โรงรับจำนำ ประกาศขายสินค้าฟรี ซื้อขายสินค้าหลุดจำนำ ตั๋วจำนำ

ซื้อ - ขาย แลกเปลี่ยน => ประกาศซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทั่วไป ฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: suChompunuch ที่ มีนาคม 30, 2018, 05:30:08 pm

หัวข้อ: โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: suChompunuch ที่ มีนาคม 30, 2018, 05:30:08 pm
(https://www.img.in.th/images/59b0dc9b44054016e9c3b13842d2465d.md.jpg)
โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)



สารที่มีพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ กำเนิด  Acute Tubular Necrosis  Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองลิเทียม พิษต่างๆยกตัวอย่างเช่น เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสงสว่าง ยาพารา ตัวอย่างเช่น Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID ฯลฯ
โรคจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเคลื่อนที่มาอุดตันได้ในระบบทางเท้าปัสสาวะ และมีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการสนองตอบต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น วิธีการอักเสบกระตุ้นให้เกิดการบวมของเนื้อเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการดูแลรักษาก็จะก่อให้กำเนิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับรวมทั้งการขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไป ทำให้กระบวนการทำหน้าที่ของไตลดน้อยลง สภาวะไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต แล้วก็ Calices ทำให้มีการอุดกันของฉี่ การสะสมของน้ำเยี่ยว ทำให้เกิดแรงกดดันในกรวยไตมากขึ้น แล้วก็เป็นต้นเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย โรคมะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างเร็วกระตุ้นให้เกิดการอุดกันของระบบฟุตบาทปัสสาวะ รวมทั้งนำไปสู่ไตบวมน้ำตามมา



ซึ่งอาการโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งได้ 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ทำนองว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกมาจากเลือดได้มากแค่ไหน โดยในคนทั่วๆไปจะมีค่านี้อยู่ประมาณ 90-100 มล./นาที โดยระยะของโรคไตเรื้อรังนั้นมีดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการบ่งบอกถึงแจ่มแจ้ง แต่ว่าทราบได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา ยกตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์เลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในช่วงแรกนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่ราว 90 มิลลิลิตร/นาที ขึ้นไป แต่อาจเจออาการไตอักเสบหรือภาวการณ์โปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในฉี่ ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตลดลง แต่ยังไม่มีอาการใดๆบอกให้เห็นนอกเหนือจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งค่า eGFR จะเหลือแค่ 60-89 มล./นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาให้มองเห็น นอกจากค่า eGFR ที่ต่ำลงโดยตลอด โดยในตอนนี้จะแบ่งได้ 2 ระยะย่อยหมายถึงระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มล./นาที แล้วก็ระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของคนไข้จะค่อยแสดงในตอนนี้ นอกจากค่า eGFR จะน้อยลงเหลือเพียงแค่ 15-29 มิลลิลิตร/นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีปัสสาวะออกมากรวมทั้งเยี่ยวบ่อยมากช่วงเวลากลางคืน ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการอ่อนเพลีย อ่อนแรงง่าย เบื่อข้าว น้ำหนักตัวน้อยลง อาเจียน อาเจียน นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดศีรษะ ตามัว ท้องร่วงบ่อยครั้ง ชาตามปลายมือปลายตีน ผิวหนังแห้งรวมทั้งมีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นต้นเหตุนำมาซึ่งการก่อให้เกิดสารให้สีของผิวหนังเปลี่ยน) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบอ่อนล้า สะอึก กล้ามเป็นตะคริวบ่อยมาก ใจหวิว ใจสั่น เจ็บทรวงอก มีอาการบวมเรียกตัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา ขา รวมทั้งเท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรือคลื่นไส้เป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกป่วยไข้เนื้อสบายตัวตลอดระยะเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะสุดท้ายของสภาวะไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มิลลิลิตร/นาที นอกเหนือจากผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีภาวะโลหิตจางที่ร้ายแรงขึ้น และบางทีอาจตรวจพบการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด เอามาสู่สภาวะกระดูกบางรวมทั้งเปราะหักง่าย แม้มิได้รับการดูแลและรักษาอย่างทันการก็อาจจะเสียชีวิตได้

(https://www.img.in.th/images/b1297044556997d791da3be67a751038.jpg)
หรือใช้แถบ ตรวจวัดหาเม็ดเลือดแดง แล้วก็เม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อดูว่ามีการอุดตัน มีนิ่ว และมี Polycystic Kidney Disease และยังมีการวินิจฉัยแยกโรคที่ทำได้ทางสถานพยาบาลจากอาการแล้วก็อาการแสดงของโรค แล้วก็ตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine และก็ระดับฮอร์โมนไทรอยด์อื่นๆแนวทางการทำงานของตับ และ X-ray หัวใจ รวมทั้งตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น
                การรักษาไตวายเรื้อรัง ถ้าหากสงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรส่งคนเจ็บไปโรงหมอเพื่อกระทำตรวจฉี่ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆรวมทั้งบางรายอาจจำเป็นต้องทำเจาะเก็บเยื่อจากไตเพื่อส่งไปเพื่อทำการตรวจด้วย โดยการดูแลรักษานั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ตอนใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วยเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องทำการรักษา แม้กระนั้นจะต้องมาพบหมอเพื่อตรวจตราค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งแพทย์บางทีอาจนัดหมายมาตรวจทุก 3 เดือน หรืออาจนัดหมายมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดถ้าหากค่าประเมินอัตราการกรองของไตลดน้อยลงเพิ่มมากขึ้น) รวมทั้งโรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตทำงานน้อยลงอย่างมาก ผู้เจ็บป่วยจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาหลายๆแนวทางร่วมกันเพื่อเกื้อหนุนอาการให้อยู่ในระดับคงที่เพื่อรอการเปลี่ยนถ่ายไต รวมถึงการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการดูแลและรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งได้
การดูแลและรักษาที่สาเหตุ ถ้าหากผู้เจ็บป่วยมีต้นสายปลายเหตุแจ้งชัด หมอจะให้การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ให้ยาควบคุมเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต ฯลฯ นอกจากนี้ยังต้องรักษาภาวการณ์ไม่ดีเหมือนปกติต่างๆที่มีเหตุมาจากภาวการณ์ไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับคนเจ็บไตวายเรื้อระยะด้านหลัง (มักหรูหรายูเรียไนโตรเจนและระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 และ 10 มก./ดล. เป็นลำดับ) การรักษาด้วยยาจะไม่ได้เรื่อง คนป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลรักษาด้วยขัดล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้คนไข้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แม้กระนั้นก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ออกจะแพงอยู่ ดังนี้การจะเลือกล้างไตด้วยวิธีใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก เพราะเหตุว่าการล้างไตจะส่งผลใกล้กันหลายแบบไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำ เวียนหัว หน้ามืด คลื่นไส้ อีกทั้งการล้างไตบางวิธีบางทีอาจไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้เจ็บป่วยอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยและก็ตกลงใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะสมกับคนเจ็บสูงที่สุด)
การเปลี่ยนถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) คนไข้โรคไตเรื้อรังระยะด้านหลังบางราย หมออาจใคร่ครวญให้การรักษาโดยใช้การผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งแนวทางลักษณะนี้นับว่าเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในขณะนี้ ด้วยเหตุว่าถ้าการปลูกถ่ายไตได้ผลลัพธ์ที่ดีก็จะสามารถช่วยทำให้คนเจ็บมีคุณภาพชีวิตที่ดีราวกับคนปกติรวมทั้งแก่ได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป อย่างไรก็แล้วแต่ การเปลี่ยนถ่ายไตก็เป็นกรรมวิธีรักษาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนหลายประการ ราคาแพงแพง แล้วก็ต้องหาไตจากพี่น้องสายตรงหรือผู้สงเคราะห์ที่มีไตกับเยื่อของคนเจ็บได้ ซึ่งไม่ใช่ง่าย อีกทั้งปริมาณของไตที่ได้รับการบริจาคก็ยังมีน้อชูว่าคนที่คอยรับการให้ทาน คนเจ็บก็เลยบางทีอาจต้องทำการล้างไตถัดไปเรื่อยๆกระทั่งจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้ว่าจะได้รับการล้างไตแล้ว แต่อาการของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไตเพียงแค่นั้น) นอกเหนือจากนั้น วันหลังการปลูกถ่ายไต คนป่วยต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานทุกวี่ทุกวันไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต้านไตใหม่



ในรายที่มีระดับความดันเลือดสูง ควรลดระดับความดันโลหิตให้เข้าขั้นน้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการกินอาหารที่ไม่เค็ม บริหารร่างกาย แล้วก็กินยาดังที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ร่วมด้วยควรจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้าขั้นใกล้เคียงธรรมดา โดยเฉพาะในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรังระยะเริ่มต้นๆจึงจะสามารถปกป้องหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ ผู้เจ็บป่วยควรได้รับการรักษาโรคหรือสภาวะที่เป็นต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินฉี่ รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต ฯลฯ นอกเหนือจากนั้นคนป่วยโรคไตเรื้อรัง (http://www.disthai.com/16816784/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87-)ควรจะได้รับการตรวจเลือดและก็ฉี่เป็นระยะ เพื่อประเมินรูปแบบการทำงานของไต และรักษาผลแทรกซ้อมที่เกิดขึ้นมาจากโรคไตเรื้อรัง

เอกสารอ้างอิง