แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ydoois25sd4t

หน้า: [1]
1

สมุนไพรพญายอ
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อตระกูล ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อเขตแดนผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาข้อคำ  พญาปล้องดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสลดพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มรอเลื้อย ลำต้นและกิ่งก้านสะอาดวาว สูงได้ถึง 3 เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานปนใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว 7-9 เซ็นติเมตร โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายยอด กลีบสีส้มแดงเชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 เซนติเมตร ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาแล้วก็สรรพคุณ


-ส่วนใบ รักษาอาการเนื่องจากแมลงกัดต่อยและโรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกรุ๊ป monoglycosyl diglycerides ดังเช่นว่า 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และสารกลุ่ม glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอจำนวนร้อยละ 5  ใน cold cream แล้วก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อนำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แต่เมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่ได้ผล
ฤทธิ์ลดลักษณะของการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บปวดของหนูที่ถูกรั้งนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติเตียนค  ขึ้นรถสกัดความแรง 90 มิลลิกรัม/โล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโล (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ รวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่เป็นผลลดความเจ็บ

ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส
ไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล รวมทั้งเอทิลอะซิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต้านไวรัสเชื้อเริม HSV-1  และก็เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 4 รวมทั้งใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต้านไวรัสได้ดิบได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  ในช่วงเวลาที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะมีพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการรักษาคนป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ประเภทเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  และยาหลอก  โดยให้ผู้ป่วยทายาวันละ 4 ครั้ง ตรงเวลา 6 วัน พบว่าไม่ได้มีความแตกต่างในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนป่วยที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอรวมทั้งยา acyclovir   โดยแผลจะตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน และก็หายสนิทข้างใน 7 วัน ซึ่งผิดแผกกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่ส่งผลให้เกิดการอักเสบ ระคายเคือง ในขณะที่ acyclovir ทำให้แสบ   ยิ่งกว่านั้นมีการใช้ยาที่ทำจากพญายอ ในคนไข้โรคเริม งูสวัด รวมทั้งแผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลและลดการอักเสบได้ดี   
ไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัส Varicella zoster ที่เป็นสาเหตุโรคงูสวัดแล้วก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่จะไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการรักษาคนไข้โรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน ตราบจนกระทั่งแผลจะหาย  พบว่าคนไข้หวานใจษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดภายใน 3 วัน และก็หายข้างใน 7-10 วัน จะมีจำนวนมากกว่ากรุ๊ปสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระดับความเจ็บปวดต่ำลงเร็วกว่ากรุ๊ปยาหลอก และไม่พบผลกระทบอะไรก็ตาม


อาการข้างๆ


ความเป็นพิษทั่วไปและต่อระบบแพร่พันธุ์


การทดลองความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่ามีพิษน้อย แต่เป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/โล (หรือเสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัม/กก.) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ ไม่กระตุ้นให้เกิดอาการพิษใดๆ
การศึกษาเล่าเรียนพิษ
พญายอครึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้ง 540 มิลลิกรัม/กิโล ทุกวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่มีผลต่อการเติบโต แม้กระนั้นน้ำหนักต่อมธัยมัเสียใจลง ในช่วงเวลาที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่พบความเปลี่ยนไปจากปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่พบอาการไม่ประสงค์ใดๆก็ตาม หนูแรทที่รับประทานสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/กิโล ทุกเมื่อเชื่อวันนาน 90 วัน พบว่าการกินอาหารของกลุ่มที่ได้รับสารสกัดรวมทั้งกรุ๊ปควบคุมไม่ได้แตกต่างกัน แต่น้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/กก. ต่ำลงมากยิ่งกว่าพญายอกลุ่มควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งสองเพศสูงกว่า แล้วก็ครีอาตินินต่ำยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  แต่ไม่เจอความแตกต่างจากปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน และก็พยาธิสภาพด้านนอกhttp://www.disthai.com/

2

บัวบก
ใบบัวบกสมุนไพรจีนโบราณที่ได้ยินชื่อกันมานาน นี่คือ คุณประโยชน์ของใบบัวบกที่รู้และเข้าใจดีแล้วจะต้องรักเจ้าสมุนไพรนี้ยิ่งกว่าเดิม
          เชื่อว่าผู้คนจำนวนมากก็คงจะเคยได้ยินกันมานักต่อนักว่าเวลาช้ำในให้กินน้ำใบบัวบก เพราะเหตุว่าจะช่วยทำให้หายจากอาการบอบช้ำในเร็วขึ้น แม้กระนั้นหารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วเจ้าสมุนไพรที่มีนามว่าใบบัวบก ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนที่นำมาใช้กันตั้งแต่โบร่ำโบราณนั้นก็ยังมีคุณประโยชน์ฯลฯ อีกทั้งช่วยบำรุงสุขภาพ รักษาโรค หรือแม้แต่ช่วยบำรุงความสวยสดงดงาม อยากทราบกันแล้วใช่ไหมล่ะว่าใบบัวบก สมุนไพรที่เชิญให้รู้สึกเหม็นเขียวจะมีสรรพคุณอะไรดีๆอีกบ้าง ถ้าอย่างนั้นลองไปดูที่พวกเราถือมานำเสนอในวันนี้กันดีกว่า บอกได้คำเดียวเลยว่า เข้าใจแล้วต้องลืมกลิ่นเขียวๆพวกนั้นไปเลยแน่ๆ

  • ไขปัญหาเส้นเลือดขอด


          เมื่อเส้นโลหิตสูญเสียความยืดหยุ่นก็ทำให้หลอดโลหิตดำเกิดการฉีกให้ขาดและก็ทำให้เลือดไหลออกมาคั่งอยู่บริเวณขา เป็นต้นเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการบวมที่เรียกว่าอาการเส้นโลหิตขอดนั่นเอง โดยมีการศึกษาเล่าเรียนพบว่าการกินใบบัวบก สามารถลดอาการบวมและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น โดยในการศึกษาวิจัยนั้นได้ทำการทดสอบกับอาสาสมัครกว่า 90 คน ที่มีอาการของเส้นเลือดขอด รวมทั้งเมื่อรับประทานใบบัวบกเข้าไปและจากนั้นก็พบว่าอาการเส้นเลือดขอดนั้นดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับคนที่กินยาหลอก และเมื่อทำอัลตราซาวด์ก็พบว่าผู้ที่กินใบบัวบกมีการรั่วไหลของหลอดเลือดดำน้อยลงจ้ะ

  • สมานแผลแล้วก็รักษาโรคผิวหนังบางจำพวก


          หนึ่งในสารสำคัญที่ส่งผลให้ใบบัวบกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรที่มากคุณประโยชน์ก็คือสารสามเตอร์ปินอยด์ (Triterpenoids) ที่มีการศึกษาเล่าเรียนกับสัตว์แล้วพบว่าสามารถช่วยสมานรอยแผลได้ โน่นก็เป็นเพราะสารดังกล่าวจะปฏิบัติหน้าที่สำหรับการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้กับรอยแผล แล้วก็ช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียนไปยังบริเวณบาดแผลมากยิ่งขึ้น นำมาซึ่งการทำให้บาดแผลค่อยๆหายดียิ่งขึ้นในช่วงเวลาที่น้อยลง ทั้งสารจากใบบัวบกก็ยังช่วยป้องกันการเกิดรอยแผลได้อีกด้วย การใช้ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องนำใบบัวบกมาตำแล้วพอกให้ยาก เพราะในเวลานี้มีแบบที่เป็นครีมผสมสารสกัดไว้ทาโดยเฉพาะ แค่เพียงเลือกให้เหมาะกับประเภทรอยแผลก็ช่วยได้มากเลยล่ะ

  • ระบายความร้อน


          ความร้อนภายในร่างกายแม้สูงมากเกินไปอาจส่งผลให้ร่างกายกำเนิดลักษณะของการมีไข้ ตัวร้อน อยากกินน้ำ ตลอดจนการอักเสบ ดังนั้นการรับประทานใบบัวบกที่มีฤทธิ์เย็น ก็เลยสามารถช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ ทั้งยังช่วยขับพิษร้อนออกจากร่างกายได้อีกด้วย

  • ขับพิษร้อน รวมทั้งความชุ่มชื้น


          โรคต่างๆที่เกิดจากความร้อนแล้วก็ความชื้น เป็นต้นว่า โรคตับเหลือง นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือโรคบิด สามารถบรรเทาได้ด้วยการกินใบบัวบก เหตุเพราะใบบัวบกนั้นมีฤทธิ์ขมเย็น สามารถช่วยสลายความชุ่มชื้นในร่างกายและขับความร้อนออกมาได้ แต่ว่าก็ควรจะกินในปริมาณที่สมควร เนื่องจากว่าแม้กินมากมายๆอาจจะทำให้ร่างกายเย็นจนเหลือเกินรวมทั้งเกิดอันตรายได้
สรรพคุณใบบัวบก ผลดีเลอค่า

  • ลดความกระวนกระวายใจ ช่วยให้จิตใจสงบ


          สารสามเตอร์ปินอยด์ (Triterpenoids) ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในใบบัวบกนั้น นอกเหนือจากที่จะช่วยในการรักษาแผลรวมทั้งรักษาโรคผิวหนังบางประเภทได้และก็ยังมีฤทธิ์ในการลดความกระวนกระวายใจและช่วยกระตุ้นกลไกลักษณะการทำงานของสมอง โดยมีการเรียนรู้หนึ่งพบว่าผู้ที่กินใบบัวบกมีแนวโน้มที่จะสะดุ้งกับเสียงดังรบกวนน้อยกว่าผู้ที่กินยาหลอก แต่ก็ต้องใช้ในปริมาณที่สูงมาก จึงยังไม่มีการยืนยันแจ่มชัดว่าควรใช้จำนวนใดก็เลยจะเห็นผลและไม่ส่งผลข้างๆต่อร่างกายตามมาค่ะ

  • รักษาโรคหนังแข็ง


          เหตุเพราะใบบัวบก มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการลดการอักเสบต่างๆภายในร่างกาย จึงสามารถใช้บรรเทาลักษณะของคนไข้โรคหนังแข็งได้ โดยมีการศึกษากับเพศหญิง 13 ผู้ที่มีลักษณะอาการของโรคหนังแข็งพบว่า การใช้ใบบัวบกสามารถลดอาการปวดตามข้อ และก็ลดการเกิดหนังแข็ง แล้วก็ทำให้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แม้กระนั้นดังนี้ก็จำเป็นต้องอยู่ในจำนวนที่แพทย์ควบคุมเท่านั้น

  • ช่วยทุเลาอาการนอนไม่หลับ


          คนไหนกันแน่ที่มักจะนอนไม่หลับเป็นประจำทดลองหาใบบัวบกมารับประทานดีแล้วเช่นกันนะ เนื่องจากว่าใบบัวบกไม่เฉพาะแต่ช่วยลดความกระวายกระวนเท่านั้น แม้กระนั้นก็ยังช่วยให้จิตใจสงบรวมทั้งบรรเทาลงได้ ทำให้สามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น โดยแค่เพียงกินเสมอๆก่อนนอน ก็จะสามารถช่วยทำให้การนอนได้อย่างน่าแปลกเลย
สรรพคุณใบบัวบก ประโยชน์เลอค่า

  • ลดระดับความดันโลหิต


        กรมวิวัฒนาการแพทย์แผนไทยและก็การแพทย์โอกาส ได้ออกมาเสนอแนะว่าใบบัวบกยอดเยี่ยมในสมุนไพรที่ช่วยลดระดับความดันเลือดได้ เพราะเหตุว่าเจ้าใบบัวบกนั้นจะไปทำให้หลอดเลือดดำและก็เส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดภาวะความตึงเครียดอันเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง ดังนี้กรรมวิธีการรับประทานก็ง่ายๆ เพียงแค่นำใบบัวบกไปคั้นน้ำแล้วนำมาดื่ม จะนำไปผสมกับน้ำผึ้งสักบางส่วน หรือผสมกับน้ำผลไม้อื่นๆเพื่อลดความเหม็นเขียวก็ทำได้จ้ะ

  • ลดอาการบวม


          อาการบวมช้ำมีต้นเหตุที่เกิดจากการที่ระบบไหลเวียนเลือดรอบๆดังที่กล่าวถึงแล้วดำเนินการเปลี่ยนไปจากปกติทำให้เกิดอาการคั่งของเลือด การรับประทานใบบัวบกไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำคั้นดื่ม หรือแบบที่เป็นสารสกัดแคปซูล สามารถช่วยลดอาการบวมช้ำบริเวณรอยแผลได้ รวมทั้งยังลดอาการอักเสบที่ส่งผลให้เกิดอาการบวมได้อีกด้วย

  • บำรุงสมอง


          ใบบัวบกเป็นพืชอีกประเภทที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ก็เลยช่วยคุ้มครองสารอนุมูลอิสระเข้าไปทำลายเซลล์สมอง แล้วก็ช่วยคลายความอ่อนเพลียของสมอง เพิ่มหลักการทำงานของสมองและความจำ แถมยังสามารถลดสภาวะกลัดกลุ้ม และสามารถช่วยยับยั้งอาการของโรคอัลไซเมอร์ที่เกิดขึ้นในสมองได้
คุณประโยชน์ใบบัวบก คุณประโยชน์เลอค่า

  • รักษาอาการติดโรค


          ใบบัวบกเป็นสมุนไพรอีกหนึ่งประเภทที่ช่วยรักษาโรคไข้หวัดได้อย่างมีคุณภาพ แถมช่วยรักษาอาการติดเชื้อโรคในทางเดินเยี่ยว แล้วก็อาการติดโรคแบคทีเรียรวมทั้งเชื้อไวรัสต่างๆได้อีกเพียบเลย พูดได้ว่าไม่ว่าจะติดเชื้ออะไรก็แล้วแต่ ใบบัวบกสามารถช่วยรักษาได้หมด แต่ดังนี้ก็จำต้องใช้ในจำนวนที่เหมาะสม และภายใต้การดูแลของผู้ชำนาญนะ

  • ทุเลาอาการเมื่อยล้า


          เว้นแต่รักษาอาการป่วยต่างๆแล้ว ใบบัวบกยังสามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนแรงได้ และหากรับประทานในตอนอากาศร้อนๆด้วยละก็ น้ำใบบัวบกก็สามารถช่วยลดความร้อนภายในร่างกายและดับกระหายได้อย่างดีเยี่ยมเลยเชียวล่ะ

สรรพคุณใบบัวบก ผลดีเลอค่า

  • บำรุงผิวพรรณให้อ่อนเยาว์


          ใบบัวบก เป็นอีกหนึ่งในสมุนไพรเพื่อความสวยสดงดงามที่อยู่ใกล้ตัวมากมายๆที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะใบบัวบกมีสารที่ช่วยสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนและก็อิลาสตินภายในร่างกาย ช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่มเปียกชื้น มองอ่อนเยาว์ นอกนั้นสารต้านอนุมูลอิสระในใบบัวบกก็ยังช่วยยั้งการเกิดริ้วรอยที่วัย จึงไม่น่าแปลกเลยล่ะถ้าคุณจะได้มองเห็นชื่อของเจ้าใบบัวบกเป็นเลิศในส่วนผสมของเครื่องทำความสะอาดผิว ดังนี้ยังสามารถนำใบบัวบกใหม่ๆมาใช้พอกหน้าได้อีกด้วย โดยมีวิธีดังต่อไปนี้จ้ะ
           - ใบบัวพอกหน้า บำรุงผิวสวยใส ลบรอยตีนกา
กระบวนการทำ

  • นำใบบัวบกสดมาล้างชำระล้าง แล้วนำไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  • เอามาปั่นหรือบดกับน้ำที่สะอาด 1 แก้ว
  • นำมาพอกหน้า หรือนำสำลีชุบน้ำใบบัวบกขึ้นมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้โดยประมาณ 15 นาที
  • ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำเป็นประจำทุกเมื่อเชื่อวันก่อนนอนจะช่วยให้บริเวณใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย
  • กำจัดเซลลูไลท์


          สาวๆที่หนักใจกับเซลลูไลท์ที่เป็นศัตรูความงามของคุณผู้หญิงอยู่ ขอบอกใบบัวบกช่วยคุณได้ค่ะ แค่เพียงกินใบบัวบกเป็นประจำก็สามารถที่จะช่วยให้เซลล์ไขมันเซลลูไลท์ถูกขับออกมาจากร่างกายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานก้าวหน้าขึ้น และลดการอักเสบอันมีเหตุที่เกิดจากเซลลูไลท์ได้อีกด้วยล่ะ

  • บำรุงเส้นผมและหนังหัว


          หลายท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับผมร่วงก็อาจแสวงหาทุกวิธีเพื่อบำรุงให้เส้นผมและก็หนังหัวแข็งแรงเพื่อจะได้มีผมดกดำ ใบบัวบกก็เป็นอีกสมุนไพรหนึ่งที่มีสรรพคุณเด่นในด้านนี้ โดยปัญหาผมร่วงส่วนมากก็เกิดจากรากผมที่อ่อนแอแล้วก็การไหลเวียนของเลือดบนหนังศีรษะไม่ดี ซึ่งใบบัวบกนี้มีฤทธิ์สำหรับในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตรอบๆหนังศีรษะ แล้วก็ยังช่วยทำนุบำรุงให้รากผมแข็งแรง ป้องกันผมหล่นทำให้ผมที่ขึ้นใหม่มีความแข็งแรงและดกดำเงาสวยได้โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีอะไร
          ได้เห็นคุณประโยชน์ดีๆของใบบัวบกกันไปแล้วแบบนี้ ผู้ใดกันแน่ที่ยังส่ายหน้าให้กับกลิ่นเขียวๆของใบบัวบก ก็คงจะทดลองหันกลับมามองเสียใหม่ แม้อาจจะมีกลิ่นแรงไปเสียหน่อย แม้กระนั้นประโยชน์ที่ได้รับก็ดีไม่น้อยเลย หากไม่ลองเสียดายแย่เลยนะ http://www.disthai.com/

3

ทับทิม
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม สุดยอดราชินีแห่งผลไม้ มีสาระต้น
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม ยอดเยี่ยมราชินีที่ผลไม้ เป็นประโยชน์อีกทั้งต้น
อัปเดตล่าสุดช่วงวันที่ เดือนพฤษภาคม 3, 2018 ราวเวลาการอ่าน: 2 นาที
แชร์เนื้อหานี้
ทับทิมได้ผลไม่ที่นิยมกินกันมากมาย รวมทั้งขึ้นชื่อลือนามในเรื่องของคุณค่าที่มากมาย จนได้รับสมญาว่า ราชินีแห่งผลไม้ พูดกันว่าทับทิมนั้นคือผลไม้ที่ถูกนำมาใช้ในแวดวงแพทย์มาแล้วนับพันปี ในขณะนี้ทับทิมถือเป็นผลไม้ที่นิยมนำมาปลูก แล้วก็รับประทานกันทั้งโลก สามารถหารับประทานได้ง่ายในประเทศไทย ดูได้จากร้านค้าขายน้ำทับทิม หรือผลทับทิมสด ที่แทบจะมีอยู่ตามท้องถนนหรือทุกตลาดในประเทศไทย
คุณประโยชน์ของทับทิมมีล้นหลาม ทั้งในเรื่องของสารอาหาร และก็การป้องกันโรค
วิตามินซีสูงมาก
ทับทิมนับว่าเป็นผลไม่ที่มีวิตามินซีสูงมาก ในน้ำทับทิมเพียงแต่ 1 แก้ว มีวิตามินซีถึงร้อยละ 40 ของจำนวนที่เราอยากในหนึ่งวัน (สำหรับคนแก่) ด้วยจำนวนวิตามินซีที่สูงในระดับนี้ก็เลยมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการลดการเสี่ยงสำหรับในการเป็นโรคหวัด หรือแพ้อากาศได้อย่างดี
ช่วยทำนุบำรุงผิวพรรณ
การกินทับทิมสด หรือน้ำทับทิมนั้น จะช่วยทำให้ผิวพรรณของเรามองผ่องใส ด้วยเหตุว่าทับทิมได้ผลสำเร็จพอดีมีสรรพคุณสำหรับในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสำหรับในการชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของเรา รวมทั้งด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงจึงช่วยในเรื่องทำให้ผิวกระจ่างขาวสวยใส นอกจากนั้นพวกเรายังสามารถใช้น้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชา ทาบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงผิวหน้าให้มองเต่งตึงมากขึ้นเรื่อยๆได้อีกด้วย คุณประโยชน์ในข้อนี้ของทับทิมสามารถรับรองได้จากการที่ในขณะนี้ มีเครื่องสำอางหรือครีมหลายประเภทได้นำทับทิมไปเป็นองค์ประกอบ
เส้นเลือดรวมทั้งหัวใจดีขึ้น
ในทางการแพทย์มีการศึกษาค้นคว้าแล้วพบว่าทับทิม มีสรรพคุณช่วยสำหรับในการทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดภาวการณ์ขาดเลือดในคนป่วยโรคหัวใจ นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าคนที่มีความดันโลหิตสูง เมื่อรับประทานน้ำทับทิมวันละ 50cc จะช่วยลดความดันเลือดได้ปริมาณร้อยละ 5 ช่วยลดสภาพการณ์การแข็งตัวของไขมันในเส้นโลหิตได้อีกด้วย
ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
เนื่องมาจากเป็นผลไม้ที่มีค่าการต้านทานอนุมูลอิสระที่สูง ก็เลยช่วยลดความเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม มีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยพบว่า การรับประทานทับทิมช่วยลดช่องทางการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็งถึง 13ช นิด และก็ยังสามารถช่วยทำลายเซลล์ของโรคมะเร็งในหลอดอาหาร และก็ไส้ได้อีกด้วย
ประโยชน์อื่นๆของทับทิม
นอกเหนือจากคุณประโยชน์หลักที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว ทับทิมยังมีสรรพคุณอื่นอีกเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็น ช่วยทุเลาอาการแพ้ท้องในหญิงมีท้อง ช่วยทำให้ปรับสมดุลในวัยหมดประจำเดือน ลดความเสี่ยงสำหรับในการเป็นโรคสูญเสียความจำในคนชรา คุ้มครองโรคเลือดออกตามไรฟัน เสริมสุขภาพกระดูกลดการเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน คุ้มครองการเสื่อมสรรถภาพทางเพศ ลดการตกขาว พูดได้ว่ามีคุณประโยชน์ล้นหลามจริง
 นอกจากส่วนที่เรานิยมรับประทานกันอย่างเมล็ดแล้ว ส่วนประกอบอื่นของทับทิมก็มีสาระไม่แพ้กัน ทั้งเป็นยาและสมุนไพร
ใบ: สามารถทำน้ำยาบ้วนปากหรือล้างตาได้ ยาพอกที่ทำจากใบสามารถช่วยทุเลาอาการผมร่วงได้อย่างยอดเยี่ยม
เปลือก: ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของเราใช้รักษา แผลหิด กากโรคเกลื้อน มีสรรพคุณเกี่ยวกับการรักษาโรคในทางเดินอาหาร ดังเช่นว่ารักษาอาการท้องเสียได้
เปลือกของลำต้น รวมทั้งราก: สามารถเอามาทำเป็นยาถ่ายพยาธิได้อีกด้วย โดยเอามาผสมกับกานพลู รวมทั้งอาจใส่ดีเกลือต้มกับน้ำประมาณสามถ้วย มีคุณประโยชน์สำหรับในการถ่ายพยาธิ
ดอก: มีคุณประโยชน์สำหรับในการสมานแผล และทุเลาอาการอักเสบของหูชั้นใน
ทับทิมถือเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ในทุกส่วนของต้น ไม่ใช่เพียงแค่เมล็ด หรือน้ำทับทิม ก็เลยไม่แปลกใจเลยที่ทับทิมจะได้รับสมญานามว่า "ราชชินีที่ผลไม้"
โรคและอาการอื่นๆดังเช่นว่า โรคเส้นโลหิตหัวใจ การหย่อนความสามารถทางเพศ เจ็บกล้ามเนื้อข้างหลังการออกกำลังกาย กลุ่มอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงอาทิตย์ การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเสีย โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง แล้วก็อื่นๆยังควรต้องทำการวิจัยศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพแล้วก็ความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค
ความปลอดภัยในการกินทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยทั่วไปการรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างจะมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีลักษณะแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเกิดผลข้างๆจากการดื่มน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การรับประทานรากและก็ลำต้นของทับทิมในปริมาณมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างไม่มีอันตรายในการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แม้กระนั้นอาจทำให้กำเนิดอาการแพ้น้อยในบางราย ดังเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมลูก แต่ว่ายังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยในการกินหรือใช้ทับทิมในแบบอื่น อาทิเช่น สารสกัดจากทับทิม ควรต้องปรึกษาหมอก่อนการรับประทานทุกครั้ง
น้ำทับทิมอาจจะก่อให้ความดันโลหิตลดลดลงนิดหน่อย ซึ่งอาจทำให้คนป่วยที่มีภาวะความดันต่ำอาการแย่ลง

คนที่มีลักษณะอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะกำเนิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
ผู้เจ็บป่วยที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานทับทิมขั้นต่ำ 2 อาทิตย์ เพราะเหตุว่าทับทิมทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางจำพวกอาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ยกตัวอย่างเช่น ยาที่เกี่ยวกับลักษณะการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือจำพวก P450 3A4 ยาลดระดับความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตติน คนที่รับประทานยาเสมอๆหรือมีโรคประจำตัวควรจะหารือหมอก่อนที่จะมีการรับประทานเพื่อให้มีความปลอดภัย http://www.disthai.com/

4

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ รักษาโรคมะเร็ง
อีกหนึ่งงานศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เรียนรู้เกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในคนไข้มะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังที่กล่าวมาแล้วมีส่วนสำหรับในการยัยยั้งลักษณะการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการวิจัยมากมายถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจมีผลต่อการต้านการอักเสบในผู้เจ็บป่วยมะเร็งปอดบางราย แต่ว่ายังคงไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์หรือการทดลองทางการแพทย์ที่ให้ข้อมูลเพียงพอที่ส่งเสริมให้ใช้เห็ดหลินจือสำหรับในการรักษาโรคมะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อวิเคราะห์เปรียบจากการรวบงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่ศึกษาประสิทธิผลของเห็ดหลินจือเพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้จะพบว่าผู้เจ็บป่วยสนองตอบต่อการดูแลรักษาด้วยเคมีบรรเทาหรือรังสีบำบัดรักษาก้าวหน้าขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่ว่าเมื่อตรวจสอบและลองใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับในการทำให้โรคมะเร็งลดขนาดลงประการใด
นอกเหนือจากนั้น จาการทบทวนงานศึกษาเรียนรู้พบว่ามีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัย 4 ชิ้นที่ส่งผลลัพธ์ส่งเสริมว่าเห็ดหลินจืออาจสัมพันธ์ต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้เจ็บป่วยให้ดียิ่งขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็มีผลลัพธ์จากงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้รวมทั้งนอนไม่หลับด้วย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ก็เลยอาจพูดได้ว่า เครื่องพิสูจน์ทางคุณลักษณะแล้วก็คุณประโยชน์ซึ่งมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง การวิจัยเป็นการทดลองขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแต่การทดลองในคนป่วยบางกรุ๊ปแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นหัวข้อการค้นคว้าที่ควรจะดำเนินงานทดสอบต่อไปเพื่อให้ได้สำเร็จลัพ์ที่แจ่มกระจ่างและก็เป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการรักษาคนป่วยมะเร็งได้ในอนาคต
สภาวะต่อมลูกหมากโต และก็การเจ็บป่วยในระบบฟุตบาทฉี่
มีกระบวนการทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในคนป่วยเพศ 88 รายซึ่งมีอายุเกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีอาการปัสสาวะขัดข้อง หลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ คำตอบที่ได้คือ ผู้เจ็บป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ดียิ่งขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับเพื่อการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของผู้เจ็บป่วยจากการตอบคำถาม แต่ไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากอะไร
ด้วยเหตุผลดังกล่าว การทดลองดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่ชัดแจ้งเพียงพอ จำเป็นที่จะต้องมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ถัดไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่แจ่มกระจ่างในการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาด้านสุขภาพอะไรก็ตามที่เกี่ยวเนื่อง
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดสอบทางด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนเจ็บเบาหวานประเภท 2 เข้าร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่มีผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพเพียงพอจะช่วยเหลือผลทางการรักษาพวกนั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือด้วยเหมือนกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลข้างเคียงจากการบริโภคเห็ดหลินจือในผู้ป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
ด้วยเหตุนี้ควรต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงคุณภาพของเห็ดหลินจือในการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อคุ้มครองปกป้องและการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจถัดไป และก็ให้ได้การกระจ่างชัดดเจนในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วมากเพิ่มขึ้น อันเป็นคุณประโยชน์ต่อกรรมวิธีการรักษาป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจและอาการต่างๆที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต
ปริมาณที่สมควรสำหรับเพื่อการบริโรคเห็ดหลินจืออปิ้งแจ่มกระจ่าง เนื่องประสิทธิผลแล้วก็ผลข้างคียงจากการบริโภค โดยเหตุนี้ ผู้ซื้อ ควรศึกษาค้นคว้าเนื้อหาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และขอความเห็นหมอหรือเภสัชกรก่อนจะมีการบริโรค เพราะหากแม้เห็ดหลินจือในแต่ละแบบอย่างจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แม้กระนั้นสารเคมีแล้วก็ส่วนประต่างบางทีอาจส่งผลข้างๆที่ทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้เหมือนกัน

โดยธรรมดา ปริมาณการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันยกตัวอย่างเช่น
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่สมควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1 มิลลิลิตร/วัน
ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ถึงคุณประโยชน์ในบางด้านที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แต่ผู้บริโภคก็ควรศึกษาเรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และก็หารือหมอหรือเภสัชกรก่อนจะมีการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรรอบคอบในด้านจำนวนและรูปแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค เพราะอาจเป็นผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ในคราวหลัง
โดยข้อควรพิจารณาสำหรับในการบริโภคเห็ดหลินจือดังเช่น
ลูกค้าทั่วไป.......
-ควรจะบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณที่พอดิบพอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจส่งผลให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจจะเป็นผลให้ได้รับอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจนำไปสู่ผลกระทบได้ อย่างเช่น ปากแห้ง คอแห้ง คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ป่วนปั่น ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มเหล้าองุ่นเห็ดหลินจืออาจนำไปสู่ผลกระทบเป็นอาการผื่นคัน
-การดมหายใจเอาเซลล์แพร่พันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการแพ้
คนที่ควรจะระวังสำหรับการบริโภคเป็นพิษ
คนที่ท้อง หรือกำลังให้นมบุตร ถึงแม้ยังไม่มีการยืนยันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรุ๊ปผู้ใช้นี้แม้กระนั้นคนที่ท้องแล้วก็คนที่กำลังให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายของตนเองและลูกน้อย
คนที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนป่วยบางรายที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุนั้น เพื่อลดความเสี่ยง ผู้เจ็บป่วยควรจะหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ อย่างต่ำ 2 อาทิตย์ก่อนวันผ่าตัด
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ
ความดันโลหิตต่ำ เห็ดหลินจืออาจนำมาซึ่งการทำให้ความดันเลือดต่ำลง ด้วยเหตุดังกล่าว คนไข้ภาวะความดันเลือดต่ำควรต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมากอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ด้วยเหตุนั้นคนไข้ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจึงไม่ควรบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์มีเลือดออกเปลี่ยนไปจากปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนเจ็บบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีสภาวะเลือกออกเปลี่ยนไปจากปกติอยู่แล้ว http://www.disthai.com/

5

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะยังไงนี่ เรากำลังดูหนังการทำศึกอยู่เหรอ เปล่าครับ บุกในที่นี้ไม่ได้ถึงศัตรูบุก แม้กระนั้นเป็นหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านเรา ต่างหาก และก็ที่จำเป็นต้องหนี ไม่ใช่ผู้ใดไหน แม้กระนั้นเป็นโรคฮอตได้รับความนิยมในปัจจุบันอย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่ต้องหนีไป
บุก ส่วนที่มองเห็นคือ หัวบุก ตอนแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็มิได้แพร่หลายหรือเป็นยอดนิยมเหมือนเวลานี้เพราะเหตุว่าจริงๆตอนแรกมันก็เป็นพืชพื้นบ้านอยู่ดี  คนในเขตแดนก็นำบุกมาทำครัว ราวกับเผือก ราวกับมันทั่วไปเพียงพอเริ่มมีคนมาศึกษาค้นคว้า   คุณประโยชน์ต่างๆของมัน เลยกลายเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยม มีการดัดแปลงเป็นรูปแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก แล้วก็อื่นๆอีกมากมาย วันนี้เองก็คงไม่ช้าเกินความจำเป็นที่จะนำทุกท่านมารู้จะ พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบลึกซึ้งมารู้จะบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นปีศาจ  น่าสยองนะครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากลักษณะของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อสกุล    ARACEAE
ชื่อตามแคว้น  :  บุกคุงคก (จังหวัดชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (จังหวัดปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
เราเจอบุกถึงที่กะไว้ไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่พบทั่วไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นกับตาม ชายป่า และก็ครั้งคราวก็พบตามพื้นที่ ปลูกข้าว อาทิเช่นที่ปทุมธานี และก็นนทบุรี ฯลฯ บุกขึ้นได้ในภาวะดินทุกประเภท แต่จะเจริญเติบโตได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินร่วนซุย น้ำไม่ขังและก็ดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
รูปแบบของต้นบุก
ลักษณะของต้น บุก ชี้ให้เห็นองค์ประกอบคือใบบุก และก็หัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ลักษณะเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ราวๆ 25 เซนติเมตร (บางพันธ์อาจเล็กมากยิ่งกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่ว่าบางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมอาหารของบุก
 ใบบุก  ลักษณะราวกับใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางชนิดมีก้านใย เป็นลวดลายบางชนิดมีหนามอ่อนๆ หรือบางโอกาสบุกบางชนิดก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวข้างบน  จะมีความเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่นานัปการมากมาย  แต่ว่าที่เด่นๆดูง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกึ่งกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีทรงแผ่กว้างแบบร่ม แต่ว่าบาง พันธุ์จะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนเสมือนหงายร่ม ด้วยเหตุดังกล่าวรูปแบบของใบบุก มีหลายรูปแบบขึ้นกับจำพวกของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าวัว แต่ละชนิดมีขนาด สี รวมทั้งรูป ทรงแตกต่าง บางประเภทมีดอกใหญ่มาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นราวกับเนื้อสัตว์เน่า บุกจำพวกอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกลางหัวบุก เหมือนกันกับก้านใบ บุกมักจะมีดอกในช่วงปลายฤดูแล้ง แม้กระนั้นบุกสามารถมีดอกได้ในช่วง เวลาต่างๆกัน ช่วงเวลาสำหรับเพื่อการแก่เต็มกำลัง ของดอกที่จะติดผลก็แตกต่าง
 ผลบุก (อย่างงมากกับหัวบุกนะ ) หลังจากดอก ผสมพันธุ์ก็จะเกิดผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะส่งผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายคล้ายผลกล้วย ผล ของบุกจำนวนมากจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ว่าเมล็ดด้านในแตกต่างกัน พบว่าส่วนมากมีเม็ดเป็นทรงอูมยาว  บุกบางประเภทก็มีเม็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาปรุงอาหาร
เป็นพืชอาหารพื้นบ้านซึ่งคนประเทศไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ส่วนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขตามแต่ละภูมิภาค ดังเช่นว่าทางภาคอีสาน มีการทำขนมที่เรียกว่าขนมบุก แกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคทิศตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วนำมานึ่งรับประทานกับข้าว ทางภาคเหนือโดยยิ่งไปกว่านั้นชาวเขา มักเอามา ปิ้งรับประทาน ภาคกึ่งกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งแล้วหลังจากนั้นก็ให้นำไปทำเป็นอาหารว่าง
*บุกมีหลายชนิดหลายจำพวก บางทีอาจขมและก็มีพิษ ทุกชนิดมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ในขณะที่ก้านใบรวมทั้งหัว ซึ่งอาจส่งผลให้คัน ก่อนนำมาทำกับข้าวจะต้องต้มเสียก่อน ไม่เช่นนั้นรับประทานเข้าไปทำให้คันปากและลิ้นพอง
ของกินที่แปรรูปมาจากบุก
ตอนนี้มีการนำบุกมาดัดแปลง อีกทั้งในลักษณะของเส้นบุก ซึ่งเป็นสินค้าแปรรูปจากท่อนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถนำมาปรุงเป็นของกินจานอร่อยได้ ผมว่าคนใดกันแน่เคยไปรับประทานเนื้อย่างคงเคยเจอบ้าง นอกจากเส้นบุกแล้วมีการเอามาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบได้รับความนิยมๆอดีตสมัย คือ เจเล่ ผสมผงบุก หากจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (ผู้ครอบครองบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าใช้จ่ายสำหรับโฆษณาด้วยครับผม)
คุณประโยชน์ของบุก
จากการเรียนพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูโคแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 ประเภท คือ ดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) รวมทั้ง (D-mannose) เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แม้กระนั้นร่างกายสลายตัวได้ยาก ดูดซึมได้ช้า จึงให้พลังงานแล้วก็สารอาหารน้อย เหลือกากมากมาย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี ผู้ที่อยากลดความอ้วนนิยมทานอาหารจากแป้งบุก ยกตัวอย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เนื่องจากกินอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ว่าไม่ทำให้อ้วน
ยิ่งกว่านั้นเองเจ้า สารกลูวัวแมนแนนนี้ สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ก็เพราะความรั้ง ซึ่งยั้งการดูดซึมของกลูวัวลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูโคลส ด้วยเหตุดังกล่าว กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดิบได้ดีมากมาย ปัจจุบันก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนเจ็บเป็นโรคโรคเบาหวาน รวมทั้งสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละครับผมคือผลดีจากบุก ลองหามาทานกันครับ มีคุณประโยชน์ขนาดนี้ ปัจจุบันไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว เสนอแนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นครับผม รับประกันอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

6

ขิง
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’เจอะ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
ขิง จัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆด้าน เพราะเหตุว่าอุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งธาตุที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อสภาพทางด้านร่างกายของพวกเรา ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต รวมทั้งเส้นใยจำนวนไม่ใช่น้อยอีกด้วย ซึ่งคุณประโยชน์ซึ่งมาจากขิงนั้น เราสามารถประยุกต์ใช้ได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น และผลก็ได้ทั้งนั้น
คุณประโยชน์ซึ่งมาจากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอดเยี่ยม
มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนไม่ใช่น้อย ช่วยชะลอความแก่และก็ชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยสำหรับการคุ้มครองปกป้อง ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต่อต้านการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ช่วยลดผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ใช้ในการรักษามะเร็ง ด้วยเหตุนี้ควรจะกินขิงควบคู่ไปกับการรักษามะเร็งจะเกิดผลดี
ขิง มีฤทธิ์อุ่น ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยสำหรับการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นใหม่ๆนำมาตีให้แหลกโดยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำดื่ม
ช่วยลดหุ่น ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากไส้ แล้วปลดปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะรวมทั้งไมเกรน ด้วยการกินน้ำขิงเสมอๆ
ช่วยลดความต้องการของผู้ติดสิ่งเสพติดลงได้
แก้ตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วนำมารับประทาน
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำดื่ม
ช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยทุเลาอาการโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจขุ่นหมอง (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับแม่หลังคลอดบุตร ด้วยการกินไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดราว 1 องคุลีนำมาต้มกับน้ำดื่ม ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้กินเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงนมของมารดา (ผล)
ช่วยทำให้นอนได้อย่างสบาย
การรับประทานขิงจะช่วยให้เลือดแข็งเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ประมาณครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วนำมาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
ช่วยแก้หวัด ทุเลาอาการไอ บรรเทาหวัดจับเสลด ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือเล็กน้อย
ละอองน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายเชื้อไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในคนป่วยที่มีลักษณะติดยาสลบหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการใช้ขิงสดเอามาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำ (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
ช่วยแก้ไขปัญหาผมตก หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนอุ่น แล้วนำมาตำให้แหลก นำมาพอกบริเวณที่มีผมหล่น วันละ 2 ครั้งจนถึงอาการ หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่ทำขึ้นมาจากมะกอกแล้วนำมาหมักผม นวดให้ทั่วหัวราวๆ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมร่วงได้เช่นเดียวกัน แถมยังช่วยทำให้ผมสวย แข็งแรง มีความนุ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยทำนุบำรุงสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา และก็ใช้แก้อาการตามัว (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้ง เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอเปื่อยยุ่ย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาทุบให้ถี่ถ้วนคั่วกับน้ำสารส้มกระทั่งไหม้เกรียม แล้วบดจนกระทั่งเป็นผุยผง แล้วเอามาพอกรอบๆฟันที่ปวดแก้เสลด เสมหะขาวเหลวปริมาณมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาภาวะน้ำลายมาก คลื่นไส้เป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นและก็เกลือเล็กน้อย นำมาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยทำนุบำรุงฟันรวมทั้งปกป้องการเกิดฟันผุ
ช่วยดับกลิ่นรักแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาทุบให้แหลก แล้วเอามาคั้นเอาน้ำมาทารักแร้เป็นประจำ จะสามารถที่จะช่วยในการกำจัดรอยคราบกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำกระทั่งแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งบางส่วน คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดประมาณ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลแดง นำมาตำจนกระทั่งถูกกัน แล้วรับประทาน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอาเจียน (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดโดยประมาณ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ เอามาตีให้แตกแล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดการคลื่นไส้อ้วกจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงมีครรภ์ไม่สมควรกินหลายครั้งจนเกินไป)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาทุบพอเพียงแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งไว้ราวๆ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้อของกิน
ช่วยรักษาอาการปวดในช่วงก่อนหลังเมนส์ ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วราว 30 กรัมมาต้มกับน้ำดื่มเป็นประจำ
ช่วยสำหรับการย่อยของกินได้อย่างมีคุณภาพ (ดอก)
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดแผลในกระเพาะ ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยสำหรับในการถ่าย และก็ช่วยในเรื่องของระบบไส้ให้ดำเนินการได้อย่างปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกลำไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วเอามาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดปัสสาวะ (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาเยี่ยวรดที่นอนในผู้เจ็บป่วยที่มีสภาวะหยางพร่อง มีความเย็นในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาลักษณะของการปวดข้อตามร่างกายด้วยการรับประทานขิงสดเสมอๆ
มีฤทธิ์ช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
แก้ไขปัญหาหนังที่มือลอกเป็นขุย ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วเอามาแช่เหล้า 1 ถ้วยชา ทิ้งเอาไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำแผ่นขิงมาเช็ดรอบๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นวันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมรอบๆหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว เอามาเผาผิวนอกจนเป็นถ่าน รอปาดถ่านที่เปลือกนอกออกไปเรื่อยๆแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูเอามาทาบริเวณที่เป็นแผลซึ่งถ้าหากว่าถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆนำมาวางทับรอบๆที่ถูกกัดจะช่วยบรรเทาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง เป็นต้น ช่วยปกป้องการแพ้อาหารทะเลจนเกิดผื่นคัน ลมพิษ หรืออาหารช็อกประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกบริเวณแผล เพื่อคุ้มครองการอักเสบรวมทั้งการเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
ในด้านการประกอบอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสอาหารได้อย่างดีเยี่ยม และสามารถช่วยขจัดกลิ่นคาวของของกินได้ดิบได้ดีอีกด้วย
ในด้านความสวยนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งตัวที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนยิ่งขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วนำมานวดบริเวณต้นขา ตูด หรือรอบๆที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความตะปุ่มตะป่ำของผิวได้อีกด้วย
สินค้าจากขิงนั้นเอามาดัดแปลงได้หลายชนิด ได้แก่ ขนมบัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว เป็นต้น

วิธีการทำน้ำขิง
กระบวนการทำน้ำขิงแนวทางการทำน้ำขิงลำดับแรกให้จัดเตรียมส่วนผสมดังต่อไปนี้ ขิงแก่ 1 กก. / น้ำตาล 1 ถ้วยตวง / น้ำที่สะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด เอามาตีให้แตก แล้วเอามาใส่ในหม้อต้ม เพิ่มเติมน้ำสะอาดลงไป เอาขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มกระทั่งน้ำเดือดและหลังจากนั้นก็ค่อยค่อยไฟลง เคี่ยวโดยประมาณ 20 นาทีกระทั่งน้ำขิงละลายออกมาจนหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วชูลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มน้ำตาลทรายแดงลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามสิ่งที่จำเป็น) แล้วคนจนเข้ากัน
เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วหลังจากนั้นก็สามารถเอามากินได้ โดยนำมาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าควรเพิ่มน้ำตาลมากกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากเกินไป เพราะว่ามีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่ควรใช้จำนวนที่เข้มข้นกระทั่งเหลือเกิน เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ เพราะเหตุว่าจะไประงับการบีบตัวของไส้ จนถึงทำให้ไส้หยุดการบีบตัว ฉะนั้นควรจะคั้นในปริมาณน้อยๆหรือดื่มจนชินก่อน
เรามักจะรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นของกินที่นิยมนำมาใช้สำหรับในการทำอาหารแล้วก็ทำเครื่องดื่ม ซึ่งอันที่จริงแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการบำบัดรักษาโรคต่างๆได้สารพัน นับได้ว่าเป็นตัวช่วยสำหรับการรักษาโรคได้อย่างยิ่งจริงๆ แต่ดังนี้เราก็ไม่สมควรจะหวังพึ่งสรรพคุณของขิงเพียงอย่างเดียวในการรักษาโรค ควรจะทำอันอื่นหรือดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของเราร่วมด้วยจะได้ผลลัพธ์ที่ดีนักแล
เรามักนิยมใช้ขิงแก่ เนื่องจากยิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน ก็เลยมีคุณประโยชน์ทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน แล้วก็ยังมีใยอาหารมากขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย แต่เพราะเหตุว่าขิงมีรสเผ็ด มีคุณลักษณะอุ่น จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีความร้อนภายในร่างกายอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่นผู้ที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกช่วงกลางคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากกว่าปกติ แต่ถ้าเกิดจะรับประทานควรรอบคอบเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรขิง

หน้า: [1]