แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - dddd1752

หน้า: [1]
2


ราชพฤกษ์

คูน ประโยชน์รวมทั้งคุณประโยชน์ของคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
เรื่องราวดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้ประจำถิ่นของทวีปเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน ประเทศอินเดีย เมียนมาร์ แล้วก็ศรีลังกา โดยนิยมนำมาปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเติบโตได้ดิบได้ดีในที่โล่ง และก็มีชื่อเสียงในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ว่าก็ยังไม่ได้ผลสรุปแจ่มแจ้ง กระทั่งมีการลงชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ช่วงวันที่ 26 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2544
ดอกไม้ประจำชาติไทย
           ด้วยเหตุว่า ต้นราชพฤกษ์ มีดอกสีเหลืองยกช่อ มองสง่างาม ทั้งยังยังมีสีตรงกับ สีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เลยถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าอยู่หัว" รวมทั้งมีการเซ็นชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นเยี่ยมใน 3 สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และก็ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องจากฯลฯไม้พื้นเมืองที่รู้จักกันอย่างมากมาย รวมทั้งมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย
  • มีประวัติเกี่ยวเนื่องกับจารีตประเพณีสำคัญๆในไทยรวมทั้งเป็นต้นพืชที่มีความมงคลที่นิยมปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังคงใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ เป็นต้น
  • มีสีเหลืองสวยงาม พุ่มงามเต็มต้น เปรียบเทียบเป็นเครื่องหมายที่ศาสนาพุทธ
  • แก่ยืนนาน รวมทั้งคงทน


คูน หรือ ราชพฤกษ์ (Golden Shower, Indian Laburnum) เป็นพืชสมุนไพรจำพวกยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงกับขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกตามแคว้นต่างๆเป็นต้นว่า ภาคเหนือเรียก ราชพฤกษ์, ลมแล้ง หรือชัยพฤกษ์ ส่วนจังหวัดปัตตานีเรียก ลักเคย หรือลักเกลือ รวมทั้งกะเหรี่ยง-กาญจนบุรีเรียก กุเพยะ ฯลฯ ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นของเอเชียใต้ไปจนกระทั่งอินเดีย ศรีลังกา รวมทั้งพม่า รวมถึงคูนหรือราชพฤกษ์นี้ยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของไทยอีกด้วย
————– advertisements ————–
การดูแลและรักษา
           แสง : ต้องการแดดจัด หรือที่โล่งแจ้ง และเจริญวัยได้ดีในที่โล่งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ชอบน้ำน้อย ควรรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพภูมิอากาศร้อนได้ดิบได้ดี
           ดิน : สามารถเติบโตได้ดิบได้ดีในดินซึ่งร่วนซุย ดินร่วนซุยคละเคล้าทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมให้ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยคอก ในอัตรา 2-3 กิโลต่อต้น และควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
การขยายพันธุ์
           วิธีแพร่พันธุ์ต้น[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url]ที่นิยม คือ การเพาะเมล็ด โดยใช้เมล็ดใหม่ๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แต่ว่าจำเป็นต้องเลือกขลิบรอบๆด้านป้าน เพราะด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ แล้วหลังจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ข้ามวัน จึงค่อยเทน้ำออกให้เหลือปริมาณพอหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ แล้วต่อจากนั้นทิ้งเอาไว้อีกคืนก็จะพบรากผลิออก แล้วก็สามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อถือเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าฯลฯพืชที่มีความมงคล ที่ควรจะปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ และแม้ปลูกไว้ในบ้านจะช่วยทำให้มีเกียรติตำแหน่ง เกียรติ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยศาสตร์ โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ เนื่องด้วยเป็นไม้มงคลนาม
ลักษณะทั่วไปของคูน
สำหรับต้นคูนนั้นจัดว่าเป็นไม้ต้นขนาดกลาง โดยลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา มักขึ้นตามป่าผลัดใบ หรือในดินที่สามารถระบายน้ำได้ดี ส่วนใบจะมีสีเขียวเป็นเงา วัวนมน เนื้อใบเกลี้ยงและก็บาง ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบรูปทรงไข่กลับอยู่ 5 กลีบ รวมทั้งเห็นเส้นกลีบแจ่มกระจ่าง ฝักอ่อนมีสีเขียวและก็จะเป็นสีดำเมื่อแก่จัด และก็ในฝักจะมีผนังเยื่อบางๆกันเป็นช่องๆอยู่ตามแนวขวางของฝัก และก็ข้างในช่องเหล่านี้จะมีเมล็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ประโยชน์แล้วก็คุณประโยชน์ของคูน
ใบ – ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเชื้อโรคต่างๆช่วยระบายท้อง สามารถใช้พอกแก้ลักษณะของการปวดข้อ หรือแก้ลมตามข้อ รวมถึงช่วยแก้โรคอัมพาตของกล้ามเนื้อบนบริเวณใบหน้า หรือนำไปต้มรับประทานแก้เส้นพิการ และก็โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมอง ให้รสเมา
ดอกราชพฤกษ์ – ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ แก้พรรดึก (ท้องผูก) แล้วก็โรคกระเพาะอาหาร รวมทั้งแผลเรื้อรัง ให้รสขมเปรี้ยว
ราก – ช่วยสำหรับเพื่อการฆ่าเชื้อคุดทะราด ระบายพิษไข้ แก้กลากหรือโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึมหนักแถวๆศีรษะ และช่วยถ่ายสิ่งสกปรกสกปรกออกมาจากร่างกาย แก้อาการหายใจขัด ทำให้สดชื่นหน้าอก แก้อาการไข้ ไปจนถึงรักษาโรคหัวใจ ถุงน้ำดี มีฤทธิ์ถ่ายแรงกว่าเนื้อในฝัก สามารถใช้ได้กับเด็กหรือสตรีท้อง ไม่มีผลใกล้กันใดๆก็ตามให้รสเมา
แก่น – ช่วยสำหรับเพื่อการขับพยาธิไส้เดือน ให้รสเมา
กระพี้ – ช่วยแก้โรครำมะนาด ให้รสเมา
เนื้อในฝัก – ใช้พอกเพื่อช่วยแก้อาการปวดข้อ แก้ตานขโมย ปรับแต่งไข้มาลาเรีย แก้บิด ถ่ายพยาธิ หรือคนที่มีลักษณะอาการท้องผูกเรื้อรัง และก็ถ่ายเสมะรวมทั้งแก้พรรดึก (ท้องผูก) ไปจนกระทั่งระบายพิษไข้ สามารถใช้ได้ในเด็กรวมทั้งสตรีตั้งท้อง ไปจนถึงเป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนหรือไข้ท้อง ให้รสหวานเอียน
เปลือกฝัก – ทำให้แท้งลูก ทำให้อาเจียน และก็ขับรกที่ค้างอยู่ออกมา ให้รสฝาดเมา
เมล็ด – ทำให้คลื่นไส้ ให้รสเฝื่อนฝาดเมา
เปลือกต้น – ช่วยแก้อาการท้องเสีย ใช้ฝนผสมกับหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ และน้ำตาล รับประทานเพื่อกำเนิดลมเบ่ง ให้รสฝาดเมา
เปลือกราก – ช่วยแก้ไข้มาลาเรีย และก็ระบายพิษไข้ ให้รสฝาด
ดอกคูน หรือ ดอกราชพฤกษ์
ต้นคูนมักนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนและก็ครึ่งเขตร้อน สามารถเจริญเติบโตเจริญใน และปลูกได้ง่ายทั้งยังในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนคละเคล้าทราย หรือดินร่วนซุยเหนียว รวมทั้งยังทนต่อลักษณะอากาศแห้งแล้งและดินเค็มได้ดี แต่ว่าถ้าเกิดอากาศหนาวจัดอาจส่งผลให้ติดเชื้อโรคราหรือโรคใบจุดได้http://www.disthai.com/

3

ขิง
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ด้านนอกเหง้าเป็นน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักเอามาทำอาหารเพราะส่งกลิ่นหอม นอกนั้น ขิงยังใช้เป็นองค์ประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ รวมทั้งเครื่องสำอางทั้งหลายแหล่เช่นกัน ด้านผลดีต่อร่างกาย มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลากหลายชนิดมาอย่างช้านาน ดังเช่น โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารอย่างท้องร่วง มีแก๊สในกระเพาะ อาหารไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ อ้วก ไม่อยากกินอาหาร
คุณลักษณะของขิงมั่นใจว่ามีสารที่อาจช่วยลดอาการอาเจียนรวมทั้งลดการอักเสบ โดยนักวิจัยจำนวนมากคาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารและลำไส้ และสารนี้อาจมีผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการอ้วกด้วย แต่การสันนิษฐานดังที่กล่าวมาแล้วยังไม่กระจ่างนัก และคุณสมบัติด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งคุณประโยชน์ของขิงต่อร่างกายที่เราเชื่อกันนั้น ในขณะนี้ทางด้านวิทยาศาสตร์มีข้อมูลแจกแจงไว้ดังนี้
การดูแลและรักษาที่อาจสำเร็จ
อาการอ้วกอาเจียนที่เกิดจากการใช้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือเอดส์ คุณประโยชน์บรรเทาอาการอาเจียนอาเจียนของขิงบางทีอาจมีคุณประโยชน์ต่อคนป่วยโรคนี้ที่อยากได้รับผลกระทบจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการศึกษาคนไข้ปริมาณ 102 คน แบ่งให้กลุ่มหนึ่งรับประทานขิง 500 กรัม อีกกรุ๊ปกินยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในช่วง 30 นาทีก่อนจะได้รับยารักษาโรคเอดส์อย่างยาต่อต้านรีโทรเชื้อไวรัส เป็นเวลาทั้งหมดทั้งปวง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้อ้วกที่เกิดขึ้นจากการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีได้
อาการอ้วกอ้วกหลังจากการผ่าตัด ขิงบางทีอาจช่วยทุเลาอาการอาเจียนรวมทั้งคลื่นไส้จากการผ่าตัดได้เช่นกัน โดยการศึกษาเล่าเรียนทางวิทยาศาสตร์โดยมากชี้ว่าการรับประทานขิง 1-1.5 กรัม ในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนจะมีการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการคลื่นไส้อ้วกที่บางทีอาจเกิดขึ้นในระหว่าง 24 ชั่วโมงหลังได้รับการผ่าตัด
งานศึกษาเรียนรู้หนึ่งทดลองแบ่งผู้เจ็บป่วยปริมาณ 122 คนที่รับการผ่าตัดต้อกระจกให้กินแคปซูลขิง 1 กรัม แล้วก็อีกกรุ๊ปได้รับแคปซูลขิง 500 มก.แต่แบ่งให้ 2 ครั้งก่อนผ่าตัด ซึ่งผลพบว่าคนไข้ในกลุ่มข้างหลังมีอาการคลื่นไส้อาเจียนน้อยครั้งและก็มีความร้ายแรงของอาการน้อยกว่า โดยงานค้นคว้านี้พบว่าการใช้ขิงนั้นน่าจะให้สมรรถนะสูงสุดเมื่อกินบ่อยๆและก็สม่ำเสมอโดยแบ่งจำนวนการใช้
ยิ่งไปกว่านี้ การทดสอบทาน้ำมันขิงบริเวณข้อมือของคนป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยคุ้มครองอาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยราว 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งสิ้น แต่ว่าการใช้ขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมกับยาลดอาเจียนอ้วกนั้นบางทีอาจได้ผลได้ไม่ดีนัก และการใช้ขิงกับคนเจ็บที่มีความเสี่ยงต่อการอ้วกอ้วกน้อยอยู่แล้วก็บางทีอาจไม่ได้เรื่องเหมือนกัน
อาการแพ้ท้อง การกินขิงอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง ตัวอย่างเช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือเวียนศีรษะ ผลการศึกษาเรียนรู้ชิ้นหนึ่งที่ช่วยรับรองคุณสมบัตินี้เป็นการทดสอบในหญิงที่แก่ครรภ์น้อยกว่า 20 สัปดาห์ จำนวน 120 คน ซึ่งพบเจออาการแพ้ท้องทุกวันนานขั้นต่ำ 1 อาทิตย์ และไม่รู้สึกดีขึ้นแม้ว่าจะแปลงการกินอาหารแล้วหลังจากนั้นก็ตาม หลังจากรับประทานสารสกัดจากขิง 125 มก. ซึ่งเท่ากันกับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน ผลได้ชี้ให้เห็นว่าขิงบางทีอาจสามารถนำมาใช้ผลดีในฐานะการดูแลและรักษาลู่ทางต่ออาการแพ้ท้องได้
ถือว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาเรียนรู้ก่อนหน้าที่ชี้ว่าการรับประทานขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการอ้วกอาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการแพ้ท้องได้ แม้กระนั้นการใช้ขิงสำหรับคุณค่าด้านนี้บางทีอาจมองเห็นการรักษาได้ช้ากว่าหรือได้ผลดีไม่พอๆกับการใช้ยาแก้อ้วกอาเจียน ยิ่งไปกว่านี้ การเล่าเรียนเกี่ยวกับคุณสมบัติช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีข้อกำหนดและเจอผลลัพธ์ที่ไม่บ่อยนัก โดยมีบางการทดสอบที่ชี้ว่าขิงอาจมิได้มีส่วนช่วยสำหรับในการลดอาการแพ้ท้องเช่นเดียวกัน
อาการวิงเวียนศีรษะ อาการที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยการคลื่นไส้นี้บางทีอาจทุเลาให้ดีขึ้นได้ด้วยการใช้คุณค่าจากขิง จากงานศึกษาวิจัยที่ทดลองด้วยการให้ผู้ที่มีอาการบ้านหมุน และก็ตากระตุๆกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิรับประทานผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการเวียนหัวหัวได้อย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก แต่มิได้ช่วยลดระยะเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการศึกษาเล่าเรียนบางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีสรรพคุณลดอาการเจ็บที่เกิดจากโรคข้อเสื่อม จากการทดลองหนึ่งที่ให้คนเจ็บกินสารสกัดจากขิงชนิดหนึ่ง (Zintona EC) ในจำนวน 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดลักษณะของการปวดข้อเข่าภายหลังจากการดูแลรักษาตรงเวลา 3 เดือน ส่วนอีกงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าให้ผลลัพธ์สำหรับเพื่อการช่วยลดลักษณะการเจ็บขณะยืน ลักษณะของการเจ็บข้างหลังเดิน และก็อาการข้อติด
ยิ่งไปกว่านี้ มีการเรียนเปรียบเทียบความสามารถระหว่างขิงรวมทั้งยาแก้ปวด โดยให้ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบในกระดูกบั้นท้ายและก็ข้อเข่ากินสารสกัดขิง 500 มิลลิกรัมทุกเมื่อเชื่อวัน วันละ 2 ครั้ง ขิงได้ผลบรรเทาอาการปวดได้เสมอกันกับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มก. วันละ 3 ครั้ง รวมทั้งยังมีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่แนะนำว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงแล้วก็ส้มบางทีอาจช่วยบรรเทาอาการปวดรวมทั้งอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการเจ็บเข่าได้ด้วย
อาการปวดระดู นอกเหนือจากลักษณะของการปวดจากโรคข้อเสื่อม การศึกษาเล่าเรียนบางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณลักษณะช่วยทุเลาอาการปวดเมนส์ เช่น การทดลองในนิสิตมหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้รับประทานผงเหง้าขิงทีละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งในตอน 2 วันก่อนเริ่มมีเมนส์ต่อเนื่องไปจนถึง 3 วันแรกของการมีระดู รวมเบ็ดเสร็จเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความร้ายแรงของลักษณะของการปวดรอบเดือนได้อย่างมีนัยสำคัญด้านการเรียนเทียบคุณภาพของขิงและยาลดอาการปวดระดูอย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มก. ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มกินแคปซูลขิงหรือยาแต่ละชนิดในจำนวน 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีเมนส์ ผลปรากฏไปในทำนองเดียวกันกับการค้นคว้าวิจัยแรกหมายถึงขิงมีคุณภาพบรรเทาความร้ายแรงของลักษณะของการปวดรอบเดือนไม่ได้ต่างอะไรกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การดูแลและรักษาที่อาจไม่เป็นผล
อาการเมารถรวมทั้งเมาเรือ นับเป็นสรรพคุณของขิงที่มีการเอ่ยถึงกันมาก แต่ว่าขิงบางทีอาจจะช่วยลดอาการเวียนหัวได้ แต่ว่าสำหรับการวิงเวียนอ้วกที่เกิดขึ้นจากการเดินทางนั้น งานศึกษาเรียนรู้วิจัยโดยมากกล่าวว่าขิงบางทีอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง ดังเช่น การแบ่งกลุ่มให้นักเรียนนายเรือ 80 ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางสมุทรที่มีคลื่นแรง รับประทานเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอก ปรากฏว่ากรุ๊ปที่กินขิงนั้นมีลักษณะอาการคลื่นไส้รวมทั้งหน้ามืดน้อยลงจริงแม้กระนั้นอยู่ในระดับนิดหน่อยเท่านั้น หรือในอีกงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยที่ชี้ว่าการกินผงขิงในปริมาณ 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มก. ต่างไม่มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการคุ้มครองป้องกันอาการเมารถหรือการทำงานของกระเพาะที่เกี่ยวกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด
การรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการกำหนดประสิทธิภาพ
อาการอ้วกอาเจียนจากวิธีการทำเคมีบำบัด อีกหนึ่งคุณประโยชน์เป็นลดอาการคลื่นไส้รวมทั้งคลื่นไส้ ซึ่งมีการศึกษาเล่าเรียนด้านวิทยาศาสตร์ แต่หลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในคนเจ็บที่รับเคมีบำบัดรักษานั้นยังเป็นที่โต้วาทีกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้ใช่หรือไม่ การเล่าเรียนหนึ่งที่ชี้ถึงผลดีข้อนี้ของขิง โดยให้คนป่วยกินแคปซูลขิงที่ประกอบด้วยขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบำบัดรักษานานตลอดตรงเวลา 6 วัน พบว่า หรูหราความรุนแรงของอาการคลื่นไส้ที่เกิดขึ้นภายหลังการดูแลและรักษาน้อยกว่ากลุ่มที่มิได้รับประทานแคปซูลขิง แต่ว่าได้ผลได้ชัดในกลุ่มที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมแค่นั้น ส่วนกรุ๊ปที่รับประทานแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับได้ผลน้อยกว่า มีความหมายว่าการรับประทานขิงในปริมาณมากจึงอาจมิได้ทำให้อาการคลื่นไส้ดียิ่งขึ้นอย่างที่น่าจะเป็น
แต่ มีหลักฐานที่โต้แย้งข้อสนับสนุนดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นซึ่งเป็นงานวิจัยที่เปิดเผยว่าการกินขิงไม่ได้มีคุณภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้คลื่นไส้ ดังนี้ ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีต้นสายปลายเหตุมาจากจำนวนขิงที่ใช้ทดสอบนั้นไม่เหมือนกัน รวมถึงตอนที่เริ่มรักษาด้วยการใช้ ขิงจะนำมาใช้คุณประโยชน์ด้านการแพทย์ในด้านนี้แล้วเห็นผลหรือเปล่าอาจจะต้องมีการรับรองเพิ่มเติมถัดไป
เบาหวาน คุณลักษณะของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนไข้โรคเบาหวานในปัจจุบันยังมีผลการศึกษาเรียนรู้ที่ไม่แน่นอน งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยหนึ่งพบว่าการรับประทานขิง 2 กรัม นาน 12 สัปดาห์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด รวมทั้งสารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในคนเจ็บเบาหวานชนิดที่ 2 รวมถึงอาจช่วยลดการเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางจำพวกจากเบาหวานได้ ในเวลาเดียวกัน มีงานศึกษาวิจัยอื่นๆที่เสนอแนะว่าขิงนั้นมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง แต่กลับไม่เป็นผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางงานวิจัยพูดว่าขิงมีผลกับอินซูลิน แต่กลับไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ซึ่งผลการศึกษาวิจัยที่แตกต่างกันนั้นอาจมาจากปริมาณขิงหรือช่วงเวลาที่ผู้เจ็บป่วยได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคเบาหวานในแต่ละการทดลองนั้นแตกต่างกันนั่นเอง
อาหารไม่ย่อย มีการวิจัยเล่าเรียนสมรรถนะของขิงในคนเจ็บที่มีอาการอาหารไม่ย่อยจำนวน 11 คน โดยให้รับประทานแคปซูลที่ประกอบด้วยขิง 1.2 กรัมหลังจากการงดเว้นของกิน 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะมีการย่อยอาหารและก็มีการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย แต่ว่าการกินขิงนั้นไม่เป็นผลต่ออาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในลำไส้ อย่างไรก็ดี ผู้ร่วมการทดลองนี้มีจำนวนน้อย ทำให้ไม่บางทีอาจเจาะจงได้อย่างชัดเจนว่าขิงช่วยลดอาการของกินไม่ย่อยได้แน่นอนเพียงใด
อาการเมาค้าง เช้าใจกันว่าการดื่มน้ำขิงจะสามารถช่วยบรรเทาอาการเมาค้างซึ่งสำเร็จข้างเคียงจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับคุณประโยชน์ข้อนี้มีงานค้นคว้าแต่ก่อนที่แนะนำว่าการผสมขิงกับเปลือกด้านในของส้มเขียวหวาน และน้ำตาลก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการเมาค้างในตอนหลัง รวมถึงอาการอาเจียน คลื่นไส้แล้วก็ท้องร่วง แต่ การศึกษาดังที่กล่าวผ่านมาแล้วยังนับว่าไม่ชัดเจนอยู่มากมายและไม่อาจรับประกันได้ว่าเกิดจากขิงจริงๆหรือส่วนประกอบอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณลักษณะของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดสอบโดยให้คนป่วยที่มีสภาวะไขมันในเลือดสูงกินแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 กรัม ผลบอกว่าเมื่อเทียบกับผู้เจ็บป่วยกรุ๊ปที่กินยาหลอก ขิงมีประสิทธิภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะให้ผลดีจนถึงสามารถประยุกต์ใช้รักษาผู้ป่วยภาวการณ์นี้ได้หรือไม่อาจจำต้องคอยการศึกษาเล่าเรียนในอนาคตที่กระจ่างกันถัดไป
ลักษณะของการเจ็บกล้ามข้างหลังบริหารร่างกาย คุณสมบัติด้านการบรรเทาปวดรวมทั้งลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดอาการเจ็บจากการออกกำลังกายได้ด้วยหรือไม่นั้นยังคงไม่แน่ชัดรวมทั้งเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เหมือนกัน จากการทดลองหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมกินขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมอย่างต่อเนื่องนาน 124 ชั่วโมง พบว่าทั้งขิงสดและก็ขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะการเจ็บกล้ามจากการออกกำลังกายแบบหดยืดกล้ามได้ในระดับปานกลางไปจนถึงระดับมากมาย
ทว่าอีกงานค้นคว้าวิจัยหนึ่งกลับเจอผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ทำกิจกรรมออกกำลังกายยืดหดกล้ามแบบเดียวกัน รับประทานขิง 2 กรัมในตอน 24 ชั่วโมงแล้วก็ 48 ชั่วโมงหลังจากการบริหารร่างกาย พบว่ามิได้ส่งผลให้ลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อ การอักเสบ หรือเจ็บที่เกิดจากการบริหารร่างกายน้อยลง แม้กระนั้นนักวิจัยพบว่าการกินขิงอาจช่วยให้อาการเจ็บกล้ามเบาๆดียิ่งขึ้นในทุกๆวัน แม้บางทีอาจมองไม่เห็นผลประโยชน์ในทันที
ลักษณะของการปวดศีรษะไมเกรน มีการศึกษาเล่าเรียนกับคนป่วย 100 คน ที่เคยมีลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรนกระทันหันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/

4

ขิง
ข้อดีของสรรพคุณขิง
25 สรรพคุณดีๆของ’’ประโยชน์สำหรับเพื่อการรักษาโรค
1.ขิงสดช่วยลดความเจ็บตามข้อ ลดอาการเมื่อยกล้ามเนื้อ
2.ขิงมีสรรพคุณช่วยสมานแผล ฆ่าเชื้อโรคในแผลได้
3.ขิงช่วยให้สบายท้อง ขับลม แก้ท้องผูก
4.ขิงเป็นสมุนไพรที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียภายในร่างกาย ช่วยขับเสลด ทำให้หายใจสบาย
5.ขิงช่วยแก้อาการหน้ามืด หน้ามืด อาเจียน เมารถ เมาเรือ
6.ขิงช่วยสลายไขมัน และก็เป็นยาระบายอ่อนๆก็เลยแป็นต้นเหตุที่ทำให้ขิงช่วยลดความอ้วน ลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอลได้
7.ขิงช่วยบำรุงรักษาหัวใจ เหมาะกับผู้เจ็บป่วยโรคหัวใจ
8.ขิงช่วยแก้โรคลมพิษ แก้แพ้เกสรดอกไม้ และอาหารทะเลได้
9.คุณประโยชน์ซึ่งมาจากเนื้อขิงใหม่ๆทำมาทาแก้ผื่นคัน แก้แมลงกัดต่อยได้
10.ขิงช่วยบำรุงรักษาสายตา คุ้มครองป้องกันโรคตาแดง อาการน้ำในตามาก ตาฝ้าฟาง
11.ขิงเป็นสมุนไพรกำจัดกลิ่น ช่วยลดกลิ่นตัว
12.ขิงมีคุณประโยชน์แก้ฟันเหลือง ฟันพุ โดยนำขิงสดมาตำให้แหลก คั้นเอาน้ำผสมกับเกลือ น้ำอุ่น คนให้เข้ากัน นำมาอม กลัวปากบ่อยๆ แล้วลองสังเกตว่าอาการปวดจะเบาๆลดน้อยลง
13.มีคุณประโยชน์ลดกลิ่นปากได้ โดยนำขิงสดมาตำให้แหลก คั้นเอาน้ำผสมกับเกลือ น้ำอุ่น คนให้เข้ากัน นำมาอม กลั้วปากเสมอๆ ช่วย จัดการกับแบคทีเรียในปาก ลดปัญหากลิ่นปากได้อย่างยอดเยี่ยม
14.ขิงช่วยทุเลาลักษณะของการปวดไมเกรนได้ โดยให้กินน้ำขิงเป็นประจำ แล้วลองสังเกตว่าอาการปวดจะเบาๆลดน้อยลง
15.ขิงทุเลาโรคประสาทอาการโรคประสาท การกินน้ำขิงจะช่วยลดความมัวมันของหัวใจ
16.ขิงช่วยการไหลเวียนของน้ำนมคุณแม่ให้ดีขึ้น ควรเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสำหรับผู้หญิงให้นมบุตรอย่างดีเยี่ยม
17.ขิงช่วยบำบัดรักษาผู้ติดสิ่งเสพติดได้ โดยสรรพคุณของขิงมีส่วนช่วยลดความอยากเสพยาเสพติด
18.คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิงช่วยต่อต้านโรคมะเร็ง จากการศึกษาเรียนรู้พบว่าสาระสำคัญในขิงช่วยต้านการเจริญเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี
19.ขิงช่วยควมคุมความดันโลหิตได้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาความดันสูง แล้วก็ ความดันต่อ ควรฝานขิงสดมาต้มกับน้า ดื่มบ่อยๆ จะช่วยควบคุมความดันให้เป็นปกติ
20.คุณประโยชน์ของขิงช่วยผ่อมคลาย ช่วยทำให้นอนสบาย จึงเหมาะเป็นของกินสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ
21.ขิงช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ โดยช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น กำจัดเซลลูไลท์
22.ใบเละดอกของขิงช่วยแก้อาการขัดเยี่ยว ป้องกันโรคนิ่วได้
23.ขิงช่วยรักษาอาการมือ เท้าเย็นได้ เพราะขิงมีฤทธิ์ร้อน จึงช่วยปรับให้สมดุลภายในร่างกายได้
24.เหง้าขิงช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดแผลในกระเนื่องจากของกินได้
25.ขิงช่วยแก้อึกได้โดยตำขิงสดให้แหลกคั้นเอาน้ำแล้วผสมกับน้ำผึ้ง น้ำอุ่น คนจนเข้ากันดื่มแก้สะอึกได้
การดัดแปลงทางคลินิก
1.บรรรเทาอาการเจียนร้ายแรงใช้ขิงสดพอกที่จุดฝังเข็มไก่กวน(เหนือข้อมือใน 2 ชุ่น)ทิ้งเอาไว้โดยประมาณครึ่งชั่วโมงถึง  ชั่วโมงอาการจะดียิ่งขึ้น
2.ทุเลาอาการแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ต้มขิงสดที่ตำอย่างถี่ถ้วนกับน้ำ 300 มิลลิลิตร นาน 30 นาที กินวันละ 3 เวลา เป็นเวลา 2 วัน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร แล้วก็ลำไส้เล็กส่วนต้น พบว่าลักษณะของการปวดกระด้วยเหตุว่าลดน้อยลงหรือหายไป ความรู้สึกแสบท้องเวลาหิว มากท้องผูก หรือขี้สีดำ (มีความหมายว่ามีเลือดออก)ปกติ ความต้องการอาหารดีขึ้น (พบว่าคนไข้พวกนั้นจำนวนมากกลับเป็นซ้ำได้อีก ซึ้งอาจจะต้องรักษาตลอด หรือควบคุมต้นสายปลายเหตุอื่นๆร่วมด้วยจึงจะรักษาหายขาดได้)
3.รักษาโรคบิด ใช้ขิงสด 75 กรัม น้ำตาลทรายแดงตำเข้าด้วยกัน แบ่งกินเป็น 3 มื้อต่อตำหรับ
4.คุ้มครองรักษาอาการเมารถ เมารือ
-ใช้ขิงสดเป็นแผ่นปิดที่จุดไน่กวน(เหนือข้อมือด้านใน 2 ชุ่น(ใช้เหริยญ สตางค์ขนาดพอเหมาะพอควรปิดทับแล้วก็ใช้ปลาสเตอร์หรือยางยืดรัดไว้
-ใช้ขิงสด 25 กรัม ตำละเอียด คั้นเอาเฉพาะน้ำมันดื่ม (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
5.รักษาปัสสาวะรดที่นอนในผู้เจ็บป่วยที่มีภาวะหยางพร่อง มีความเย็นในร่างกายเป็นเหตุ
ให้ใช้ขิง 30 กรัม(ตำ)ยาสมุนนพงฟู่จื่อ 6 กรัม ปู่กู่จื้อ 12 กรัม บดคลุกจะกว่าจะเข้ากันฟอกในแอ่งสะดือ ใช้ผ้าก๊อซสะอาดปิดทับแล้วใช้ปลาสเตอร์ปิดให้แน่น
6.รักษาคอไส้อุดกันจากพยาธิตัวกลม
ใช้ ขิง [/b]สด 120 กรัม ตำละเอียด คั้นเอาน้ำขิงผสมกับน้ำผึ้ง 120 กรัม กินครั้งเดียว หรือเบาๆกินหมดด้านในครึ่งชั่วโมง การทดลองในคนไข้ 64 คน พบว่าสามารถลดอุดกั้นของลำใส้ร้ยละ 96.8 ฤทธิ์ในการขับพยาธิปริมาณร้อยละ 61.3
7.เป็นหวัดตัวร้อนจับไข้เนื่องไข้เนื่อง จากกระทบความเย็น ยกตัวอย่างเช่น โดนฝน โดนลม ทำให้หนาว จับไข้ต่ำ ให้หั่นขิงฝอย 30 กรัม

ชงกับน้ำตาล หรืออาจใส่หัวหอมทุบ 3-4 (ช่วยกระจายลม)ดื่มขณะร้อนๆแล้วคลุมผ้าให้เหงือออก
8.ฟื้นฟูร่างกายภายหลังคลอดบุตร นิยมให้หญิงข้างหลังคลอดบุตร นิยมให้หญิงข้างหลังคลอดกินไก่ผัดขิง โดยยิ่งไปกว่านั้นไก่ดำตัวผู้จะยิ่งมีหยางมากยิ่งกว่าไก่ตัวเมีย
ร่างกายของหญิงข้างหลังคลอดจะเสียทั้งพลังหยางและก็เลือด มีน้ำภายในร่างกายหลงเหลืออยู่มากมายการกินไก่ผัดขิงจะเสริมทั้งยังเลือดหยางช่วยให้การสรุปยดูดซึมอาหารดีขึ้น มีการขับระบายของเสียน้ำตกค้าง น้ำคร่ำเจริญขึ้นทำให้ร่างกายกลับสู่ภาวการณ์ธรรมดาเร็วขึ้น
ข้อควรไตร่ตรองสำหรับในการทานขิง
-อาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรซ้อนสำหรับในการมีครรภ์ได้
มีบางการศึกษาพบว่าขิงมีความเชื่อมโยงกับภาวะแทรกซ้อนในการมีท้อง และก็การแท้ง แต่สำหรับในการตั้งครรภ์รายอื่นๆนั้นๆไม่พบการกินขิงจะทำให้กำเนิดอาการพวกนั้นขึ้น แถมยังช่วยลดอาการคลื่นไส้จากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้คุณควรไปปรึกษาหมอก่อ่นจะที่ใช้ขิงสำหรับเพื่อการรักษาอาการแพ้ท้องด้วยตัวเอง
-ทำให้มีการเกิดแผลร้อนในภายในปากได้
ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน หากหารรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะสามารถเยื่อบุด้านในโพรงปากเกิดการอักเสบจนกระทั่งเป็นอาการร้อนในได้ โดยเหตุนี้ไม่ควรกินขุงมากจนกระทั่งเกินความจำเป็น
-ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด
การเรียนหนึ่งในหนึ่งในประเทศออสเตรเลียพบว่า ขิงนั้นมีสรรพคุณในการต่อต้านการแข็งตัวของเลือดมากยิ่งกว่ายาแอสไพริน สถานที่บันสุขภาพของออสเลียได้ออกคำเตือนเตือนให้งดการรับประทานขิงในตอนที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดเพราะว่าจะมีผลให้เกิดการเสี่ยงในการเกิดอาการห้อเลือดหรืออาการเลือดหรืออาการเลือดออกได้ ฉะนั้นถ้าเกิดคุณมีอากเลือดออกเลือดออกไม่ปกติหรือหรือกำลังใข้ยาละลายลิ่มเลือด ควรจะหลีก เลียงการรับประทานขิง
เมื่อทราบแบบนี้แล้ว หวังผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยที่กำลังคิดจะใช้ขิงช่วยทุเลาอาการโรคต่างๆก็น่าจะต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้น
เพราะเหตุว่าบางครั้งถ้าหากราใช้ ขิงในการรักษาโรคหนึ่งแต่ว่าก็อาจช่วยกระตุ้นให้อีกโรคนั้นอาการแย่ลงได้ ด้วยเหตุนั้นน่าจะกินขิงให้ละเอียด แต่ว่าถ้าเกิดยังคลุมเคลือล่ะก็ ควรจะปรึกษาจากแพทย์ก่อนเสมอ

Tags : สมุนไพรขิง

5

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลยังไงต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันสูง และก็โรคอื่นๆอันแสนเหนื่อยที่จะรักษา ติดตามผลการค้นคว้ารับรองสรรพคุณได้ในเนื้อหานี้ค่ะ
บทความกลุ่มนี้อ้างอิงสรรพคุณของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยยืนยันจากที่ต่างๆเพื่อให้เพื่อนได้พินิจพิเคราะห์ด้วยตัวเองว่ารักษาโรคก้าวหน้าแค่ไหนและน่าไว้วางใจเท่าใด ถ้าหากเพื่อนฝูงๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรือการค้นคว้าเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเท่าใดหรือเปล่าเข้าใจ บทความในเว็บแห่งนี้ผู้เขียนได้คัดและก็เก็บรวบรวมจากหลายที่รวมทั้งเขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำเป็น
สหายๆชอบเนื้อหานี้ก็จะเป็นอย่างยิ่งจิตใจให้ผู้เขียนได้บทความดีๆให้สหายอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่สหายๆต้องชอบ
ระบบภูมิต้านทานเป็นกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีแปลกปลอม เซลล์มะเร็ง และสิ่งแปลกปลอมอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อสถาพทางร่างกายพวกเรานั้นเอง ฉะนั้นถ้าเกิดเพื่อนๆมีระบบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่เจ็บป่วยง่าย หรือหากป่วยไข้ก็จะรู้สึกตัวเร็ว แต่ถ้าระบบภูมิต้านทานไม่ดีก็จะเจ็บป่วยบ่อยรวมทั้งเป็นหนักกว่าคนที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวนี้แล้วสหายๆคงจะเห็นจุดสำคัญของการมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกันแล้ว
คนจีนโบราณใช้[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]มาเป็นเวลานานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ในยุคนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าทำไมคนที่ทานเห็ดหลินจือถึงแก่ยืนรวมทั้งแข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค ขณะนี้พวกเราสมารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถสร้างเสริมภูมิต้านทานให้กับเราได้จริง สารกรุ๊ปดังที่กล่าวมาแล้วสามารถกระตุ้นการสร้าง Interleukin แล้วก็ Immuoglodulin ซึ่งนำมาซึ่งการทำให้ระบบภูมคุ้มกันดีและแข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิต้านทานที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านทานวรัส เซลล์ของโรคมะเร็ง และก็จำกัดสารอนุมูลอิสระก้าวหน้าขึ้น นอกเหนือจากนั้นยังช่วยทำให้ผู้ที่ถูกผลกระทบที่โดนยาต้านมะเร็งบางตัวและการทำคีโมกดภูมิต้านทานให้มีระบบระเบียบภูมิคุ้มกันดีขึ้นอีก แล้วก็เห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต่อต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กรุ๊ปดังกล่าวข้างต้นเป็นกลุ่ม Bitter Triterpenoids
A
นักค้นคว้าได้ศึกษาค้นพบสารหลากหลายประเภทในเหล็ดหลินจือที่ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นโลหิตหมายถึงGanoderic Acid และก็ Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 ประเภทที่ได้กล่าวผ่านไปแล้วก่อนหน้านี้ เว้นเสียแต่ช่วยลดไขมันในเส้นโลหิตได้แล้ว ยังคุ้มครองป้องกันไม่ให้ไขมันตันเส้นเลือดได้โดยตรงอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสารกลุ่ม Nucleotide ที่สามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นโลหิต และก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นทดสอบให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับผู้ที่เป็นโรคไขมันเส้นเลือดสูง 70 ราย แล้วก็กระทำการเก็บผลการทดสอบหลังจากผ่านไป 3 เดือน พบว่าโคเรสเตอรอลของคนรับการทดสอบลดน้อยลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลที่ได้รับจากการวิจัยจากทั่วโลก แล้วก็ยังพบว่าเห็ดหลินจือ เว้นแต่ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นโลหิตแล้ว ยังทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้นอีกด้วย
โดยเหตุนี้ ก็เลยอาจจะกล่าวว่า สิ่งพิสูจน์ทางคุณสมบัติรวมทั้งคุณประโยชน์ซึ่งมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง การค้นคว้าวิจัยเป็นการทดลองขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแค่การทดลองในผู้เจ็บป่วยบางกลุ่มแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง จึงยังคงเป็นประเด็นการค้นคว้าที่ควรปฏิบัติงานทดลองถัดไป เพื่อให้ได้สำเร็จลัพ์ที่แจ่มแจ้ง รวมทั้งเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยมะเร็งได้ในอนาคต

ภาวะต่อมลูกหมากโต และก็การเจ็บป่วยในระบบทางเดินเยี่ยว
มีกรรมวิธีการทดสอบหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในผู้เจ็บป่วยเพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีอาการเยี่ยวติดขัด ข้างหลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ ผลที่ได้เป็น ผู้ป่วยต่างมีระดับคะแนน IPSS ที่ดียิ่งขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับในการวัดปัญหาในระบบฟุตบาทปัสวะของผู้ป่วยจากการตอบคำถาม กลับไม่ปรากฏผลในเชิงความเคลื่อนไหวคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากอะไร
ด้วยเหตุนี้ การทดสอบดังกล่าวจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่กระจ่างเพียงพอ จึงควรมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่แจ่มกระจ่างสำหรับการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลและรักษาภาวการณ์ต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยว
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดสอบทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนป่วยโรคเบาหวานจำพวก 2 เข้าร่วมทดสอบกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่มีผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะสนับสนุนผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่พอเพียงสำหรับการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจืออย่างเดียวกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลข้างเคียงจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนไข้บางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
ด้วยเหตุนั้นจะต้องมีการค้นคว้าทดสอบถึงสมรรถนะของเห็ดหลินจือสำหรับในการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆพวกนี้เพื่อป้องกันและก็การดูแลรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจต่อไป และให้ได้การแจ้งชัดชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวมาข้างต้นมากขึ้น อันเป็นคุณประโยชน์ต่อแนวทางการรักษาคุ้มครองป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจรวมทั้งอาการต่างๆที่เกี่ยวโยงถัดไปในอนาคต

6

บุก
บุก มีสรรพคุณ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต รักษาโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสลด แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีระดูมาเปลี่ยนไปจากปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาแล้วก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาพารา แก้บวมช้ำ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับประจำเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี
บุก มีชื่อสามัญว่า Konjac อ่านออกเสียงว่า คอน-จัค มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch ชื่อเรียกอื่นๆของบุก ได้แก่ บุกคุงคก เบีย เบือ มันซูรัน หัวบุก บุกคางคก บุกหนาม บุกหลวง หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว แพทย์ยื่อ เป็นต้น
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์ของต้นบุก
ต้นบุก ถือเป็น ไม้ล้มลุกชนิกหนึ่ง เป็นไม้เนื้ออ่อน รูปแบบของลำต้นอ้วนแล้วก็มีสีเขียวเข้ม ใบบุกเป็นใบคนเดียว ซึ่งใบของบุกจะแตกใบที่ยอดรวมทั้งใบแผ่ขึ้นเหมือนร่มกาง ดอกของบุกจะมีสีเหลือง จะบานในตอนเย็น มีกลิ่นแรง ลักษณะราวกับดอกหน้าวัว
ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนบางส่วน หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและก็กิ่งก้านมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปนเปอยู่
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีปริมาณยาวราวๆ 15-20 ซม.
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกคนเดียว ลักษณะของดอกเป็นทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
สรรพคุณของบุก
สำหรับคุณประโยชน์ของบุก พวกเรานิยมใช่ประโยน์ทางยาของบุก จาก หัว รากและเนื้อของลำต้น เนื้อหา ดังนี้
หัวบุก มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต รักษาโรคโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีรอบเดือนมาแตกต่างจากปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟลุกรวมทั้งน้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาแก้ปวด แก้บวมช้ำ
รากของบุก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับระดูของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี

ข้อควรคำนึงสำหรับการบริโภคบุก
สำหรับข้อห้ามสำหรับเพื่อการรับประทานบุกหมายถึงหัวบุกจะมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ แล้วก็ระบบทางเดินอาหาร ด้วยเหตุนี้ ในกลุ่มคนที่ ม้าม ตับ แล้วก็ระบบทางเดินอาหาร ไม่ดี ควรจะหลบหลีกกิน และไม่กินมากจนเกินความจำเป็น ซึงข้อควรไตร่ตรองสำหรับในการบริโภคบุก มีเนื้อหาดังนี้
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เป็นจำนวนมาก ที่ทำให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองแล้วก็คันปากได้
ก่อนนำมารับประทานต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด
กรรมวิธีกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำเพียงพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นหนแรก แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวมาข้างต้นสำหรับเพื่อการทำกับข้าวหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้หากอาการเป็นพิษจากการรับประทานบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วและก็ตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เนื่องจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกวันหลังการรับประทาน แม้กระนั้นให้กินก่อนกินอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่สร้างขึ้นจากวุ้น อย่างเช่น วุ้นก้อนและก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังอาหารได้ เนื่องจากวุ้นดังกล่าวได้ผ่านวิธีและได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และการการที่จะขยายตัวหรือขยายตัวได้อีกนั้นจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณประโยชน์ทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องด้วยไม่มีการเสื่อมสลายเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินและแร่ หรือสารอาหารอะไรก็ตามที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดลง ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แม้กระนั้นจะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจจะทำให้มีอาการท้องร่วงหรืออาการท้องอืด มีลักษณะหิวน้ำมากกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการอ่อนแรงเพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้http://www.disthai.com/

หน้า: [1]