แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - duooitt01vg

หน้า: [1]
1

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาแล้วก็ใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่บริบูรณ์ แดดปานกลาง พบได้บ่อยตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกได้ไม่ยาก ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาก็ดีก็ย้ายไปปลูกลงในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วๆไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนถึงเหลือเกิน ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูเจริญ โดยยิ่งไปกว่านั้นส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และก็แผนกได้ศึกษาเล่าเรียนพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต่อต้านพิษงูยังไม่กระจ่าง แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ว่าไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย อาทิเช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากมายน้อยตามรอบๆที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอเปียกยา ตั้งทิ้งเอาไว้ 1 อาทิตย์ หมั่นคนยาทุกเมื่อเชื่อวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และก็กากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสลดพังพอน เนื่องมาจากเสลดพังพอนมีตลอดตัวผู้ละตัวเมีย แม้กระนั้นเพศผู้ไม่นิยมนำมาใช้ด้วยเหตุว่ามีฤทธิ์อ่อน แล้วก็เพื่อไม่ให้สับสนก็เลยเรียกเสมหะพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" โดยมากเอามาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกลุ่มพืชถอนพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาใช้ภายนอกรักษาด้านนอก มีสรรพคุณทุเลาการอักเสบของผิวหนังก้าวหน้า  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส
คุณลักษณะของผงพญายอในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผดผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับเหล้า แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและเม็ดผดผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับสุราใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ลมพิษ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก พญายอมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนเจริญ
- อีกตำรากล่าวว่านอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลยุ่ยเนื่องจากถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด แล้วก็แผลที่เกิดขึ้นมาจากการถูกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย เอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองเจริญ ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือรวมทั้งสุรา ใช้พอกรอบๆที่เป็น แปลงยาทุกตอนเช้าแล้วก็เย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยยิ่งไปกว่านั้นพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ยกตัวอย่างเช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง อื่นๆอีกมากมาย
- พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังประเภทเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง แล้วก็ใช้เป็นยาถอนพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและเอากากพอกรอบๆแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บ ช่วยลดลักษณะของการปวด
- มีฤทธิ์ต้านไวรัสได้ดิบได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์

แนวทางการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ชำระล้างผิวหน้าด้วยสินค้าล้างหน้าล้างตาและขัดถูเครื่องสำอางให้สะอาดก่อนกรรมวิธีการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำสะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง น้ำนม หรือโยเกิร์ต เพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้ทั้งผิวหน้าแล้วก็ผิวกาย บ่อยๆ สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง


     - สำหรับผิวหน้า พญายอแม้เป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลุกลามไปทั่วบริเวณใบหน้า และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผิวหน้ามากเกินความจำเป็น พอกทิ้งไว้ราวๆ 15 นาที
     - แม้ใช้ขัด (สำหรับคนที่ไม่เป็นสิว แล้วก็ผิวกาย) ให้ขัดให้เบาไม้เบามือที่สุด ราวๆแค่คลำพากเพียรจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด แล้วก็ให้ขัดเพียงแค่ 5 นาทีก็พอเพียงที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งเอาไว้จนกระทั่งแห้ง (บางทีอาจใช้ช่วงเวลาพอกทิ้งเอาไว้ราว 15 นาที)

  • พญายอ ภายหลังจากแห้งแล้ว ให้ทำการล้างด้วยน้ำธรรมดา (ไม่ควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบค่อยที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆและปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือลูบให้ค่อยที่สุด โดยใช้แนวทางล้างเดียวกับการขัดหน้า คือ อุตสาหะจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ดูดซับหน้าให้แห้ง


Tip  เพื่อการบำรุงที่เพิ่มขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำธรรมดาในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเท่ากัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วบริเวณใบหน้าสักน้อย ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความสดชื่นให้แก่ผิว ทั้งช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มแล้วก็กระจ่างขาวสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยเพิ่มขึ้น http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเสลดพังพอน (พญายอ)

2

เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากโรคเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มแพทย์ แก้มแพทย์เล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในตำรายาไทยบอกว่า เหงือกปลาแพทย์สามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกชนิด
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณเด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้กระทั้ง โรคอีสุกอีใส ที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสก็จะเบาลงลง
สมุนไพร เหงือกปลาแพทย์เป็นไม้พุ่มที่มีขนาดกลางๆสูงประมาณ 1-2 เมตร ส่วนของลำต้นแล้วก็ใบจะมีหนามมีหนาม ใบหนามแข็งแล้วก็มีขอบเว้าหนามแหลมใบออกเป็นคู้ตรงกันข้ามกัน ส่วนของดอกจะออกเป็นช่อตามยอด กลีบดอกไม้จะมีสีขาอมม่วง มี 4 กลีบแยกจากกันผลเป็นฝักสีน้ำตาล มี เม็ด จะสามารถพบได้บ่อยตามชายน้ำ ริมฝั่งคลองบริเวณปากแม่น้ำ
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสเอดส์ แม้จะร้ายแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วไป แต่ว่าเมื่อใช้เหงือกปลาหมอเป็นอีกทั้งยากินและก็ต้มน้ำอาบต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 3 ข้างขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะบรรเทาเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับคนป่วยโรคผิวหนังด้วย
แนวทางปรุงยารวมทั้งการใช้ยาก็มีหลายวิธี คือ
แนวทางต้มยารับประทานรวมทั้งอาบ
เอาเหงือกปลาแพทย์สดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มกินขณะอุ่นๆครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้าตรู่-เย็น ก่อนที่จะกินอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น ต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำจำต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดเสียก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำปกติตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้า-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แต่ว่าถ้าหากมีเหงือกปลาแพทย์เยอะมากๆ บางทีก็อาจจะต้มยาเพื่อเป็นการแช่ตลอดตัวในอ่างก็ยิ่งดี
แนวทางการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาแพทย์ 5 ทีตากแห้งมาบดเป็นผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. ผู้ใหญ่กินครั้งละ 2 เม็ด เด็กบางครั้งก็อาจจะรับประทานทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุรวมทั้งน้ำหนัก รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร เช้า-เย็น รับประทานไปเรื่อยๆกระทั่งจะหาย แม้กระนั้นถ้าเป็นโรคผิวหนังจากภูมิต้านทานขาดตกบกพร่องก็ต้องรับประทานตลอดกาล

วิธีทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการบินร่อนเป็นผงละเอียดราวกับแป้งใส่แคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม คนแก่รับประทานครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนรับประทานอาหาร เด็กลดน้อยลงตามส่วน
เหงือกปลาหมอมีสรรพคุณล้นหลาม ตัวอย่างเช่น
-ราก มีคุณประโยชน์สำหรับในการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ แล้วก็ใช้ขับเสมหะ
-ต้น มีสรรพคุณรักษาโรคหลายอย่าง โดยใช้ต้นตำผสมน้ำดื่มรักษาวัณโรค อาการผอมแห้ง ถ้าเกิดใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้คุณประโยชน์ทางยาต่างกันออกไปอีก
-ทั้งต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกชนิด
-ต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มกินแก้พิษโรคฝีดาษ ฝีทั้งปวง ผลรับประทานเป็นยาขับเลือดรอบเดือน นอกจากนั้น ถ้าหากตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ทั้งยังต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาตลอดตัว
- ต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะ
- ตำเอาน้ำกินกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน คุดทะราด เป็นไข้จับสั่น
- ทั้งต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บข้างหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนกิน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผอมบางเหลืองหมดทั้งตัว รับประทานทุกวี่ทุกวัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือบางส่วน หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 แท่ง ต้มกับน้ำจนเดือดให้งวดจึงยกลง กลั้นหายใจกินขณะอุ่นจนถึงหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนหมดทั้งตัว วิงเวียน ตามัว เจ็บระบมตลอดตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาแพทย์" ทั้ง 5 รวมราก กับ ข้าวเย็นเหนือ อาหารเย็นใต้ จำนวนเสมอกัน กะตามอยาก ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย แล้วก็ต้องระมัดระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินแต่ละวัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค สติปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกหมวดหมู่หาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 ประเภท หูดี
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่ทราบอิดโรย
กินได้ 7 เดือน ผิวงาม
กินได้ 8 เดือน เสียงไพเราะเพราะพริ้ง
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนหากผิวแตกตลอดตัวหายได้ ทั้งปวงที่บอกเป็นตำรายาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ดูหมิ่น รู้ไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

3

รากสามสิบ
รากสามสิบ ชื่อสามัญ Shatavari8
รากสามสิบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Asparagus racemosus Willd. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Protasparagus racemosus (Willd.) Oberm.) จัดอยู่ในวงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (ASPARAGACEAE) และอยู่ในสกุลย่อย ASPARAGOIDEAE4
สมุนไพรรากสามสิบ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า สามร้อยราก (กาญจนบุรี), ผักหนาม (จังหวัดนครราชสีมา), ผักชีช้าง (จังหวัดหนองคาย), จ๋วงเครือ (ภาคเหนือ), เตอสีเบาะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เพียงพอควายเมะ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่), ชีช้าง, ผักชีช้าง, จั่นดิน, ม้าสามต๋อน, สามสิบ, ว่านรากสามสิบ, ว่านสามสิบ, ว่านสามร้อยราก, สามร้อยสามี, สาวร้อยสามี, ศตาวรี เป็นต้น
รูปแบบของรากสามสิบ
ต้นรากสามสิบ จัดเป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพันต้นไม้อื่นด้วยหนาม (หนามเปลี่ยนมาจากใบเกล็ดบริเวณข้อ) สามารถเลื้อยป่ายปีนต้นไม้อื่นขึ้นไปได้สูงประมาณ 1.5-4 เมตร แตกแขนงเป็นเถาห่างๆลำต้นเป็นสีเขียวหรือสีขาวปนเหลือง เถามีขนาดเล็กเรียว กลม เรียบ ลื่น รวมทั้งเป็นเงา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 2-5 มิลลิเมตร เถาอ่อนเป็นเหลี่ยม ตามข้อเถามีหนามแหลม หนามมีลักษณะโค้งกลับ ยาวโดยประมาณ 1-4 มม. บริเวณข้อมีกิ่งแตกกิ่งแบบรอบข้อ และก็กิ่งนี้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวลักษณะแบนเป็นรูปขอบขนาน ปลายแหลม กว้างประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร และก็ยาวโดยประมาณ 0.5-2.5 มิลลิเมตร ปฏิบัติหน้าที่แทนใบ มีเหง้าแล้วก็รากอยู่ใต้ดิน ออกเป็นกลุ่มคล้ายกระสวย รูปแบบของรากออกเป็นพวงคล้ายรากกระชาย ลักษณะอวบน้ำ เป็นเส้นกลมยาว มีขนาดโตกว่าเถามากมาย มีเขตผู้กระทำระจายจำพวกในประเทศไทย อินเดีย ศรีลังกา ชวา จีน มาเลเซีย แล้วก็ประเทศออสเตรเลีย เจอขึ้นตามป่าในเขตร้อนชื้น ป่าเขตร้อนแล้ง ป่าผลัดใบ ป่าโปร่งหรือตามเขาหินปูน
ต้นรากสามสิบ
สามร้อยราก
ใบรากสามสิบ ใบเป็นใบโดดเดี่ยว แข็ง ออกรอบข้อเป็นฝอยๆเล็กเหมือนหางกระรอก หรือออกเรียงสลับเป็นกระจุก 3-4 ใบ ใบเป็นสีเขียวดก รูปแบบของใบเป็นรูปเข็มขนาดเล็ก ปลายใบแหลม เป็นรูปเคียว โคนใบแหลม มีขนาดกว้างราว 0.5-1 มิลลิเมตร แล้วก็ยาวโดยประมาณ 10-36 มม. แผ่นมักโค้ง สันเป็นสามเหลี่ยม มี 3 สัน มีหนามที่ซอกกระจุกใบ ก้านใบยาวประมาณ 13-20 ซม.
ใบรากสามสิบ
ดอกรากสามสิบ ออกดอกเป็นช่อกระจะ ยาวโดยประมาณ 2-4 ซม. โดยจะออกที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบรวมทั้งข้อเถา ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ดอกเป็นสีขาวแล้วก็มีกลิ่นหอมสดชื่น มีราวๆ 12-17 ดอก ก้านดอกย่อยยาวโดยประมาณ 2 มม. มีกลีบรวม 6 กลีบ แยกเป็น 2 วง วงนอก 3 กลีบ แล้วก็วงในอีก 3 กลีบ กลีบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลีบมน ขอบเรียบ กลีบกว้างราวๆ 0.5-1 มม. และยาวโดยประมาณ 2.5-3.5 มิลลิเมตร กลีบดอกมีลักษณะบางและก็ย่น โคนกลีบเชื่อมชิดกันเป็นหลอดรูปดอกเข็มยาวราวๆ 2-3 มิลลิเมตร ส่วนปลายแยกเป็นแฉก ดอกมีเกสรผู้เชื่อมและก็อยู่ตรงกันข้ามกับกลีบรวม เป็นเส้นเล็ก 6 อัน ก้านชูอับเรณูเป็นสีขาว อับเรณูเป็นสีน้ำตาลเข้ม รังไข่เป็นรูปไข่กลับ อยู่เหนือวงกลีบ ยาวราวๆ 1 มิลลิเมตร มี 2 ช่อง ในแต่ละช่องมีออวุล 2 เมล็ด หรือมากยิ่งกว่า ส่วนก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉกขนาดเล็ก โดยจะมีดอกในตอนโดยประมาณเดือนเมษายนถึงมิถานายน1,2,4,5
ดอกรากสามสิบ
ผลรากสามสิบ ลักษณะของผลเป็นรูปทรงค่อนข้างกลม หรือเป็นพู 3 พู ผิวผลเรียบวาว มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 4-6 มม. ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีแดงหรือสีม่วงแดง ข้างในผลมีเมล็ดโดยประมาณ 2-6 เมล็ด เม็ดเป็นสีดำ เปลือกหุ้มมีลักษณะแข็งแม้กระนั้นเปราะ ออกผลในตอนราวเมษายนถึงก.ค.1,8
ผลรากสามสิบ
เม็ดรากสามสิบ

สรรพคุณของรากสามสิบ
รากสามสิบมีรสเฝื่อนฝาดเย็น มีคุณประโยชน์เป็นยาบำรุงกำลัง ใช้เป็นยาชูกำลัง (ราก)
ตำราเรียนยาไทยจะใช้รากเป็นยาแก้กษัย (ราก)
ในประเทศอินเดียจะใช้รากเป็นยากระตุ้นประสาท (ราก)
รากใช้ผสมกับเหง้าขิงป่ารวมทั้งต้นจันทน์แดง ผสมกับเหล้าโรงใช้เป็นยาแก้วิงเวียน (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาลดระดับความดันโลหิตแล้วก็ลดไขมันในเลือด (ราก)
รากสามสิบมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยไปกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนให้เพิ่มการหลั่งสาร insulin (ราก)
อีกทั้งต้นหรือรากเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคคอพอก (ราก, ทั้งยังต้น)
ผลมีรสเย็น ใช้ปรุงเป็นยาแก้พิษไข้เซื่องซึม แก้พิษไข้กลับไข้ซ้ำ มักใช้ร่วมกับผลราชดัด เพื่อเป็นยาดับพิษไข้จากบิดเรื้อรัง (ผล)
รากมีรสขื่นเย็น ใช้รับประทานเป็นยาแก้พิษร้อนในอยากดื่มน้ำ (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ (ราก)
ช่วยขับเสมหะ4 แก้การต่อว่าดเชื้อที่หลอดลม (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำเป็นยาช่วยขับลม และช่วยลดกรดในกระเพาะ (ราก)
ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้อาการของกินไม่ย่อย รักษาแผลในกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะ (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการท้องเสีย แก้บิด (ราก)
ใบมีสรรพคุณเป็นยาระบาย (ใบ)
ตำราเรียนยาสมุนไพรประจำถิ่นของจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
รากมีคุณประโยชน์เป็นยาแก้ขัดค่อย ขับปัสสาวะ ช่วยหล่อลื่นแล้วก็กระตุ้น (ราก)
ช่วยรักษาอาการเมนส์ไม่ปกติของสตรี (ราก)
ต้นหรือรากเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ตกเลือด (ราก, ทั้งต้น)
ในประเทศอินเดียจะใช้รากสามสิบเป็นยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศอีกทั้งชายแล้วก็หญิง คนทางภาคเหนือบ้านพวกเราจะใช้รากสามสิบทำเป็นยาดอง ใช้รับประทานเป็นยาบำรุงสำหรับเพศชาย รับประทานแล้วครื้นครึกราวกับม้า 3 ตัว ก็เลยมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ม้าสามต๋อน” ส่วนแพทย์ยาโบราณจะใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรี ซึ่งเป็นต้นเหตุของชื่อ “สาวร้อยสามี” หรือ “สามร้อยสามี” กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ยังสามารถมีลูกมีสามีได้ อายุเยอะแค่ไหนก็ยังมองสาวเสมอ แต่ไม่ใช่กินแล้วจะสามารถมีผัวได้เป็นร้อยคน ในหนังสือเรียนอายุรเวทจะใช้สมุนไพรประเภทนี้เป็นสมุนไพรหลักสำหรับในการบำรุงสตรี ทำให้กลับมาเป็นสาว ช่วยจัดการกับปัญหาต่างๆของสตรี ไม่ว่าจะเป็นภาวะเมนส์ผิดปกติ สภาวะหมดรอบเดือน ปวดรอบเดือน ตกขาว มีบุตรยาก หมดอารมณ์ทางเพศ ช่วยบำรุงรักษาครรภ์ บำรุงน้ำนม ป้องกันการแท้ง ฯลฯ สำหรับวิธีการใช้ก็ให้นำรากมาต้มรับประทาน หรือนำรากมาตากแห้งแล้วบดเป็นผุยผงปั้นเป็นลูกกลอนรับประทานกับน้ำผึ้ง นอกนั้นยังคงใช้กระตุ้นน้ำนมในวัวนมได้อีกด้วย (ราก)
ใช้เป็นยาบำรุงตับแล้วก็ปอดให้เกิดกำลังปกติ แก้ตับรวมทั้งปอดพิการ (ราก)
รากใช้ฝนทาแก้พิษจากแมลงป่องกัดต่อย (ราก)
รากใช้ฝนทาแก้ลักษณะของการปวดฝี ทำให้เย็น ช่วยทำลายพิษฝี พิษปวดแสบปวดร้อน (ราก)
ช่วยบรรเทาอาการระคาย (ราก)
รากใช้กินเป็นยาแก้อาการปวดปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว (ราก)
ช่วยแก้อาการปวดข้อและก็คอ (ราก)
ใบมีสรรพคุณช่วยขับน้ำนม ช่วยให้เจริญอาหาร (ใบ)
รากใช้เป็นยาบำรุงเด็กทารกในครรภ์ บำรุงนม บำรุงร่างกายหลังการคลอดบุตรของสตรี (ราก)
ใน “พระหนังสือสรรพคุณ (แลมหาพิกัด)” ได้กล่าวถึงคุณประโยชน์ของรากสามสิบไว้ว่า “ผักหวานตัวผู้มีรสหวาน แก้กำเดา แก้จักขุโรค รากสามสิบ 2 มีคุณยิ่งกว่าผักหวาน” กำเดาหรือไข้กำเดา มีอยู่ 2 จำพวก สิ่งแรกเป็นตัวร้อน ไม่อยากอาหาร ปวดหัว รวมทั้งอีกอย่างหนึ่ง คือ มีลักษณะรุนแรงมากยิ่งกว่า มีเม็ดผุดขึ้นตามร่างกาย มีลักษณะคัน ไอ มีเสมหะ แล้วก็มีเลือดออกทางปากแล้วก็จมูก (ราก)
ส่วนในหนังสือ “พระคัมภีร์เวชศาสตร์เกื้อหนุน” ได้พูดถึงตำรับยารักษาคนธาตุหย่อน อันมีตัวยารากสามสิบรวมอยู่ด้วยร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆอีกหลายอย่าง โดยกล่าวว่ามีสรรพคุณ (ที่ค่อนจะเข้าใจยาก) ว่าช่วยจำเริญชีวิตให้กำเนิดกำลัง ให้บำรุงธาตุไฟ ให้เจริญอินทรีย์แต่ละอย่าง มีกำลังเดินทางมากไม่เหมือนกัน กินเข้าไปแล้วหาโทษมิได้ ใช้ได้อีกทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนมีกำลัง คนผอม คนไม่มีกำลัง คนธาตุหย่อนยาน ให้ประกอบยานี้กันเหอะ อนึ่ง รับประทานแล้วให้มีขึ้นบุตร ให้อกตอแค่นดวงเดือนงทั้งยัง 4 มีกำลัง ถึงกระหักดีแล้ว แพทย์ก็เชื่อถือรักษาด้วยการใช้ยานี้เหอะ (ราก)
อีกตำรับหนึ่งเป็นยาแก้โรคผอมโซ แก้โรคหอบหืด แก้ปิดตะ และแก้โรคลมต่างๆจะมีสมุนไพรอยู่ด้วยกัน 20 อย่างแล้วก็รากสามสิบ (ราก)
ใน “พระหนังสือวรโยคสาร” ตำรับยา “วะระทุ่งนาทิภาควิชา” เป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยรากไม้ 17 อย่าง รวมถึงรากสามสิบ ซึ่งเป็นตำรับยาที่ใช้แก้อันตะวิทราโรค หรือโรคที่มีอาการทิ่มแทงในลำไส้ใหญ่ ใช้เป็นยาแก้มันทาคินี แก้เสมหะ แก้ลุกลุมโรคหายแล แล้วก็ยังมีตำรับยาอีกอย่างก็คือ ตำรับยาแก้เสลด ที่มีสมุนไพรรวมอยู่ด้วย 16 อย่าง และรากสามสิบ (ราก)
ตำรับยาบำรุงท้อง แก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ ประกอบไปด้วยสมุนไพร 13 ชนิด เป็นต้นว่า รากสามสิบ แก่นสน กฤษณา กระลำพัก ขอนดอก ชะลูด อบเชย เปลือกสมุลแว้ง เทียนทั้งยัง 5 บัวน้ำอีกทั้ง 5 โกฐทั้ง 5 จันทน์อีกทั้ง 4 รวมทั้งเทวดาทาโร (ใช้อย่างละเสมอกัน) นำทั้งหมดมาใส่ไว้ภายในหม้อเคลือบหรือหม้อดิน เพิ่มน้ำลงไปให้ท่วมยาสูงราว 6-7 เซนติเมตร แช่ทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 นาที แล้วนำขึ้นตั้งด้วยไฟอ่อนๆต้มเคี่ยวประมาณ 30 นาที น้ำยาเดือดรวมทั้งมีกลิ่นหอมยวนใจจึงยกลงจากเตา ใช้ดื่มก่อนรับประทานอาหารเช้าและเย็น วันละ 2 เวลา เป็นยาบำรุงครรภ์อย่างยอดเยี่ยม (ราก)
นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณของรากสามสิบตามเว็บต่างๆนอกจากที่กล่าวมา สมุนไพรประเภทนี้ยังมีสรรพคุณช่วยสร้างสมดุลให้แก่ระบบฮอร์โมนเพศหญิง แก้วัยทอง เพิ่มขนาดหน้าอกและสะโพก ช่วยขจัดปัญหาช่องคลอดอักเสบ กำจัดกลิ่นในช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยกระชับรูปทรง ลดไขมันส่วนเกิน บำรุงเลือด บำรุงผิวพรรณ ลดสิว ลดฝ้า ทำให้ผิวขาวใส ช่วยชะลอความแก่เฒ่า ลดกลิ่นเต่า กลิ่นปาก ช่วยสร้างเสริมและพัฒนาความจำแล้วก็สติปัญญา (ไม่มีอ้างอิง)
ขนาดและก็การใช้ : การใช้รากตาม ให้ใช้รากราว 90-100 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มวันละครั้งในเวลาเช้า
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของรากสามสิบ
สารสำคัญที่พบ ยกตัวอย่างเช่น asparagamine, cetanoate, daucostirol, sarsasapogenin, shatavarin, racemosol, rutin
สมุนไพรรากสามสิบมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ลดการอักเสบ แก้ลักษณะของการปวด คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ คุ้มครองกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดขึ้นมาจากความดันเลือดสูง ขับนม มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งโรคเบาหวาน ลดระดับไขมันในเลือด กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านทานอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นพิษต่อเซลล์ของโรคมะเร็ง ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยั้งพิษต่อตับ
สารสำคัญที่เจอในรากเป็นสาร steroidal saponins ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เอาอย่างฮอร์โมนเพศ ก็เลยน่าจะมีบทบาทในการรักษาอาการที่เกิดขึ้นในตอนวัยหมดระดูของสตรี รวมถึงการช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิตรวมถึงโรคกระดูกพรุน
จากการเรียนรู้
ในหนูแรทโดยใช้สารสกัดจากรากด้วยเอทานอล แบ่งเป็น 2 ช่วงหมายถึงตอนกะทันหันแล้วก็ตอนยาวต่อเนื่อง โดยการเล่าเรียนในตอนกะทันหันป้อนสารสกัดเอทานอลจากรากสามสิบในขนาด 1.25 กรัมต่อกก. ให้กับหนูแรทที่ไม่เป็นเบาหวาน หนูแรทที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 และจำพวกที่ 2 พบว่าไม่เป็นผลลดระดับน้ำตาลในเลือด แม้กระนั้นช่วยให้ทนต่อการเพิ่มขึ้นของเดกซ์โทรส ในนาทีที่ 30 ดีขึ้น ส่วนการศึกษาเล่าเรียนช่วงยาวสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง นาน 28 วัน ให้กับหนูที่เป็นโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แล้วก็เพิ่มระดับของอินซูลิน 30%เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มระดับอินซูลินในตับอ่อน รวมทั้งเพิ่มไกลโคเจนที่ตับ เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปโรคเบาหวานควบคุม จึงสรุปได้ว่าฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดจากรากสามสิบน่าจะเป็นผลมาจากการหยุดยั้งการสรุปยและก็การดูดซึมสารคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งเพิ่มการหลั่งอินซูลิน ซึ่งคงจะเป็นประโยชน์สำหรับในการใช้ประโยชน์รักษาคนเจ็บเบาหวานได้9
จากการทดสอบทางคลินิกหมายถึงการใช้รักษาโรคกระเพาะในคนจริงๆโดยการกินผงแห้งของราก พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีสำหรับในการรักษาแผลที่กระเพาะรวมทั้งลำไส้เล็ก จากการที่กรดเกิน
เมื่อปี คริสต์ศักราช1997 ที่ประเทศอินได้กระทำการทดลองใช้รากสามสิบกับคนเจ็บความดันโลหิตสูงชนิด mild hypertension โดยทดลองเปรียบเทียบกับยาลดระดับความดัน (Propranolol) ใช้ช่วงเวลาทำทดสอบนาน 3 เดือน ผลของการทดลองพบว่า คนป่วยมีความดันโลหิตต่ำลง < 90 mm.Hg. และลดไขมันได้ผลดี

  • K. Mitra รวมทั้งแผนก (ค.ศ.1996) ที่อินเดียได้กระทำทดลองใช้สารสกัดจากรากสามสิบกับหนูทดลองที่ถูกกระตุ้นด้วย Streptozotocin ผลการทดสอบพบว่า สารสกัดดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วสามารถกระตุ้นตับอ่อนของหนูให้เพิ่มการหลักhttp://www.disthai.com/

4

ตะไคร้บ้าน
ตะไคร้ คุณประโยชน์
"ตะไคร้" (Lemongrass) เป็นสมุนไพรก้นครัวที่พวกเรารู้จักรวมทั้งคุ้นเคยกันมานาน เพราะเหตุว่าในอาหารไทยหลายอย่างมักใส่ตะไคร้ลงไปเป็นเลิศในเครื่องปรุงด้วยเสมอ อาทิ ต้มยำ ต้มข่าไก่ ยำ น้ำพริกต่างๆช่วยเพิ่มรสชาติรวมทั้งคุณค่าให้กับของกิน ส่งกลิ่นหอมเชิญกิน จนเปลี่ยนเป็นสิ่งที่จะต้องมีให้ได้เลยในอาหารพวกนี้ นอกเหนือจากนั้นยังมีกลิ่นหอมหวนเฉพาะบุคคลจากน้ำมันหอมระเหย ทำให้ตะไคร้ถูกใช้ประโยชน์เป็นกลิ่นในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมาก ทั้งยังน้ำมันหอยระเหย น้ำมันทาตัว ยาจุดกันยุง สบู่ต่างๆ
ตะไคร้ จัดเป็นไม้ล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูลหญ้า มีหลายประเภท นอกเหนือจากนำไปประกอบอาหารแล้วรวมทั้งทำเป็นยาสมุนไพรแล้ว ตะไคร้บางชนิดยังช่วยไล่ยุงมดแมลงได้อีกด้วย จึงจัดเป็นผักสวนครัวที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน หลายบ้านจึงนิยมปลูกไว้ภายในบ้าน จะใช้เมื่อใดก็ตัดมาใช้ได้ในทันที
ตะไคร้จัดเป็นสมุนไพรที่ซ่อนคุณประโยชน์ไว้มาก เพราะเป็นทั้งยังของกินและก็ยารักษาโรค มีวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก สังกะสี ทองแดง แมงกานีส รวมทั้งโฟเลต ประสิทธิภาพคับแก้วขนาดนี้ไม่ชอบตะไคร้ทดลองเปลี่ยนแปลงความคิดกันใหม่ หันมาถูกใจตะไคร้ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะได้ประโยชน์เยอะแยะแน่นอน
ตะไคร้หอมไล่ยุงได้จริงหรือ?
ในตะไคร้หอม มีน้ำมันหอยละเหยอยู่ซึ่งมีฤทธิ์ในการคุ้มครองปกป้องแมลงได้ โดยครีมที่มีส่วนผสมจากน้ำมันหอมละเหยในตะไคร้สามารถคุ้มครองปกป้องยุงลาย ยุงก้นปล่อง แล้วก็ยุงรำคาญกัดได้ นอกเหนือจากนี้ยังฤทธิ์สำหรับในการกำจัดลูกน้ำยุงได้อีกด้วย
เว้นแต่ยุงแล้ว สารสกัดจากตะไคร้หอมยังช่วยป้องกันแมลงประเภทอื่น ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดผสมสารสกัดตะไคร้กับสะเดาจะมีผลช่วยลดเพลี้ยอ่อนและหนอนเจาะฝักซึ่งเป็นศัตรูของถั่วฝักยาว ส่วนยาสระผมที่มีส่วนผสมจากตะไคร้หอม สามารถฆ่าตัวเห็บหมัดในสัตว์เลี้ยงได้
ลักษณะ
ลำต้นทรงกระบอก แข็ง เกลี้ยง ตามปล้องมักมีไขปกปะทุลม เหง้า มีข้อแล้วก็ปล้องสั้นมากมาย กาบใบสีขาวนวล หรือสีขาวผสมม่วง รสปร่า  มีกลิ่นหอมสดชื่นเฉพาะ
คุณประโยชน์
– ทั้งต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหือหอบ แก้ปวดท้อง ขับเยี่ยว และก็แก้อหิวาตกโรค ยิ่งไปกว่านี้ยังคงใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น รักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร แล้วก็ขับเหงื่อ
– ใบ : ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูง แก้ไข้
– ราก : ใช้เป็นยาปรับแก้ ปวดท้อง ท้องเสีย
– ต้น : ใช้เป็นยาขับลม ยาแก้ไม่อยากอาหาร แก้โรคฟุตบาทฉี่ นิ่ว เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้เจริญก้าวหน้า ยิ่งกว่านั้นยังคงใช้ดับกลิ่นคาวได้ด้วย
– น้ำมัน : มีฤทธิ์ต้นเชื้อรา แล้วก็มีกลิ่นไล่สุนัขและแมว
หนังสือเรียนยาไทย : ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคทางเท้าฉี่ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดความดันโลหิต เหง้า แก้เบื่อข้าว บำรุงไฟธาตุ แก้กระษัย ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้เยี่ยวขัด แก้ฉี่ทุพพลภาพ แก้นิ่ว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับประจำเดือน ขับระดูขาว ใช้ภายนอกทาแก้อาการปวดบวมตามข้อ
ตะไคร้หอม
ตะไคร้ สรรพคุณ
ลักษณะ
ลำต้นเป็นข้อๆใบรูปขอบขนานปลายแหลม ใบยาวกว่า[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้[/url]บ้าน รูปแบบของใบกว้าง 5-20 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 50-100 ซม. แผ่นใบแคบ ยาว และนิ่มกว่าตะไคร้บ้าน มีสีเขียว ผิวเกลี้ยง รวมทั้งมีกลิ่นหอมสดชื่นเบื่อ ก้านใบเป็นกาบทับกันแน่นสีเขียวคละเคล้าม่วงแดง รากฝอยแตกออกจากโคน ต้นและใบมีกลิ่นแรงกระทั่งกินเป็นของกินไม่ได้ อีกทั้งต้น มีรสปร่า ร้อนขม

คุณประโยชน์
– อีกทั้งต้น : ใช้เป็นยาแก้ปากแตกระแหง แก้ริดสีดวงในปาก ขับลมในลำไส้ แก้แน่น ขับเลือดเมนส์ มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบบีบตัว ไม่เหมาะสมกับสตรีตั้งท้อง เพราะหากทานเข้าไป อาจส่งผลให้แท้งได้
– ใบ : ใช้เป็นยาคุม ชำระล้างลำไส้ ไม่ให้เกิดซาง
– ราก : แก้ลมจิตรวาด หัวใจ กระวายกระวน ฟุ้งซ่าน
– ต้น : แก้ลมพานไส้ แก้ธาตุ แก้เลือดลมไม่ดีเหมือนปกติ
– น้ำมัน : ใช้ทาคุ้มครองปกป้องยุง มีฤทธิ์ไล่แมลง รวมทั้งใช้รักษาโรคเห็บสุนัข
หนังสือเรียนยาไทย : ใช้ เหง้า เป็นยาบีบมดลูก ทำให้แท้งลูกได้ คนตั้งครรภ์ห้ามกิน นอกนั้นยังใช้ขับเมนส์ ขับปัสสาวะ ขับตกขาว ขับลมในไส้ แก้แน่น แก้แผลในปาก แก้ตานซางในลิ้นและปาก บำรุงไฟธาตุ แก้ไข้ แก้อาเจียน แก้ริดสีดวงตา แก้ธาตุ แก้เลือดลมไม่ปกติ
เหง้า ใบ และกาบ เอามากลั่นได้น้ำมันหอมระเหย ใช้เป็นเครื่องหอม ดังเช่นว่า สบู่ หรือพ่นทาผิวหนังกันยุง แมลง อีกทั้งต้น มีรสปร่า ร้อนขม แก้ริดสีดวงในปาก
ประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้
– น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว เบิกบานใจ ทำให้รู้สึกดี ความเครียดน้อยลง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยสำหรับการย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร บรรเทาอาการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
-น้ำมันหอมระเหยที่กลั่นจากใบตะไคร้ ช่วยทุเลาอาการปวดข้อ ช่วยต่อต้านเชื้อราบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี และช่วยลดการบีบตัวของไส้ได้
ข้อควรพิจารณา
ตะไคร้มีฤทธิ์ที่จะช่วยขับโลหิต ทำให้มดลูกบีบตัว ห้ามใช้กับหญิงตั้งท้องเพราะอาจจะส่งผลให้แท้งได้

Tags : ประโยชน์ตะไคร้

5

ทับทิม
ทับทิม คือผลไม้ที่นิยมรับประทานอย่างแพร่หลาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่สำเร็จสดสูงที่สุดและก็ยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆได้แก่ น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม ผลิตภัณฑ์ด้านความสวย ทั้งยังยังใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุสูดดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและก็สารพฤกษเคมีหลายชนิดที่มีสาระต่อร่างกาย ก็เลยเชื่อว่าบางทีอาจเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อการป้องกันโรคหรือทุเลาอาการ อาทิเช่น โรคปอดอุดกันเรื้อรังหรือทุเลาอาการหายใจติดขัดจากโรคนี้ โรคหัวใจและเส้นเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในโพรงปากแล้วก็โรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และก็อื่นๆ
ในขณะนี้ยังมีงานศึกษาเรียนรู้ที่ศึกษาเล่าเรียนการใช้ทับทิมในต้นแบบแตกต่างกันกับการดูแลรักษาโรคที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถที่จะระบุประสิทธิภาพของทับทิมต่อการดูแลรักษาโรคได้กระจ่างแจ้ง ซึ่งตัวอย่างการเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว อาทิเช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่มั่นใจว่าช่วยยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการสร้างโฟมเซลล์ รวมทั้งลดการแข็งตัวของเส้นเลือด ก็เลยอาจช่วยลดการเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคเส้นเลือดแดงแข็ง
จากการเรียนฤทธิ์การต้านทานสารอนุมูลอิสระของทับทิมในผู้ที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มิลลิกรัม (มีกรดมึงลลิค 610 มิลลิกรัม) แล้วก็วัดผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการตรวจวัดฤทธิ์สำหรับการต้านทานสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนจะมีการทดสอบ พบว่าค่าดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วลดลง ก็เลยคาดว่าการกินทับทิมบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเส้นโลหิต
นอกจากนี้ ยังมีงานค้นคว้าวิจัยอีกชิ้นให้คนไข้โรคเส้นโลหิตแดงแข็งจำนวน 15 คน ทานอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากยิ่งกว่า 1 ปีขึ้นไปรวมทั้ง 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกลุ่มที่มิได้กินอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กรุ๊ปที่รับประทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป มีระดับไขมันที่ต่ำลงประมาณ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น จึงทำให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงควรจะมีการศึกษาเพิ่มในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดสอบขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถที่จะสรุปผลของทับทิมและการรักษาโรคเส้นเลือดแดงแข็งได้อย่างแจ่มแจ้ง
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกประเภทที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกสำหรับเพื่อการรักษาโรคเหงือก เนื่องจากว่าการรักษาหลักบางแนวทางที่ยังไม่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับเพื่อการทุเลาอาการจากโรคมากสักเท่าไหร่รวมทั้งลดการเสี่ยงด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการดูแลรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดลองทางสถานพยาบาลกับคนเจ็บโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง ปริมาณ 40 คน เพื่อมองคุณภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกลุ่มจะใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกัน ผลพบว่า กลุ่มที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมควบคู่กับการดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกรรมวิธีขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีลักษณะดียิ่งขึ้นภายใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เหลือสำหรับการทดสอบ ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมก็เลยบางทีอาจนำไปปรับใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการดูแลและรักษาด้วยวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดลองอีกชิ้นที่เรียนรู้สมรรถนะของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกแบบอย่างเจลในการรักษาคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบปริมาณ 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีสุขภาพโพรงปากดียิ่งขึ้นและปัญหาโรคเหงือกอักเสบน้อยลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การศึกษาค้นคว้าวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจเอาไปใช้เป็นส่วนประกอบในสินค้าเพื่อการบำรุงช่องปาก เช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองและทุเลาอาการโรคเหงือกอักเสบ
คุ้มครองปกป้องการเกิดคราบจุลชีวัน สารสกัดจากทับทิมมีคุณภาพในการลดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ตามผิวฟัน และก็บางทีอาจทำให้เกิดโรคทางช่องปากอีกหลายประเภท ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขอนามัยในโพรงปากดี จำนวน 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แต่ว่าสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน (Chlorhexidine) แล้วก็ยาหลอกในแต่ละกรุ๊ป โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบเปื้อนจุลชีวันต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญมากยิ่งกว่ายาหลอก แม้กระนั้นมีประสิทธิภาพไม่ได้มีความแตกต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน จึงพอเพียงจะกล่าวได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดจังหวะสำหรับการกำเนิดคราบจุลชีพข้างในช่องปาก
ขณะเดียวกัน การศึกษาเล่าเรียนอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดการเกิดคราบจุลชีพ ซึ่งสำหรับในการทดสอบได้เก็บคราบจุลชีพจากช่องปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีรวมทั้งกำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน หลังงดแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนรวมทั้งหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากประเภทแตกต่างในแต่ละกลุ่ม ตัวอย่างเช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน แล้วก็ยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีคุณภาพสำหรับเพื่อการลดรอยเปื้อนจุลินทรีย์ลงมากที่สุดประมาณ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน 79% และยาหลอกที่น้อยลงเพียงแต่ 11% ก็เลยอาจกล่าวได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียแล้วก็เป็นตัวเลือกสำหรับเพื่อการใช้กำจัดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน ดังนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงจะต้องมีการต่อว่าดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุว่าระยะเวลาในการทดลองค่อนข้างจะสั้น
ภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่พูดกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม จากการเรียนรู้ผลของการกินน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนไข้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 รวมทั้งมีภาวะไขมันในเลือดสูงปริมาณ 22 คน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์โดยระหว่างการทดสอบจะมีการเก็บข้อมูลของกินที่กินอาหารภายใน 1 วัน ทุกๆ10 วัน (รวมทั้งอาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์) ข้างหลังจบสัปดาห์ที่ 8 พบว่าผู้ป่วยหรูหราไขมันรวม ไขมันจำพวกไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี แล้วก็อัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดลดน้อยลง แต่ว่าไม่พบการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์และระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในผู้เจ็บป่วยเบาหวานลง แต่ยังบอกไม่ได้เด่นชัด เพราะว่าอาหารประเภทอื่นที่กินอาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดไขมันในเลือดได้ด้วยเหมือนกัน รวมทั้งกลุ่มการทดสอบมีขนาดเล็ก จำเป็นที่จะต้องขยายผลการเรียนรู้ในกรุ๊ปที่ใหญ่ขึ้นเพิ่ม นอกเหนือจากนั้น การดูแลรักษาสภาวะคอเลสเตอรอลสูงจะต้องมีการควบคุมของกินรวมทั้งการบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งบางทีอาจมีประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากยิ่งขึ้น
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายอย่าง โดยเฉพาะสารโพลีฟีนอลที่พบได้มากในทับทิม จากรายงานผลที่เจอในห้องทดลองบอกว่าสารเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการบรรเทาอาการของโรคปอดอุดกันเรื้อรังแล้วก็บางทีอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างรวดเร็ว จึงมีการเรียนคุณภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติมอีก โดยให้คนป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ปริมาณ 30 คน แบ่งเป็นกรุ๊ปที่กินน้ำทับทิม 400 มิลลิลิตร (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่รับประทานยาหลอกติดต่อกันทุกวันเป็นระยะ 5 อาทิตย์ ผลปรากฏว่า ไม่พบสารโพลิฟีนอลทั้งในเลือดและก็ฉี่ของผู้ป่วย อีกทั้งยังไม่เจอความไม่เหมือนอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กรุ๊ป ก็เลยคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกันเรื้อรัง
โดยธรรมดาสารอาหารที่ไปสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมแล้วก็ตรวจพบได้ในเลือดหรือเยี่ยว แม้กระนั้นผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยกลับไม่พบสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งบางทีอาจมีต้นเหตุจากการเสื่อมสลายสารเหล่านี้โดยจุลอินทรีย์ในระบบย่อยอาหาร จะต้องทำความเข้าใจขั้นตอนดูดซับสารอาหารที่ต่างกันก่อนจะอ้างถึงคุณประโยชน์ด้านของสุขภาพจากการรับประทาน เนื่องจากสารอาหารที่เจอในของกินที่รับประทานบางทีอาจมิได้ถูกใช้ประโยชน์คุณประโยชน์ในร่างกายมนุษย์เราทั้งหมดทั้งปวง
โรคแล้วก็อาการอื่นๆอย่างเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การหย่อนยานสมรรถนะทางเพศ เจ็บกล้ามหลังการบริหารร่างกาย กรุ๊ปอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การติดเชื้อทริวัวโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง รวมทั้งอื่นๆยังควรต้องศึกษาค้นคว้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับคุณภาพรวมทั้งความปลอดภัยของทับทิมในการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 12 มก.
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มก.
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.067 มก.
วิตามินบี 2 0.053 มก.
วิตามินบี 3 0.293 มก.
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มิลลิกรัม
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยทั่วไปการรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัย แม้กระนั้นในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมอาจเป็นผลใกล้กันจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสภาพร่างกาย การกินรากและก็ลำต้นของทับทิมในจำนวนมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างจะไม่เป็นอันตรายในการกินหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจจะก่อให้กำเนิดอาการแพ้เล็กน้อยในบางราย อย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจไม่สะดวก
การรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงท้องหรืออยู่ในตอนให้นมลูก แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยสำหรับการกินหรือใช้ทับทิมในต้นแบบอื่น เช่น สารสกัดจากทับทิม จำเป็นที่จะต้องขอความเห็นหมอก่อนที่จะมีการกินทุกครั้ง
น้ำทับทิมอาจก่อให้ความดันเลือดลดลดลงน้อย ซึ่งอาจจะเป็นผลให้คนป่วยที่มีภาวะความดันต่ำอาการกำเริบ
คนที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
คนเจ็บที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดกินทับทิมอย่างน้อย 2 อาทิตย์ เนื่องจากว่าทับทิมส่งผลให้ความดันเลือดต่ำลง จึงบางทีอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การกินทับทิมควบคู่กับยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ได้แก่ ยาที่เกี่ยวข้องกับลักษณะการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือประเภท P450 3A4 ยาลดระดับความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตตำหนิน ผู้ที่กินยาบ่อยๆหรือมีโรคประจำตัวควรจะขอความเห็นหมอก่อนการกินเพื่อให้เกิดความปลอดภัย

6

ขิง
ข้อดีของสรรพคุณขิง
25 สรรพคุณดีๆของ’’ผลดีในการรักษาโรค
1.ขิงสดช่วยลดความเจ็บปวดตามข้อ ลดอาการเมื่อยกล้าม
2.ขิงมีสรรพคุณช่วยรักษาแผล ฆ่าเชื้อโรคในแผลได้
3.ขิงช่วยให้สบายท้อง ขับลม แก้ท้องผูก
4.ขิงเป็นสมุนไพรที่ช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย ช่วยขับเสลด ทำให้หายใจสบาย
5.ขิงช่วยแก้อาการวิงเวียน หน้ามืด อาเจียน เมารถ เมาเรือ
6.ขิงช่วยเผาผลาญไขมัน และก็เป็นยาระบายอ่อนๆจึงแป็นมูลเหตุที่ทำให้ขิงช่วยลดความอ้วน ลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอลได้
7.ขิงช่วยบำรุงรักษาหัวใจ เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคหัวใจ
8.ขิงช่วยแก้โรคผื่นคัน แก้แพ้เกสรดอกไม้ และอาหารทะเลได้
9.คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากเนื้อขิงสดๆทำมาทาแก้ผื่นคัน แก้แมลงกัดต่อยได้
10.ขิงช่วยทำนุบำรุงสายตา คุ้มครองโรคตาแดง อาการน้ำในตามาก ตาฝ้าฟาง
11.ขิงเป็นสมุนไพรกำจัดกลิ่น ช่วยลดกลิ่นเต่า
12.ขิงมีสรรพคุณแก้ฟันเหลือง ฟันพุ โดยนำขิงสดมาตำให้แหลก คั้นเอาน้ำผสมกับเกลือ น้ำอุ่น คนให้เข้ากัน เอามาอม กลัวปากเสมอๆ แล้วลองสังเกตว่าลักษณะของการปวดจะเบาๆลดน้อยลง
13.มีสรรพคุณลดกลิ่นปากได้ โดยนำขิงสดมาตำให้แหลก คั้นเอาน้ำผสมกับเกลือ น้ำอุ่น คนจะกว่าจะเข้ากัน นำมาอม กลั้วปากเป็นประจำ ช่วย จัดการกับแบคทีเรียในปาก ลดปัญหากลิ่นปากได้อย่างดี
14.ขิงช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดไมเกรนได้ โดยให้กินน้ำขิงบ่อยๆ แล้วทดลองสังเกตว่าอาการปวดจะเบาๆน้อยลง
15.ขิงบรรเทาโรคประสาทอาการโรคประสาท การดื่มน้ำขิงจะช่วยลดความมัวมันของหัวใจ
16.ขิงช่วยการไหลเวียนของนมแม่ให้ดียิ่งขึ้น ควรจะเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสำหรับสตรีให้นมลูกอย่างดีเยี่ยม
17.ขิงช่วยบำบัดรักษาผู้ติดสิ่งเสพติดได้ โดยคุณประโยชน์ของขิงมีส่วนช่วยลดความต้องการเสพสารเสพติด
18.ประโยช์จากขิงช่วยต่อต้านโรคมะเร็ง จากการศึกษาเรียนรู้พบว่าสาระสำคัญในขิงช่วยต่อต้านการเติบโตของเซลล์ของมะเร็งได้เป็นอย่างดี
19.ขิงช่วยควมคุมความดันเลือดได้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาความดันสูง และ ความดันต่อ ควรจะฝานขิงสดมาต้มกับน้า ดื่มบ่อยๆ จะช่วยควบคุมความดันให้เป็นปกติ
20.คุณประโยชน์ของขิงช่วยผ่อมคลาย ช่วยทำให้นอนสบาย จึงเหมาะเป็นอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ
21.ขิงช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ โดยช่วยให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น กำจัดเซลลูไลท์
22.ใบเละดอกของขิงช่วยแก้อาการขัดปัสสาวะ ป้องกันโรคนิ่วได้
23.ขิงช่วยรักษาอาการมือ เท้าเย็นได้ เนื่องมาจากขิงมีฤทธิ์ร้อน จึงช่วยปรับสมดุลในร่างกายได้
24.เหง้าขิงช่วยปกป้องการเกิดแผลในกระด้วยเหตุว่าอาหารได้
25.ขิงช่วยแก้อึกได้โดยตำขิงสดให้แหลกคั้นเอาน้ำแล้วผสมกับน้ำผึ้ง น้ำอุ่น คนให้เข้ากันดื่มแก้สะอึกได้
การประยุกต์ใช้ทางสถานพยาบาล
1.บรรรเทาอาการเจียนรุนแรงใช้ขิงสดพอกที่จุดฝังเข็มไก่กวน(เหนือข้อมือใน 2 ชุ่น)ทิ้งไว้ราวครึ่งชั่วโมงถึง  ชั่วโมงอาการจะดียิ่งขึ้น
2.บรรเทาอาการแผลในกระเพาะรวมทั้งลำไส้เล็กส่วนต้น ต้มขิงสดที่ตำอย่างละเอียดกับน้ำ 300 มิลลิลิตร นาน 30 นาที รับประทานวันละ 3 เวลา ตรงเวลา 2 วัน ในคนป่วยที่เป็นโรคกระเพาะ แล้วก็ลำไส้เล็กส่วนต้น พบว่าอาการปวดกระเนื่องจากว่าลดลงหรือหายไป ความรู้สึกแสบท้องเวลาหิวดียิ่งขึ้น มากมายท้องผูก หรืออึสีดำ (หมายความว่ามีเลือดออก)ปกติ ความอยากอาหารดียิ่งขึ้น (พบว่าคนไข้พวกนั้นจำนวนมากกลับเป็นซ้ำได้อีก ซึ้งบางทีอาจจำต้องรักษาสม่ำเสมอ หรือควบคุมสาเหตุอื่นๆร่วมด้วยก็เลยจะรักษาหายขาดได้)
3.รักษาโรคบิด ใช้ขิงสด 75 กรัม น้ำตาลแดงตำเข้าด้วยกัน แบ่งกินเป็น 3 มื้อต่อตำหรับ
4.ปกป้องรักษาอาการเมารถ เมารือ
-ใช้ขิงสดเป็นแผ่นปิดที่จุดไน่กวน(เหนือข้อมือข้างใน 2 ชุ่น(ใช้เหริยญ เงินขนาดพอเหมาะพอควรปิดทับแล้วใช้ปลาสเตอร์หรือยางยืดรัดไว้
-ใช้ขิงสด 25 กรัม ตำละเอียด คั้นเอาเฉพาะน้ำมันดื่ม (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
5.รักษาฉี่รดที่นอนในคนป่วยที่มีสภาวะหยางพร่อง มีความเย็นภายในร่างกายเป็นเหตุ
ให้ใช้ขิง 30 กรัม(ตำ)ยาลูกน้องนพงพีฟู่จื่อ 6 กรัม ปู่กู่จื้อ 12 กรัม บดคลุกจะกว่าจะเข้ากันขัดในแอ่งสะดือ ใช้ผ้าผ้าก๊อซสะอาดปิดทับแล้วใช้ปลาสเตอร์ปิดให้แน่น
6.รักษาคอไส้อุดกันจากพยาธิตัวกลม
ใช้ ขิง [/b]สด 120 กรัม ตำละเอียด คั้นเอาน้ำขิงผสมกับน้ำผึ้ง 120 กรัม กินครั้งเดียว หรือเบาๆกินหมดภายในครึ่งชั่วโมง การทดสอบในคนป่วย 64 คน พบว่าสามารถลดอุดกันของลำใส้ร้ยละ 96.8 ฤทธิ์สำหรับการขับพยาธิร้อยละ 61.3
7.เป็นหวัดตัวร้อนเป็นไข้เนื่องไข้เนื่อง จากกระทบความเย็น ตัวอย่างเช่น โดนฝน โดนลม ทำให้หนาว มีไข้ต่ำ ให้หั่นขิงฝอย 30 กรัม

ชงกับน้ำตาลทรายแดง หรืออาจใส่หัวหอมทุบ 3-4 (ช่วยกระจัดกระจายลม)ดื่มขณะร้อนๆแล้วคลุมผ้าให้เหงือออก
8.ฟื้นฟูร่างกายวันหลังคลอดบุตร นิยมให้หญิงหลังคลอดบุตร นิยมให้หญิงหลังคลอดรับประทานไก่ผัดขิง โดยเฉพาะไก่ดำเพศผู้จะยิ่งมีหยางมากกว่าไก่ตัวเมีย
ร่างกายของหญิงหลังคลอดจะเสียพลังหยางและก็เลือด มีน้ำในร่างกายตกค้างอยู่มากมายการกินไก่ผัดขิงจะเสริมทั้งยังเลือดหยางช่วยทำให้การสรุปยดูดซับอาหารดียิ่งขึ้น มีการขับระบายของเสียน้ำตกค้าง น้ำคาวปลาก้าวหน้าขึ้นทำให้ร่างกายกลับสู่สภาวะธรรมดาเร็วขึ้น
ข้อพึงระวังสำหรับการทานขิง
-อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรซ้อนสำหรับในการตั้งครรภ์ได้
มีบางการเรียนรู้พบว่าขิงมีความเชื่อมโยงกับภาวะแทรกซ้อนในการตั้งท้อง และก็การแท้ง แต่ในการตั้งครรภ์รายอื่นๆนั้นๆไม่เจอการกินขิงจะทำให้เกิดอาการเหล่านั้นขึ้น แถมยังช่วยลดอาการอ้วกจากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ฉะนั้นคุณควรจะไปปรึกษาแพทย์ก่อ่นจะที่ใช้ขิงสำหรับการรักษาอาการแพ้ท้องด้วยตัวเอง
-นำไปสู่แผลร้อนในภายในปากได้
ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน ถ้าหารกินเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะสามารถเยื่อบุข้างในช่องปากเกิดการอักเสบจนถึงเป็นอาการร้อนในได้ ดังนั้นไม่สมควรกินขุงมากจนถึงเกินไป
-ยั้งการแข็งตัวของเลือด
การเรียนหนึ่งในหนึ่งในประเทศออสเตรเลียพบว่า ขิงนั้นมีคุณประโยชน์สำหรับในการต่อต้านการแข็งตัวของเลือดมากกว่ายาแอสไพริน สถานบันสุขภาพของออสเลียได้ออกการเตือนเตือนให้งดเว้นการรับประทานขิงในขณะใช้ยาละลายลิ่มเลือดเนื่องจากจะมีผลให้เกิดความเสี่ยงในการกำเนิดอาการช้ำเลือดหรืออาการเลือดหรืออาการเลือดออกได้ ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าเกิดคุณมีอากเลือดออกเลือดออกเปลี่ยนไปจากปกติหรือหรือกำลังใข้ยาละลายลิ่มเลือด ควรหลีก แกงเลียงการรับประทานขิง
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว หวังผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยที่กำลังคิดจะใช้ขิงช่วยบรรเทาอาการของโรคต่างๆก็คงต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากบางครั้งบางคราวถ้าหากราใช้ ขิงในการรักษาโรคหนึ่งแม้กระนั้นก็บางทีอาจช่วยกระตุ้นให้อีกโรคนั้นอาการเกิดขึ้นอีกได้ ฉะนั้นควรรับประทานขิงให้รอบคอบ แต่ถ้าหากยังไม่มั่นใจล่ะก็ ควรจะขอคำแนะนำจากหมอก่อนเสมอ

7

ขิง
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’เจอ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในสกุลขิง (ZINGIBERACEAE)
ขิง จัดเป็นสมุนไพรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆด้าน เนื่องจากว่าอุดมไปด้วยวิตามินและธาตุที่มีความจำเป็นอย่างมากต่อสุขภาพร่างกายของพวกเรา ตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยไม่น้อยเลยทีเดียวอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิงนั้น พวกเราสามารถนำมาใช้ได้หลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น และผลก็ได้ทั้งนั้น
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอดเยี่ยม
มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเยอะๆ ช่วยชะลอความแก่แล้วก็ชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยในการป้องกัน ต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต้านการเจริญเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็ง
ช่วยลดผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ใช้ในการรักษามะเร็ง ดังนั้นควรกินขิงควบคู่ไปกับการดูแลรักษาโรคมะเร็งจะเป็นผลดี
ขิง มีฤทธิ์อุ่น ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นใหม่ๆเอามาตีให้แหลกราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดน้ำหนัก ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะและไมเกรน ด้วยการรับประทานน้ำขิงบ่อยๆ
ช่วยลดความอยากของผู้ติดสิ่งเสพติดลงได้
แก้ตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วนำมารับประทาน
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำดื่ม
ช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยบรรเทาอาการของโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจหม่นหมอง (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับมารดาข้างหลังคลอดลูก ด้วยการกินไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดประมาณ 1 องคุลีนำมาต้มกับน้ำ ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้รับประทานเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงนมของคุณแม่ (ผล)
ช่วยทำให้นอนหลับได้อย่างสบาย
การรับประทานขิงจะช่วยให้เลือดแข็งเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้โดยประมาณครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เอามาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วเอามาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
ช่วยแก้หวัด ทุเลาอาการไอ ทุเลาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือนิดนึง
ไอน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในคนเจ็บที่มีลักษณะอาการเมายาสลบหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้ขิงสดเอามาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำ (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
ช่วยขจัดปัญหาผมตก หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนอุ่น แล้วเอามาตำให้แหลก นำมาพอกรอบๆที่มีผมตก วันละ 2 ครั้งจนกระทั่งอาการ หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่ทำจากมะกอกแล้วเอามาหมักผม นวดให้ทั่วหัวโดยประมาณ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมหล่นได้เช่นเดียวกัน แถมยังช่วยให้ผมสวย แข็งแรง มีความนิ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยบำรุงรักษาสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา และก็ใช้แก้อาการตามัว (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้งผาก เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอเปื่อยยุ่ย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาตีอย่างระมัดระวังคั่วกับน้ำสารส้มจนถึงเกรียม แล้วบดจนกระทั่งเป็นผง แล้วนำมาพอกรอบๆฟันที่ปวดแก้เสลด เสลดขาวเหลวจำนวนมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาสภาวะน้ำลายมากมาย อาเจียนเป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นและก็เกลือบางส่วน นำมาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยทำนุบำรุงฟันและคุ้มครองป้องกันการเกิดฟันผุ
ช่วยดับกลิ่นรักแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาทุบให้แหลก แล้วเอามาคั้นเอาน้ำมาทาจั๊กกะแร้เสมอๆ จะสามารถที่จะช่วยในการกำจัดกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำกระทั่งแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วเอามาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดโดยประมาณ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลแดง เอามาตำจนถึงเข้ากัน แล้วกิน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอาเจียน (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดประมาณ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วโป้งมือ นำมาตีให้แตกแล้วต้มกับน้ำกิน
ช่วยลดการคลื่นไส้อ้วกจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงตั้งท้องไม่ควรกินบ่อยมากจนกระทั่งเกินไป)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในลำไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาทุบพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้ออาหาร
ช่วยรักษาอาการปวดในช่วงก่อนหลังเมนส์ ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วราวๆ 30 กรัมมาต้มกับน้ำเสมอๆ
ช่วยสำหรับการย่อยของกินได้อย่างมีคุณภาพ (ดอก)
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยในการขับถ่าย และก็ช่วยในเรื่องของระบบไส้ให้ดำเนินการได้อย่างปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วเอามาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดเยี่ยว (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาฉี่รดที่นอนในผู้ป่วยที่มีภาวการณ์หยางพร่อง มีความเย็นในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการบวมช้ำ (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาอาการปวดข้อตามร่างกายด้วยการกินขิงสดเสมอๆ
มีฤทธิ์ช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
แก้ปัญหาหนังที่มือลอกเป็นขุย ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วเอามาแช่สุรา 1 ถ้วยชา ทิ้งเอาไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำแผ่นขิงมาเช็ดรอบๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นวันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมบริเวณหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว นำมาเผาเปลือกนอกจนเป็นถ่าน คอยเฉือนถ่านที่ผิวนอกออกไปเรื่อยแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูนำมาทาบริเวณที่เป็นแผลถ้าหากว่าถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆนำมาวางทับรอบๆที่ถูกกัดจะช่วยทุเลาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง เป็นต้น ช่วยคุ้มครองปกป้องการแพ้อาหารทะเลจนถึงเกิดผื่นคัน ผื่นคัน หรืออาหารช็อกคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกบริเวณแผล เพื่อคุ้มครองปกป้องการอักเสบรวมทั้งการเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
ในด้านการประกอบอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสชาติอาหารได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสามารถช่วยกำจัดกลิ่นคาวของของกินก้าวหน้าอีกด้วย
ในด้านความงดงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งตัวที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนยิ่งขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วเอามานวดบริเวณต้นขา ก้น หรือรอบๆที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความตะปุ่มตะป่ำของผิวได้อีกด้วย
สินค้าจากขิงนั้นนำมาแปรรูปได้หลายสิ่งหลายอย่าง ดังเช่นว่า บัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว ฯลฯ

กระบวนการทำน้ำขิง
กระบวนการทำน้ำขิงวิธีทำน้ำขิงขั้นแรกให้ตระเตรียมส่วนประกอบดังนี้ ขิงแก่ 1 กิโลกรัม / น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง / น้ำที่สะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด เอามาทุบให้แตก แล้วนำมาใส่เอาไว้ข้างในหม้อต้ม เพิ่มเติมน้ำที่สะอาดลงไป ยกขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มจนถึงน้ำเดือดและก็หลังจากนั้นจึงค่อยเบาไฟลง เคี่ยวประมาณ 20 นาทีจนกระทั่งน้ำขิงละลายออกมากระทั่งหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วยกลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มน้ำตาลลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามสิ่งที่จำเป็น) แล้วคนจะกว่าจะเข้ากัน
เป็นระเบียบเรียบร้อยและสามารถนำมาดื่มได้ โดยเอามาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้เช่นกัน แม้กระนั้นควรเพิ่มเติมน้ำตาลมากกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากเกินไป เพราะเหตุว่ามีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่สมควรใช้จำนวนที่เข้มข้นจนถึงเกินไป เพราะจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เนื่องจากว่าจะไประงับการบีบตัวของไส้ จนทำให้ไส้หยุดการบีบตัว ด้วยเหตุนั้นควรจะคั้นในปริมาณน้อยๆหรือดื่มจนเคยชินก่อน
พวกเรามักจะรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นของกินที่นิยมประยุกต์ใช้สำหรับการปรุงอาหารและทำเครื่องดื่ม ซึ่งที่จริงแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการบำบัดรักษาโรคต่างๆได้สารพัน ถือว่าเป็นตัวช่วยในการรักษาโรคได้อย่างยิ่งจริงๆ แม้กระนั้นทั้งนี้พวกเราก็ไม่สมควรจะหวังพึ่งสรรพคุณของขิงเพียงอย่างเดียวสำหรับเพื่อการบำบัดรักษาโรค ควรจะทำอย่างอื่นหรือดูแลสุขภาพของพวกเราร่วมด้วยจะได้ผลลัพธ์ที่ดีนักแล
เรามักนิยมใช้ขิงแก่ เพราะยิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน จึงมีสรรพคุณทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน แล้วก็ยังมีใยอาหารมากขึ้นตามไปด้วย แต่ว่าเนื่องมาจากขิงมีรสเผ็ด มีคุณสมบัติอุ่น ก็เลยไม่เหมาะสมกับคนที่มีความร้อนในร่างกายอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกเวลากลางคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากยิ่งกว่าปกติ แต่ว่าถ้าเกิดจะรับประทานควรรอบคอบเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรขิง

หน้า: [1]