ผ้าฝ้าย COTTON 100% นับว่าเหมาะที่สุดสำหรับนำมาผลิตเสื้อโปโล ด้วยคุณสมบัติของเนื้อผ้าที่นุ่ม เมื่อใส่แล้วจะสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน นอกจากนี้ เส้นใยที่ทอจากผ้าฝ้ายบังช่วยในเรื่องการระบายศอากาศได้ดีกว่าเส้นใยชนิดอื่น

เลือกเบอร์เส้นด้าย เพื่อนำมาผลิตเสื้อโปโล

เบอร์เส้นด้ายที่นำมาผลิตเสื้อโปโล https://www.sbgarment.com/ บอกถึงระดับความหนาของเส้นใย ยิ่งเบอร์มาก เนื้อผ้าก็ยิ่งละเอียด หากเป็นเสื้อที่ผลิตจากผ้าฝ้าย COTTON  100 % เบอร์ 20 ก็จะหมายความว่าเนื้อผ้ามีความหนามากกว่าเบอร์ 32 เพราะขนาดเส้นด้ายที่ใช้ใหญ่กว่าเบอร์ 32 เนื้อผ้าก็จะแข็งกว่า

ซึ่งเสื้อโปโล หรือเสื้อยืด COTTON 100 % ที่นำมาขายตามท้องตลาดทั่วไป ๆ นั้น ส่วนมากมักจะมีราคาค่อนข้างถูก สามารถจับต้องได้ง่าย เพราะจะมีการใช้ฝ้ายเบอร์ 20 มาผลิตนั่นเอง โดยจะนิยมมากกับเสื้อของผู้ชาย เนื่องจากเสื้อจะทรงตัว ไม่เข้ารูปจนเกินไป

เส้นด้าย เป็นตัวที่บ่งบอกคุณภาพการผลิตเสื้อโปโลได้

1. COTTON OE - หมายถึงกระบวนการผลิตเสื้อโปโลที่ไม่ผ่านการคัดคุณภาพเส้นใยฝ้าย เนื้อผ้าจึงมีความแข็ง กระด้าง ไม่ทนต่อการใช้งานมากนัก ขาดง่าย ซึ่งเสื้อแบบนี้จะใช้ต้นทุนต่ำ ราคาถูก และเป็นเสื้อเกรดต่ำที่สุด นิยมนำมาผลิตเป็นเสื้อยืดราคาถูก

2. COTTON SEMI – สำหรับกระบวนการผลิตเสื้อโปโลแบบนี้ จะดีกว่าข้างต้น เพราะเป็นกระบวนการผลิตที่โรงงานนิยมใช้ โดยจะมีการผลิตเส้นด้ายด้วยวิธีสางเส้นใยผ่านเครื่องจักร ข้อดีคือเส้นด้ายใยสั้น ที่มีขนาดเบอร์ 20 - 32 ที่นิยมนำไปใช้ผลิตเสื้อสวมใส่ ซึ่งกระบวนการผลิตแบบนี้ช่วยให้เนื้อผ้านุ่ม มีความกระด้างปานกลาง คุณภาพและราคาก็ปานกลางเช่นกัน

3. COTTON COMP – จัดเป็นกระบวนการผลิตเสื้อโปโลที่มีคุณภาพสูงสุด เนื่องจากผลิตด้ายด้วยวิธีหวีเส้นใยจากเครื่องจักร จึงทำให้ขั้นตอนมีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่ากระบวนการข้างต้น แต่ด้วยความซับซ้อนนี้เอง จึงทำให้ได้มาซึ่งเนื้อผ้าที่นุ่มละเอียด เพราะผลิคขึ้นจากเส้นด้ายขนาดเล็กเบอร์ 32 ขึ้นไป ที่เส้นด้ายยาวกว่า ขจัดสิ่งสกปรกได้ดีกว่า เนื้อผ่านุ่มไม่กระด้าง มีความทนทานสูง แต่ก็มีราคาแพงขึ้นด้วย.

“วิศวกรจากมหาลัย University of Adelaide, Chengbin Wu ออสเตรเลีย ใช้ผนังคอนกรีตกันระเบิดมาสร้างเป็นตึก ช่วยป้องกันก่อการร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ซึ่งโปรเจคนี้มีขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในสร้างและพัฒนาคอนกรีต ให้มีความแข็งแรงทนทานในระดับที่สูงขึ้น จนสามารถป้องกันและลดแรงกระแทก ซึ่งเป็นผลจากการระเบิดในรูปแบบต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ผนังคอนกรีตกันแรงระเบิด จะถูกพัฒนานำมาใช้ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างต่อไป

หนึ่งในทีมวิศวกรจากมหาวิทยาลัย University of Adelaide, Chenggin Wu ยืนยันว่า ผนังคอนกรีตกันแรงระเบิดที่ถูกพัฒนาขึ้นมา มีความแข็งแรงทนทานเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ก่อนสร้าง ซึ่งในอนาคตนั้นก็จะมีการพัฒนาต่อไป เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ ต่อไปได้

ผนังคอนกรีตกันแรงระเบิด จะช่วยลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นในทุกวัน

หัวทีมวิศวกร เผยว่า ผนังกันระเบิดต่างจากผนังคอนกรีตที่ขายทั่วไป http://www.ecolite.co.th/ เพราะมีความสามารถรองรับพลังงานของแรงกระทำได้มากกว่า จึงเป็นผลดีถ้านำไปประยุกต์ใช้เป็นส่วนประกอบของตึก อาคาร และสิ่งปลูกสร้างประเภทต่าง ๆ

รวมถึงสถานที่สำคัญของหน่วยงานรัฐบาล ที่ควรติดตั้งผนังคอนกรีตกันแรงระเบิด เป็นส่วนประกอบหลักในการก่อสร้างอย่างยิ่ง เพื่อรับมือกับภัยคุกคามของก่อการ้าย ที่นับวันเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การป้องกันสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ทั้งในประเทศออสเตรเลียหรือประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก จึงได้กลายมาเป็นสิ่งสำคัญในระยะเวลากว่า 10 ปีของการทดลอง

“สำหรับการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมผนังคอนกรีตกันแรงระเบิดดังกล่าวนี้ จะส่งผลให้ประเทศออสเตรเลีย สามารถยกระดับความความมั่นคงภายในประเทศ จากการก่อการร้ายรูปแบบต่าง ๆ ได้ ซึ่งถือว่าคุ่มค่ากับจำนวนที่เสียไปเป็นอย่างยิ่ง” หัวทีมวิศวกร กล่าว

ผนังคอนกรีตกันแรงระเบิดดังกล่าว ถูกจัดทำขึ้นผ่านความร่วมมือกันกับมหาวิทยาลัย University of Adelaide ร่วมกับ The Defence Science and Technology Organization (DSTO), VSL Australia และ State University of New York มาเป็นเวลากว่า 3 ปี จนสามารถพัฒนาวัสดุในการก่อสร้างชนิดนี้ขึ้นมาได้

นอกจากนี้ หัวทีมวิศวกร ยังกล่าวอีก ว่าทางมหาวิทยาลัย ยังคงมุ่นมั่นลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ต่อไป เพื่อการป้องกันโครงสร้างของอาคารจากแรงระเบิดอีก โดยการใส่สวนผสมของ อะลูมิเนียมที่เป็นโฟมลงไป เพื่อการซึมซับแรงระเบิดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ มีชื่อเรียกเต็มว่า “กระเบื้องยางหลังคาจากเศษพลาสติกและเศษยางรถยนต์” ฝีมือการคิดค้นของ สีสาวาตี เจ๊ะมามะ นักศึกษาชั้นปี 4 ภาควิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
 
ด้วยการนำเศษของเหลือใช้ หรือยางรถยนต์ที่หมดสภาพมาเพิ่มมูลค่า โดยนำไปทำกระเบื้องยางดังกล่าว ซึ่งมีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำและดูแล ทางด้านเจ้าของผลงานเผยว่า อุตสาหกรรมรถยนต์มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ หรือร้อยละ 70 ดังนั้น ปริมาณการใช้รถของคนไทยก็มีสูง และยางรถก็เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ผลิตขึ้นจำนวนมาก ขณะเดียวกันยางที่หมดอายุก็ถูกนำไปทิ้งมากขึ้นด้วย

จากการตรวจสอบพบว่า มียางรถยนต์ถูกทิ้งมากกว่า 1.7 ล้านตันต่อปี เช่นเดียวกับพลาสติกที่มีมหาศาล ซึ่งวัสดุทั้ง 2 ประเภทนี้ย่อยสลายได้ยากมาก หากนำกำจัดด้วยการเผาก็ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ปัญหาเหล่านี้ จึงกลายมาเป็นแนวคิดของสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว ด้วยการใช้เศษพลาสติกและเศษยางรถยนต์มารีไซเคิล เป็นส่วนประกอบ

กระเบื้องยางชนิดนี้ มีราคาที่ถูกและยังมาพร้อมกับข้อดีหลายประการ

ข้อดีของกระเบื้องที่ทำจากเศษพลาสติกและเศษยางรถยนต์ คือ นำมาปูได้ง่าย มีน้ำหนักโครงการเบา ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการก่อสร้างได้ด้วย เพราะมีราคาที่ถูกกว่ามาก ถ้าเปรียบเทียบกับกระเบื้องลอนคู่ นอกจากนี้ ยังสามารถขึ้นรูปให้เป็นแบบต่าง ๆ ได้ง่ายตามต้องการ

ซึ่งกระเบื้องประเภทนี้หลังจากถูกผลิตขึ้นมาจำหน่าย https://www.flooringthai.com/vinyl-floor.html  ก็ได้รับความนิยมกันมาก เนื่องจากเน้นไปที่การใช้งานตกแต่งส่วน ทำกำแพงหลังคา โรงจอดรถมากกว่าที่จะนำมามุงหลังคาบ้าน เพราะมันมีสีดำ ไม่สวยงามเหมือนกระเบื้องปกติทั่วไป

ที่สำคัญผลงานชิ้นนี้ ยังเป็นวัสดุราคาถูกพร้อมที่จะเข้าสู่ตลาด เพราะนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างคุ้มค่า โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ อีกทั้งยังหันมาใช้วัสดุธรรมชาติ หรือวัสดุรีไซเคิล เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ดี.