โรงรับจำนำ ประกาศขายสินค้าฟรี ซื้อขายสินค้าหลุดจำนำ ตั๋วจำนำ

ซื้อ - ขาย แลกเปลี่ยน => ประกาศซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทั่วไป ฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: anonchobpost ที่ มีนาคม 22, 2018, 05:37:55 pm

หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: anonchobpost ที่ มีนาคม 22, 2018, 05:37:55 pm
(https://www.img.in.th/images/bca58ebbfb44f748ad6f1bdd9627b6a8.jpg)
โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)



นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ



การวิเคราะห์โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) ก็เลยต้องแยกโรคอื่นๆที่มีอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือภาวการณ์พาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องด้วยการดูแลรักษาจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีอาการบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้เจ็บป่วย แล้วก็ความแปลกที่หมอตรวจเจอเป็นหลัก และก็ลักษณะของการมีอาการที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น แล้วก็ประวัติในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าคนไข้กำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อรับรองการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะอาการของโรคพาร์กินสันและก็มีลักษณะเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาที่ต่างกันออกไปเพียงแค่นั้น ดังเช่นว่า การตรวจค้นระดับพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวินิจฉัย โรค Normal pressure hydrocephalus ฯลฯ
ในอดีตแพทย์เข้าใจว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แม้กระนั้นในปัจจุบันเป็นที่รู้กันแน่นอนแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆรอบๆก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดน้อยลง หรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่สำหรับการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) จึงส่งผลให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งและสั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนี้ในตอนนี้การดูแลและรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองมีระดับสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งอาจทำเป็นโดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธี คือ



ก) ฝึกการเดินให้เบาๆก้าวขาแม้กระนั้นพอดี โดยการเอาส้นตีนลงเต็มฝ่าเท้า และก็แกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการทรงตัวดี นอกเหนือจากนั้นควรหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรจะเป็นแบบส้นเตี้ย และพื้นจำต้องไม่ทำมาจากยาง หรืออุปกรณ์ที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่ควรให้นอนเตียงที่สูงเหลือเกิน เวลาจะขึ้นเตียงต้องเบาๆเอนตัวลงนอนตะแคงข้างโดยใช้ศอกกระทั่งถึงก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยเครือญาติจะต้องให้ความเข้าอกรู้เรื่องค่อยๆฝึกฝนผู้ป่วย แล้วก็ควรจะทำในสถานที่ที่เงียบสงบ



สิ่งสำคัญก็คือ คนสนิทของผู้เจ็บป่วยและก็ญาติ ควรจะเรียนรู้รวมทั้งทำความเข้าใจผู้ป่วยพาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในหญิงวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ก็ไม่เสนอแนะ เนื่องจากมีโทษทำให้มีการเกิดโรคอื่นๆที่น่าสยองเกิดอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า

(https://www.picz.in.th/images/2018/03/16/Si5HkZ.jpg)
แนวทางทดสอบดังที่กล่าวมาข้างต้นมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆคือ



นักวิจัยทดลอง ด้วยการให้คนที่เคยมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นรวมแล้ว ๑๐๐ คน หลังจากนั้นให้อาสาสมัครสมมุติตัวเป็นคนผ่านมาพบเรื่องราวที่มีคนป่วยเกิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครทดลองทดสอบด้วยคำสั่งข้างต้นกับตัวละครทั้งยัง ๓ ข้อ ช่วงเวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลการทดลองให้นักวิจัยทราบ โดยผู้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอาการหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักค้นคว้าสามารถแยกคนเจ็บออกมาจากคนธรรมดาได้อย่างเที่ยงตรงถึงจำนวนร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนเพลีย (facial weakness) ได้จำนวนร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามแขนอ่อนล้าได้ถึง ร้อยละ ๙๕ รวมทั้งแยก  ประสาทกลางที่ทำงานแตกต่างจากปกติทางคำกล่าวได้ปริมาณร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือว่าเป็นถูกต้องแม่นยำมากภายในเหตุการณ์ที่แพทย์ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ



               ผลการรักษาโดยใช้บอระเพ็ดในคนเจ็บพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการศึกษาและทำการค้นพบในการค้นคว้าวิจัย โดยเห็นผลสำหรับเพื่อการรักษาชัดแจ้งในด้านภาวการณ์รู้คิด     พฤติกรรมโดยรวมและ อาการทางประสาทดีขึ้นในสภาวะสมองเสื่อมที่เจอในคนเจ็บพาร์กินสัน เนื่องด้วยโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะเกิดความเสื่อมโทรมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา กระตุ้นให้เกิดความแตกต่างจากปกตินอกเหนือจากการขยับเขยื้อน เป็นต้นว่า การนอน ความผิดแปลกทางด้านอารมณ์รวมทั้งจิตใจ ภาวการณ์ย้ำคิดย้ำทำ อาการซึมเศร้า วิตกกังวล เป็นต้น
                แต่ยังไม่มีข้อมูลในทางคลินิก หรือการเรียนรู้ในคนไข้กรุ๊ปโรคดังที่กล่าวผ่านมาแล้วอย่างมีระบบ แนะนำถ้าเกิดพอใจใช้บอระเพ็ด ควรที่จะใช้ในทางเสริมการดูแลและรักษาพร้อมกันกับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก แล้วก็จะต้องมีตอนที่หยุดยาบ้าง เช่น ชี้แนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังหมายถึงห้ามใช้บอระเพ็ดในผู้ที่มีภาวการณ์เอนไซม์ตับผิดพลาด หรือคนเจ็บที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีลักษณะท่าทางความดันเลือดต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร
หมามุ่ย (http://www.disthai.com/16662691/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2)อินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของประเทศอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลานาน ผลวิจัยพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดปา (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% รวมทั้งบางทีอาจพบสูงถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์มากยิ่งกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa คนเดียว
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเสมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะก่อให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ต่ำลง นอกนั้นยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลายาวนานกว่า  Levodopa/Carbidopa
อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อมูลในการค้นคว้าทางคลินิกและก็การศึกษาเล่าเรียนในผู้เจ็บป่วยโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุดังกล่าวจำเป็นจะต้องรอให้มีการศึกษาวิจัยเสริมเติม และส่งผลการศึกษาวิจัยยืนยันว่าปลอดภัยก่อนที่จะใช้
เอกสารอ้างอิง