โรงรับจำนำ ประกาศขายสินค้าฟรี ซื้อขายสินค้าหลุดจำนำ ตั๋วจำนำ

ซื้อ - ขาย แลกเปลี่ยน => ประกาศซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทั่วไป ฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: Posthizzt555 ที่ เมษายน 02, 2018, 04:57:51 pm

หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: Posthizzt555 ที่ เมษายน 02, 2018, 04:57:51 pm
(https://www.img.in.th/images/ce85b9c910d9d20a1e25d3af246093dc.jpg)
โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้เกิดผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในเด็กตัวเล็กๆ แต่ก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกฝนนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติความเป็นมาดังนี้
         โรคหัด (http://www.disthai.com/16865786/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%94-measles) หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ มีความหมายว่า จุด (spots) ที่ชี้แจงอาการนำของโรคนี้ที่ผู้ป่วยจะมีอาการไข้รวมทั้งผื่น นอกเหนือจากนั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นคุณลักษณะเด่นของโรคฝึกหัด อย่างเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดมีชื่อเสียงมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานทีแรกโดยแพทย์และก็นักปรัชญาชาวเปอร์เซียชื่อ Rhazed รวมทั้งใน คริสต์ศักราช1954 Panum รวมทั้งภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกที่หมู่เกาะฟาโรห์แล้วก็ให้ผลสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวราวๆ 2 อาทิตย์ แล้วก็ข้างหลังติดเชื้อโรคผู้เจ็บป่วยจะมีภูมิคุ้มกันทั้งชีวิต
โรคหัดนับว่าเป็นโรคที่มีความจำเป็นมากมายโรคหนึ่ง เพราะว่าอาจส่งผลให้กำเนิดโรคแทรกซ้อนส่งผลให้เสียชีวิตได้ แล้วก็แต่ว่าในปัจจุบันโรคนี้มีวัคซีนคุ้มครองที่มีคุณภาพสูงเกือบจะ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองโรคหัดตั้งแต่ ปี พุทธศักราช2527) โรคฝึกหัดเป็นโรคที่เจอเกิดได้ตลอดทั้งปี แม้กระนั้นมีอุบัติการณ์สูงในช่วงม.ค.ถึงเดือน แล้วก็จังหวะในการกำเนิดโรคในผู้หญิงแล้วก็เพศชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคฝึกหัดจากทั่วทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคฝึกฝนในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนคนไข้โรคหัดรวมทั้งสิ้น 5,207 คน และ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นช่วงๆอายุที่เจอคนป่วยโรคนี้มากที่สุด คิดเป็นจำนวนร้อยละ 37.03 รวมทั้ง 25.85 ของแต่ละปี
ที่มาของโรคฝึก โรคหัดเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร ห่อล้อมรอบโดย envelope เป็น glycol-protien ที่ประกอบด้วยโปรตีนสำคัญ 3 จำพวก เช่น H protein ทำหน้าที่ให้ฝาผนังไวรัสติดตามกับผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความสำคัญสำหรับเพื่อการแพร่เชื้อไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความสำคัญเกี่ยวข้องกัน viral maturation ด้วยเหตุว่าเป็นไวรัสที่มี envelope ห่อหุ้มจึงถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦เซลเซียส) แสงสว่าง สถานการณ์ที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันดังเช่นว่าอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศและบนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงระยะเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนแค่นั้น
อาการโรคฝึกฝน  คนป่วยจะเริ่มเป็นไข้สูง 39◦ซ.-40.5◦ซ. ร่วมกับมีไอ น้ำมูก แล้วก็ตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายอาจพบตาไม่สู้แสง (photophobia) เจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต เบื่อข้าวและท้องเดินร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะกำเนิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและก็พบ Koplik spots เป็นลักษณะเฉพาะเจาะจงที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวคละเคล้าเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ จำนวนมากเจอบริเวณกระพุ้งแก้มตรงกันข้ามกับฟันกรามข้างล่างซี่แรก (first molar) พบมาก 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นและก็ปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังต่อไปนี้หมายถึงไข้จะเบาๆสูงขึ้นกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก หลังหู ใบหน้ารวมทั้งไล่ลงมาที่คอ ทรวงอก แขน ท้อง จนมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกระจุกรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้มองชัดกว่าผื่นบริเวณตอนล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการพบผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าตีนถึงจำนวนร้อยละ 25-50 แล้วก็บางทีอาจชมรมกับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นเกิดไล่มาถึงเท้าไข้จะลดลง อาการอื่นๆจะดียิ่งขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันแล้วค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้ารวมทั้งเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งสำเร็จจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆส่วนมากมักพินิจไม่พบเนื่องจากว่าหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ บางทีอาจพบการดำเนินโรคที่เป็นไข้แบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกถัดมาอุณหภูมิกลับเป็นปกติไม่มีไข้ราว 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มเป็นไข้สูงอีกทีแล้วก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะดำรงอยู่อีกราว 2-3 ครั้งหน้าจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป กรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลับเป็นซ้ำใหม่ควรจะตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดที่พบได้ทั่วไปมีดังนี้
                ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด พบได้ปริมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยโรคหัด พบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็ผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็คนแก่ที่อายุมากกว่า 20 ปี กำเนิดได้หลายระบบของร่างกาย มูลเหตุจำนวนมากเกิดจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและผลของการกดภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังต่อไปนี้

วิธีการรักษาโรคฝึก
การวิเคราะห์ โรคหัด (http://www.disthai.com/16865786/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%94-measles)ใช้การวินิจฉัยจากวิธีสำหรับซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง น้ำมูก ไอ  ตาแดง และพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การเจอ  Koplik spots (จุดภายในปากตอนกระพุ้งแก้ม) จะเป็นข้อสำคัญที่ช่วยสำหรับเพื่อการวิเคราะห์ ในเรื่องที่อาการแล้วก็อาการแสดงคลุมเครือบางทีอาจพิจารณาส่งไปตรวจทางห้องปฏิบัติการดังนี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยรับรองการวินิจฉัย



แนวทาง ELISA IgM ใช้แบบอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงครั้งเดียวตอน 4-30 ครั้งหน้าพบผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอจนถึงเลือดแข็ง ดูดเฉพาะ Serum (หามีเครื่องมือพร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไม่มีเชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วค่อยนำไปวิเคราะห์ถัดไป



ปิดฉลาก ชื่อ-ชื่อสกุล รวมทั้งวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ แนวทาง PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายข้างในบริเวณ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วก็ค่อยนำไปวิเคราะห์ถัดไป
                การดูแลรักษา เพราะการต่อว่าดเชื้อไวรัส ฝึกหัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ จำเป็นจะต้องให้การรักษาตามอาการ เป็นต้นว่า เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวะขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชื้นรวมทั้งออกซิเจนในเรื่องที่หอบหายใจเร็ว   ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย ยกตัวอย่างเช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบพินิจรักษาด้วยยาต้านทานจุลินทรีย์ที่สมควรเป็นต้น
                นอกเหนือจากนั้นพบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายรวมทั้งความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนได้แล้วก็ยังช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคฝึกได้อีกด้วย โดยเหตุนั้นแพทย์จึงมักตรึกตรองจะให้วิตามินเอแก่ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้

(https://www.img.in.th/images/f4d294f8b0dc610ed24ec5df50930353.jpg)
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคฝึก



การติดต่อของโรคฝึกฝน โรคฝึกฝนเป็นโรคติดต่อที่แพร่ไปสู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและเสลดของคนไข้ ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจัดกระจายออกไปในระยะไกลและก็แขวนลอยอยู่กลางอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกโพรงปาก (ไม่จำเป็นที่ต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดโรคหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกข้างหลังของผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้อบางทีอาจติดอยู่กับมือของผู้เจ็บป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆอาทิเช่น ถ้วยน้ำ จาน ถ้วยชาม ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดหน้า ผ้าขนหนู หนังสือ ของเด็กเล่น เมื่อคนธรรมดามาสัมผัสถูกมือคนป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่มัวหมองเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4  วันโดยตอนที่เริ่มมีอาการไอแล้วก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณไวรัสถูกขับออกมาเยอะที่สุด ซึ่งภายในช่วงระยะเวลา 7-14 ครั้งหน้าสัมผัสโรค เชื้อไวรัสฝึกหัดจะกระจายไปทั่วร่างกายนำไปสู่อาการของระบบทางเท้าหายใจ ไข้และผื่นในคนไข้รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ได้รับวัคซีนปกป้องโรคฝึกหัดได้โอกาสมีอาการป่วยด้วยโรคฝึกฝนแม้อยู่ใกล้คนที่เป็นโรค
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคหัด

การปกป้องตนเองจากโรคฝึก



แต่ทั้งนี้ แนวทางที่เยี่ยมที่สุดที่จะป้องกันโรคฝึกหัดได้เป็นฉีดยาป้องกัน ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดวัคซีนป้อง กันโรคหัด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน รวมทั้งครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าห้องเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองป้องกันได้สามโรคเป็นโรคฝึกฝน โรคคางทูม แล้วก็โรคเหือด เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึกหัด และก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคหัดเยอรมัน)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จนถึงมีการจดทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี ค.ศ.1963 ทั้งยังวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) แล้วก็วัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้ง 2 ชนิดได้เพียง 4 ปี วัคซีนปกป้องโรคฝึกฝนประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเหตุเพราะพบว่ากระตุ้นให้เกิด  atypical measles ด้วยเหตุผลดังกล่าวในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้จึงเป็น  monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตขึ้นจากเชื้อสายชนิด Edmonston ชนิด B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักรวมทั้ง chick embryo cell แม้กระนั้นเจอปัญหาข้างเคียงที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น ก็เลยมีการปรับปรุงวัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์  Edmonston ชนิดอื่นๆด้วยขั้นตอนการผลิตประเภทเดียวกันแต่ว่าทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงน้อยลง ถัดมาในปี ค.ศ.1971 มีการจดทะเบียนวัคซีนรวมประเภท trivalent live attenuated measles-mumps-rubella  vaccine (MMR) และก็ใช้อย่างล้นหลามจนถึงปัจจุบันสำหรับประเทศไทยเริ่มมีการใส่วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคหัดเช้าตรู่ไปกลยุทธ์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติทีแรกในปี พุทธศักราช2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนแล้วก็ในปี พ.ศ. 2539 จึงเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมเรียนรู้ปีที่ 1 จนกระทั่งปี พุทธศักราช2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกฝนหรือวัคซีนรวมคุ้มครองโรคฝึก-คางทูม-หัดเยอรมัน  (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนและก็เปลี่ยนแปลงวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมเรียนปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคหัด – คางทูม – หัดเยอรมัน (MMR) เช่นกัน
สมุนไพรที่ใช้คุ้มครองปกป้อง/รักษา/ทุเลาลักษณะของโรคฝึกหัด ตามตำรายาไทยนั้นบอกว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะโรคฝึกหัดมีดังนี้



 ยิ่งกว่านั้นในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังเจาะจงไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษารวมทั้งบาเทาอาการของโรคหัดได้ โดยในโบราณกาล จริงๆแล้วการใช้ยาเขียวในโรคไข้เกิดผื่นในแผนไทย มิได้มีเป้าประสงค์สำหรับเพื่อการยั้งเชื้อไวรัส แต่ว่าอยากได้กระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน คือไม่เกิดผื่นด้านใน ดังนั้นก็เลยมีผู้คนจำนวนมากที่รับประทานยาเขียวแล้วจะมีความคิดว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม หมอแผนไทยก็เลยชี้แนะให้ใช้แนวทางรับประทานรวมทั้งทา โดยการกินจะช่วยกระแทกพิษข้างในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการชโลมจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าเกิดจะเปรียบเทียบกับแนวทางหมอแผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปถึงที่กะไว้ยาเขียวอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต่อต้านขบวนการออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่ไม่สบายเป็นผื่น อย่างเช่น ฝึกฝน อีสุกอีใส เพื่อกระแทกให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นมากขึ้น และหายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นส่วนประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างจะไปทางสีเขียว จึงทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว และใบไม้ที่ใช้นี้ส่วนใหญ่ มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางประเภทมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวส่วนใหญ่มีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น หมายคือการที่เลือดมีพิษรวมทั้งความร้อนสูงมากมายกระทั่งต้องระบายทางผิวหนัง ได้ผลสำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม ได้แก่ที่พบในไข้เป็นผื่น หัด อีสุกอีใส เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง