โรงรับจำนำ ประกาศขายสินค้าฟรี ซื้อขายสินค้าหลุดจำนำ ตั๋วจำนำ

ซื้อ - ขาย แลกเปลี่ยน => ประกาศซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทั่วไป ฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: suChompunuch ที่ เมษายน 06, 2018, 10:35:35 pm

หัวข้อ: เรียนทำขนมเค้ก สูตรขนมไทยอร่อยติดใจ ไส้ช็อคโกแลตหมูหยองน้ำพริกเผา line: annzy201
เริ่มหัวข้อโดย: suChompunuch ที่ เมษายน 06, 2018, 10:35:35 pm
เรียนทำขนมเค้ก สูตรขนมไทยโบราณอร่อยติดใจ ไส้เผือกหมูหยองน้ำพริกเผา line: annzy201
เรียนทำขนมปัง (http://www.annann201.com/) ไส้เค้ก พายแอปเปิ้ล ราคาถูกกว่าทุกที่แน่นอนอร่อยๆ ราคาเป็นกันเอง ตั้งอยู่ที่เจริญกรุง 107 แยก 7
ขั้นตอนรากฐานสำหรับในการทำขนมปัง

1. การผสมแป้ง
ส่วนที่ 1 ส่วนประกอบของแห้ง ยกตัวอย่างเช่น แป้ง ยีสต์ สารเสริมประสิทธิภาพ นมผง ร่อนผสมเข้าด้วยกัน
ส่วนที่ 2 ส่วนผสมของเปียก เป็นต้นว่า น้ำเย็น น้ำตาลทราย ไข่ไก่ เกลือป่น แล้วก็ นมสด หรือนมข้นจืดชืด คนให้เข้ากันจนกระทั่งละลาย
ส่วนที่ 3 ส่วนผสมไขมัน ดังเช่นว่า เนยสด เนยขาว มาการีน หรือ น้ำมันพืช
 
การผสมแป้งแนวทางแบบนี้จะช่วยทำให้ส่วนประกอบเข้ากันได้ดี และช่วยให้กลูเต็นในแป้งถูกผสมจนกระทั่งจุดที่ไใช้ได้ โดยดูได้จากการรวมตัวของก้อนแป้งไม่เหนียวติดมือ แล้วก็เครื่องผสมมีความนุ่มเนียนแล้วก็สามารถดึงเป็นผ่นบางๆได้โดยไม่ขาด แม้กระนั้นถ้าหากผสมแป้งหรือนวดแป้งน้อยเกินไป จะทำให้แป้งมีความยืดหยุ่นน้อย ขนาดของของหวานจะต่ำลง หรือจะมีเนื้อสัมผัสหยาบคาย
2. การหมักดองแป้งภายหลังจากการผสม
แป้งภายหลังจากการผสมควรมีการพักแป้งก่อนสักระยะหนึ่งเพื่อแป้งคลายตัว สำหรับเพื่อการหมักนั้นโดยทั่วไปแล้วจะหมักโดยการคลึงแป้งเป็นก้อนกลม และก็หมักในอ่างผสม หรือกดเป็นก้อนกลมแล้วพักบนโต๊ะ โดยใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดๆคลุมก้อนแป้ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผิวหน้าของก้อนแป้งแห้ง
3. การไล่อากาศในก้อนแป้ง
ภายหลังแป้งถูกหมักจนได้ที่แล้วจะไล่อากาศที่มีมากเกินออกไป เพื่อให้ขนมปังมีเนื้อเนียน แนวทางเป็นใช้มือกดเบาๆที่ก้อนแป้ง หรือใช้เครื่องรีดเพื่อไล่อากาศ
4. การเตรียมก้อนแป้งใส่ไส้หรือพิมพ์
ภายหลังจากไล่อากาศในก้อนแป้งแล้ว ตัดก้อนแป้งตามขนาดที่อยากได้ ต่อไปใช้มือหรือเครื่องคลึงให้เป็นก้อนกลมจนกระทั่งผิวหน้าเรียบเนียน หลังจากนั้นจะขึ้นรูปพักลงในพิมพ์ หรือพักให้ขึ้นเป็น 2 เท่า รวมทั้งนำมาใส่ไส้ตามต้องการ
5. การพักแป้งในพิมพ์
ระยะเวลาในการพักแป้งขึ้นอยู่กับขนาดก้อนแป้ง รวมทั้งอุณหภูมิที่ใช้สำหรับในการหมัก โดยปกติจะใช้อุณหภูมิที่โดยประมาณ 32-40 องศาเซลเซียส ซึ่งในระหว่างการหมักนั้นจำเป็นต้องใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆปกคลุมแป้งเพื่อป้องกันผิวหน้าของก้อนแป้งแห้งแข็งกระด้าง ในขณะนี้หากเป็นระบบอุตสาหกรรมหรือร้านที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็จะใช้ตู้หมักแป้ง โดยตู้หมักแป้งสามารถปรับระดับอุณหภูมิที่ใช้ในการหมักได้ จึงช่วยทำให้ได้ก้อนแป้งที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
6. การอบและการตกแต่งข้างหลังการอบ
โดยทั่วไปอุณหภูมิที่ใช้สำหรับในการอบอยู่ที่ 350-400 องศาฟาเรนไฮต์ ส่วนช่วงเวลาขึ้นอยู่กับขนาดก้อนแป้ง ก่อนอบบางสูตรอาจจะเพิ่มสีสันแก่ขนมปัง โดยจะมีการทาหน้าขนมปังด้วยไข่ไก่ นมสด เป็นต้น และเมื่ออบสุกแล้วถ้าหากต้องการให้ขนมปังเป็นเงาเงา จะทาหน้าขนมปังด้วยเนยสดทับอีกที ขนมก็จะมองมันเงา ก็เลยนำออกมาจากพิมพ์หรือถาดอบ บางสูตรจะมีการตกแต่งหลังการอบเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีแล้วก็สะดุดตาน่าอร่อยมากขึ้น การตกแต่งนั้นมีหลายแนวทาง อาทิเช่น การโรยหน้าขนมด้วยน้ำตาลไอซิ่ง หรือ การตกแต่งด้วยน้ำสลัดครีม ก็เลยพักบที่กรองกระทั่งเย็นสนิทเื่พื่อคุ้มครองป้องกันการเกิดราได้ง่าย แล้วจึงใส่ในบรรจุภัณฑ์ที่เตรียนมไว้ หลังจากการบรรจุแล้วควรเก็บขนมปังไว้ภายในห้องที่ไม่แห้งจนกระทั่งเกินความจำเป็น และก็มีอุณหภูมิที่เย็นพอเหมาะ
 
เครมบรูเล่มะลิ
ใครอยากทำขนมหวานเอาใจคุณแม่ ขอนำเสนอเครมบรูเล่มะลิ สูตรจาก นิตยสาร Gourmet & Cuisine ทีเด็ดอยู่ที่ใส่กลิ่นมะลิลงไปด้วย สุดท้ายแต่งด้วยเบอร์รีสวยงาม รับรองคนรับยิ้มปลื้ม
ส่วนผสม เครมบรูเล่มะลิ
• ไข่ไก่ 1 ฟอง
 • ไข่แดงไข่ไก่ 5 ฟอง
 • กลิ่นดอกมะลิ (Jasmine Extract) 3 ช้อนชา
 • น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
 • เอ็กตร้า ยีลด์ คุกกิ้ง ครีม (Extra Yield Cooking Cream) 3 ถ้วย
 • เบอร์รีตามชอบ
 • ดอกมะลิ (ตกแต่ง)
วิธีทำเครมบรูเล่มะลิ
1. ตั้งครีมบนไฟอ่อนปานกลางจนวัดอุณหภูมิได้ 40 องศาเซลเซียส พักไว้
 2. ตีไข่แดงและไข่ขาว ใส่น้ำตาล ตีจนเนื้อเนียน ใส่ครีมที่อุ่นไว้ ตีให้เข้ากัน ใส่กลิ่นมะลิ แล้วกรองผ่านกระชอนละเอียด
 3. เทใส่ถ้วยสำหรับอบ นำไปอบในถาดที่หล่อน้ำร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส นาน 1 ชั่วโมง 45 นาที
 4. ยกออกจากเตา โรยหน้าด้วยน้ำตาล แล้วใช้ที่พ่นไฟ (Torch) เผาน้ำตาลจนเป็นสีน้ำตาลสวย เสิร์ฟพร้อมเบอร์รี ตกแต่งด้วยดอกมะลิ

เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม
สิ่งที่ต้องเตรียม
ส่วนผสม เมอร์แรงก์ไข่ขาว
1.ไข่ขาว 2 ฟอง
2.น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ
3.ครีมออฟทาร์ทาร์ (Cream of Tartar) 1/3 ช้อนชา
ส่วนผสม ตัวเค้กช็อกโกแลต
1.แป้งเค้ก 1 ถ้วย (ตักออก 2 ช้อนโต๊ะ)
2.ผงฟู 1/3 ช้อนชา
3.เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
4.เกลือป่น 1/3 ช้อนชา
5.ผงโกโก้ 4 ช้อนโต๊ะ
6.น้ำตาลทรายป่น 3/4 ถ้วย (ตักออก 1 ช้อนโต๊ะ)
7.น้ำ 70 มิลลิลิตร
8.นมข้นจืด หรือ นมสดพร่องมันเนย 7 ช้อนโต๊ะ
9.น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
10.น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ
11.ไข่แดง 2 ฟอง (ถ้าเป็นไข่ไก่ฟองเล็กใช้ 3 ฟอง)
12.กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
ส่วนผสม ช็อกโกแลตฟัดจ์ (หน้านิ่ม)
1.ผงวุ้น 1 ช้อนชา
2.น้ำ 300 มิลลิลิตร
3.นมข้นจืด 200 มิลลิลิตร + 1 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
5.ผงโกโก้ 7 ช้อนโต๊ะ
6.แป้งข้าวโพด 4 ช้อนโต๊ะ + 1/2 ช้อนชา
7.นมข้นจืด 11 ช้อนโต๊ะ
8.เนยสด 75 กรัม
วิธีทำ
1.ใส่ครีมออฟทาทาร์ลงในไข่ขาวแล้วนำไปแช่ในตู้เย็น เตรียมไว้
2.ส่วนน้ำตาลทราย เตรียมไว้ใช้ในขั้นตอนการตีไข่ขาว (เราเคยอ่านเจอที่ไหนไม่รู้ว่า การเอาไปแช่ตู้เย็นมันจะฟูง่าย เท่าที่เราตีเองก็ฟูไวกว่าอยู่นะ)
3.ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู เบกกิ้งโซดา เกลือป่น ผงโกโก้ และน้ำตาลทรายป่นเข้าด้วยกัน ประมาณ 2 รอบ (สูตรนี้เจนดัดแปลงนิดหน่อยนะคะ เพราะไม่มีช้อนตวง 1/4 เลยใช้ 1/3 แทนค่ะ)
4.ทำหลุมตรงกลางแป้ง
5.ตีผสมน้ำกับนมข้นจืด น้ำมะนาว น้ำมันพืช ไข่แดง และกลิ่นวานิลลาเข้าด้วยกัน
6.เทส่วนผสมของเหลวลงในหลุมแป้ง
7.คนผสมให้เข้ากันไว ๆ
8.นำไข่ขาวที่ผสมกับครีมออฟทาร์ทาร์ออกจากตู้เย็น จากนั้นตีด้วยความเร็วสูงจนเป็นฟอง (เป็นวิธีที่เหนื่อยที่สุด ต้องขุดพลังมาเต็มที่เลยค่ะเอาไข่ขาวที่ผสมกับครีมออฟทาร์ทาร์ที่เราเอาไปแช่ในตู้เย็นออกมาตีด้วยความเร็วแสง ฮ่า ๆ ) ตีให้เป็นฟองก่อน
9.พอเริ่มเป็นฟอง ให้ใส่น้ำตาลทรายที่ตวงไว้ลงไป
10.ก็ตีต่อด้วยความเร็วสูง ให้ขึ้นฟูจนได้ยอดอ่อน (ตอนนี้เราใช้ตะกร้อมือซึ่งมันเหนื่อยมาก แต่เราตีไปคนไปพอเริ่มเมื่อยก็คนช้า ๆ พอเริ่มมีแรงก็เร่งสปีดใหม่ค่ะ)
11.จากนั้นกนำส่วนผสมไข่ขาวที่ตีจนตั้งยอดอ่อนแล้ว ใส่ผสมกับแป้งเค้ก
12.ค่อย ๆ คนผสมจนเข้ากัน
13.จากนั้นนำกระดาษไขปูรอบหม้อหุงข้าวไว้ แล้วเทส่วนผสมใส่ลงในหม้อหุงข้าว กดปุ่ม "อบเค้ก" ใช้เวลาอบประมาณ 1 ชั่วโมง (ส่วนมากเราอบประมาณ 75 นาที จ้า และเช็คว่าสุกรึยังด้วยการเอาไม้จิ้มฟันจิ้มไปที่เนื้อเค้กค่ะ ถ้าไม่มีของเหลวติดมาที่ไม้แสดงว่าสุกแล้วค่ะ)
14.เมื่ออบเสร็จแล้วหน้าตาเป็นแบบนี้ ให้คว่ำออกจากหม้อหุงข้าว พักทิ้งไว้จนเย็น (แสงไม่เท่ากันเพราะเราถ่ายไว้ทั้งแบบทำตอนไม่มีแสงแดดกับตอนมีแสงแดดจ้าหน้าตากับสีจะแตกต่างกันแต่รสชาติอร่อยเหมือนกันนะจ๊ะ) พอเค้กเย็น ใช้ด้ายเย็บผ้าแบ่งเค้ก (เนื่องจากไม่มีมีดฟันเลื่อย เราเลยลองใช้ด้ายเย็บผ้านี่แหละค่อย ๆ แบ่ง มันเวิร์กมาก 555)
15.ใช้พลาสติกถนอมอาหารพันรอบเค้กชั้นล่าง เตรียมไว้ รอราดหน้าเค้ก
16.นำผงวุ้น น้ำ นมข้นจืด น้ำตาลทราย และผงโกโก้ ใส่ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟกลาง คนผสมเรื่อย ๆ จนเดือด (อย่าใจร้อนเปิดไฟแรงนะคะไม่งั้นก้นหม้อจะไหม้ค่ะ เราโดนมาแล้วต้องอดทนคนไปเรื่อย ๆ นะคะ)
17.จากนั้นก็ใส่แป้งข้าวโพด และนมข้นจืดลงไป คนผสมเรื่อย ๆ ห้ามหยุด (เพราะส่วนผสมจะข้นขึ้น ถ้าหยุดคนมันก็จะติดก้นหม้ออีกค่ะ อันนี้ก็โดนมาแล้วค่ะ)
18.พอคนจนส่วนผสมข้น จะเห็นรอยตะกร้อจาง ๆ ก็ปิดไฟ แล้วใส่เนยสด คนผสมต่อจนส่วนผสมเริ่มอุ่น จากนั้นนำไปราดลงบนเค้ก (ขอแนะนำให้คนจนอุ่นเลยนะคะ เราเคยคนจากหม้อปิดไฟแปบเดียวแล้วราด ปรากฏว่า ไหลเลอะเทอะหมดเลย แล้วมันร้อนจะทำให้พลาสติกที่เราครอบไว้บิดเบี้ยวด้วยค่ะ อีกอย่างถ้าไม่คนให้อุ่นก่อน หน้านิ่มจะเป็นลิ่ม ๆ ค่ะ เวลาเทหน้าจะไม่เนียนค่ะ)
19.พอราดส่วนผสมหน้านิ่มแล้ว วางเค้กทิ้งไว้ให้เซตตัว จากนั้นนำเข้าตู้เย็น (อันนี้เพื่อให้หน้านิ่มเซตตัวอย่างจริงจัง เท่าที่ทำมาหลายครั้งแล้วนะคะ เจนสังเกตว่า เวลาเราเอาเข้าตู้เย็นหรือรอให้เซตตัว ถ้าไม่มีภาชนะคลุมหรือปิดเค้กไว้ สีของหน้านิ่มจะเข้มขึ้นอีกค่ะ แต่อย่าคลุมตอนที่ยังอุ่น ๆ หรือร้อนนะคะ เพราะมันจะเป็นไอน้ำหยดลงบนเค้กได้ค่ะ)
 

กระบวนการรักษาวัตถุดิบสำหรับการทำเบเกอรี่หรือส่วนผสมที่ใช้ในการทำเบเกอรี่ที่ถูกต้อง
1. แป้งชนิดต่างๆดังเช่น แป้งเค้ก แป้งขนมปัง อื่นๆอีกมากมาย ถ้าหากปราศจากจากแมลงรบกวนจะมีคุณภาพดีและก็เก็บได้นานถึง 5 เดือน โดยเก็บในห้องที่สะอาด มีอากาศถ่ายเทดี ปราศจากกลิ่น มีอุณหภูมิ 68 - 72 องศสฟาเรนไฮต์ และมีความชื้นสัมพัทธ์ 55 - 65 % แป้งที่มีตัวแมลงอยู่ต้องแยกนำออกมาทิ้งโดยทันที
2.ยีสต์ เป็น ส่วนผสมที่เสียได้ง่าย ควรจะเก็บในที่แห้ง ไม่ให้สัมผัสโดยตรงกับแสงอาทิตย์รวมทั้งความชื้น หากไม่เก็บในตู้เย็นควรเก็บในที่มีอุณหภูมิไม่สูงขึ้นมากยิ่งกว่า 90 องศาฟาเรนไฮต์ ภายใต้ภาวะแบบนี้ ยีสต์แห้งจะมีอายุการเก็บได้อย่างน้อยที่สุด 1 เดือน หรือเป็นเวลานานกว่านี้ได้
3. น้ำตาล ทั้งยัง น้ำตาลทรายขาวรวมทั้งน้ำตาลทรายแดงเป็นตัวดูดความชุ่มชื้น จะต้องนำออกมาจากถุงใส่กล่องพลาสติคหรือแก้ว มิฉะนั้นแล้วน้ำตาลจะดูดความชุ่มชื้นจากอากาศจนกระทั่งจุดที่มันแฉะ ซึ่งพวกจุลชีพจะเจริญเติบโตก้าวหน้า ทำให้น้ำตาลนั้นมีรสเปรี้ยว สำหรับน้ำตาลละเอียดหรือน้ำตาลไอซิ่ง เมื่อไม่ใช้ต้องเก็บเอาไว้ในที่แห้ง เพื่อคุ้มครองป้องกันการจับตัวเป็นก้อน อย่าใช้ภาชนะที่เป็นโลหะด้วยเหตุว่าอาจจะมีการเกิดสนิมได้
4. ไขมัน และน้ำมัน ไขมัน จากพืชสามารถเก็บได้ในอุณหภูมิห้องนาน 2-3 เดือน หากอยากเก็บให้ได้ยาวนานกว่านี้จำเป็นต้องเก็บในตู้แช่เย็น น้ำมันหมูจำพวกแข็งควรเก็บในตู้เย็น โดยใส่ภาชนะบรรจุปิดฝาให้สนิท หรือเก็บรักษาเอาไว้ภายในห้องปกติก็ได้ น้ำมันสลัดหรือน้ำมันที่ทำจากมะกอกจะมีกลิ่นหืนได้ง่ายหลังจากเปิดฝาแล้ว สำหรับไขมันพืช นอกเหนือจากการที่จะเก็บในตู้แช่เย็นแล้ว ไม่สมควรเก็บไว้ใกล้สิ่งที่ให้กลิ่น เพราะว่าไขมันนั้นสามารถดูดกลิ่นแปลกปลอมเข้าไว้ได้ง่ายรวมทั้งเร็วทันใจ ศัตรูตัวสำคัญของไขมันก็คือแสง อากาศ น้ำ ความร้อน อุณหภูมิสูงๆรวมทั้งโลหะ เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ไขมันมีกลิ่นหืนได้ง่าย
5. ไข่ ไข่ สดควรเก็บในช่องเก็บไข่ของตู้แช่เย็น โดยให้ส่วนกว้างของไข่อยู่ด้านบนจะเก็บได้นานถึง 5 สัปดาห์ ไข่สดจะสูญเสียความชื้นแล้วก็ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามอายุของไข่ ไข่ชอบดูดเอากลิ่นจากตู้เย็นเอาไว้ รวมทั้งจะมีกลิ่นมากถ้าเกิดไม่เก็บเอาไว้ในช่อง ไข่ขาวที่แยกออกจะเก็บได้นานเป็นสัปดาห์ ถ้าเกิดเก็บในตู้เย็นแล้วก็ใส่ภาชนะแก้วที่ปิดฝาสนิท ไม่ควรเก็บไข่ไว้นาน แม้จะเก็บในตู้แช่เย็นก็ตาม เพราะว่าบัคเตรีอาจเกิดขึ้นทำให้อาหารเป็นพิษได้
6. นม นม สดหรือหางนมควรที่จะนำไปเก็บเอาไว้ด้านในตู้แช่เย็น เมื่อไม่ใช้แล้ว ดังนี้เพื่อคุ้มครองการบูดเนื่องมาจากกรดแลคติกจะมีผลให้นมเปรี้ยว สำหรับนมระเหยนั้นไม่คือปัญหาเพราะว่านมใส่กระป๋องนั้น ได้ผ่านกรรมวิธีทำลายเชื้อแล้ว แต่ก็ต้องระวังในเรื่องกระป๋องบวม ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากนมเสีย นมผงควรเก็บในที่เย็นแล้วก็แห้ง ปิดฝาให้สนิท เนื่องมาจากนมผงนั้นมีความชื้นอยู่น้อย จึงดูดเอาความชุ่มชื้นจากอากาศเข้าไว้ทำให้จับกุมกันเป็นก้อน
7. เครื่องเทศและก็ผงฟู ควรจะเก็บในที่เย็น แห้ง และปิดฝาให้สนิท สำหรับกระป๋องบรรจุจะต้องไม่เป็นสนิม รวมทั้งต้องสะอาด
8. สารเสริม อาทิเช่น SP ควรจะเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท แห้งและเย็น อย่าให้โดนแสงอาทิตย์โดยตรง
(http://www.annann201.com/image/data/pic/banner1.png)
หากต้องการเรียนขนมปัง8ไส้ อย่างเดียว4,500บาท
อยากเรียนวิชาอื่นเพิ่มด้วย วิชาละ 2,500 บาท
ผู้ติดตามได้ลงมือปฎิบัติเช่นเดียวกัน
สนใจเรียน โดยการจองผ่านไลน์เพียงแค่นั้น
line id: annzy201
หรือคลิกลิ้งค์ http://line.me/ti/p/~annzy201


ที่มา : http://www.annann201.com/ (http://www.annann201.com/)

Tags :  สอนทำเค้ก, ทำเบเกอรี่,สอนทำขนมไทย