข้ไข้จับสั่น (ฝัก)
ช่วยแก้ไข้รูมาติกด้วยการกางใบอ่อนเอามาต้มกับน้ำ (ใบ)
ฝักอ่อนมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นเหม็นเหม็นเบื่อ เย็นจัด คุณประโยชน์สามารถใช้ขับเสมหะได้ (ฝักอ่อน)
ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (ฝัก)
เปลือกเมล็ดรวมทั้งเปลือกฝักมีสรรพคุณช่วยถอนพิษ ทำให้อาเจียน หรือจะใช้เมล็ดราวๆ 5-6 เมล็ด เอามาบดเป็นผงแล้วกินก็ได้ (เมล็ด, ฝัก)
ต้นราชพฤกษ์ สรรพคุณของกระพี้ใช้แก้ลักษณะของการปวดฟัน (กระพี้)
ในอินเดียมีการใช้ฝัก เปลือก ราก ดอก และใบมาทำเป็นยา ใช้เป็นยาแก้ไข้และก็หัวใจ แก้อาการหายใจขัด ช่วยถ่ายของเสียออกมาจากร่างกาย แก้อาการเศร้าหมอง หนักหัว หนักตัว ทำให้กระชุ่มกระชวยอก (เปลือก, ราก, ดอก, ใบ, ฝัก)
คุณประโยชน์ราชพฤกษ์ช่วยแก้โรครำมะนาด (กระพี้, แก่น)
ช่วยรักษาเด็กเป็นต้นตานขโมยด้วยการใช้ฝักแห้งประมาณ 30 กรัมเอามาต้มกับน้ำกิน (ฝัก)
ช่วยทุเลาอาการแน่นหน้าอก (เนื้อในฝัก)
ฝักแก่ใช้เป็นยาระบาย ช่วยสำหรับการถ่าย ทำให้ถ่ายได้สบาย ไม่มวนท้อง แก้ท้องผูก เหมาะกับคนที่มีลักษณะท้องผูกเสมอๆและสตรีท้อง เนื่องจากมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone glycoside) เป็นตัวช่วยระบาย สำหรับวิธีการใช้ ให้ใช้ฝักแก่ขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือ (หนักโดยประมาณ 4 กรัม) แล้วก็น้ำอีก 1 ถ้วยแก้วใส่หม้อต้ม แล้วผสมเกลือน้อย ใช้ดื่มก่อนรับประทานอาหารเช้าหรือตอนก่อนนอนเพียงครั้งเดียว (ฝักแก่, ดอก, เนื้อในฝัก, ราก, เม็ด)
เมล็ดมีรสฝาดเมา สรรพคุณช่วยแก้ท้องเสีย (เมล็ด)
ช่วยหล่อลื่นลำไส้ รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารแล้วก็แผลเรื้อรัง (ดอก)
ช่วยรักษาโรคบิด (เม็ด)
สรรพคุณของราชพฤกษ์ ฝักช่วยแก้อาการจุกเสียด (ฝัก)
ช่วยให้เกิดลมเบ่ง ด้วยการใช้เมล็ดฝนกับหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ รวมทั้งน้ำตาล แล้วนำมารับประทาน (เมล็ด)
ฝักรวมทั้งใบมีคุณประโยชน์ช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้ฝักแห้งราว 30 กรัมเอามาต้มกับน้ำดื่ม (ใบ, ฝัก, เนื้อในฝัก)
ต้นคูณมีสรรพคุณช่วยขับพยาธิไส้เดือนในท้อง (แก่น)
เปลือกฝักมีรสเฝื่อนฝาดเมา ช่วยขับรกที่ค้าง ทำให้แท้งลูก (เปลือกฝัก)
สารสกัดจากใบคูนมีฤทธิ์ช่วยต้านทานการเกิดพิษที่ตับ (ใบ)
สรรพคุณของคูน รากใช้แก้โรคโรคกุฏฐัง (ราก)
ใบสามารถประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการฆ่าเชื้อโรค เชื้อโรคบนผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราได้ (ใบ)
ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง (ใบ)
รากนำมาฝนใช้ทารักษาขี้กลากเกลื้อน และใบอ่อนก็ใช้แก้กลากได้เช่นเดียวกัน (ราก, ใบ)
เปลือกแล้วก็ใบนำมาบดผสมกันใช้ทาแก้เม็ดผื่นผื่นตามร่างกายได้ (เปลือก, ใบ)
เปลือกมีสรรพคุณช่วยแก้ฝี แก้บวม หรือจะใช้เปลือกแล้วก็ใบนำมาบดผสมกันใช้ทารักษาฝี (เปลือก, ใบ)
คูน คุณประโยชน์ของดอกช่วยแก้บาดแผลเรื้อรัง รักษาแผลเรื้อรัง (ดอก)
เปลือกราชพฤกษ์ สรรพคุณช่วยสมานรอยแผล (เปลือก)
ฝักคูณมีสรรพคุณช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ (เนื้อในฝัก)
คนอินเดียใช้ใบเอามาโขลก เอามาพอกแล้วนวด ช่วยแก้โรคปวดข้อรวมทั้งอัมพาต (ใบ)
ช่วยกำจัดหนอนและแมลง โดยฝักแก่มีสารออกฤทธิ์ที่มีผลต่อระบบประสาทของแมลง เมื่อนำฝักมาบดผสมกับน้ำทิ้งไว้โดยประมาณ 2-3 วัน แล้วใช้สารละลายที่กรองได้มาฉีดพ่นจะช่วยกำจัดแมลงและหนอนในแปลงผักได้ (ฝักแก่)
สารสกัดจากรากราชพฤกษ์มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์ Acetylcholinesterase
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีการนำสมุนไพรราชพฤกษ์มาดัดแปลงทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆมากมายก่ายกอง ตัวอย่างเช่น
น้ำมันนวดราชพฤกษ์ ที่ต้มมาจากน้ำมันจากใบคูน เป็นน้ำมันนวดสูตรร้อนหรือสูตรเย็น ที่ใช้นวดแก้อัมพฤกษ์อัมพาต และก็แก้ปัญหาเรื่องเส้น
ลูกประคบราชตารู เป็นลูกประคบสูตรโบราณ ที่ใช้ใบคูนเป็นตัวยาตั้งต้น ประกอบไปด้วย ขมิ้นอ้อย เทียนดำ กระวาน รวมทั้งอบเชยเทศ โดยลูกประคบสูตรนี้จะใช้ปรุงตามอาการ โดยจะมองตามโรคแล้วก็ความจำเป็นเป็นหลัก ซึ่งแต่ละคนจะได้แตกต่าง
ผงพอกคูนคาดข้อ ทำมาจากใบคูนที่เอามาบดเป็นผุยผง ช่วยแก้ลักษณะของการปวดเส้น อัมพฤกษ์อัมพาต โดยเอามาพอกบริเวณที่เป็นจะช่วยกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการไหลเวียนของโลหิต ทุเลาลักษณะของการปวดข้อ รักษาโรคเกาต์ แล้วก็ยังช่วยลดอาการอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งสูตรนี้สามารถใช้กับคนเจ็บที่เป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก ตาไม่หลับ มุมปากตกได้ด้วย
ชาสุวรรณาติดอยู่ ทำจากใบคูน คุณประโยชน์ช่วยในด้านสมอง แก้ไขปัญหาเส้นเลือดตีบในสมอง ช่วยทำให้ระบบไหลเวียนภายในร่างกายดีขึ้น ช่วยแก้อัมพฤกษ์อัมพาต โดยเป็นตัวยาที่มีไว้ชงดื่มพร้อมกันไปกับการรักษาแบบอื่นๆ

ข้อควรระวัง !
:แนวทางการทำเป็นยาต้ม ควรต้มให้พอสมควรจึงจะได้ผลดี ถ้าต้มนานเหลือเกินหรือเกินกว่า 8 ชั่วโมง ยาจะไม่มีฤทธิ์ระบาย แม้กระนั้นจะมีผลให้ท้องผูกแทน แล้วก็ควรที่จะเลือกใช้ฝักที่ไม่มากจนเกินความจำเป็น รวมทั้งยาต้มที่ได้ถ้ารับประทานมากเกินความจำเป็นอาจจะก่อให้คลื่นไส้ได้
คุณประโยช์จากราชพฤกษ์
นิยมปลูกไว้เป็นต้นไม้ประดับตามสถานที่ต่างๆตัวอย่างเช่น สถานที่ราชการ บริเวณริมถนนข้างทาง และก็สถานที่อื่นๆ
ต้นราชพฤกษ์กับความเลื่อมใส ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนามที่คนประเทศไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดที่ปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะช่วยให้มีเกียรติและศักดิ์ศรี ต้นเหตุเพราะเหตุว่าคนให้การสารภาพว่าต้นราชพฤกษ์เป็นไม้ที่มีคุณค่าสูงรวมทั้งยังเป็นเครื่องหมายของประเทศไทยอีกด้วย และยังมั่นใจว่าจะทำให้ผู้อยู่อาศัยนั้นเจริญ โดยจะนิยมนำมาปลูกต้นราชพฤกษ์ในวันเสาร์แล้วก็ปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉใต้ของบ้าน (อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะทิศดังที่กล่าวมาแล้วได้รับแสงแดดจัดในช่วงตอนบ่าย เลยปลูกไว้เพื่อช่วยลดความร้อนข้างในบ้านแล้วก็ช่วยลดการใช้พลังงาน)
ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลและก็ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ในพิธีการต่างๆทางศาสนา อย่างเช่น พิธีวางศิลาฤกษ์ ใช้ทำเสาหลักเมือง เสาเอกในการก่อสร้างพระตำหนัก ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร คทาจอมพล ส่วนใบของต้นราชพฤกษ์จะใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ไว้สะเดาะเคราะห์ได้ผลดีนัก ฯลฯ
เนื้อไม้ใช้ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ด้ามวัสดุต่างๆหรือทำเป็นไม้ไว้ใช้สอยอื่นๆเป็นต้นว่า ใช้ทำเสา เสาสะพาน ทำสากตำข้าว ล้อเกวียน คันไถ ฯลฯ
เนื้อของฝักแก่สามารถประยุกต์ใช้แทนกากน้ำตาลสำหรับการทำเป็นหัวเชื้อจุลชีพและจุลชีพขยายได้
ฝักแก่สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มด้วยเตาเศรษฐกิจที่มีขนาดเหมาะเจาะ โดยไม่ต้องผ่า ตัด หรือเลื่อย
แหล่งอ้างอิง :
เว็บไซต์ที่ทำการแผนการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชสาเหตุจากความคิด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, เว็บไทยโพส, ที่ทำการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (หน่วยงานมหาชน), งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554, ที่ทำการกองทุนส่งเสริมการผลิตเสริมสุขภาพ (สสส.) http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรราชพฤษ์

3

สมุนไพรพญายอ
เสลดพังพอนตัวเมีย
เสมหะพังพอนตัวเมีย ชื่อสามัญ Snake Plant
เสมหะพังพอนตัวเมีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees, Clinacanthus siamensis Bremek., Justicia nutans Burm. f.) จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)
สมุนไพรเสมหะพังพอนตัวเมีย พญายอ มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (จังหวัดเชียงใหม่), พญาปล้องคำ (ลำปาง), เสมหะพังพอนตัวเมีย (พิษณุโลก), พญาข้อดำ พญาข้อทอง (ภาคกึ่งกลาง), ลิ้นงูเห่า พญายอ (ทั่วไป), โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ชิงเจี้ยน หนิ่วซิ้วฮวา (จีนแมนดาริน) ฯลฯ
ลักษณะของเสมหะพังพอนตัวเมีย
ต้นเสลดพังพอนตัวเมีย จัดเป็นพรรณไม้พุ่มไม้แกมเถา มักเลื้อยพาดไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้ราว 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะสะอาด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบเป็นบ้องสีเขียว ขยายพันธุ์ด้วยแนวทางปักชำหรือแยกเหง้ากิ้งก้านไปปลูก เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ถูกใจดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีแดดจัด มีเขตการกระจายพันธุ์ในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมทั้งไทย ในประเทศไทยพบได้มากขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศ หรือพบปลูกกันตามบ้านทั่วๆไป
ต้นเสลดพังพอนตัวเมีย
ต้นพญายอ
ใบเสมหะพังพอนตัวเมีย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆรูปแบบของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร และก็ยาวโดยประมาณ 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
ใบเสมหะพังพอนตัวเมีย
ดอก[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url]เสมหะพังพอนตัวเมีย ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกราวๆ 3-6 ดอก กลีบเป็นสีแดงส้ม โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาวราวๆ 3-4 ซม. ปลายแยกออกเป็น 2 ปากหมายถึงปากด้านล่างรวมทั้งปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบดอกนั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนเป็นต่อมเหนียวๆอยู่โดยรอบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียเกลี้ยงไม่มีขน ออกดอกในตอนราวๆเดือนตุลาคมถึงมกราคม (แม้กระนั้นมักจะไม่ค่อยออกดอก)
ดอกเสลดพังพอนตัวเมีย
พญาข้อทองคำ
ลิ้นงูเห่า
ผลเสลดพังพอนตัวเมีย ผลได้ผลสำเร็จแห้งและแตกได้ (แต่ว่าผลไม่เคยติดเป็นฝักในประเทศไทย) ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ประมาณ 0.5 ซม. ก้านสั้น ด้านในผลมีเมล็ดประมาณ 4 เมล็ด
หมายเหตุ : เสลดพังพอน เป็นชื่อพ้องของพรรณไม้ 2 ประเภทหมายถึงเสมหะพังพอนตัวผู้ แล้วก็เสมหะพังพอนตัวเมีย ซึ่งจะต่างกันตรงที่เสมหะพังพอนเพศผู้ลำต้นจะมีหนามรวมทั้งมีดอกเป็นสีเหลือง ส่วนเสลดพังพอนตัวเมียลำต้นจะไม่มีหนามและมีดอกเป็นสีแดงส้ม เพื่อไม่ให้เป็นการงงงันหลายๆหนังสือเรียนก็เลยนิยมเรียกเสมหะพังพอนตัวเมียว่า “พญายอ” หรือ “พญาปล้องทองคำ” โดยเสลดพังพอนเพศผู้นั้นจะมีคุณประโยชน์ทางยาอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย และแบบเรียนยาไทยนิยมประยุกต์ใช้ทำยากันมาก
คุณประโยชน์ของเสมหะพังพอนตัวเมีย
รากและก็เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำเป็นยาบำรุงกำลัง (รากและก็เปลือกต้น)
อีกทั้งต้นและก็ใบใช้กินเป็นยาถอนพิษไข้ ดับพิษร้อน (ทั้งต้นและก็ใบ)1,3 ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการกางใบสด 1 กำมือ ตำอย่างถี่ถ้วน ผสมกับน้ำซาวข้าว ใช้พอกบนหัวผู้เจ็บป่วยโดยประมาณ 30 นาที อาการไข้แล้วก็อาการปวดศีรษะจะหายไป (ใบ)6
ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (รับประทานอาหารเป็นพิษไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบ) ด้วยการใช้รากสดเอามาต้มกินทีละโดยประมาณ 2 ช้อนแกง (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาเคี้ยวโดยประมาณ 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง (ใบ)6
ช่วยแก้คางทูม ด้วยการใช้ใบสดราวๆ 10-15 ใบ ตำอย่างรอบคอบผสมกับเหล้าโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป และก็อาการเจ็บปวดจะหายไปด้านใน 30 นาที (ใบ)
ใช้เป็นยารักษาโรคบิด (ทั้งต้นและใบ)
รากใช้ปรุงเป็นยาขับเยี่ยว ขับรอบเดือน (ราก)
ใช้เป็นยาแก้ระดูมาผิดปกติ (ต้น)
ช่วยแก้อักเสบแบบโรคดีซ่าน (ทั้งยังต้น)
ใช้เป็นยาแก้แผลอักเสบเป็นไข้ ไข่ดันบวม ด้วยการกางใบสดราว 3-4 ใบ นำมาตำกับข้าวสาร 3-4 เม็ด ผสมกับน้ำเพียงพอแฉะ ใช้พอกราว 2-3 รอบ จะช่วยทำให้อาการ (ใบ)
ลำต้นเอามาฝนแล้วก็ใช้ทาแผลสดจะช่วยทำให้แผลหายเร็ว (ลำต้น)ใช้รักษาแผลจากสุนัขกัดมีเลือดไหล ด้วยการใช้ใบสดราว 5 ใบ นำมาตำพอกรอบๆแผลสัก 10 นาที (ใบ)
ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ใบสดเอามาตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผล แผลจะแห้ง หรือจะใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้า ใช้เป็นยาพอกรอบๆที่ถูกไฟเผาหรือน้ำร้อนลวก จะมีคุณประโยชน์ช่วยดับพิษร้อนได้ดิบได้ดี4 ส่วนอีกหนังสือเรียนกล่าวว่า นอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยยุ่ยเพราะเหตุว่าถูกแมงกะพรุนไฟ แผลสุนัขกัด และก็แผลที่เกิดจากการถูกกรดได้อีกด้วย แค่เพียงนำใบไปหุงกับน้ำมันแล้วเอามาทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ใบโดยประมาณ 3-4 ใบ กับข้าวสาร 5-6 เม็ด เพิ่มน้ำลงไปให้พอเพียงแฉะ แล้วนำมาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองได้ดิบได้ดี ทำให้แผลแห้งไว โดยให้แปลงยาวันละ 2 ครั้ง พอกไปครู่หนึ่งหนึ่งแล้วให้เอาน้ำมาหยอดกันยาแห้งด้วย (ใบ)
ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ด้วยการกางใบสดตำผสมกับสุราใช้ทา หรือใช้เหล้าสกัดใบเสมหะพังพอน จะได้น้ำยาสีเขียวเอามาทาแก้ผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำใบมาดองกับเหล้า แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและเม็ดผื่นผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้ฝี ด้วยการกางใบเอามาตำผสมกับเกลือและก็เหล้า ใช้พอกบริเวณที่เป็น เปลี่ยนแปลงยาทุกเช้าตรู่และก็เย็น (ใบ)
ทั้งยังต้นและก็ใบใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยยิ่งไปกว่านั้นพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ รวมถึงผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการกางใบสดราว 5-10 ใบ เอามาขยี้หรือตำใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบสดนำมาตำให้พอแหลก แช่ลงในเหล้าขาวประมาณ 1 อาทิตย์ แล้วจึงนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลส่วนอีกตำรับยาแก้ลมพิษ ตามข้อมูลกล่าวว่า ให้ใช้ใบตำผสมกับดินสอพอง ใส่น้ำนิดหน่อย ใช้ทาบริเวณที่เป็น (ใบ)

ชาวเมืองจะนำใบมาตากแห้งแล้วตำผสมกับแมงป่องปิ้ง ใช้เป็นยาแก้พิษงู (ใบ)
พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังจำพวกเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ขยุ้มตีนสุนัข และใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆด้วยการกางใบเสมหะพังพอนตัวเมียสดราวๆ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มเป็นเงา ไม่อ่อนหรือแก่จนถึงเกินความจำเป็น) แล้วเอามาตำผสมกับสุราหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลแล้วก็เอากากพอกรอบๆแผล หรืออีกแนวทางให้จัดแจงเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้ทารักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก โดยใช้ใบสด 1 กิโลกรัม นำมาปั่นอย่างรอบคอบ เพิ่มแอลกอฮอล์ 70% ลงไป 1 ลิตร แล้วหมักทิ้งไว้ 7 วัน ระเหยบนเครื่องอังไอน้ำให้ปริมาตรลดน้อยลงกึ่งหนึ่ง (ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด) แล้วก็เติมกลีเซอรีน (Glycerine pure) อีกเท่าตัว (ครึ่งลิตร) แล้วนำน้ำยาเสลดพังพอนกลีเซอรีนที่ได้มาใช้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก แล้วก็ใช้ทำลายพิษต่างๆสำหรับแบบเรียนยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบสดผสมกับลำโพง โกฐน้ำเต้า อย่างละเสมอกัน รวมกันตำให้เพียงพอแหลก แช่กับสุรา แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด (ใบ)
พญายอ ใช้แก้ถูกหนามพุงดอตำหรือถูกใบตะลังตังช้าง ด้วยการนำขี้ผึ้งแท้มาลนลานไฟให้ร้อน แล้วเอามาคลึงเพื่อดูดเอาขนของใบตะลังตังช้างออกเสียก่อน แล้วจึงใช้ใบเสมหะพังพอนผสมกับเหล้าทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้เป็นยาแก้แพ้เกสรรักษาป่า ยางรักป่า และก็ยางสาวน้อยประแป้ง ด้วยการกางใบผสมกับสุรา นำมาทาบริเวณที่คัน (ใบ
ใช้แก้ฝึกฝน เหือด ด้วยการใช้ใบสดราว 7 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 8 แก้ว ต้มให้เดือด 30 นาที เทยาออกและก็ผึ่งให้เย็น แล้วนำใบสดมาอีก 7 กำมือ ตำผสมกับน้ำ 8 แก้ว แล้วเอาน้ำยาทั้งคู่มาผสมกัน ใช้รับประทานและทาทา (ยาทาให้ใส่พิมเสนลงไปเล็กน้อย) เด็กที่เป็นหัด เหือด ให้รับประทานวันละ 3 ครั้ง ทีละครึ่งแก้ว (ใบ)
พญายอ ทั้งยังต้นใช้เป็นยาแก้ปวดบวม เคล็ดปวดเมื่อย บวมช้ำ กระดูกร้าว ช่วยขับความชื้นภายในร่างกาย แก้ลักษณะของการปวดเมื่อยเนื่องจากเย็นชื้น (ทั้งยังต้น)
รากใช้เป็นยาแก้อาการปวดปวดเมื่อยบั้นท้าย (ราก)
ขนาดแล้วก็วิธีใช้ : ยาแห้งให้ใช้ครั้งละ 5-10 กรัม เอามาต้มกับน้ำกิน ส่วนยาสดให้ใช้ครั้งละ 30 กรัม เอามาตำคั้นเอาน้ำกิน หรือตำพอกแผลด้านนอก
ข้อพึงระวังพญายอ
: หากแม้ในอดีตกาลจะมีการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกรอบๆที่เป็นแผล แต่ในตอนนี้แนวทางลักษณะนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เพราะเหตุว่าจะชำระล้างได้ยาก ทำให้กากติดแผล และก็อาจจะทำให้ติดเชื้อโรคเป็นหนองได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเสมหะพังพอนตัวเมีย
พญายอ รากพบสาร Betulin, Lupeol, β-sitosterol ส่วนใบเจอสาร Flavonoids ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides ได้แก่ 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และก็สารกรุ๊ป glycoglycerolipids ซึ่งมีฤทธิ์ยั้งไวรัสเริม
จากการทดสอบในสัตว์ใช้สกัดจากใบสดของเสมหะพังพอนตัวเมียด้วย n-butanol พบว่า สามารถลดการอักเสบได้2 โดยพบว่าจะช่วยลดการอักเสบของข้อเท้าหนูที่ทำให้บวมด้วยสาร carrageenan ได้ เมื่อใช้ตำรับยาที่มีเสมหะพังพอนตัวเมียจำนวนร้อยละ 5 ใน Cold cream และสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เอามาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้ แต่เมื่อใช้สารสกัดด้วย n-butanol มาทาที่ผิวหนังจะไม่เป็นผล
สารสกัดจากใบความเข้ม 15 กรัม ต่อ 1 กก. มีคุณภาพต่อต้านการอักเสบได้ดิบได้ดี
เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วย n-butanol จากใบ พบว่า จะช่วยลดความเจ็บปวดของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติเตียนคได้ โดยสารสกัดความแรง 90 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มก.ต่อกิโลกรัม ส่วนสารสกัดด้วยน้ำและก็สารสกัดด้วยเอทานอล 60 จากใบ พบว่าไม่เป็นผลลดความเจ็บปวด
สารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และเอทิลอะสิเตทจากใบเสลดพังพอนตัวเมียมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสเชื้อเริม HSV-1 เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 4 และใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล พบว่าจะมีฤทธิ์ต้านทานไวรัสได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์ ในเวลาที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์ และก็จากรายงานการดูแลรักษาคนเจ็บโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาจากสารสกัดเสมหะพังพอนตัวเมีย เปรียบเทียบกับยา acyclovir และยาหลอก โดยให้ผู้เจ็บป่วยป้ายยาวันละ 4 ครั้ง ตรงเวลา 6 วัน พบว่าไม่แตกต่างในช่วงเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนเจ็บที่ใช้ยาจากสารสกัดใบและยา acyclovir โดยแผลจะตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน แล้วก็หายสนิทด้านใน 7 วัน ซึ่งไม่เหมือนกันกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยยาที่สกัดจากใบเสลดพังพอนตัวเมียจะไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบแล้วก็ระคาย ขณะที่ acyclovir จะทำให้แสบ นอกจากนั้นยังมีการใช้ยาที่ทำจากเสมหะพังพอนตัวเมียในคนป่วยโรคเริม งูสวัด รวมทั้งแผลอักเสบในปาก แล้วพบว่าสามารถรักษาแผลและก็ลดการอักเสบได้ดี
พญายอ สารที่สกัดจากบิวทานอล (Butanol) ของใบเสลดพังพอนตัวเมีย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคเชื้อไวรัส Varicella zoster ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดเริมและก็อีสุกอีใส3 จากรายงานการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดจากใบเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยให้ทายาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ จวบจนกระทั่งแผลจะหาย พบว่าคนไข้สุดที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมีย แล้วมีแผลตกสะเก็ดภายใน 3 วัน รวมทั้งหายภายใน 7-10 วัน จะมีจำนวนมากกว่ากรุ๊ปสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แล้วก็ระดับความเจ็บจะลดลงเร็วกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆก็ตาม9
จากการทดลองความเป็นพิษ เมื่อป้อนสารสกัด n-butanol จากใบให้หนูเม้าส์ พบว่ามีพิษนิดหน่อย แม้กระนั้นจะมีพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าท้อง ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัมต่อกิโล (เทียบเท่าใบแห้ง 5.44 กรัมต่อกก.) เมื่อนำมาป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ พบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการเป็นพิษใดๆก็ตาม
จากการเรียนรู้พิษครึ่งเรื้อรัง
ด้วยการป้อนสารสกัด n-butanol จากใบในขนาด 270 รวมทั้ง 540 มิลลิกรัมต่อกก. ให้หนูแรททุกวี่ทุกวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเติบโต แต่ว่าพบว่ามีน้ำหนักต่อมธัยมัเสียใจลง ในตอนที่น้ำหนักของตับมากขึ้น และไม่พบว่ามีความผิดธรรมดาต่ออวัยวะอื่นๆหรืออาการไม่ประสงค์แต่ว่าอ http://www.disthai.com/

4

เหงือกปลาหมอ
ถิ่นเกิดเหงือกปลาหมอ
เหงือกปลาหมอนับว่าเป็นสมุนไพรท้องถิ่นของไทยพวกเราเนื่องจากว่ามีประวัติในการประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว ซึ่งเหงือกปลาหมอนี้เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นที่โล่งแจ้งและก็มักจะพบบ่อยในรอบๆป่าชายเลน หรือตามพื้นที่ชายน้ำริมฝั่งคลอง เติบโตก้าวหน้าในที่ร่มและมีความชื้นสูง หรือในแถบที่ดินเค็มและไม่ชอบที่ดอน แถบภาคอีสารก็มีรายงายว่าปลูกได้เช่นเดียวกัน เหงือกปลาหมอ พบอยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดดอกสีขาว Acanthus ebracteatus Vahl พบได้ทั่วไปในภาคกึ่งกลางและก็ภาคตะวันออก ประเภทดอกสีม่วง  Acanthus ilicifolius L. พบทางภาคใต้ ทั้งยังเหงือกปลาแพทย์ยังเป็นประเภทไม่ขึ้นชื่อลือนามของจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ต้นเหงือกปลาหมอ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงราว 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งตรง มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 1.5 เซนติเมตร
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบคนเดียว ลักษณะของใบมีหนามคมอยู่ขอบขอบใบแล้วก็ปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นช่วงๆผิวใบเรียบเป็นเงาลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแนวก้าง เนื้อเรือใบแข็งแล้วก็เหนียว ใบกว้างโดยประมาณ 4-7 ซม. รวมทั้งยาวราวๆ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ก้านใบสั้น
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวโดยประมาณ 4-6 นิ้ว ดังนี้สีของดอกขึ้นอยู่กับจำพวกของต้นเหงือกปลาหมอคือ ดอกมีพันธุ์ดอกสีม่วง หรือสีฟ้า รวมทั้งประเภทดอกสีขาว แต่ลักษณะอื่นๆเหมือกันเป็น  ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน ส่วนกลีบดอกไม้เป็นท่อปลายบานโต ยาวราวๆ 2-4 เซนติเมตร บริเวณกึ่งกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้แล้วก็เกสรตัวเมียอยู่
ผลเหงือกปลาหมอ ลักษณะของผลเป็นฝักสีน้ำตาล รูปแบบของฝักเป็นทรงกระบอกกลมรี รูปไข่ ยาวโดยประมาณ 2-3 ซม. เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ข้างในฝักมีเมล็ด 4 เม็ด
เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มแพทย์ แก้มหมอเล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในตำราเรียนยาไทยบอกว่า เหงือกปลาหมอสามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกชนิด
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์เด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้แต่ โรคอีสุกอีใส ที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสก็จะลดน้อยลงลง
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสเอดส์ แม้จะร้ายแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วไป แต่เมื่อใช้เหงือกปลาหมอเป็นทั้งยังยากินรวมทั้งต้มน้ำอาบติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 3 เดือนขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะเบาลงลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับคนไข้โรคผิวหนังด้วย
แนวทางปรุงยาแล้วก็วิธีใช้ยาก็มีหลายแนวทาง คือ
แนวทางต้มยากินแล้วก็อาบ
เอาเหงือกปลาหมอสดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มรับประทานขณะอุ่นๆทีละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง ยามเช้า-เย็น ก่อนที่จะกินอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น ต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดซะก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำปกติตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง รุ่งเช้า-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แต่ถ้าเกิดมีเหงือกปลาหมอจำนวนมาก บางทีอาจจะต้มยาเพื่อเป็นการแช่ทั้งตัวในอ่างก็ยิ่งดี
กระบวนการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมออีกทั้ง 5 ทีตากแห้งมาบดเป็นผุยผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ผู้ใหญ่รับประทานทีละ 2 เม็ด เด็กบางทีอาจจะกินทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุและน้ำหนัก รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร ตอนเช้า-เย็น รับประทานไปเรื่อยๆกระทั่งจะหาย แต่หากเป็นโรคผิวหนังจากภูมิต้านทานบกพร่องก็จำเป็นต้องรับประทานตลอดไป

กระบวนการทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการเหินเป็นผงละเอียดราวกับแป้งใส่แคปซูลขนาด 250 มก. ผู้ใหญ่กินครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนรับประทานอาหาร เด็กต่ำลงตามส่วน
 เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์มากมาย ได้แก่
-ราก มีสรรพคุณสำหรับการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ แล้วก็ใช้ขับเสมหะ
-ต้น มีคุณประโยชน์รักษาโรคหลายแบบ โดยใช้ต้นตำผสมน้ำกินรักษาวัณโรค อาการผอมเกร็ง ถ้าเกิดใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้สรรพคุณทางยาต่างกันออกไปอีก
-ทั้งยังต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกประเภท
-ต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังทำลายพิษ ต้มกินแก้พิษไข้ทรพิษ ฝีทั้งผอง ผลกินเป็นยาขับโลหิตเมนส์ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาหมดทั้งตัว
- ทั้งยังต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะดียิ่งขึ้น
- ตำเอาน้ำกินกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน โรคกุฏฐัง จับไข้จับสั่น
- อีกทั้งต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บข้างหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนกิน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผ่ายผอมเหลืองทั้งตัว กินทุกวัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือบางส่วน หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำจนเดือดให้งวดจึงชูลง กลั้นหายใจกินขณะอุ่นจนหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนหมดทั้งตัว เวียนหัว ตามัว เจ็บระบมหมดทั้งตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาหมอ" ทั้ง 5 รวมราก กับ อาหารมื้อเย็นเหนือ อาหารมื้อเย็นใต้ ปริมาณเท่ากัน กะตามอยากได้ ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดียิ่งขึ้น ไปให้หมอเอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย รวมทั้งต้องระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินวันแล้ววันเล่า
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค สติปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกจำพวกหาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 พวก หูไว
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่ทราบเหนื่อย
กินได้ 7 เดือน ผิวสวย
กินได้ 8 เดือน เสียงเพราะ
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงรับประทานกับน้ำร้อนถ้าผิวแตกตลอดตัวหายได้ ทั้งหมดทั้งปวงที่บอกเป็นหนังสือเรียนยาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่สมควรดูถูกเหยียดหยาม รู้ไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเหงือกปลาหมอ

5

ตะไคร้
ตะไคร้ เป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นในประเทศแถบเอเชียเขตร้อน มีลักษณะเหมือนต้นหญ้าและมีใบสูงยาวส่งกลิ่นเฉพาะตัว นอกเหนือจากนำมาใช้เข้าครัว แต่งกลิ่นในอาหาร และก็ทำเครื่องดื่มแล้ว ตะไคร้ยังถูกใช้ประโยชน์ในหลากสาขา อาทิเช่น อุตสาหกรรมสบู่ เครื่องแต่งตัว การบำบัดด้วยกลิ่น หรือการสกัดเป็นยารักษา โดยมีความเชื่อว่าสารเคมีในตะไคร้ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ บางทีอาจสามารถช่วยป้องกันการเติบโตของแบคทีเรียกับยีสต์ได้ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทุเลาลักษณะของการปวดแล้วก็ลดไข้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในระหว่างมีระดู รวมทั้งเป็นส่วนผสมในสารที่ช่วยไล่ยุงได้ ฯลฯ
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymbopogon citratus จัดเป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นกอ มักนิยมปลูกไว้ตามบ้านและนำมาปรุงอาหาร เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์แล้วก็ช่วยทุเลาอาการของโรคบางจำพวกได้ แม้กระนั้นหารู้หรือไม่ว่าที่จริงแล้ว ภายใต้ต้นแข็งและใบที่คมของตะไคร้ยังแอบซ่อนคุณประโยชน์เอาไว้เยอะแยะจนกระทั่งไม่คาดฝัน วันนี้เราไปดูคุณประโยช์จากตะไคร้ที่ทราบแล้วจะต้องตลึงที่เอามาจากเว็บ allwomenstalk กันดีกว่าจ้ะ ผู้ใดกันแน่ที่ชอบกลิ่นหอมๆของมัน จะต้องยิ่งรักเจ้าสมุนไพรจำพวกนี้มากเพิ่มขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ
สรรพคุณของตะไคร้ ผลดีดีๆของสมุนไพรใกล้ตัว
อุดมไปด้วยวิตามิน
          อย่ามีความคิดว่าตะไคร้มีสาระแค่ใช้ทำอาหารเท่านั้น เนื่องจากจริงๆแล้วตะไคร้นั้นอุดมไปด้วยวิตามินและก็แร่มากไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินบี นอกนั้นยังมีโฟเลต แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส โอ้โห้... วิตามินมากมายขนาดนี้ทีหน้าเจอตะไคร้ในของกินก็อย่าเขี่ยทิ้งนะ
ช่วยไล่แมลง
          นอกเหนือจากการที่จะเอามาประกอบอาหารแล้ว ตะไคร้ยังเป็นประโยชน์สำหรับในการไล่แมลงอีกด้วย เพราะว่าในตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ทั้งยังในใบและก็ในลำต้น ซึ่งน้ำมันหอมระเหยพวกนี้มีคุณสมบัติสำหรับการไล่แมลงได้อย่างดี จึงไม่น่าฉงนใจที่พวกเราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์สบู่ สินค้าไล่แมลงที่มีส่วนผสมของตะไคร้วางขายอยู่ในตลาดเยอะแยะ คนไหนกันแน่ที่ชอบกลิ่นตะไคร้ละก็ลองหามาใช้ได้นะคะ

ล้างพิษ
          สำหรับคนที่รักสุขภาพแล้วก็ชอบล้างพิษในร่างกายบ่อยๆไม่สมควรพลาดเจ้าตะไคร้เลยค่ะ เพราะมันมีคุณลักษณะสำหรับเพื่อการล้างสารพิษในร่างกายด้วยวิธีการทำให้คุณปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องจากสารเคมีที่อยู่ในตะไคร้จะช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร เช่น ตับ ตับอ่อน ไต รวมทั้งกระเพาะปัสสาวะ ขับพิษและกรดยูริกออกมาจากร่างกาย ทำให้ระบบการทำงานด้านการย่อยอาหารของคุณสะอาดขึ้น และก็ดำเนินงานได้อย่างมีคุณภาพเยอะขึ้นเรื่อยๆจ้ะ
ตะไคร้ กับ 7 คุณประโยชน์
ช่วยในการย่อยของกิน
          ตะไคร้ ช่วยให้ระบบที่ทำหน้าที่สำหรับการย่อยอาหารดำเนินงานได้ดีขึ้นจ้ะ เพราะเหตุว่ามีการศึกษาหนึ่งพบว่าการดื่มเกิดไคร้จะช่วยสำหรับการย่อย ลดอาการปวดท้อง แก้หวัด ลดอาการตะคิวในลำไส้ และท้องเสียได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังช่วยป้องกันแล้วก็ลดแก๊สในลำไส้ได้อีกด้วย
ช่วยปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมและบำรุงระบบประสาท
          มีการศึกษาหลายชิ้นพบว่าตะไคร้สามารถช่วยซ่อมและเสริมความแข็งแรงให้กับระบบประสาทได้ พิสูจน์ได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยการนำน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มาหยดลงบนผิว คุณจะรู้สึกได้ว่ามันอุ่นๆซึ่งมันจะทำให้กล้ามของคุณผ่อนคลายมากมายและลดอาการตะคิวได้ แต่ก็อย่าลืมว่าครั้งใดก็ตามจะใช้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้คุณควรจะที่จะผสมมันกับน้ำมันตัวพา (Carrier oil) และก็ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยโดยตรงกับผิวเด็ดขาดจ้ะ
ตะไคร้
ช่วยรักษาอาการอักเสบ
          ตะไคร้สามารถช่วยทำให้คุณรู้สึกบรรเทาและก็บรรเทาอาการปวดต่างๆได้ นอกเหนือจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดต่างๆยกตัวอย่างเช่น ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ หรือการปวดตามข้อได้อีกด้วย ฉะนั้นถ้าหากคุณรู้สึกเจ็บปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทดลองหาน้ำมันที่ผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มานวดมองนะคะยืนยันว่าหายแน่ๆ
ช่วยบำรุงรักษาผิว
          ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ฉะนั้นมันจึงสามารถช่วยบำรุงผิวของคุณได้ ทำให้ผิวของคุณส่งประกายความมีสุขภาพดีออกมา แถมยังช่วยทำให้ผิวของคุณมองอ่อนเยาว์อยู่เป็นประจำ และช่วยลดสิวต่างๆได้อีกด้วย
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ ปริมาณน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งเดียวของจำนวนหนูขาวทั้งหมด ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กิโลกรัม รวมทั้งการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งเดียว พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษฉับพลันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในระยะเวลา 60 วัน กลับทำให้พบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากลุ่มที่ไคุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การศึกษาของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ฟอสฟอรัส 30 มก. เหล็ก 2.6 มก. วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.02 มก. ไนอาซิน 2.2 มก. วิตามินซี 1 มิลลิกรัม และก็ ขี้เถ้า 1.4 กรัมม้ได้รับ และก็ค่าทางเคมีของเลือดไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร http://www.disthai.com/

6

ตะไคร้
ตะไคร้ ชื่อสามัญ Lemongrass
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จัดอยู่ในตระกูลหญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาประกอบอาหาร โดยตะไคร้แบ่งออกเป็น 6 จำพวก ดังเช่นว่า ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางสิงห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมนำมาปลูกทั่วไปในบ้านเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ ศรีลังกา รวมทั้งไทย
ตะไคร้ เป็นยารักษาโรคแล้วก็ยังมีวิตามินรวมทั้งธาตุที่มีสาระต่อสภาพทางด้านร่างกายอีกด้วย เป็นต้นว่า วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ฯลฯ
สรรพคุณของตะไคร้
มีส่วนช่วยในการขับเหงื่อ
เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้รุ่งโรจน์ (ต้นตะไคร้)
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยในการเจริญอาหาร
ช่วยแก้อาการไม่อยากกินอาหาร (ต้น)
สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการคุ้มครองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
แก้แล้วก็บรรเทาอาการหวัด อาการไอ
ช่วยรักษาอาการไข้ (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถทุเลาอาการปวดได้
ช่วยแก้ลักษณะของการปวดหัว
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้อ้วกแม้เอาไปใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ(หัวตะไคร้)
ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นและก็แก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
รักษาโรคอาการหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบรอบๆอก (ราก)
ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องและอาการท้องร่วง (ราก)
ช่วยแก้และบรรเทาอาการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (หัวตะไคร้)
ช่วยสำหรับเพื่อการขับน้ำดีมาช่วยในการย่อยของกิน
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของไส้ได้
มีฤทธิ์ช่วยสำหรับเพื่อการขับปัสสาวะ
ช่วยแก้อาการฉี่ทุพพลภาพและรักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
ช่วยรักษาอหิวาต์
ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน (หัวตะไคร้)
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต่อต้านเชื้อราบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้โรคหนองใน หากนำไปผสมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ

คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากตะไคร้
ประยุกต์ใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้กระหายได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงและรักษาสายตา
มีส่วนช่วยสำหรับในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยสำหรับการบำรุงสมองแล้วก็เพิ่มสมาธิ
สามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นยานวดได้
ช่วยแก้ไขปัญหาผมแตกปลาย (ต้น)
มีฤทธิ์เป็นยาช่วยสำหรับในการนอนหลับ
การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักประเภทอื่นๆจะช่วยป้องกันแมลงได้เป็นอย่างดี
ประยุกต์ใช้เป็นส่วนประกอบของสารยับยั้งกลิ่นต่างๆ
ต้นตะไคร้ช่วยดับกลิ่นคาวหรือเหม็นคาวของปลาได้อย่างดีเยี่ยม
กลิ่นหอมยวนใจของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและกำจัดยุงได้เป็นอย่างดี
เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จำพวกยากันยุงจำพวกต่างๆอย่างเช่น ยากันยุงตะไคร้หอม
สามารถนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ
มักนิยมประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการทำอาหารหลายแบบ เช่น ต้มยำ รวมทั้งของกินไทยอื่นๆเพื่อเพิ่มรส
วิธีทําน้ําตะไคร้หอม
คุณประโยชน์ตะไคร้จัดแจงวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 1 ต้น / น้ำเชื่อม 15 กรัม / น้ำดื่ม 240 กรัม
ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้วเอามาหั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก
ใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด จนกว่าน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนกระทั่งเป็นสีเขียว
รอคอยสักประเดี๋ยวแล้วยกลง ต่อจากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเพิ่มเติมน้ำเชื่อมให้ได้รสตามพึงพอใจ
เสร็จแล้วขั้นตอนการทำน้ำตะไคร้
แนวทางทําน้ําตะไคร้ใบเตย
น้ำตะไคร้ การทําน้ําตะไคร้ใบเตยนั้นสิ่งแรกให้จัดแจงวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 2 ต้น / ใบเตย 3 ใบ / น้ำ 1-2 ลิตร / น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ก็ได้)
นำตะไคร้มาตีให้แหลกพอประมาณ แล้วก็ใช้ใบเตยมัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
ใส่ตะไคร้และใบเตยลงไปในหม้อแล้วเติมน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือดสักโดยประมาณ 5 นาที เป็นอันเสร็จสำหรับวิธีการทําน้ํา ตะไคร้
โดยตะไคร้รวมทั้งใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเติมน้ำต้มใหม่ได้ 2-3 รอบ แต่รสบางทีอาจจืดจางลงไปบ้าง นำมาดื่มแทนน้ำช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวา แถมช่วยบำรุงรักษาสุขภาพอีกด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญมี โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ฟอสฟอรัส 30 มก. เหล็ก 2.6 มก. วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มก. ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม ไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มิลลิกรัม แล้วก็ เถ้า 1.4 กรัม
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ ปริมาณน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งหนึ่งของจำนวนหนูขาวทั้งปวง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มิลลิกรัม/กก. แล้วก็การให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่กึ่งหนึ่ง พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษรุนแรงของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากรุ๊ปที่ไม้ได้รับ รวมทั้งค่าทางเคมีของเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

7

เห็ดหลินจือ
เรื่องเล่าประสบการณ์ตรงจากที่ลงภาคสนาม
คุณยายคนหนึ่ง อายุราว 67 ปี ทำอาชีพขายเห็ดในตลาด ลักษณะของการป่วยเป็นโรค ดังต่อไปนี้
1.เห็ดหลินจือ สามารถรักษาเบาหวาน เป็นทุนเดิม เป็นโรคนี้มาโดยประมาณ 1x ปี
2.โรคความดันเลือด เป็นมาพร้อมๆกับโรคเบาหวาน จะต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตลอด มีอาการงุนงง
3.โรคไขมัน มาพร้อมๆกับเบาหวาน ต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตลอด
4.โรคไตเสื่อม ภายหลังจากเป็นโรคโรคเบาหวานมาราวๆ 10 ปี หมอตรวจเจอว่า ไตเสื่อม ระยะ 2 มีลักษณะขาบวม เหนื่อยเดิน
5.โรคกระเพาะเยี่ยว อักเสบ มาตอนเป็น ไตเสื่อม ก่อให้เกิดอาการปัสสาวะขับ ฉี่ไม่สุด เจ็บแปล็บๆ
6.โรคเก๊า มาตรวจพบทีหลัง ว่าค่ายูริก เริ่มเยอะขึ้น
======================
ความประพฤติปฏิบัติของผู้เจ็บป่วยรวมทั้งประวัติความเป็นมาก่อนกินเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
1.ตอนเจ็บป่วยตอนเริ่มต้น จะมีลักษณะอาการน้ำตาลในเลือดสูง เกือบจะ 200 มิลลิกรัม แม้กระนั้นเพียงพอผ่านมาเกือบ 10 ปี คิดว่าดูแลตัวเองได้ดี ผลที่ได้กลายเป็นแบบงี้ ประเดี๋ยวน้ำตาลสูง ประเดี๋ยวน้ำตาลต่ำ กระตุ้นให้เกิดอาการมึนหัวได้ตลอดวัน หน้าที่ไม่ต้องทำแล้ว นอนดีกว่า
2.เพียงพอมีน้ำตาลในเลือดสูง ความดันจะตามมาเลย นำมาซึ่งอาการโลกหมุน ตาลาย จำเป็นต้องนอนอีกตามปกติ
3.พอพักหลังเริ่มรับประทานของมันลดลง สามารถที่จะคุมไขมันได้ แต่ว่าพอนานวันเข้า ไขมันคุมได้ แม้กระนั้นพบสามกีซาลายสูงซะงั้น
4.หลังจากเจ็บมา 1x ปี ร่างกายก็ไม่ค่อยได้พัก นำมาซึ่งการก่อให้เกิดตอนอาการน็อคน้ำตาล ไป 2 ครั้ง ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา จำเป็นต้องเข้า รพ. เพื่อให้กลูโคส ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น
5.พอเพียงผ่านมาอีก 6 เดือน แพทย์ตรวจเจอเป็นไตเสื่อมขั้นที่ 2 แถมมีโรคกระเพาะฉี่อักเสบ ด้วยเหตุว่ามีไข่ขาวรั่วมาทางฉี่มาก ทำให้เรี่ยวแรงสำหรับเพื่อการเดินไม่มี (แทบเดินไม่ไหว ก้าวขาไม่ออก) แถมพบโรคเก๊าต์ สอบถามหาอีก
6.ระยะหลังจากที่รู้ว่าเป็นหลายโรค ชีวิต มันช่างมืดมนเหลือเกิน ทำให้เบื่ออาหาร รับประทานไม่ได้ นอนไม่หลับ ถึงหลับก็ไม่สนิท ขาบวม ใจสั่น อารมณ์เสียง่าย
7.พอเพียงถึงเวลานี้ ยายคนนี้ การกระทำแปรไป จากที่เคยจะต้องออกไปเปิดร้านขายเห็ดในตลาดทุกๆวัน ไม่เคยหยุด กลับทำให้เขาไม่ต้องการที่จะอยากขายของ ขอหยุดนอนอยู่ในบ้าน กระทำตนราวกับไม่มีคุณค่า จำต้องให้ลูกๆมาคอยดู ทำให้เป็นภาระหน้าที่ของลูก
======================
ปัญหา สำหรับลูกที่ดูแล แล้วก็จุดแปลงแนวความคิด
1.ลูกคนนั้น มีความคิด ทำอย่างไงก้อได้ ให้แม่หายจากโรคทั้งผองนี้
2.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้ท่านแม่กลับมาดำเนินการได้อย่างเดิม
3.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้คุณแม่รับประทานข้าวได้เสมือนสมัยเก่าเป็นเบาหวาน
4.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้ท่านแม่นอนหลับเจริญ
=======================
ท้ายที่สุดลูกคนนั้นได้มาคุยกับผม ผมเลยเสนอแนะเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้ม และก็ลูกคนนั้นได้เอาไปให้คุณแม่ทาน
เริ่มที่คุณแม่ไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น จะช่วยให้ชีวิตเขาดียิ่งขึ้นได้ เนื่องจากว่าคุณแม่ทานสมุนไพร อาหารเสริมมามากแล้ว
=======================

เริ่มต้นกับการทานเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น (ผลลัพธ์อาจนานับประการในแต่ละบุคคล)
1.ผมเสนอแนะให้ทาน 1 วัน 2 เวลาหมายถึงยามเช้า-เย็น ในกรณีของม่าม้าคนนี้ มีโรคประจำตัวมาก จะให้ทานแบบงี้ หลังจากกินอาหารแล้ว ให้ทานยาแผนปัจจุบัน และก็รอคอย 30 นาที ค่อยทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
2.พอเพียงหลังจากทานได้ระยะแรก อาการมึนๆมึนงงๆเริ่มดียิ่งขึ้น นอนก้าวหน้ามากยิ่งกว่าเดิม ปกติจะมองจนกระทั่งเที่ยงคืนและก็หลังจากนั้นจึงค่อยหลับ แล้วตื่น 6-7 โมงเช้าตรู่ มาจัดร้านขายของ แปลงเป็น นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่น 6 นาฬิกายามเช้า
3.ภายหลังจากนอนหลับเจริญ  ทำให้อาการขาบวมดีขึ้น ฉี่มากมาย ไม่ขัดแล้วก็เยี่ยวได้สุด ค่าน้ำตาลดีขึ้น ไม่สวิงต่ำ-สูง และก็ผลไตดียิ่งขึ้นด้วย
4.ผู้ป่วยเริ่มกินข้าวได้ธรรมดา (ม่าม้าไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือช่วยได้จริงไหม เลยทดลองด้วย รับประทานทุเรียน2เม็ด แล้วพรุ่งนี้ไปตรวจเลือด ผลเลือดที่ออกมาแม่ตระหนกตกใจ ว่าเพราะอะไรน้ำตาลธรรมดา ^_^)
5.พอเพียงร่างกายได้ นอนได้เต็มอิ่ม หน้าใส(มีคนทักว่าไปทำอะไรมา) แข็งแรงสามารถชูของหนักๆได้ ซึ่งหากเป็นครั้งก่อน แค่เดินยังต้องหาที่นั่งพักเลย
สรรพคุณเห็ดหลินจือที่มีการค้นคว้ารับรอง....มีอะไรบ้าง
มีความเชื่อมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณสดใส ช่วยทำให้แก่ช้าลง ความจำดียิ่งขึ้น และช่วยอายุยืนนาน
ส่วนสรรพคุณในทางการดูแลรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างมากมายเหมือนกัน เช่น แก้ตับแข็ง รักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคความดัน และก็ภูมิแพ้ฯลฯ
แม้กระนั้นทีเด็ดคือ......
มีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือรักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งสำหรับเพื่อการทดลองศึกษาทางคลีนิคและรับรองว่าเห็ดหลินจือมีคุณประโยชน์ดังต่อไปนี้จริง ไม่ใช่แค่ความเชื่อถืออีกต่อไป อันอย่างเช่น
-กระตุ้นภูมิต้านทาน
-ต้านเนื้องอกแล้วก็โรคมะเร็ง
-รักษาโรคทางเดินฉี่
-รักษาโรคหัวใจ
-ช่วยทำให้การนอน
-ลดไขมันในเลือด
-ต้านทานอนุมูลอิสระ
-ต่อต้านการอักเสบ

8

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะยังไงนี่ เรากำลังดูหนังการทำศึกอยู่หรอ ไม่นะครับ บุกในที่นี้ไม่ได้ถึงศัตรูบุก แต่เป็นหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านเรา ต่างหาก รวมทั้งที่จำต้องหนี ไม่ใช่ผู้ใดกันที่ไหน แต่ว่าเป็นโรคฮอตฮิตในตอนนี้อย่างโรคอ้วน เบาหวาน ต่างหากที่จำต้องหนีไป
บุก ส่วนที่มองเห็นคือ หัวบุก ตอนแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็มิได้แพร่หลายหรือเป็นที่ได้รับความนิยมเหมือนตอนนี้ด้วยเหตุว่าจริงๆตอนแรกมันก็เป็นพืชท้องถิ่นอยู่ดี  คนในแคว้นก็นำบุกมาทำครัว ราวกับเผือก เหมือนมันทั่วๆไปพอเริ่มมีคนมาศึกษาค้นคว้า   คุณประโยชน์ต่างๆของมัน เลยกลายเป็นพืชสมุนไพรไทยยอดนิยม มีการแปรรูปเป็นต้นแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก แล้วก็อื่นๆอีกมากมาย วันนี้เองก็น่าจะไม่ช้าเกินไปที่จะนำทุกคนมารู้จัก พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบถึงกึ๋นมารู้จักบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นอสุรกาย  น่าสยดสยองครับผมชื่อนี้ คาดว่ามาจากรูปแบบของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อวงศ์    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกลุกงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (ปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกึ่งกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
พวกเราพบบุกถึงที่เหมาะไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่พบทั่วๆไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นอยู่กับตาม ชายเขา แล้วก็บางครั้งบางคราวก็เจอตามพื้นที่ ปลูกข้าว เป็นต้นว่าที่จังหวัดปทุมธานี และก็นนทบุรี ฯลฯ บุกขึ้นได้ในภาวะดินทุกชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินที่ร่วนซุย น้ำไม่ขังแล้วก็ดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
ลักษณะของต้นบุก
รูปแบบของต้น บุก บ่งบอกถึงส่วนประกอบเป็นใบบุก แล้วก็หัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่พวกเราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ชนิดเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ราว 25 ซม. (บางพันธ์อาจเล็กมากยิ่งกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แม้กระนั้นบางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมอาหารของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเหมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางประเภทมีก้านใย เป็นลวดลายบางชนิดมีหนามอ่อนๆ หรือบางครั้งบางคราวบุกบางชนิดก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะมีความคิดเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่หลากหลายมาก  แต่ว่าที่เด่นๆดูง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกึ่งกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีรูปทรงแผ่กว้างแบบร่ม แต่ว่าบาง จำพวกจะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนเสมือนหงายร่ม โดยเหตุนี้ลักษณะของใบบุก มีหลายแบบสังกัดประเภทของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าวัว แต่ละประเภทมีขนาด สี และก็รูป ทรงแตกต่าง บางชนิดมีดอกใหญ่มาก โดยเฉพาะบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นเสมือนเนื้อสัตว์เน่า บุกประเภทอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกึ่งกลางหัวบุก เหมือนกันกับก้านใบ บุกชอบมีดอกในช่วงปลายหน้าแล้ง แต่ว่าบุกสามารถมีดอกได้ในช่วง เวลาต่างๆกัน ระยะเวลาสำหรับในการแก่สุดกำลัง ของดอกที่จะติดผลก็ต่างกัน
 ผลบุก (อย่างงงันกับหัวบุกนะ ) หลังจากดอก สืบพันธุ์ก็จะเกิดผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะส่งผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายคล้ายผลกล้วย ผล ของบุกจำนวนมากจะมีลักษณะคล้ายกัน แม้กระนั้นเมล็ดด้านในแตกต่างกัน พบว่าโดยมากมีเมล็ดเป็นรูปทรงอูมยาว  บุกบางชนิดก็มีเมล็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาทำครัว
เป็นพืชของกินท้องถิ่นซึ่งคนไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ท่อนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขตามแต่ละภูมิภาค ตัวอย่างเช่นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการทำขนมที่เรียกว่าของหวานบุก แกงบรรพชามันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วเอามานึ่งรับประทานกับข้าว ทางภาคเหนือโดยยิ่งไปกว่านั้นคนดอย มักเอามา ปิ้งกิน ภาคกึ่งกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งและหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปทำเป็นของหวาน
*บุกมีหลายชนิดหลายจำพวก บางทีอาจขมรวมทั้งมีพิษ ทุกชนิดมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ในขณะที่ก้านใบและก็หัว ซึ่งอาจจะเป็นผลให้คัน ก่อนเอามาปรุงอาหารจำเป็นต้องต้มซะก่อน ไม่งั้นรับประทานเข้าไปทำให้คันปากแล้วก็ลิ้นพอง
อาหารที่แปรรูปมาจากบุก
ตอนนี้มีการนำบุกมาดัดแปลง ทั้งยังในลักษณะของเส้นบุก ซึ่งคือสินค้าดัดแปลงจากส่วนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถนำมาปรุงเป็นของกินจานอร่อยได้ ผมว่าคนไหนกันแน่เคยไปกินเนื้อย่างคงเคยพบบ้าง เว้นเสียแต่เส้นบุกแล้วมีการนำมาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบฮิตๆแต่ก่อนหมายถึงเจเล่ ผสมผงบุก ถ้าจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาด้วยครับผม)
สรรพคุณของบุก
จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูโคแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่มีน้ำตาล 2 ชนิด คือ ดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) แล้วก็ (D-mannose) เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แม้กระนั้นร่างกายสลายตัวได้ยาก ซึมซับได้ช้า ก็เลยให้พลังงานและก็สารอาหารน้อย เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินงานดี คนที่อยากได้ลดความอ้วนนิยมทานอาหารจากแป้งบุก อาทิเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก ด้วยเหตุว่ารับประทานอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ว่าไม่ทำให้อ้วน
ยิ่งไปกว่านี้เองเจ้า สารกลูวัวแมนแนนนี้ สามารถลดจำนวนน้ำตาลในเลือดได้ ก็เพราะเหตุว่าความเหนี่ยว ซึ่งยั้งการดูดซึมของกลูวัวลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูโคลส โดยเหตุนี้ กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลก้าวหน้ามาก ปัจจุบันจึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับคนเจ็บเป็นโรคโรคเบาหวาน และก็สำหรับคนไข้เป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละขอรับเป็นผลดีจากบุก ลองหามาทานกันนะครับ มีคุณประโยชน์ขนาดนี้ ปัจจุบันไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว เสนอแนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นนะครับ รับประกันอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

Tags : สมุรไพรบุก

9

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชสกุลเดียวกันกับบุกชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แม้กระนั้นต่างชนิดกัน ซึ่งมีคุณสมบัติแล้วก็คุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน และก็สามารถประยุกต์ใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), แพทย์ยื่อ (จีนแมนดาริน) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุหลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราว 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนนิดหน่อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและก็กิ่งก้านมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปนเปอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีปริมาณยาวราวๆ 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกลำพัง ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวราว 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกและก็ผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในตระกูลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จ.สกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกลุกงคก (ชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกลาง), บุก (ทั่วๆไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอกเขา เป็นต้น
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกพวกกะแท่งหรือเท้ายายม่อมหัว แก่ได้นานหลายปี มีความสูงของต้นโดยประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบและอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมและก็มีลายเขียวๆแดงๆลักษณะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ พรรณไม้จำพวกนี้จะเจริญงอกงามในฤดูฝน และก็จะโรยราไปในช่วงต้นฤดูหนาว ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปขึ้นเองตามป่าราบชายทะเลและที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างแดนบุกคางคกนั้นเป็นพืชประจำถิ่นในเอเซียอาคเนย์ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก คือส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะออกจะกลมและก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวขรุขระ เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดรวมทั้งเป็นเมือกลื่น มียาง โดยเฉพาะหัวสด ถ้าเกิดสัมผัสเข้าจะทำให้เกิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นของกินนั้นจึงต้องทำให้เป็นมูกโดยการต้มในน้ำเดือดเสียก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแม้กระนั้น 1 กรัม ไปจนกระทั่ง 35 โล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบเดี่ยว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ขยายออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าพบเส้นกึ่งกลางใบ ส่วนขอบของใบจะเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำแล้วก็ยาวได้ราว 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก มีดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบตกแต่งเป็นรูปห่อหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นรวมทั้งบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางคุก
ผลบุกคางคก ผลเป็นผลสด เนื้อนุ่ม รูปแบบของผลเป็นรูปทรงรียาว ขนาดยาวโดยประมาณ 1.2 เซนติเมตร ผลมีจำนวนหลายชิ้นชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ภายในผลมีเม็ดโดยประมาณ 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแต่ว่าเมล็ดแยกออกมาจากกัน เม็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
คุณประโยชน์ของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด (หัว)
ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานรวมทั้งผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำ โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เอามาชงกับน้ำกินก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสลด ละลายเสมหะ ช่วยกระจายเสมหะที่อุดตันรอบๆหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน และก็เลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้รอบเดือนไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับระดูของสตรี (ราก)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้ารวมทั้งกัดหนองได้ดิบได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลบอกว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถนะทางเพศ โดยคุณนิล สกุณา (บ้านหนองพลวง ต.โคกกลาง อำเภอลำปลายสุวรรณ จังหวัดบุรีรัมย์) แนะนำให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดเอามาปิ้งไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้ห้อยจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอท่วมเมล็ดบุก ต้มจนเม็ดบุกหล่นลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วก็ให้เติมน้ำตาลทรายแดงพอประมาณลงไปต้มให้พอเพียงหวาน ต่อจากนั้นทดลองชิมมอง ถ้ายังมีอาการคันคออยู่ก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลเพิ่มแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยชิมใหม่ ถ้าเกิดไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ และให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้จักล้มใส่เข้าไปด้วยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นแล้วก็เก็บเอาไว้ในตู้แช่เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ราวๆ 30 นาที จะปวดปัสสาวะโดยธรรมชาติ หลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ในทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วเอามาชงกับน้ำดื่ม ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ทีละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าคือส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถเอามารับประทานได้ ถ้าหากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) จำนวนมาก ที่ส่งผลให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าแล้วก็ก้านใบถ้าเกิดปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองและคันปากได้8ก่อนนำมารับประทานต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด6
แนวทางการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำเพียงพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นมัวแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นคราวแรก แล้วก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมตัวกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นสำหรับในการปรุงอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6หากอาการเป็นพิษจากการรับประทานบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เหตุเพราะวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) ก็เลยไม่สมควรบริโภควุ้นบกคราวหลังการกิน แต่ให้รับประทานก่อนอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่สร้างจากวุ้น ดังเช่น วุ้นก้อนแล้วก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมอาหารหรือหลังอาหารได้ เนื่องจากวุ้นดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วได้ผ่านแนวทางการรวมทั้งได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องจากไม่มีการย่อยสลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินแล้วก็แร่ หรือสารอาหารอะไรก็แล้วแต่ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันน้อยลง (ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี แล้วก็วิตามินเค) ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แม้กระนั้นจะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (อย่างเช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจทำให้มีลักษณะท้องร่วงหรือท้องเฟ้อ มีลักษณะกระหายน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการหมดแรงเพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่พบ ดังเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี และก็ยังเจอสารที่เป็นพิษหมายถึงConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกเจอสาร Uniine และวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 และหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ปริมาณร้อยละ 5-6 รวมทั้งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงจำนวนร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญหมายถึงกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส รวมทั้งฟรุคโตส สารกลูโคแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะว่ามีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมากมายก็ยิ่งมีผลการดูดซึมกลูโคส โดยเหตุนี้ กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum จึงสามารถลดน้ำตาลได้ดียิ่งไปกว่า ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับคนไข้เบาหวานแล้วก็สำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูโคแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนแตกต่างออกไปตามชนิดของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนโดยประมาณ 90% และก็สิ่งปลอมปนอื่นๆยกตัวอย่างเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, แล้วก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูวัวแมนแนนนั้นหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองชนิดหมายถึงเดกซ์โทรส 2 ส่วน รวมทั้งแมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลประเภทลำดับที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลชนิดแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งต่างจากแป้งที่เจอในพืชทั่วๆไป ก็เลยผิดย่อยโดยกรดรวมทั้งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 เว้นแต่กลูวัวแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังพบได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำแล้วก็ขยายตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อพวกเรารับประทานกลูโคแมนแนนก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงทีละ 1 กรัม กลูวัวแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะอาหารของพวกเรา แล้วเกิดการพองตัวจนทำให้เรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรารับประทานได้ลดน้อยลงกว่าธรรมดาด้วย ทั้งยังกลูโคแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมากมาย กลูวัวแมนแนนก็เลยช่วยสำหรับในการควบคุมน้ำหนักและก็เป็นของกินของผู้ที่อยากได้ลดหุ่นได้อย่างดีเยี่ยม8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูน้อยลงคิดเป็น 44% แล้วก็ Triglyceride น้อยลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะและลำไส้ก้าวหน้ามากมาย และยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการขับของที่ค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีอาการบวมที่ขารับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 โล พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูลดลง6
ประโยช์จากบุกคนประเทศไทยเรานิ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]