แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - df0001sd5

หน้า: [1]
1
ไขมันส่วนเกิน ต้นเหตุของพุงแล้วก็ความอ้วน
พฤษภาคม 19, 2018  kungtep
ไขมันส่วนเกิน เสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคร้ายหลายแบบ จำเป็นต้องรีบเผาผลาญไขมัน ขจัดไขมันส่วนเกินออกไป มิฉะนั้นจะพบกับความอ้วน น้ำหนักตัวสูง รูปร่างอ้วนกลมบ๊อก เซลลูไลน์(cellulite)หนักอึ๊ง
ไขมันส่วนเกิน สาเหตุของความอ้วน ต้องเผาผลาญไขมันออกไป
พุงที่เด่นกว่าบริเวณใบหน้า ความอ้วนที่แบกรับมานานจากปัญหาของไขมันสะสม เรื่องสำคัญของบุคลิกภายนอก กำจัดให้ออกไปได้ เพียงแต่ใช้สมุนไพรส้มแขก เรียกหุ่นที่ดูดีน่ามองกลับมาอีกครั้ง
ความอ้วน ทำให้บุคลิกภาพเสีย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ปัญหาด้านสุขภาพนับสิบนับร้อย นับว่าเป็นความกลุ้มใจอย่างหนึ่งในชีวิต เนื่องจากเมื่อได้มีการป่วยไข้ขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมทำให้เกิดผลเสียตามมาต่อการดำนงชีพหลายแบบ ไม่ว่าจะการทำงาน การพบปะผู้คน การประกอบกิจวัตรที่ทำทุกๆวันต่างๆซึ่งเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพในขณะนี้นั้นมิได้มีเพียงแค่เรื่องโรครุนแรงหรือเรื้อรังสิ่งเดียว แม้กระนั้นยังมีปัญหาสุขภาพในด้านของบุคลิกลักษณ์ที่ส่งผลต่อความไม่มั่นใจในตัวเอง
 
ไขมันส่วนเกิน
ไขมันส่วนเกินสูง cr.adrianjamesnutrition.com
วิธีแก้ไขมันส่วนเกินสูง ต้องการลดหุ่น คุณทำเองได้
ปัญหาความอ้วน เซลลูไลท์มาก ไขมันในร่างกายสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในสังคมไทยพวกเราขณะนี้ รวมทั้งในอีกหลายประเทศทั้งโลกเลยก็ว่าได้ และก็ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากในระดับหนึ่งเลย แม้กระนั้นก็พอเพียงมีแนวทางที่จะช่วยจัดการปัญหานี้ได้ อย่างเช่น
ลดอาหารชนิดแป้งและก็น้ำตาล
ลดอาหารพวกที่ทำมาจากการทอด
ลดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น หมู่ เนื้อ ไก่
ออกกำลังกาย เพื่อ{เผาผลาญไขมัน|สลายไขมันส่วนเกิน
กินน้ำให้มาก ขั้นต่ำวันละ 2 ลิตร
รับประทานผัก ผลไม้ เป็นอาหารหลัก อย่างเช่น สลัด
ลดอาหารมื้อเย็น รับประทานให้ลดลง
อย่าให้ความอ้วน ไขมันส่วนเกิน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเรา
เพราะเรื่องของความอ้วนไม่ใช่เรื่องที่จะถือมาล้อเลียนกันได้กล้วยๆเหมือนอย่างที่หลายๆคนเคยทำกันมา ผู้ที่ล้อบางทีอาจรู้สึกสนุกสนาน และไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการหัวเราะชื่นชอบ คิดแค่ขำๆหน่า แต่ว่าถูกล้อนี่สิ น่าจะไม่ขำด้วย ด้วยเหตุว่าสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องขำขันเอาเสียเลย แถมยังเกิดเรื่องที่รู้สึกขายหน้าในภาพลักษณ์ที่ดูแย่ แปลกกว่าปกติทั่วไปด้วย บางบุคคลที่ถูกล้อหนักๆบ่อยๆก็เก็บไปคิดมากจนเป็นความทุกข์ และสูญเสียความเชื่อมั่นไปหมดทุกเรื่องในชีวิตเลยก็มี ไม่ใช่ว่าเขาเล่านั้นต้องการอ้วนกระทั่งถูกล้อเลียนอย่างงี้หรอก แต่แบบอย่างการใช้ชีวิตแต่ละคนมันเลี่ยงความอ้วนได้ยาก รวมทั้งผู้คนจำนวนมากก็อ้วนง่ายแม้กระนั้นลดยากมากไม่น้อยเลยทีเดียวไป จริงไหม ?

ทางลัด ลดหุ่น ลดความอ้วน ลดไขมันส่วนเกิน
“ส้มแขก” สมุนไพรช่วยระบายไขมัน ขับความอ้วนออกไป ทุเลาอาการท้องผูก สลายเซลลูไลน์(Cellulite) เมื่อมีปัญหาเรื่องความอ้วน ไขมันส่วนเกินสูง ตรวจสอบและลองใช้

3

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้สวยในดินที่บริบูรณ์ แสงอาทิตย์ปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ ฯลฯไม้ที่ปลูกได้ไม่ยาก ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาก็ดีแล้วก็ย้ายไปปลูกภายในแปลง ดูแลเสมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกึ่งกลางที่บริบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนกระทั่งเหลือเกิน ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” สกุลสถิต ฉั่วกุล และภาควิชาได้เรียนรู้พบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโอ้อวดนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต่อต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ว่าไม่มีอันตรายพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่เป็นพิษกัดต่อย ยกตัวอย่างเช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามรอบๆที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำอย่างระมัดระวัง เพิ่มแอลกอฮอล์พอเปียกแฉะยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกๆวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และก็กากทาบรอบๆที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสมหะพังพอน เหตุเพราะเสลดพังพอนมีหมดทั้งตัวผู้ละตัวเมีย แต่เพศผู้ไม่นิยมนำมาใช้เนื่องจากว่ามีฤทธิ์อ่อน และก็เพื่อไม่ให้งวยงงจึงเรียกเสมหะพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" ส่วนใหญ่เอามาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกรุ๊ปพืชทำลายพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาใช้ภายนอกรักษาด้านนอก มีสรรพคุณบรรเทาการอักเสบของผิวหนังได้ดิบได้ดี  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส
คุณลักษณะของผงพญายอในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผดผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวรวมทั้งเม็ดผื่นผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับสุราใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก พญายอมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนได้ดี
- อีกหนังสือเรียนระบุว่านอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลยุ่ยเนื่องจากถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นจากการเช็ดกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย เอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองก้าวหน้า ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือและเหล้า ใช้พอกบริเวณที่เป็น เปลี่ยนแปลงยาทุกยามเช้าแล้วก็เย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ดังเช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ
- พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังชนิดเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง แล้วก็ใช้เป็นยาถอนพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลแล้วก็เอากากพอกบริเวณแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บปวด ช่วยลดอาการปวด
- มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์

กรรมวิธีการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแล้วก็เช็ดถูเครื่องแต่งหน้าให้สะอาดก่อนขั้นตอนการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำที่สะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง นม หรือโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้อีกทั้งผิวหน้าและก็ผิวกาย เสมอๆ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง


     - สำหรับผิวหน้า พญายอแม้เป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลุกลามไปทั่วใบหน้า และเพื่อไม่ให้เป็นการก่อกวนผิวหน้ามากเกินความจำเป็น พอกทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 นาที
     - หากใช้ขัด (สำหรับผู้ที่ไม่เป็นสิว แล้วก็ผิวกาย) ให้ขัดให้เบามือที่สุด ประมาณเพียงแค่ลูบคลำอุตสาหะจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด และก็ให้ขัดเพียงแค่ 5 นาทีก็เพียงพอที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งเอาไว้จนแห้ง (อาจใช้ระยะเวลาพอกทิ้งไว้ราว 15 นาที)

  • พญายอ หลังจากแห้งแล้ว ให้ทำความสะอาดโดยการล้างด้วยน้ำธรรมดา (ไม่สมควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบค่อยที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆแล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือคลำให้ค่อยที่สุด โดยใช้แนวทางล้างเดียวกับการขัดหน้า คือ พากเพียรจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าเสร็จแล้ว ดูดซึมหน้าให้แห้ง


Tip  เพื่อการบำรุงที่เพิ่มขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำดื่มธรรมดาในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเสมอกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วใบหน้าสักน้อย ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความสดชื่นให้แก่ผิว ทั้งช่วยทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มแล้วก็กระจ่างขาวใส ดูอ่อนกว่าวัยเพิ่มขึ้น http://www.disthai.com/

4

ทับทิม
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม ยอดเยี่ยมราชินีที่ผลไม้ มีประโยชน์ทั้งยังต้น
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม สุดยอดราชินีแห่งผลไม้ เป็นประโยชน์ทั้งยังต้น
อัปเดตล่าสุดตอนวันที่ เดือนพฤษภาคม 3, 2018 ราวๆเวลาการอ่าน: 2 นาที
แชร์เนื้อหานี้
ทับทิมได้ผลสำเร็จไม่ที่นิยมรับประทานกันมาก แล้วก็ลือชื่อในเรื่องของคุณประโยชน์ที่มากมาย จนได้รับสมญาว่า ราชินีแห่งผลไม้ พูดกันว่าทับทิมนั้นคือผลไม้ที่ถูกประยุกต์ใช้ในวงการแพทย์มาแล้วนับพันปี ในขณะนี้ทับทิมนับว่าเป็นผลไม้ที่นิยมนำมาปลูก รวมทั้งรับประทานกันทั่วทั้งโลก สามารถหารับประทานได้ง่ายในประเทศไทย ดูได้จากร้านค้าขายน้ำทับทิม หรือผลทับทิมสด ที่แทบจะมีอยู่ตามถนนหรือทุกตลาดในประเทศไทย
คุณประโยช์จากทับทิมมีล้นหลาม ในเรื่องของสารอาหาร และก็การป้องกันโรค
วิตามินซีสูงมาก
ทับทิมนับว่าเป็นผลไม่ที่มีวิตามินซีสูงมาก ในน้ำทับทิมเพียงแต่ 1 แก้ว มีวิตามินซีถึงปริมาณร้อยละ 40 ของจำนวนที่เราอยากได้ในหนึ่งวัน (สำหรับผู้ใหญ่) ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงในระดับนี้จึงมีสรรพคุณสำหรับการลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหวัด หรือแพ้อากาศได้อย่างดี
ช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ
การกินทับทิมสด หรือน้ำทับทิมนั้น จะช่วยให้ผิวพรรณของเราดูสดใส เนื่องมาจากทับทิมเป็นผลเหมาะมีคุณประโยชน์ในการต้านทานอนุมูลอิสระ ช่วยสำหรับการชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของเรา แล้วก็ด้วยจำนวนวิตามินซีที่สูงก็เลยช่วยในเรื่องทำให้ผิวกระจ่างใส นอกเหนือจากนี้พวกเรายังสามารถใช้น้ำทับทิมราวๆ 1 ช้อนชา ทาบริเวณบริเวณใบหน้า ทิ้งเอาไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้มองเต่งตึงเยอะขึ้นเรื่อยๆได้อีกด้วย ผลดีในข้อนี้ของทับทิมสามารถยืนยันได้จากการที่ในขณะนี้ มีเครื่องสำอางหรือครีมหลากหลายประเภทได้นำทับทิมไปเป็นองค์ประกอบ
หลอดเลือดและหัวใจดียิ่งขึ้น
ในทางการแพทย์มีการศึกษาค้นคว้าแล้วพบว่าทับทิม มีสรรพคุณช่วยสำหรับในการทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดภาวการณ์ขาดเลือดในคนเจ็บโรคหัวใจ นอกนั้นยังพบว่าผู้ที่มีความดันโลหิตสูง เมื่อรับประทานน้ำทับทิมวันละ 50cc จะช่วยลดระดับความดันเลือดได้ปริมาณร้อยละ 5 ช่วยลดสถานการณ์การแข็งตัวของไขมันในเส้นโลหิตได้อีกด้วย
ลดความเสี่ยงสำหรับการเกิดมะเร็ง
เนื่องมาจากเป็นผลไม้ที่มีค่าการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูง จึงช่วยลดการเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า การกินทับทิมช่วยลดช่องทางการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยยั้งการเติบโตของเซลล์ของมะเร็งถึง 13ช นิด แล้วก็ยังสามารถช่วยทำลายเซลล์มะเร็งในหลอดของกิน แล้วก็ลำไส้ได้อีกด้วย
ผลดีอื่นๆของทับทิม
เว้นแต่คุณประโยชน์หลักที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว ทับทิมยังมีคุณประโยชน์อื่นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์ ช่วยปรับให้สมดุลในวัยหมดระดู ลดความเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคสูญเสียความทรงจำในผู้สูงวัย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน เสริมสุขภาพกระดูกลดความเสี่ยงสำหรับในการเป็นโรคกระดูกพรุน ปกป้องการเสื่อมสรรถภาพทางเพศ ลดการตกขาว กล่าวได้ว่ามีสรรพคุณมากไม่น้อยเลยทีเดียวจริง
 เว้นแต่ส่วนที่พวกเรานิยมรับประทานกันอย่างเม็ดแล้ว ส่วนประกอบอื่นของทับทิมก็มีสาระไม่แพ้กัน ทั้งเป็นยารวมทั้งสมุนไพร
ใบ: สามารถทำน้ำยาบ้วนปากหรือล้างตาได้ ยาพอกที่ทำจากใบสามารถช่วยบรรเทาอาการผมร่วงได้อย่างดี
เปลือก: ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของพวกเราใช้รักษา แผลหิด กากเกลื้อน มีสรรพคุณเกี่ยวกับการดูแลและรักษาโรคในทางเดินของกิน ได้แก่รักษาอาการท้องเสียได้
เปลือกของลำต้น รวมทั้งราก: สามารถนำมาทำเป็นยาถ่ายพยาธิได้อีกด้วย โดยนำมาผสมกับกานพลู รวมทั้งอาจใส่ดีเกลือต้มกับน้ำราวสามถ้วย มีสรรพคุณสำหรับเพื่อการถ่ายพยาธิ
ดอก: มีคุณประโยชน์สำหรับการสมานแผล และทุเลาอาการอักเสบของหูชั้นใน
ทับทิมนับว่าเป็นผลไม้ที่มีสาระในทุกส่วนของต้น ไม่ใช่เพียงเมล็ด หรือน้ำทับทิม ก็เลยไม่ฉงนใจเลยที่ทับทิมจะได้รับฉายาว่า "ราชชินีที่ผลไม้"
โรคและก็อาการอื่นๆยกตัวอย่างเช่น โรคเส้นโลหิตหัวใจ การหย่อนความสามารถทางเพศ เจ็บกล้ามข้างหลังการออกกำลังกาย กรุ๊ปอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การต่อว่าดเชื้อทริวัวโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเสีย โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และอื่นๆยังจึงควรทำการค้นคว้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับสมรรถนะและความปลอดภัยของทับทิมสำหรับเพื่อการรักษาโรค
ความปลอดภัยสำหรับการกินทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยธรรมดาการกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ว่าในบางรายที่มีลักษณะแพ้ผลสดของทับทิมอาจเกิดผลข้างเคียงจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสภาพร่างกาย การกินรากแล้วก็ลำต้นของทับทิมในจำนวนมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างไม่เป็นอันตรายในการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แต่อาจก่อให้กำเนิดอาการแพ้เล็กน้อยในบางราย ได้แก่ อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การรับประทานน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีท้องหรืออยู่ในตอนให้นมลูก แต่ว่ายังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยในการกินหรือใช้ทับทิมในต้นแบบอื่น ดังเช่นว่า สารสกัดจากทับทิม ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อนจะมีการกินทุกครั้ง
น้ำทับทิมอาจจะก่อให้ความดันโลหิตลดลดลงบางส่วน ซึ่งอาจทำให้คนเจ็บที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการเกิดขึ้นอีก

ผู้ที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการกินทับทิม
ผู้เจ็บป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานทับทิมอย่างต่ำ 2 อาทิตย์ เพราะว่าทับทิมทำให้ความดันเลือดต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางจำพวกอาจจะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ยกตัวอย่างเช่น ยาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับโดยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตตำหนิน คนที่รับประทานยาเป็นประจำหรือมีโรคประจำตัวควรขอคำแนะนำแพทย์ก่อนที่จะมีการกินเพื่อให้เกิดความปลอดภัย http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรทับทิม

5

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกันกับบุกประเภทที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แม้กระนั้นต่างชนิดกัน ซึ่งมีคุณสมบัติแล้วก็คุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน แล้วก็สามารถนำมาใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), แพทย์ยื่อ (จีนกลาง) เป็นต้น
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นโดยประมาณ 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างกลมแบนเล็กน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นรวมทั้งกิ่งไม้มีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปนเปอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวโดยประมาณ 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกเดี่ยว รูปแบบของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวโดยประมาณ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกและก็ผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จังหวัดสกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกปะทุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกลาง), บุก (ทั่วๆไป), กระแท่ง บุกรอ หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอคอยกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกชนิดกะแท่งหรือเท้าคุณยายม่อมหัว แก่ได้นานยาวนานหลายปี มีความสูงของต้นโดยประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบอ้วนและอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวตะปุ่มตะป่ำ ลำต้นกลมและมีลายเขียวๆแดงๆลักษณะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นแพร่พันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ พรรณไม้ประเภทนี้จะเติบโตในฤดูฝน และจะร่วงโรยไปในช่วงต้นหน้าหนาว ในประเทศไทยพบบ่อยขึ้นเองตามป่าราบชายทะเลรวมทั้งที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างแดนบุกคางคกนั้นเป็นพืชท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก คือส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะออกจะกลมและมีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและก็เป็นเมือกลื่น มียาง โดยเฉพาะหัวสด หากสัมผัสเข้าจะก่อให้กำเนิดอาการคันได้ ก่อนนำมาปรุงเป็นอาหารนั้นก็เลยต้องทำให้เป็นมูกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแม้กระนั้น 1 กรัม ไปจนกระทั่ง 35 โล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบลำพัง ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกเหมือนกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าหาเส้นกลางใบ ส่วนขอบของใบจะเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำแล้วก็ยาวได้ประมาณ 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินรอบๆของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงปนสีน้ำตาล (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบตกแต่งเป็นรูปหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและก็บานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางคุก
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสด เนื้อนุ่ม รูปแบบของผลเป็นรูปทรงรียาว ขนาดยาวราวๆ 1.2 เซนติเมตร ผลมีหลายชิ้นติดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ข้างในผลมีเมล็ดราว 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเมล็ดของแต่เมล็ดแยกออกมาจากกัน เม็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
คุณประโยชน์ของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด (หัว)
ใช้เป็นของกินสำหรับคนเจ็บโรคเบาหวานรวมทั้งผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำดื่ม โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว นำมาชงกับน้ำก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสลด ช่วยกระจายเสลดที่ตันบริเวณหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสลดเถาดาน และเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้ประจำเดือนไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับระดูของสตรี (ราก)
หัวเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่รอยแผล กัดฝ้าและก็กัดหนองก้าวหน้า (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลบอกว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้ฟกช้ำ (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถนะทางเพศ โดยคุณนิล สกุณา (บ้านหนองพลวง ตำบลโคกกึ่งกลาง อำเภอลำปลายสุวรรณ จังหวัดบุรีรัมย์) เสนอแนะให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดนำมาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้ห้อยจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอเพียงท่วมเมล็ดบุก ต้มจนถึงเมล็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วหลังจากนั้นก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลทรายแดงพอสมควรลงไปต้มให้พอหวาน จากนั้นทดลองชิมดู ถ้าหากยังมีอาการคันคออยู่ก็ให้เพิ่มน้ำตาลเพิ่มแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยลองใหม่ ถ้าเกิดไม่มีอาการคันคอก็แสลงว่าใช้ได้ แล้วก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้ล้มใส่เข้าไปด้วยโดยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นและเก็บเอาไว้ภายในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ราวๆ 30 นาที จะปวดท้องฉี่โดยธรรมชาติ ภายหลังอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ในทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วเอามาชงกับน้ำ ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ทีละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าคือส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง จึงสามารถนำมากินได้ หากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะมากๆ ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้ารวมทั้งก้านใบถ้าเกิดปรุงไม่ดีแล้วรับประทานเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองและก็คันปากได้8ก่อนนำมารับประทานต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด6
แนวทางการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นหนแรก แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมตัวกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นสำหรับในการทำกับข้าวหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าเกิดอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เพราะว่าวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่สมควรบริโภควุ้นบกวันหลังการรับประทาน แม้กระนั้นให้กินก่อนที่จะกินอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่ผลิตมาจากวุ้น อาทิเช่น วุ้นก้อนและก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ เพราะเหตุว่าวุ้นดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านวิธีการและก็ได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว แล้วก็การการที่จะขยายตัวหรือขยายตัวได้อีกนั้นจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ด้วยเหตุว่าไม่มีการสลายตัวเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินและก็ธาตุ หรือสารอาหารใดๆที่มีประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายเลยกลูโคแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันต่ำลง (ดังเช่นว่า วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี แล้วก็วิตามินเค) ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่ว่าจะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (ได้แก่ วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจจะก่อให้มีลักษณะท้องเดินหรือท้องขึ้น มีอาการอยากกินน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการอ่อนล้าเพราะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่เจอ ดังเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี รวมทั้งยังพบสารที่เป็นพิษหมายถึงConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกเจอสาร Uniine และก็วิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 และหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ร้อยละ 5-6 และมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญเป็นกลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส และก็ฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ด้วยเหตุว่ามีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมากก็ยิ่งมีผลการดูดซึมเดกซ์โทรส เพราะฉะนั้น กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum จึงสามารถลดน้ำตาลได้ดีมากว่า จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับผู้เจ็บป่วยเบาหวานแล้วก็สำหรับคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูโคแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนแตกต่างกันออกไปตามชนิดของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนราว 90% และก็สิ่งแปลกปลอมอื่นๆตัวอย่างเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, และก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองจำพวก คือ กลูโคส 2 ส่วน รวมทั้งแมนโนส 3 ส่วน คร่าวๆ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลประเภทที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลประเภทแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งไม่เหมือนกับแป้งที่พบในพืชทั่วๆไป ก็เลยผิดย่อยโดยกรดแล้วก็น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 นอกเหนือจากกลูโคแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังเจอได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำแล้วก็พองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อเรารับประทานกลูโคแมนแนนก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะของพวกเรา แล้วเกิดการขยายตัวกระทั่งทำให้เรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรากินได้ลดลงกว่าธรรมดาด้วย อีกทั้งกลูโคแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูโคแมนแนนก็เลยช่วยสำหรับการควบคุมน้ำหนักรวมทั้งเป็นอาหารของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูน้อยลงคิดเป็น 44% และก็ Triglyceride ลดน้อยลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซับน้ำในกระเพาะแล้วก็ลำไส้ได้ดีมาก และก็ยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้มากเพิ่มขึ้น ทำให้มีการขับของที่ค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะอาการบวมที่ขารับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูลดน้อยลง6
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากบุกคนไทยพวกเรานิ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]