โรงรับจำนำ ประกาศขายสินค้าฟรี ซื้อขายสินค้าหลุดจำนำ ตั๋วจำนำ
ซื้อ - ขาย แลกเปลี่ยน => ประกาศซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทั่วไป ฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: jeerapunsanook ที่ มีนาคม 29, 2018, 09:52:52 am
-
(https://www.img.in.th/images/fc83e85bba43b9664d517546b1f18592.md.jpg)
โรคเบาหวาน(Diabetes Mellitus)
- เบาหวาน (http://www.disthai.com/16816866/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99)คืออะไร ความหมายของเบาหวาน สมาคมเบาหวานที่สหรัฐอเมริกาบอกคำจำกัดความเบาหวานไว้หมายถึงเบาหวานเป็นกรุ๊ปโรคทางเมตะบอลิซึมที่ออกอาการ โดยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นผสมมาจาก ความเปลี่ยนไปจากปกติของการหลั่งอินซูลิน หรือการออกฤทธิ์ของอินซูลิน หรือทั้งคู่อย่าง ภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง จะได้ผลสำเร็จให้มีการเสื่อมของอวัยวะในร่างกาย ในระยะยาวกำเนิดโรคแทรกซ้อนรวมทั้งทำให้การขายหน้าที่ ของอวัยวะที่สำคัญหลายอวัยวะสถานที่สำหรับทำงานล้มเหลวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตา ไต ระบบประสาท หัวใจแล้วก็หลอดเลือด
ความเป็นมาเบาหวาน เบาหวาน มีหลักฐานปรากฏในกระดาษขว้างปิรุสของอียิปต์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่โบราณเยอะที่สุดชิ้นหนึ่ง จากการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางโบราณคดีพบว่ากระดาษที่บันทึกเกี่ยวกับประเด็นนี้นั้นมีอายุโดยประมาณ 1500 ปีก่อน คริสตกาล จึงหมายความว่า “เบาหวาน” เป็นโรคที่โบราณมากมาย แล้วก็เมื่อโดยประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีการพบบันทึกของหมอชาวกรีก ชื่อ “อารีอุส” ซึ่งได้บันทึกอาการโรคที่มีลักษณะของการกัดกินเนื้อหนังแล้วก็มีการถ่ายปัสสาวะเยอะมากๆในแต่ละครั้ง โดย “อารีอุส” ได้ตั้งชื่อโรคนี้ว่า diabetes insipidus ซึ่งตอนนี้ชื่อเรียกนี้จะคือโรค “ค่อยจืด”
ผ่านไปอีกแทบ 1700 ปี ได้มีคำว่า mellitus เกิดขึ้น mellitus เป็นภาษาลาติน หมายความว่า น้ำผึ้ง ซึ่งนำมาใช้เรียกโรคที่มีลักษณะชนิดเดียวกันกับ diabetes โดยหมายความว่า “เบาหวาน”
ในขณะนี้โรคเบาหวานเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ทวีความร้ายแรงขึ้นทั่วทั้งโลก อุบัติการณ์ของเบาหวานมีลัษณะทิศทางมากขึ้นทุกปี จากข้อมูลของสหพันธ์ เบาหวานนานาประเทศ (International Diabetes Federation) พบว่าผู้เจ็บป่วย เบาหวานทั้งโลก ว่ามีจำนวน 285 ล้านคน รวมทั้ง ในปี 2553 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 438 ล้านคน ที่สำคัญในจำนวนนี้ 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย ในการคาดราวๆจำนวนมวลชนที่เป็น เบาหวานในอนาคตของเมืองไทยโดยสำนักควบคุมโรคไม่ติดต่อ พบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2554-2563 จะมีจำนวนราษฎรที่เป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นอยู่ในตอน 501,299 -553,941 คน/ปี และก็ในปี พ.ศ. 2563 จะมีปริมาณคนป่วยโรคเบาหวานราย ใหม่มากถึง 8,200,000 คน เมืองไทยได้กำหนดโรคเบาหวานเป็นโรควิถีชีวิตที่สำคัญหนึ่งในห้าโรคที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ร่างกายแข็งแรงวิถีชีวิตไทย พ.ศ. 2554 -2563 จากการสำรวจสุขภาพคนประเทศไทยครั้งปัจจุบันในปี พ.ศ. 2554 พบว่าอัตราป่วยด้วย โรคเรื้อรัง พ.ศ. 2544 - 2552 มีคนป่วยเป็นเบาหวานมากขึ้นจาก 288 คน เป็น 736 คน ต่อมวลชนแสนคน
โดยทั่วไป เบาหวานสามารถ แบ่งได้ 2 ชนิดหลักหมายถึงเบาหวานประเภท 1 (Diabetes mellitus type 1), เบาหวานชนิด 2 (Diabetes mellitus type 2)
เบาหวานชนิด 1 โรคเบาหวานประเภทต้องพึ่งอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes mellitus) และก็เนื่องจากโรคเบาหวานจำพวกนี้พบมากในเด็กแล้วก็วัยรุ่น จึงเรียกได้อีกชื่อว่า เบาหวานในเด็กและก็วัยรุ่น หรือ Juvenile diabetes mellitus
โรคเบาหวานชนิด 2 เบาหวานในคนแก่ (Adult onset diabetes mellitus) รวมทั้งเป็นเบาหวานที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งอินซูลิน (Non- insulin-dependent diabetes mellitus)
ตารางเปรียบเบาหวานจำพวกที่ 1 รวมทั้งประเภทที่ 2
โรคเบาหวานจำพวกที่1 เบาหวานชนิดที่
กลุ่มวัยมักกำเนิดกับผู้สูงวัยน้อยกว่า 40ปี มักกำเนิดกับผู้สูงวัย 40 ปี ขึ้นไป
น้ำหนักตัวซูบผอมอ้วน
การทำงานของตับอ่อน ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้
1.สามารถผลิตอินซูลินได้บ้าง
2.ผลิตได้ปกติแต่ว่าอินซูลินไม่มีสมรรถนะ
3.เซลล์ร่างกายต้านทานอินซูลิน
การแสดงออกของอาการ เกิดอาการรุนแรง
1.ไม่มีอาการเลย
2.มีอาการเล็กน้อย
3.อาการรุนแรง จนช็อกหมดสติได้
การดูแลและรักษา เพิ่มปริมาณอินซูลินในร่างกาย อาจใช้การควบคุมอาหารได้
- ที่มาของเบาหวาน ในคนธรรมดาในระยะที่มิได้ทานอาหารตับจะมีการสร้างน้ำตาลออกมาตลอดระยะเวลาเพื่อให้เป็นอาหารของสมองแล้วก็อวัยวะอื่นๆในพักหลังทานอาหารพวกแป้งจะมีการย่อยเป็นน้ำตาลกลูโคสไปสู่กระแสโลหิต ระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อเพิ่มการนำน้ำตาลไปใช้ทำให้ระดับน้ำตาลน้อยลงมาเป็นปกติ ในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดอินซูลินหรือซนต่อฤทธิ์ของอินซูลินทำให้ไม่อาจจะใช้น้ำตาลได้ เวลาเดียวกันมีการเผาผลาญไขมันแล้วก็โปรตีนในเยื่อมาสร้างเป็นน้ำตาลมากขึ้น ทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง จนถึงล้นออกมาทางไตและมีน้ำตาลในปัสสาวะ เป็นต้นเหตุของคำว่า”โรคเบาหวาน”
ระดับน้ำตาลในเลือดคนปกติเป็นเท่าใด
ตาราง ค่าน้ำตาลในเลือด (มก.ดล.)
น้ำตาลในเลือดเมื่องดอาหาร น้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร
คนปกติ 60 – น้อยกว่า 100 น้อยกว่า 140
ภาวะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน 100 – น้อยกว่า 126 140 – น้อยกว่า 200
เบาหวาน 126 ขึ้นไป 200 ขึ้นไป
ฉะนั้นเบาหวาน จึงมีต้นเหตุจากความไม่ดีเหมือนปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ที่มีผลทำให้ระดับ น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ร่างกายไม่อาจจะใช้น้ำตาลได้อย่าง เหมาะสม ซึ่งโดยธรรมดาน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด สูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลสำหรับเพื่อการทำลายเส้นโลหิต ถ้าเกิดมิได้รับการดูแลและรักษาอย่างเหมาะควร อาจนำมาซึ่งการก่อให้เกิดสถานการณ์แทรก ซ้อนที่รุนแรงได้
- ลักษณะของโรคโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลคนปกติจะอยู่ในตอน 60-99 มิลลิกรัม/ดล. ก่อนที่จะรับประทานอาหารยามเช้า ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจากค่าธรรมดาไม่มากอาจไม่มีอาการกระจ่าง ต้องทำตรวจเลือดเพื่อการวินิจฉัย หากไม่ทราบว่าเป็นเบาหวานมาเป็นระยะเวลานานผู้ป่วยอาจมาตรวจเจอด้วยภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานได้
กรุ๊ปอาการเด่นของเบาหวานมีดังนี้
- ฉี่มากกว่าปกติ ปัสสาวะหลายหนช่วงเวลาค่ำคืน เพราะระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเมื่อเลือดไหลผ่านไตก็ไม่สามารถเก็บกักน้ำตาลไว้ได้ ก็ถูกขับออกทางเยี่ยว ทำให้เสียน้ำออกไปทางเยี่ยว
- ดื่มน้ำบ่อยและมากกว่าคนที่ไม่มีอาการ เนื่องจากเยี่ยวมากมายรวมทั้งบ่อยครั้ง ทำให้ร่างกายขาดน้ำก็เลยเกิดความต้องการน้ำ
- หิวบ่อยครั้งกินจุแม้กระนั้นซูบผอมลง เพราะอินซูลินไม่เพียงพอ หรือไม่สามารถออกฤทธิ์ได้พอเพียง ก็เลยนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหิว กินได้มาก
- เป็นแผลหรือฝีง่าย รวมทั้งหายยากเพราะว่าน้ำตาลสูง เยื่อรอบๆที่เป็นแผลมีความชุ่มชื้นสูงทำให้ความต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำลง
- คันตามตัว ผิวหนังรวมทั้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการคันเกิดได้หลายชนิด ตัวอย่างเช่น ผิวหนังแห้งเหลือเกิน หรือการอักเสบของผิวหนังซึ่งพบได้ทั่วไปในคนไข้โรคเบาหวาน ส่วนการคันรอบๆของลับมักเกิดจาการติดเชื้อรา
- ตาฝ้ามัวจะต้องเปลี่ยนแปลงแว่นสายตาบ่อย การที่ตามัวมัวในโรคเบาหวานมูลเหตุอาจกำเนิดได้หลายประการหมายถึงอาจเป็นเพราะเนื่องจากสายตาเปลี่ยน (ตาสั้นลง) เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงและน้ำตาลไปคั่งอยู่ในตาหรือตามัว อาจเป็นเพราะต้อกระจก หรือเส้นเลือดในตาอุดตันก็ได้
- มือชา เท้าชา หมดความรู้สึกทางเพศ เพราะน้ำตาลในเลือดที่สูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อม บางคนบางทีอาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ พบมากๆว่าคนป่วยที่ไม่เอาใจใส่ไม่รับการวินิจฉัยและรับการดูแลและรักษาโรคเบาหวานตั้งแต่ต้นจะรู้ดีว่าเป็นโรคโรคเบาหวานก็เมื่อมีโรคแทรกซ้อนขึ้นแล้ว
- เบื่อข้าวอ่อนล้า อ่อนเพลียง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
- น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าน้ำหนักเคยมากมายมาก่อน สาเหตุจากร่างกายไม่อาจจะนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้สุดกำลัง จึงจำต้องนำไขมันรวมทั้งโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ชดเชย
โรคแทรกซ้อนเรื้อรังที่พบได้มากในคนป่วยโรคเบาหวาน ไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน ไตเป็นอวัยวะที่ปฏิบัติภารกิจกรองสารต่างๆที่อยู่ในกระแสโลหิต มีเส้นเลือดขนาดเล็กจำนวนมากรอบๆไต เมื่อฝาผนังเส้นเลือดถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นเวลานาน วิธีการทำหน้าที่สำหรับในการกรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในฉี่ คนเจ็บที่เป็นโรคเบาหวานมานานกว่า 10 ปี มักกำเนิดปัญหาไตเสื่อม แม้กระนั้นความร้ายแรงและก็ระยะการเกิดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการควบคุมน้ำตาลในเลือด
หน้าจอประสาทตาเสื่อและก็ต้อกระจกจากเบาหวาน เป็นผลมาจากการสะสมรวมตัวกันของน้ำตาลบริเวณเลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาบวมและก็มัวลงไม่เกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิตภายในดวงตา ซึ่งสามารถคุ้มครองปกป้องได้โดยการควบคุมน้ำตาลในเลือด รอบๆเรตินา เป็นรอบๆที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมากมาย เมื่อเส้นเลือดฝอยถูกทำลายทำให้ฝาผนังเส้นเลือดฝอยโป่งพองกระทั่งแตก มีเลือดไหลออกมาในบริเวณวุ้นตา เมื่อรอยรั่วหายก็ดีกำเนิดแผลซึ่งจะขวางการไหลของเลือดข้างในตา จึงมีการแตกออกใหม่ของเส้นเลือดฝอย เพื่อช่วยสำหรับเพื่อการไหลเวียนโลหิต แต่ว่าเส้นเลือดฝอยที่แตกออกใหม่จะเปราะบาง แตกง่าย ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในวุ้นตาและเรตินา เวลานี้จะพบว่าคนไข้มีลักษณะอาการตามัว เมื่อแผลเกิดมากขึ้นจะสร้างเส้นใยเป็นร่างแหในลูกตา เมื่อรอยแผลเป็นหดรัดตัว มีการดึงรังและฉีกให้ขาดของเยื่อรอบๆส่วนหลังของดวงตา จะมีลักษณะอาการเหมือนมีม่านดำกางผ่านขวางตาหรือเสมือนมีแสงสีดำพาดผ่านตา ซึ่งเมื่อมีอาการแบบนี้ให้เจอหมอรักษาตาทันทีเนื่องจากอาจจะก่อให้ตาบอดได้
ปลายประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน เป็นโรคแทรกซ้อนที่พบได้ทั่วไปในคนป่วยโรคเบาหวาน โดยไม่กระตุ้นให้เกิดอันตรายถึงแก่ความตาย แต่ว่าทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญและเจ็บปวดทรมาน เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย ไม่อาจจะส่งออกสิเจนมาตามกระแสโลหิตเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้ รวมทั้งการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่รอบๆเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้ลักษณะการทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง การรับรู้ความรู้สึกต่างๆต่ำลง โดยยิ่งไปกว่านั้นรอบๆปลายมือปลายตีน จะเกิดอาการชา เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก จึงมีอันตรายกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะเหตุว่าอาจทำให้กำเนิดแผลได้ง่ายโดยไม่ทันได้รู้สึกตัว เมื่อเป็นมากอาจทำให้กล้ามเนื้อลีบเล็กลง ทำกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวันได้น้อยลง
นับเป็นโรคแทรกซ้อนที่คุกคามต่อชีวิตได้ คนป่วยจะมีลักษณะอาการเจ็บแน่นหน้าอก จากเส้นโลหิตหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ตราบจนกระทั่งกล้ามเนื้อหัวใจตายท้ายที่สุด โรคหลอดเลือดหัวใจ มักเกิดขึ้นจากควบคุมโรคเบาหวานไม่ดี ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไม่ออกกำลังกาย อ้วน สูบบุหรี่ประวัติโรคหัวใจในครอบครัว และเป็นคนที่เครียดเป็นประจำ
โรคเส้นโลหิตสมองตีบ เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงรอบๆสมองแคบ ก่อให้เกิดการทุพพลภาพหรืออาการรุนแรงถึงเสียชีวิตได้ ช่องทางกำเนิดเส้นโลหิตสมองแคบจะสูงมากขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันเลือดสูงร่วมด้วย ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงลงไปเกิดอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต
- สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง/กลุ่มเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดเบาหวาน โรคค่อยวาบหวามมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายประการ ได้แก่
- ชนิดบาป ต้นเหตุหลักของผู้เจ็บป่วยเบาหวานคือ ชนิดบาป พบว่าราวหนึ่งในสามของคนป่วยโรคเบาหวานมีประวัติพี่น้องเป็นโรคเบาหวาน ลักษณะยีนของการเป็นโรคเบาหวานเป็นลักษณะทางจำพวกกรรมที่ตกทอดกันผ่านโครโมโซมในนิวเครียสของเซลล์เช่นเดียวกับการสืบทองของชนิดบาปอื่นๆ
- ความอ้วน ความอ้วนเป็นอีกต้นเหตุหนึ่งของการเกิดเบาหวานเนื่องจากว่าจะมีผลให้เซลล์ของร่างกายสนองตอบต่อฮอร์โมนอินซูลินต่ำลง อินซูลินจึงไม่สามารถพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ก้าวหน้าเหมือนเดิม จนถึงกลายมาเป็นภาวการณ์ขาดน้ำตาลในเลือดสูง
- อายุ เมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆย่อมจำเป็นต้องเสื่อมลง และก็ตับอ่อนที่มีบทบาทสังเคราะห์แล้วก็ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ก็จะทำหน้าที่ได้น้อยลงก็เลยเป็นต้นเหตุหนึ่งของเบาหวาน
- ตับอ่อนไม่สมบูรณ์ อีกสาเหตุหนึ่งของเบาหวานอาจเกิดขึ้นจากการที่ตับอ่อนได้รับการกระทบสะเทือนหรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อตับอ่อน แล้วก็อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากโรค ดังเช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากการดื่มสุรามากเกินความจำเป็น ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องผ่าตัดเอานิดหน่อยของตับอ่อนออก หกบุคคลนั้นมีทิศทางว่าจะเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว เมื่อตกอยู่ในภาวะนี้ก็จะแสดงอาการของเบาหวานได้เร็วขึ้น
- การต่อว่าดเชื้อไวรัสบางชนิด เชื้อไวรัสบางจำพวก เมื่อไปสู่ร่างกายแล้วมีผลข้างเคียงในการเกิดโรคเบาหวาน ตัวอย่างเช่น คางทูม โรคเหือด
- ยาบางจำพวก ยาบางประเภทก็ส่งผลต่อการเกิดโรคเบาหวานด้วยเหมือนกัน เช่น ยาขับเยี่ยว ยาคุมกำเนิด เพราะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา โดยเฉพาะเมื่อจำต้องใช้ยาติดต่อกันนานๆ
- ภาวการณ์มีครรภ์ เพราะเหตุว่าฮอร์โมนหลายแบบที่เกลื่อนกลาดสังเคราะห์ขึ้นมานั้น ส่งผลยังยั้งแนวทางการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ผู้ที่มีท้องจึงเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงมากสำหรับการเกิดเบาหวาน โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่มียีนเบาหวานอนยู่ภายในร่างกาย และสภาวะเบาหวานเข้าแทรกในระหว่างตั้งท้องเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก ก็เลยจะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
(https://www.img.in.th/images/d0d1d1b3d00736162693e0c4cced7689.jpg)
กรุ๊ปเสี่ยงที่จะป่วยเป็นเบาหวาน
- คนที่มีลักษณะต่างๆของเบาหวานตามที่กล่าวมา
- อายุมากกว่า 40 ปี
- มีเครือญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน
- เคยหรูหราน้ำตาลอยู่ในระยะก่อนเบาหวาน
- เคยเป็นโรคเบาหวานขณะท้อง
- คลอดบุตรหนักมากกว่า 4 กก.
- ความดันโลหิตสูง
- มีไขมันในเลือดแตกต่างจากปกติ
- มีโรคเส้นเลือดตีบแข็ง
- มีโรคที่บ่งบอกว่ามีภาวะดื้อรั้นต่ออินซูลินดังเช่นว่าโรครังไข่มีถุงน้ำหลายถุง
คนที่มีภาวะดังที่กล่าวมาแล้วถึงแม้ไม่มีอาการโรคโรคเบาหวานควรตรวจตรา ถ้าหากระดับน้ำตาลอยู่ในข่ายสงสัยควรตรวจซ้ำในระยะ 1 ปี
- กรรมวิธีรักษาโรคโรคเบาหวาน เนื่องจากราวครึ่งเดียวของคนป่วยโรคเบาหวานไม่มีอาการ คนที่มีความเสี่ยงที่จะกำเนิดโรค เบาหวานควรต้องตรวจคัดกรองเบาหวานทุกปี หมอวินิจฉัยโรคเบาหวานได้จาก ความเป็นมาอาการ เรื่องราวป่วยต่างๆประวัติการเจ็บ ป่วยไข้ของคนในครอบครัว การตรวจร่างกาย รวมทั้งที่สำคัญคือ การพิสูจน์เลือดเพื่อมองปริมาณน้ำตาลในเลือด และ/หรือ มองสารที่เรียกว่า ฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C: Glycated hemoglobin)
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนั้นเป็นแนวทางที่จะทำให้เราทราบได้อย่างแจ่มแจ้งว่ามีระดับน้ำตาลสูงเพียงใด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ค่อนข้างที่จะแน่ๆ ในคนธรรมดาระดับน้ำตาลในเลือดจะคงเดิม เป็นประมาณ 80-110 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดยระดับน้ำตาลก่อนกินอาหารเช้าจะมีค่าประมาณ 70-115 มิลลิกรัม/ดล. เมื่อทานอาหาร ของกินจะถูกเสื่อมสภาพเป็นน้ำตาลกลูโคสและถูกซึมซับไปสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นแต่ว่าจะไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หลังรับประทานอาหารรุ่งเช้าแล้ว 2 ชั่วโมง แต่ถ้าตรวจพบระดับน้ำตาลที่สูงเกิน 140 มิลลิกรัม/ดล. ขั้นต่ำ 2 ครั้งขึ้นไปก็จะจัดว่าผู้นั้นเป็น “โรคเบาหวาน”
ตรวจค้น ฮีโมโกบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) คือการตรวจจำนวนน้ำตาลที่จับอยู่กับฮีโมโกบินซึ่งเป็นสารโปรตีนประเภทหนึ่งในเม็ดเลือดแดงมีบทบาทนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ การตรวจด้วยแนวทางแบบนี้จะใช้ข้างหลังการดูแลรักษาแล้วเพื่อตรวจผลการควบคุมโรคมากยิ่งกว่าตรวจเพื่อหาโรค กรณีที่มีอาการป่วยด้วยเบาหวานในภาวะที่ควบคุมได้ยากหรือมีโรคแทรกควรได้รับการตรวจทุกๆ2 สัปดาห์ถ้าอยู่ระหว่างช่วงตั้งครรภ์แล้วก็เป็นเบาหวานควรตรวจจำนวนฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) ทุกๆ1 – 2 เดือนเพื่อบอกจำนวนน้ำตาลในเลือดว่าอยู่ในสภาวะที่เป็นโทษหรือเปล่า นอกเหนือจากนั้นอาจมีการตรวจอื่นๆมี อาทิเช่น ตรวจระดับน้ำตาลในเยี่ยว กรณีที่วัดระดับน้ำตาลในเยี่ยวและพบว่ามีน้ำตาลคละเคล้าออกด้วยนั้น ย่อยแปลว่าผู้นั้นมีอาการป่วยด้วยเบาหวาน โดยมองประกอบกับการหรูหราน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นยิ่งกว่า 180-200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เหตุที่เป็นแบบนี้เนื่องจากไตของผู้คนมีความเข้าใจกรองน้ำตาลได้ราว 180-200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ด้วยเหตุนี้ถ้าร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงยิ่งกว่าระดับนี้ ไตก็จะไม่สามารถที่จะกรองน้ำตาลเอาไว้ได้น้ำตาลส่วนที่เกินออกมาพวกนั้นก็จะถูกขับออกมากับฉี่
Glucose tolerance test (GTT) การตรวจด้วย GTT มักทำในเด็กที่ยังไม่มีลักษณะโรคเบาหวานแจ่มกระจ่าง ตรวจเลือดหาระดับน้ำตาลหลังงดเว้นอาหารกับการตรวจปัสสาวะยังไม่เจอความเปลี่ยนไปจากปกติ GTT มักทำในเด็กที่แต่งงานที่มีพ่อหรือมารดาเป็นโรคโรคเบาหวานหรือตรวจฝาแฝดเหมือน (identical twins) ที่คนหนึ่งเป็นโรคเบาหวานแล้ว
การดูแลรักษาโรคเบาหวน ปัจจุบันนี้เบาหวานมีแนวทางการดูแลรักษา 4 วิถีทางประกอบกันเป็น การฉีดอินซูลินไปสู่ร่างกายโดยตรง การใช้ยาเม็ดควบคุมน้ำตาลในกระแสโลหิต การควบคุมอาหาร การบริหารร่างกาย
การดูแลรักษาโดยการฉีดอินซูลิน การใช้อินซูลินในคนไข้โรคเบาหวานจำพวกที่ 1 เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างอินซูลินได้อย่างพอเพียง โดยปกติแพทย์มักกำหนดให้ฉีดอินซูลินไปสู่ร่างกายวันละ 2 ครั้ง การใช้อินซูลินในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในคนป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 นั้น ตับอ่อนยังคงทำหน้าที่ผลิตอินซูลินได้ แต่ว่าร่างกายกลับต่อต้านอินซูลินหรืออินซูลินที่ได้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอทำให้ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ วัตถุประสงค์ของการดูแลและรักษาโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 ในตอนนี้ ก็เลยเน้นไปที่การลดระดับน้ำตาบในกระแสโลหิตทั้งยังในตอนก่อนและหลังรับประทานอาหารเพื่อปกป้องการเกิดภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดแดง
การรักษาโดยการใช้ยา ยารักษาเบาหวาน ยาที่ใช้สำหรับการรักษาเบาหวานนั้น แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มเป็น ยาที่ส่งผลสำหรับในการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งจำนวนอินซูลินมากยิ่งขึ้น ดังเช่นว่า Sulfonylureas (Chlorpropamide, Acetazolamide, Tolazamide, Glyburide หรือ Glipizide) โดยการทำหน้าที่ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ด้วยการกระตุ้นให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินในปริมาณมากขึ้น ยาที่ส่งผลสำหรับเพื่อการยับยั้งการเผาไหม้คาร์โบไฮเดรตในไส้ ตัวอย่างเช่น Alpha-Glycosides inhibitors (Acarbose แล้วก็ Meglitol) ชวยชะลอแนวทางการยอยแล้วก็ดูดซึมน้ำตาลแล้วก็ แปงในลําไสซึ่งจะมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหลังมื้อของกิน ยาที่มีผลในการลดการสร้างเดกซ์โทรสในตับแล้วก็เพิ่มการใช้น้ำตาลเดกซ์โทรส ได้แก่ Biguanide (Metformin) เป็นยาที่ช่วยลดปริมาณการผลิตเดกซ์โทรสจากตับและก็ช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นลักษณะการทำงานของอินซูลินซึ่งผลิตโดยตับอ่อน ยาที่ปฏิบัติภารกิจลดภาวะการต้านอินซูลินในร่างกาย ดังเช่นว่า ยาในกรุ๊ป Thiazolidine diones Thiazolidinediones (Rosiglitazone แล้วก็ Pioglitazone) ยาชนิดนี้ไม่มีฤทธิ์ต่อตับอ่อน แม้กระนั้นปฏิบัติภารกิจทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นการทำงานของอินซูลินที่ตับอ่อนผลิตออกมา การควบคุมของกิน การควบคุมของกินจำพวกแป้ง และน้ำตาล เป็นการช่วยลดจำนวนน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี รวมทั้งถ้าหากทำพร้อมกันไปกับการใช้ยาด้วยและจากนั้นก็จะทำให้กำเนิดประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลสำหรับเพื่อการรักษาโรคเบาหวานได้ดิบได้ดีเพิ่มขึ้น
การดูแลและรักษาโดยการออกกำลังกาย เมื่อบริหารร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้น 3 ประการ ดังเช่น มีการใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ มีการดำเนินงานของปอดและหัวใจมากขึ้น มีการปรับระดับฮอร์โมนหลายชนิด ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จะเกิดมากน้อยขึ้นอยู่กับต้นเหตุหลายอย่าง เช่น ช่วงเวลาของการออกกำลังกาย น้ำหนักของการออกกำลังกาย ภาวะโภชนาการรวมทั้งสภาพความสมบูรณ์ของปอดแล้วก็หัวใจ
- การติดต่อของโรคเบาหวาน เบาหวานเป็นโรคในระบบเมตาบอลิซึมภายในร่างกายก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือสัตว์สู่คน
- การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคเบาหวาน พฤติกรรมของการบริโภค เลือกบริโภคของกินให้ครบ 5กลุ่ม โดยนึกถึงพลังงานที่ได้จากของกินคร่าวๆจากคาร์โบไฮเดรต(แป้ง)โดยประมาณ 55 - 60%โปรตีน (เนื้อสัตว์) โดยประมาณ 15-20%ไขมัน โดยประมาณ 25% ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากมายน่าจะจะต้องลดปริมาณการรับประทานลง โดยบางครั้งก็อาจจะเบาๆลดน้อยลงให้เหลือแค่ครึ่งเดียวของปริมาณที่เคยกินปกติ และก็บากบั่นงดเว้น อาหารมันและก็ทอด ทานอาหารที่มีกากใยมากมายเพื่อช่วยสำหรับในการขับถ่าย. เลี่ยงการกินเล็กๆน้อยๆและรับประทานอาหารไม่ทันเวลา เพียรพยายามกินอาหารในปริมาณที่เป็นประจำกันในทุกมื้อ แม้มีอาการเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงของกินรสเค็ม ควบคุมเรื่องการกินอาหารแม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะปกติและก็ตาม งดเว้นบริโภคของกินต่างๆเหล่านี้ น้ำตาลทุกประเภท รวมถึงน้ำผึ้ง ผลไม้กวนชนิดต่างๆขนมเชื่อม ขนมหวานต่างๆผลไม้ที่มีรสหวานมากมายๆน้ำหวานประเภทต่างๆขนมทอดกรอบหรือชุบแป้งทอด ปฏิบัติตามหมอ พยาบาลเสนอแนะ รับประทานยาให้ถูกครบบริบรูณ์ ไม่ขาดยา รู้จักผลกระทบจากยาโรคเบาหวาน แล้วก็การดูแลตัวเองที่สำคัญหมายถึงภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ รักษาสุขอนามัยเสมอ เนื่องจากว่าคนไข้จะติดเชื้อต่างๆได้ง่าย จากเบาหวานเป็นต้นเหตุที่ทำให้มีภูมิคุ้มกันต้านโรคลดน้อยลง รักษาสุขภาพเท้าเสมอ เลิกดูดบุหรี่ ไม่ดูดบุหรี่ เนื่องจากว่าบุหรี่เพิ่มโอกาสเกิดผลใกล้กันของเบาหวาน เลิกเหล้า หรือจำกัดสุราให้เหลือต่ำที่สุด เพราะว่าเหล้าอาจมีผลต่อยาที่ควบคุมโรคเบาหวานรวมทั้งโรคต่างๆทำให้ควบคุมโรคต่างๆได้ยาก ไม่ซื้อยากินเอง และไม่ใช้สมุนไพรเมื่อรับประทานยาโรคเบาหวาน เพราะเหตุว่าบางทีอาจต้านหรือเพิ่มฤทธิ์ของยาเบาหวาน จนถึงอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากยาเบาหวานที่ร้ายแรงได้ ดังเช่นว่า ผลต่อไต หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ฉีดยาคุ้มครองโรคต่างๆตามหมอเสนอแนะ ตัวอย่างเช่น วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่เจอหมอรักษาตาบ่อยตามหมอเบาหวานแล้วก็หมอรักษาตาเสนอแนะ เพื่อการวิเคราะห์ แล้วก็การดูแลและรักษาภาวะโรคเบาหวานขึ้นตาแม้กระนั้นเนิ่นๆคุ้มครองป้องกันตาบอดจากเบาหวาน เจอแพทย์ตามนัดหมายเสมอ หรือรีบพบแพทย์ก่อนนัด เมื่อมีลักษณะต่างๆผิดปกติไปจากเดิม
จุดมุ่งหมายการควบคุมของคนป่วยโรคเบาหวาน ตามคำแนะนำของชมรมเบาหวานที่อเมริกา
วัตถุประสงค์
น้ำตาลก่อนที่จะกินอาหาร (มก./ดล.)
น้ำตาลหลังอาหาร 2 ชั่วโมง (มก./ดล.)
น้ำตาลเฉลี่ย hba1c (%)
วัวเลสเตอรอคอยล (มก./ดล.)
เอช ดี แอล โคเลสเตอรอคอยล (มิลลิกรัม/ดล.)
แอล ดี แอล วัวเลสเตอรอล (มิลลิกรัม/ดล.)
ไตรกลีเซอ