โรงรับจำนำ ประกาศขายสินค้าฟรี ซื้อขายสินค้าหลุดจำนำ ตั๋วจำนำ

ซื้อ - ขาย แลกเปลี่ยน => ประกาศซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทั่วไป ฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: ttads2522 ที่ มีนาคม 28, 2018, 06:28:22 pm

หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: ttads2522 ที่ มีนาคม 28, 2018, 06:28:22 pm
(https://www.img.in.th/images/bca58ebbfb44f748ad6f1bdd9627b6a8.jpg)
โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)



นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ



การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือภาวการณ์พาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องมาจากการดูแลรักษาจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีอาการบางสิ่งบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการคนป่วย รวมทั้งความเปลี่ยนไปจากปกติที่แพทย์ตรวจพบเป็นหลัก รวมถึงลักษณะของการเกิดอาการที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น แล้วก็ความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องทดลองใดที่ตรวจแล้วพูดได้ว่าคนเจ็บกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคอื่นๆบางโรคที่มีอาการของโรคพาร์กินสันและมีอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งต้องได้รับการรักษาที่ผิดแผกออกไปแค่นั้น ได้แก่ การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสโลหิต การตรวจค้นระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวินิจฉัย โรค Normal pressure hydrocephalus ฯลฯ
ในสมัยก่อนแพทย์รู้เรื่องว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แม้กระนั้นในปัจจุบันเป็นที่รู้กันแน่นอนแล้วว่า พยาธิภาวะของโรคนี้กำเนิดที่รอบๆตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดน้อยลง หรือบกพร่องในหน้าที่สำหรับในการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยก่อให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งและก็สั่นเกิดขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้นในขณะนี้การดูแลและรักษาโรคนี้ก็เลยหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งอาจทำเป็นโดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลและรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธี คือ



ก) ฝึกการเดินให้เบาๆก้าวขาแม้กระนั้นพอดิบพอดี โดยการเอาส้นลงเต็มฝ่าตีน แล้วก็แกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับในการทรงตัวดี นอกเหนือจากนั้นควรหมั่นจัดท่าทางในท่าทางต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย และก็พื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือวัสดุที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเหลือเกิน เวลาจะขึ้นเตียงต้องค่อยๆเอนตัวลงนอนตะแคงข้างโดยใช้ศอกจนกระทั่งก่อนยกเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยเครือญาติจะต้องให้ความเข้าอกเข้าใจเบาๆฝึกหัดคนไข้ และก็ควรทำในสถานที่ที่สงบเงียบ



สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของคนเจ็บรวมทั้งญาติ ควรทำความเข้าใจรวมทั้งทำความเข้าใจผู้เจ็บป่วยพาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในสตรีวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่ชี้แนะ เนื่องจากมีโทษก่อให้เกิดโรคอื่นๆที่น่าสะพรึงกลัวเป็นโทษต่อชีวิตได้มากกว่า

(https://www.picz.in.th/images/2018/03/16/Si5HkZ.jpg)
วิธีทดลองดังที่ได้กล่าวมาแล้วมี 3 ขั้นตอนง่ายๆคือ



นักค้นคว้าทดสอบ ด้วยการให้ผู้ที่เคยมีลักษณะอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นๆรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วให้อาสาสมัครสมมุติตัวเป็นคนผ่านมาพบเหตุการณ์ที่มีผู้เจ็บป่วยกำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดสอบด้วยคำสั่งข้างต้นกับดาราทั้งยัง ๓ ข้อ ขณะเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลการทดลองให้ผู้วิจัยทราบ โดยผู้ศึกษาวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอาการหรือการแสดงออกของผู้ที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกผู้เจ็บป่วยออกมาจากคนธรรมดาได้อย่างเที่ยงตรงถึงปริมาณร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าเหน็ดเหนื่อย (facial weakness) ได้ร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามแขนอ่อนแรงได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ และก็แยก  ประสาทกลางสถานที่สำหรับทำงานผิดปกติทางคำกล่าวได้ปริมาณร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าถูกต้องแม่นยำมากด้านในสถานการณ์ที่แพทย์ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ



               ผลของการรักษาด้วยการใช้บอระเพ็ดในคนไข้พาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการศึกษาและทำการค้นพบในงานวิจัย โดยเห็นผลสำหรับการรักษากระจ่างแจ้งในด้านภาวการณ์รู้คิด     การกระทำโดยรวมรวมทั้ง อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในภาวการณ์สมองเสื่อมที่พบในผู้เจ็บป่วยพาร์กินสัน เนื่องด้วยโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะกำเนิดความเสื่อมโทรมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา ทำให้เกิดความไม่ปกตินอกเหนือจากการเคลื่อนไหว เป็นต้นว่า การนอน ความผิดปกติทางด้านอารมณ์และก็จิตใจ สภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการซึมเศร้า ตื่นตระหนก ฯลฯ
                แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการศึกษาในคนไข้กลุ่มโรคดังกล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างมีระบบ ชี้แนะแม้พอใจใช้บอระเพ็ด ควรจะใช้ในแง่เสริมการดูแลและรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก รวมทั้งควรจะมีช่วงที่หยุดยาขยันง อย่างเช่น ชี้แนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนี้ข้อควรปฏิบัติตามหมายถึงห้ามใช้บอระเพ็ดในผู้ที่มีภาวะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับผิดพลาด หรือคนเจ็บที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีลัษณะทิศทางความดันเลือดต่ำเกินความจำเป็น หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีมีท้อง สตรีให้นมลูก
หมามุ่ย (http://www.disthai.com/16662691/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2)อินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลานาน ผลการค้นคว้าพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% และบางทีอาจเจอสูงถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับในการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเท่ากันกับ Levodapa เดี่ยว
โดยมีการตั้งสมมุติฐานว่าในสารสกัดเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเสมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยับยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะทำให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ลดน้อยลง นอกจากนั้นยังพบว่าเมล็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลานานกว่า  Levodopa/Carbidopa
แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในการค้นคว้าทางสถานพยาบาลและก็การศึกษาในคนป่วยโรคพาร์กินสัน โดยเหตุนี้จะต้องรอคอยให้มีการวิจัยเพิ่มเติม และก็ส่งผลการศึกษาเรียนรู้วิจัยยืนยันว่าไม่มีอันตรายก่อนที่จะใช้
เอกสารอ้างอิง