โรงรับจำนำ ประกาศขายสินค้าฟรี ซื้อขายสินค้าหลุดจำนำ ตั๋วจำนำ

ซื้อ - ขาย แลกเปลี่ยน => ประกาศซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทั่วไป ฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: าร ที่ กรกฎาคม 22, 2018, 05:10:42 am

หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้
เริ่มหัวข้อโดย: าร ที่ กรกฎาคม 22, 2018, 05:10:42 am
(https://www.img.live/images/2018/07/03/vt.png) (http://www.disthai.com/16941345/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1)
มะขาม (http://www.disthai.com/16941345/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1)
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น ขาม (ภาคใต้) , ม่องโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ตะลูบคลำ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-สุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
ตระกูล  Fabaceae
ถิ่นเกิด เช้าใจกันว่ามะขามมีบ้านเกิดเมืองนอนในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในขณะนี้ แล้วหลังจากนั้นมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกเอาไว้ในแถบอินเดีย รวมทั้งในประเทศแถเขตร้อนของทวีปเอเชียและก็ประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามะขามมีถิ่นเกิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แม้กระนั้นสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา รวมทั้งเป็นที่รู้จักดีเยี่ยมว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏใจความในแผ่นจารึกหลักที่ 1 ยุคบิดาขุนรามคำแหง ที่เอ๋ยถึงมะขามอยู่หลายที่ อาทิเช่น ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้ผู้ใดกันสร้างได้ไว้แก่มัน” เป็นต้น  จากหลักฐานดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงอาจพูดได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจายชนิดเข้ามาสู่ประเทศไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  ยิ่งไปกว่านี้มะขามยังเป็นพืชพันธุ์ไม้พระราชทางแล้วก็เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ดังนี้มะขามฯลฯไม้แข็งแรงทน และก็ฯลฯไม้ที่แก่ยืนยาวมาก ในประเทศศรีลังกามีแถลงการณ์ว่าเจอมะขามที่มีอายุมากยิ่งกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย เจอมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ มั่นใจว่ามีอายุกว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์อาจจะเจ้าอาวาสวัดแค ว่า
“พิชัยสงครามล้วนความรู้บางครั้งก็อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกสิ่งทุกอย่างไปเสกใบมะขามดีกว่าแตน”
มีชาวสุพรรณฯ เป็นจำนวนมากเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในปัจจุบัน เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกฝนเสกใบมะขามเหนือชั้นกว่าแตนในครั้งก่อน
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.มัธยม มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.ม. กว้าง 4.5-9 มัธยมม. ปลายใบมน หรือบางครั้งบางคราวก็เว้าเข้าน้อย ฐานใบทั้ง 2 ข้างเว้าเข้าแตกต่างกัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบห่อหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดหล่นไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงอ่อนๆกลีบดอกไม้มี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบสีแดงเข้ม ริมกลีบดอกมีรอยย่นๆกลีบ 2 กลีบล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากศูนย์กลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนนิดหน่อย ยาว 3-14 เซลเซียสม. กว้าง 2 ซ.ม. เปลือกนอกสีเทา ภายในมีเมล็ด 3-10 เม็ด เม็ดมีเปลือกนอก สีน้ำตาลแดงเรียบเป็นมัน ออกดอกในช่วงพ.ค.เป็นต้นไป ฝักแก่ในราวธ.ค.
การขยายพันธุ์  โดยปกติ มะขามสามารถเพาะพันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แต่เดี๋ยวนี้ มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อกิจการค้าเยอะขึ้น ก็เลยนิยมนำมาปลูกจากต้นชนิดที่ได้จากการตอน รวมทั้งการแทงยอดเป็นหลัก ด้วยเหตุว่าสามารถได้ผลผลิตได้เร็วเพียงไม่ถึงปีข้างหลังการปลูก ทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยแนวทางนี้จะมีลำต้นไม่สูงราวกับการเพาะเม็ด ทำให้ไม่ยุ่งยากต่อการจัดแจง และการเก็บผลผลิตซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังต่อไปนี้



การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในระยะนี้จนกว่าต้นจะเติบโตพร้อมให้ผล ซึ่งตอนนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อรีบผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยโดยประมาณ ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรจะใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกคราวหลังจากการปลูกแล้วโดยประมาณเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 จึงให้เริ่มติดผลประโยชน์
                นอกจากนั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนเปียกชื้น ดังเช่นว่า ประเทศในแถบอเมริกากึ่งกลาง เอเซียอาคเนย์ แล้วก็อาฟริกา  ก็เลยถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยยิ่งไปกว่านั้นเมืองไทยรวมทั้งประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับมะขามเยอะมากๆ
องค์ประกอบทางเคมี
จากข้อมูลพื้นฐานเม็ดมะขามมีอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งนิดหน่อย  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นเมือก  (mucilaginous material) 60% เช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อพินิจพิจารณามององค์ประกอบหลักๆพบว่าเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และก็ไฟเบอร์ 11.3% โดยที่เมล็ดมะขามมีโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้าถ่าน 4.2% แล้วก็คาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่พบในเมล็ดมะขามเป็นอัลบูมิน (albumins) และโกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเม็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบหมายถึงสิสเทอีนและก็เมทไธโอนีน อยู่มากถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้เท่ากับ 2.50%  นอกจากนั้นเปลือกหุ้มเม็ดมะขามยังประกอบด้วยสารพวกอทนนิน โดยมีกล่าวว่าในเปลือกเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จำแนกประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นคะเตวัวแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังพบกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และในใบมะขามเจอกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) รวมทั้งกรดมาลิก (Malic acid) นอกเหนือจากนั้น ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันอย่างมากมาย โดยมะขามประเภทแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามพันธุ์อื่นๆมีเม็ดสีประเภทแอนทอลแซนตำหนิน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และก็อาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามประมาณจำนวนร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนตำหนินเล็กน้อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เท่านั้น และก็ในเปลือกเม็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะขามีดังต่อไปนี้



ประโยชน์/สรรพคุณ ประโยชน์ของมะขามสิ่งแรกที่เรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยเป็นใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานสดๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับทำกับข้าว มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงจึงเปรี้ยวมาก ใช้ทำกับข้าวไทยที่อยากได้รสเปรี้ยว ดังเช่น แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง แล้วก็ต้มยำโฮกอือ ฯลฯ นอกเหนือจากนั้นยังใช้ในการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายแบบ ดังเช่นว่า น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกนรก แล้วก็น้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ทั้งนี้มะขามฝักอ่อนและใบมะขามอ่อน ก็นำมาทำครัวได้เหมือนกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำสินค้าแปรรูปได้อีกหลายอย่าง ได้แก่ มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , และไวน์มะขาม ผงมะขาม , สบู่ , และก็ยาสระผมมะขาม เป็นต้น  ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆก็มีอีกอย่างเช่น เนื้อไม้มะขาม สำหรับชาวไทยแล้วเขียงกว่าร้อยละ 90 ทำจากไม้มะขาม เพราะเหตุว่ามีคุณลักษณะสมควรกว่าไม้อื่นๆเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับอาหาร ยิ่งกว่านั้นยังหาง่ายอละคงทนอีกด้วย เว้นเสียแต่ใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะสำหรับทำครก สาก เพลา และก็ดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะสลัก ถ้าหากเอามาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เม็ดมะขาม (แก่) นำมาใช้เป็นของกินได้หลายแบบ อาทิเช่น คั่วให้สุกแล้วกินโดยตรง นำมาเพาะให้งอกก่อน (เสมือนถั่วงอก) แล้วก็ค่อยนำไปทำกับข้าว หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ ยิ่งไปกว่านี้เมล็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดี
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยระบุว่า ดอก ใบรวมทั้งฝักอ่อน ปรุงเป็นของกินกินแก้ร้อนในฤดูร้อน แก้อาการไม่อยากอาหารและก็อาหารไม่ย่อยในฤดูร้อนลดระดับความดันโลหิต น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้ของกินไม่ย่อยรวมทั้งเยี่ยวทุกข์ยากลำบาก น้ำสุกจากใบให้เด็กรับประทานขับพยาธิ รวมทั้งเป็นประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคตับเหลือง ใบสด ใช้พอกบริเวณหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายที่บวมอักเสบหรือที่เคล็ดปวดเมื่อย, ฝี, ตาเจ็บ แล้วก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผง ใช้โรยบนแผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง และก็ใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยในการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกเลือด เอามาต้มผสมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆใช้อาบหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและก็แก้ไข้ ,แก้ท้องเสีย , รักษาแผล เนื้อหุ้มเม็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆบางทีอาจเนื่องมาจากกรดตาร์ตาริค แต่ว่าถ้าเกิดเอาไปต้มจนสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกจากนั้นยังใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยสำหรับการย่อย ขับลม ขับเสลด , ละลายเสลด  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ทำให้มีชีวิตชีวา ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย  แล้วก็เป็นยาฆ่าเชื้อ แล้วก็ให้กินในรายที่ท้องผูกบ่อยๆ แก้พิษเหล้า ของกินไม่ย่อย คลื่นไส้ ป่วยแล้วก็ท้องร่วง เนื้อในเม็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องเดิน ช่วยสำหรับการสมานแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน ไม่อยากอาหาร แพ้ท้อง อาเจียนคลื่นไส้ ท้องผูก เด็กเป็นต้นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มห่อเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้กิน  แก้พิษเหล้า ขับเสลด ใช้เนื้อหุ้มเม็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลทรายกิน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อหุ้มเมล็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้หิวช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อห่อหุ้มเม็ด แล้วดื่มน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ หลังคลอดแล้วก็ข้างหลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้ชื่นบาน หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสมหะ แก้ท้องขึ้นแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินจนเป็นเถ้าขาว รับประทานครั้งละ 60-120 มก. และก็ยังคงใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากบ้วนปาก แก้คอเจ็บรวมทั้งปากเจ็บได้อีกด้วย หรือบางทีอาจใช้เนื้อห่อหุ้มเมล็ดกินทีละ 15 กรัม ช่วยสำหรับการย่อยอาหาร  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาอาการท้องผูก       สามารถทำเป็น 3 แนวทาง เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือกิน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือน้อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องร่วง ท้องเสีย ใช้เปลือกเมล็ดสีน้ำตาลแดงเป็นเงา 600 มก. เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการผิดปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อห่อเม็ด กินครั้งละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องร่วงแล้วก็คลื่นไส้และใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนถึงนุ่ม แล้วรับประทานครั้งละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานแล้วก็การบูรเล็กน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้แล้วก็อาการอักเสบต่างๆอย่างเช่น ไม่สบาย ของกินไม่ย่อย อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับกระเพาะ ท้องเสีย แล้วก็ใช้แก้ลมแดดก้าวหน้า ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม จัดแจงโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมากิน แก้อาการเบื่ออาหาร (สมรรถนะของยาชง จะมากขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานแล้วก็การบูร ช่วยเพิ่มรส) รวมทั้งในระยะฟื้นไข้ ก็ให้กินเนื้อหุ้มเมล็ดกับนม เนื้อห่อเมล็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อเมล็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้เช็ดนวดในโรครูห์มาว่ากล่าวสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากบ้วนปากแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ  นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยทำให้ผิวหนังกระชุ่มกระชวยตลอดวัน มะขามแฉะรวมทั้งดินสอพองผสมจนเข้ากัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ราว 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับแจ่มใสและก็สะอาดเพิ่มขึ้น  มะขามแฉะผสมกับน้ำอุ่นรวมทั้งนมสด ใช้พอกผิว ช่วยทำให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวสดใส
(https://www.img.live/images/2018/07/03/08865654be4643fd.jpg) (http://www.disthai.com/16941345/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1)
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่กำหนดขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. และก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ได้ผลยั้งเชื้อ S. aureus คลุมเครือ ในขณะที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มก./มิลลิลิตร ได้ผลยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นต่ำมากมาย สารสกัดเอทานอล 95% รวมทั้งสารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนและสารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. และสารสกัดน้ำ ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 ก./มล. ไม่มีผลยับยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดลองที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง เช่น  Bacillus subtilis, Escherichia coli และ Salmonella typhi แม้กระนั้นสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม และสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างอ่อน
มีการทดสอบในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกหุ้มเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดสอบรับประทานพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่สมควรสำหรับในการบริโภคในไก่เป็น100 มิลลิกรัมต่อกก. โดยซึ่งสามารถลดความตึงเครียดจากความร้อน (heat stress) และก็ลดภาวะออกสิเดทีฟสเตรทได้ แม้กระนั้นการศึกษาอีกฉบับรายงานว่าเม็ดมะขาม (http://www.disthai.com/16941345/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1)ต้มแล้วเอกเปลือกเมล็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารในไก่ได้ ไก่ที่กินเม็ดมะขามดังที่กล่าวผ่านมาแล้วพบผลกระทบในด้านที่เสียหายคือ กินน้ำมากเพิ่มขึ้นรวมทั้งมีขนาดของตับอ่อนและความยางของลำไส้เล็กมากขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้วิจัยชี้แนะว่าเกิดจากโพลีแซคคาไรด์ที่ไม่อาจจะย่อยได้
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้และเพศภรรยาที่กินอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคติดอยู่ไรด์จากเมล็ด ขนาด 5% ของของกิน ไม่เจอพิษ แต่ว่าหนูถีบจักรเพศเมียที่รับประทานอาหารผสมดังที่กล่าวมาข้างต้นขนาด 1.2 และ 5% จะมีน้ำหนักต่ำลงตั้งแต่อาทิตย์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) รับประทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% แล้วก็ 10% นาน 4 อาทิตย์ พบว่าน้ำหนักน้อยลง (weight gain) และก็ feed conversion ratios ต่ำลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง  มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพเป็นมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และ cortex ของไตตาย (necrosis) ในสัปดาห์ที่ 2 และก็ 4 ไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 10% จะมีพยาธิภาวะรุนแรงกว่าไก่กรุ๊ปที่ทานอาหารผสม 2% ผลของการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein ต่ำยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กรุ๊ปที่ไม่ได้รับอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase และก็ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol และก็ total protein จะไม่กลับสู่ภาวการณ์ธรรมดาในช่วง 2 อาทิตย์ภายหลังไม่ได้กินอาหารผสมแล้ว ผลการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หนูขาวเพศภรรยารวมทั้งเพศผู้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคคาไรด์จากเม็ดมะขาม 4, 8 และก็ 12% นาน 2 ปี ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินอาหาร ผลทางวิชาชีวเคมีในปัสสาวะและเลือด ผลของการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และก็พยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ พอๆกับ 1 ก./กิโลกรัม นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF รับประทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเม็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 และก็ 5% ของอาหาร ตรงเวลา 90 วัน ไม่เจอความไม่ปกติอะไรก็ตามความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในของกินในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มก./กก./วัน และในหนูเพศภรรยาพอๆกับ 3,885.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่ว่าสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางลงไปยังกระเพราะอาหารหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่พบพิษต่อตัวอ่อนในท้อง และก็สารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารลงสู่กระเพาะของกินหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มก./กก. ไม่ทำให้แท้ง และไม่ส่งผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ กระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แม้กระนั้นไม่เป็นผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และ TA98
ข้อเสนอ/ข้อควรคำนึง

เอกสารอ้างอิง