แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - sdfi5dsf1q2d1

หน้า: [1]
1

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี


รากพญายอ
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
http://www.disthai.com/

2

บัวบก
ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่เราต่างรู้จักกันดีในฐานะของผักพื้นเมือง นิยมเอามากินกับน้ำพริกหรือเมนูอาหารต่างๆแบบสดๆและยังนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบกเพื่อดับหิว แก้บอบช้ำใน แล้วก็เพื่อช่วยบำรุงรักษาร่างกาย ซึ่งจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบเอเชียเรานี้เอง ด้วยคุณประโยชน์ที่หลากหลาย ก็เลยทำให้มันเป็นยารักษาโรครวมทั้งตัวช่วยเลี้ยงดูสุขภาพ ในตอนนี้เริ่มมีการทำวิจัย สกัดสารสำคัญในใบบัวบกประยุกต์ใช้สำหรับการรักษาในรูปของยาแคปซูล รวมทั้งบัวบกผงสำหรับชงดื่มอีกด้วย
รูปแบบของใบบัวบก
บัวบก มีชื่อเรียกทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica อยู่ในวงศ์ Umbelliferae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกันกับผักชี ส่วนชื่อท้องถิ่นถูกเรียกในชื่อที่หลากหลาย ดังเช่นว่า ผักแว่น ผักหนอก รวมทั้งกะโต่ เป็นต้น  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นพืชล้มลุก มีกอติดอยู่กับพื้นดิน ลำต้นจะเลื้อยแพร่กิ่งก้านไปตามพื้นดินในแนวระดับ มีอายุยืนยาวได้นานนับเป็นเวลาหลายปี การแตกรากแล้วก็ใบจะเกิดขึ้นตามข้อ ลักษณะเป็นใบผู้เดียว มีรูปร่างเสมือนไต จะออกเป็นกรุ๊ปตามข้อ ขอบใบหยัก มีก้านใบยื่นยาวออกมา ดอกเป็นสีม่วงปนแดง ผลแบน ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อขนาดเล็กโดยประมาณ 3-4 ดอก มีเอกลักษณะเฉพาะในเรื่องของกลิ่น แล้วก็รสชาติที่ขมผสมหวาน
คุณประโยชน์ซึ่งมาจากใบบัวบักที่นิยมนำมากิน
เราอาจเคยชินว่าบัวบกเป็นพืชสมุนไพรแก้บอบช้ำในเป็นหลัก แต่จริงๆแล้วสมุนไพรจำพวกนี้มีประโยชน์ในการรักษาอีกนานัปการ ไม่ว่าจะเป็น การรักษาโรคลมชัก โรคผิวหนัง ท้องร่วง รักษาโรคในกระเพาะ ช่วยบำรุงรักษาสมอง และก็ช่วยเพิ่มความจำ เป็นต้น การรับประทานใบบัวบกแบบใหม่ๆจะก่อให้ร่างกายได้สารสำคัญหลายแบบ ที่พบบ่อยเป็น "สารไกลโคไซด์" (Glycosides) ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่ผลเข้าไปขัดขวางการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมถอยภาวะของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย มีส่วนช่วยเร่งการผลิตคอลลาเจนที่ผิว กระดูก และเอ็น ทำให้แผลสมานตัวเข้าหากันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
คุณประโยชน์ของใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานเป็นต้นดิบๆหรือนำมาคั้นเป็นน้ำดื่ม ล้วนมีคุณประโยชน์ทางยาที่ไม่ได้มีความแตกต่างกัน
เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาเย็น จะช่วยลดการเกิดอาการร้อนใน ช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม ในกลุ่มสตรีที่อยู่ในวัยใกล้หมดระดู คนที่ต้องใช้สมองสำหรับเพื่อการทำงานมากๆใบบัวบกจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความจำได้ดี ช่วยลดความเครียด ลดการอักเสบที่ผิวหนัง อาการฟกช้ำดำเขียวและร่องรอยไม่ดีเหมือนปกติที่เกิดบนผิวหนัง นอกจากนั้นผู้ที่บริโภคใบบัวบกข้างหลังการผ่าตัด จะช่วยให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น และลดการตำหนิดเชื้อได้
คุณประโยชน์ของบัวบกกับผลวิจัย
งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยได้พูดถึงบัวบกเอาไว้ว่า เป็นพืชที่มีคุณประโยชน์เด่นในด้านการบำรุงสมองเช่นเดียวกันกับแปะก๊วย ช่วยกระตุ้นสมองสำหรับการจำสิ่งต่างๆเจริญขึ้น แล้วก็ช่วยความเจริญศึกษาทางสมอง และด้วยลักษณะพิเศษพวกนี้ทำให้มันแปลงเป็นพืชที่ถูกจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกที่มีหน้าที่่ช่วยเพิ่มความจำ
จากการทดสอบในลูกหนู พบว่ามีความจำและก็การเล่าเรียนที่ ส่วนในคน มีการทดสอบในเด็กพิเศษ ด้วยการกินบัวบกวันละ 500 มก. ต่อเนื่องกัน 3 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่ามีความเข้าใจในการศึกษาที่ดียิ่งกว่า ส่วนในคนวัยชราให้ทดลองรับประทานสารสกัดบัวบก 750 มก. ต่อเนื่องกัน 2 เดือน พบว่า อีกทั้งความจำแล้วก็การเรียนรู้ ทั้งยังยังช่วยลดอารมณ์ผันแปร ทำให้คนสูงอายุมีอารมณ์ดีมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ในรายที่เป็นวัยทำงาน ได้ทำการทดสอบกับเพศหญิงอายุราว 33 ปี กินสารสกัดบัวบก 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง พบว่าช่วยลดความตึงเครียด ความรู้สึกกังวลใจ และภาวะเศร้าหมองลงได้
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงระดับเซลล์ เจอแนวทางการทำงานของสารสกัดบัวบกที่ตรงเข้าออกฤทธิ์กับสมอง ช่วยทำให้การหายใจระดับเซลล์ด้านในสมองดำเนินการได้ดิบได้ดีขึ้น มีสารต่อต้านอนุมลอิสระ ช่วยสร้างสมดุลสารสื่อประสาท และต่อต้านการเสื่อมสภาพของเซลล์สมองได้
การนำใบบัวบกมาใช้บริโภคเพื่อเป็นยา
บัวบกสามารถประยุกต์ใช้เป็นยาได้นานัปการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของต้นสด เม็ด หรือใบ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบประยุกต์ใช้มากที่สุด การเลือกใบบัวบกที่ดี ควรที่จะเลือกใบที่โตสุดกำลังและก็บริบูรณ์ ประยุกต์ใช้ตากแห้งป่นเป็นผุยผงใส่ลงในแคปซูลประมาณ 500 มิลลิกรัม กินเป็นยาบำรุงร่างกาย
นำเอาใบบัวบกสด 1 กำมือ มาคั้นให้ได้น้ำ หรือตำให้รอบคอบแล้วผสมกับน้ำ 1 แก้ว คนจนเข้ากันจากนั้นกรองให้เหลือแต่น้ำ ผสมน้ำตาลหรือเกลือก็ได้ตามชอบ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหารอีกทั้ง 3 มื้อ ประมาณ 5-7 วัน จะช่วยลดอาการร้อนในและก็แก้บอบช้ำในได้
ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ให้สามารถดื่มน้ำใบบัวบกทุกวี่ทุกวัน ติดต่อกันโดยประมาณ 7 วัน จะช่วยลดระดับความดันให้อยู่ในระดับธรรมดา
เมล็ดของบัวบกที่มีรสขมและก็เย็น นิยมประยุกต์ใช้แก้ไข้ ลดลักษณะของการปวดศีรษะ และก็แก้บิด

สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับเพื่อการใช้ใบบัวบก
ก่อนกินใบบัวบกเพื่อเป็นยา ต้องพิจารณาสุขภาพกายของตนก่อนว่าฐานรากแล้วมีโรคประจำตัวอะไรที่มีความเสี่ยงหรือไม่ เนื่องจากว่าสารบางชนิดในใบบัวบก จะเข้าไปทำให้ลักษณะของโรคกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อยๆได้
เนื่องด้วยบัวบกเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น การรับประทานมากเกินความจำเป็นจะก่อให้สะสมในร่างกายจนกระทั่งรู้สึกหนาวมากยิ่งขึ้นได้
หลีกเลี่ยงการกินใบบัวบกต่อเนื่องกันทุกวี่วัน หรือรับประทานทีละมากๆเมื่อรับประทานต่อเนื่องกันราวๆ 1 อาทิตย์แล้ว ก็ควรจะพักผ่อน 1 อาทิตย์ แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยกลับมารับประทานใหม่
สำหรับผู้ที่รับประทานใบบัวบกสดๆติดต่อกันทุกวี่ทุกวัน ควรจะกินในรูปทรงโดยประมาณวันละ 3-6 ใบ ไม่สมควรเกินไปกว่านี้
แม้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย เวียนหัว ใจสั่น หรือหัวใจเต้นแตกต่างจากปกติ รู้สึกคันตามผิวหนัง ท้องเดิน หลังจากการกิน ควรหยุดรับประทานโดยทันทีแล้วก็รีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
ในกลุ่มของผู้คนที่จำเป็นต้องรับประทานยาแก้แพ้ ยานอนหลับ หรือยากันชัก ไม่สมควรกินใบบัวบก เพราะว่าจะยิ่งไปเพิ่มฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงซึมเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ใบ[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]บัวบก[/url]เป็นพืชสมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายทั่วๆไปตามตลาด มีราคาถูก แม้กระนั้นเยอะแยะด้วยคุณประโยชน์ทางยา ที่จะเป็นหนทางสำหรับเพื่อการรักษาโรคต่างๆรวมทั้งใช้สำหรับบำรุงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ http://www.disthai.com/

3

กระเทียม
กระเทียมกับประโยชน์ต่อร่างกาย
กระเทียม เป็นไม้ล้มลุกที่มีหัวลักษณะเป็นทรงกระเปาะอยู่ใต้ดินเหมือนกันกับหัวหอม ซึ่งแต่ละหัวจะประกอบด้วย 6-10 กลีบ นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงเข้าครัว กระเทียมเป็นพืชที่ออกจะไม่เหมือนกับพืชทั่วๆไป เพราะเหตุว่าอุดมไปด้วยกำมะถันหรือซัลเฟอร์ในจำนวนมาก นอกจากนั้นกระเทียมประกอบไปด้วยสารอาหารฯลฯ เป็นต้นว่า อาร์จีนีน (Arginine) โอลิโกแซ็คคาไรด์ (Oligosaccharides) ฟลาโวนอยด์ (Flavoniods) แล้วก็ซีลีเนียม (Selenium) ซึ่งล้วนเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย
กระเทียม
หลายท่านอาจจดจำกระเทียมได้จากกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเกิดจากสารอัลลิสิน (Allicin) นอกจากจะทำให้กระเทียมมีกลิ่นที่สะดุดตาแล้ว อัลลิซินยังเป็นสารออกฤทธิ์หลักที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมทั้งอาจมีส่วนช่วยรักษาโรคหรือทำให้อาการต่างๆดียิ่งขึ้น โดยที่หลายท่านเชื่อว่าการกินกระเทียมอาจช่วยทุเลาอาการที่เกี่ยวกับหัวใจแล้วก็เส้นเลือด ความดันโลหิต คอเลสเตอรอล บรรเทาหวัด รวมทั้งใช้น้ำมันกระเทียมเป็นยาทาภายนอกเพื่อรักษาอาการติดโรคทางผิวหนัง เล็บ หรือช่วยรักษาอาการผมตกอีกด้วย
ทั้งนี้สิ่งที่ใช้พิสูจน์หรือหลักฐานด้านการแพทย์มีมากน้อยเท่าใดที่จะช่วยยืนยันคุณประโยชน์ ประโยชน์ แล้วก็ความปลอดภัยของการกินกระเทียมที่มีบทบาทหรือส่วนช่วยสำหรับการรักษาโรคเหล่านี้
ความดันเลือดสูง อัลลิสินซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่พบได้ในกระเทียมสดหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาการที่มีส่วนประกอบของกระเทียม อาจมีส่วนช่วยผ่อนคลายของกล้ามเนื้อเรียบที่เรียงหน้าในเส้นเลือดและก็ส่งผลให้เส้นเลือดขยายตัวและทำให้ระดับความดันเลือดลดต่ำลง ซึ่งสอดคล้องกับการทดลองชิ้นหนึ่งให้ผู้ป่วยที่หรูหราความดันเลือดสูงโดยที่มีค่าความดันซิสโตลิก (Systolic Blood Pressure: SBP) มากยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 140 ไม่ลลิตรปรอท กินกระเทียมบ่มสกัด (Aged Garlic Extract: AGE) ขนาด 960 มก. ตรงเวลา 12 อาทิตย์ พบว่าค่าความดันซิสโตลิกลดลดลงมากยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่กินยาหลอก จึงอาจจะบอกได้ว่าการกินกระเทียมบ่มสกัดอาจมีสมรรถนะในการรักษาผู้เจ็บป่วยความดันเลือดสูงได้ดีกว่ายาหลอก
ต่อให้มีการทดสอบอีก 2 ชิ้นที่บ่งบอกถึงถึงสมรรถนะของกระเทียมในการลดความดันเลือดได้ดียิ่งไปกว่าการใช้ยาหลอก แต่ว่าด้วยเหตุว่าผลการทดลองบางทีอาจยังไม่ถูกต้องเพียงพอที่จะสรุปคุณภาพของกระเทียมได้ว่าสามารถรักษาหรือลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและก็หลอดเลือดในคนเจ็บความดันโลหิตสูง ก็เลยยังจึงควรศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมอีกเพื่อรับรองสมรรถนะที่แน่ชัดยิ่งขึ้น
โรคมะเร็ง ความเกี่ยวเนื่องของการบริโภคกระเทียมรวมทั้งความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งยังไม่กระจ่างแล้วก็ยังคงเป็นที่โต้เถียงกันอยู่ ซึ่งจะมองเห็นได้จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยชิ้นหนึ่งที่ให้ชาวจีนทั้งสิ้นศชายแล้วก็ผู้หญิงที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะจำนวนกว่า 5,000 คน รับประทานสารอัลลิทริดินขนาด 200 มก.ต่อวัน ร่วมกับสารซีลีเนียมขนาด 100 ไมโครกรัมวันเว้นวัน ซึ่งล้วนเป็นสารสกัดที่ได้จากกระเทียม โดยการทำการทดสอบเป็นเวลา 5 ปี และเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่รับประทานยาหลอกแล้วพบว่ากลุ่มที่รับประทานสารอัลลิทริดินร่วมกับสารซีลีเนียมเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกลดน้อยลง 33 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารต่ำลงถึง 52 เปอร์เซ็นต์
แต่ มีการศึกษาค้นคว้าอีก 19 ชิ้นทำให้เห็นว่า ยังไม่พบหลักฐานที่น่าไว้ใจถึงที่เหมาะจะช่วยสนับสนุนความเกี่ยวเนื่องของการบริโภคกระเทียมต่อความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหน้าอก โรคมะเร็งปอด หรือโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และก็มีหลักฐานที่ค่อนข้างจะจำกัดที่เกื้อหนุนว่าการบริโภคกระเทียมบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งไส้ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งหลอดของกิน มะเร็งกล่องเสียง โรคมะเร็งในโพรงปาก หรือมะเร็งรังไข่
ดังนี้สถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI) ได้พูดว่ากระเทียมเป็นผักชนิดหนึ่งที่อาจมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง แม้กระนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆอาทิเช่น ลักษณะของสินค้าที่ทำจากกระเทียม หรือปริมาณความเข้มข้นที่นานาประการ อาจจะทำให้พิสูจน์ถึงความสามารถของกระเทียมได้ยาก และเมื่อเวลาผ่านไปหรือเก็บเอาไว้ภายในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ก็อาจจะส่งผลให้สมรรถนะของกระเทียมเสื่อมสลายไปได้เหมือนกัน
แก้หวัด ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยมั่นใจว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อจุลินทรีย์แล้วก็เชื้อไวรัส และมีการประยุกต์ใช้เพื่อคุ้มครองปกป้องรวมทั้งบรรเทาอาการหวัดมาอย่างนาน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาเล่าเรียนชิ้นหนึ่งที่ให้อาสาสมัครจำนวน 146 คน กินสารสกัดจากกระเทียมรูปแบบเม็ดซึ่งประกอบไปด้วยสารอัลลิซินขนาด 180 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ แล้วให้อาสาสมัครจดบันทึกอาการเมื่อเป็นหวัด พบว่าในกรุ๊ปที่กินสารสกัดจากกระเทียมมีรายงานการเป็นหวัดปริมาณ 24 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกรุ๊ปที่กินยาหลอกที่มีรายงานการเป็นหวัดปริมาณ 65 ครั้ง ทั้งยังยังพบว่าระยะเวลาของการเป็นหวัดในกลุ่มที่กินสารสกัดจากกระเทียมมีจำนวนวันที่น้อยกว่า แต่ว่าช่วงเวลาการฟื้นฟูสภาพจากอาการหวัดของอีกทั้ง 2 กรุ๊ปมีความไม่เหมือนกันเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ แม้ผลของการทดสอบข้างต้นจะบอกให้เห็นถึงคุณภาพของกระเทียม แม้กระนั้นหลักฐานการทดสอบทางคลินิกยังไม่พอแล้วก็จำต้องศึกษาเพิ่มเพื่อรับรองสมรรถนะของกระเทียมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ลดความอ้วนและก็มวลไขมัน ในคนป่วยภาวะไขมันพอกตับ ที่ไม่ได้มีต้นเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ แต่มักเกิดจากโรคอ้วน โรคเบาหวานประเภทที่ 2 ความดันเลือดสูง แล้วก็ไขมันในเลือดสูง ซึ่งการรักษาด้วยการรับประทานยา การผ่าตัด หรือลดหุ่นอาจไม่พอ หากไม่ดูแลเรื่องการกินอาหารควบคู่ไปด้วย การรับประทานกระเทียมจึงบางทีอาจเป็นโอกาสหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากว่ากระเทียมเป็นพืชสมุนไพรที่อุดมไปด้วยกำมะถันหรือซัลเฟอร์และสารอาหารอื่นๆที่อาจมีคุณสมบัติคุ้มครองภาวการณ์อ้วน ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยชิ้นหนึ่งที่ให้ผู้ป่วยไขมันพอกตับที่ไม่ได้มีเหตุที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ทั้งปวงศชายรวมทั้งผู้หญิง อายุตั้งแต่ 20-70 ปี ปริมาณทั้งปวง 110 คน รับประทานกระเทียมผงจำพวกแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม ซึ่งด้านในประกอบไปด้วยสารอัลสิลินขนาด 1.5 มก. วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 15 อาทิตย์ โดยสามารถทานอาหารได้ตามเดิม แต่กินกระเทียมได้ไม่เกินอาทิตย์ละ 2 กลีบ จากผลของการทดลองแสดงให้เห็นว่า น้ำหนักและมวลร่างกายลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก ก็เลยอาจพูดได้ว่าการกินกระเทียมอาจช่วยลดปริมาณไขมันในตับรวมทั้งคุ้มครองป้องกันหรือชะลอการเกิดสภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตามการเรียนรู้ในอนาคตยังจำเป็นต้องวางแบบการทดสอบให้ดีขึ้นแล้วก็ควรเพิ่มช่วงเวลาสำหรับเพื่อการทดลองเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของกระเทียมให้กระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น
ลดระดับคอเลสเตอรอล หลักฐานเกี่ยวกับความสามารถของกระเทียมต่อการลดระดับคอเลสเตอรอลยังคงมีความขัดแย้ง ก็เลยทำให้ยังไม่อาจจะสรุปได้อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับการทดสอบแล้วก็การเรียนรู้โดยการทบทวนงานศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เกี่ยวพันจำนวน 29 ชิ้น ได้ชี้ให้เห็นว่า การรับประทานกระเทียมบางทีอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมได้นิดหน่อย แต่ว่าไม่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลจำพวกที่ดี (High-Density Lipoprotein: HDL) เพิ่มสูงมากขึ้น หรือเปล่าทำให้ระดับคอเลสเตอรอลประเภทที่ไม่ดี (Low-Density Lipoprotein: LDL) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจต่ำลงแต่อย่างใด ก็เลยยังจึงควรเล่าเรียนเพิ่มอีกเพื่อหาผลสรุปแล้วก็รับรองความสามารถของกระเทียมต่อระดับคอเลสเตอรอลที่เด่นชัดยิ่งขึ้น

ความปลอดภัยในการรับประทานกระเทียม
การรับประทานกระเทียมออกจะไม่มีอันตรายถ้ารับประทานในจำนวนที่สมควร แต่ว่าอาจจะก่อให้เกิดผลใกล้กันได้ อย่างเช่น ปากเหม็น มีกลิ่นเต่า รู้สึกแสบร้อนที่บริเวณปากหรือที่กระเพาะ แสบร้อนกึ่งกลางอก ท้องเฟ้อ อ้วก อ้วก หรือท้องร่วง อาการเหล่านี้บางทีอาจทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อกินกระเทียมสด ทั้งยังการใช้กระเทียมสดทาหรือสัมผัสที่บริเวณผิวหนังอาจจะทำให้เกิดอาการแสบร้อนรวมทั้งระคายได้
ข้อควรตรึกตรองสำหรับในการรับประทานกระเทียมโดยเฉพาะบุคคลในกลุ่มต่อแต่นี้ไป
คนที่กำลังตั้งครรภ์หรือคนที่อยู่ในตอนให้นมบุตร การกินกระเทียมในช่วงการตั้งครรภ์ค่อนข้างจะไม่เป็นอันตรายถ้าหากรับประทานเป็นของกินหรือในปริมาณที่สมควร แต่ว่าอาจไม่ปลอดภัยถ้าเกิดรับประทานกระเทียมเป็นยารักษาโรค ทั้งยังไม่มีช้อมูลที่น่าเชื่อถือพอเพียงเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทากระเทียมที่บริเวณผิวหนังในตอนการมีครรภ์หรือให้นมลูก
เด็ก การรับประทานกระเทียมในจำนวนที่สมควรรวมทั้งในระยะสั้นๆอาจปลอดภัยสำหรับเด็ก แม้กระนั้นการใช้กระเทียมทาบริเวณผิวหนังอาจจะก่อให้เกิดอาการแสบร้อนแล้วก็ระคาย
คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะหรือการย่อยอาหาร อาจจะเป็นผลให้มีการเคืองพื้นที่เดินอาหารได้
ผู้ที่มีความดันเลือดต่ำ การกินกระเทียมอาจส่งผลให้ระดับความดันโลหิตลดลดลงมากกว่าธรรมดา
คนที่คิดแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานกระเทียมก่อนการผ่าตัดขั้นต่ำ 2 สัปดาห์เพราะว่าอาจจะเป็นผลให้เลือดออกมากรวมทั้งส่งผลต่อความดันเลือดในระหว่างการผ่าตัด และผู้ที่มีภาวการณ์เลือดออกแตกต่างจากปกติไม่ควรกินกระเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระเทียมสด เพราะเหตุว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่อยู่ในระหว่างการกินยารักษาโรค เป็นต้นว่า ไอโซไนอะสิด เนื่องจากกระเทียมบางทีอาจลดการดูดซึมของยาในร่างกายและก็มีผลต่อคุณภาพการทำงานของยา รวมทั้งไม่ควรรับประทานกระเทียมในระหว่างใช้ยาดังต่อไปนี้
ยารักษาการติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือโรคเอดส์
ยาคุม
ยาต้านทานการแข็งตัวของเลือด
ยาต่อต้านเกล็ดเลือด
http://www.disthai.com/

4

เห็ดหลินจือ
สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่ทรงคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ
เมื่อ ค.ศ 2005 บริษัทของพวกเรามีจุดเริ่มขึ้นจากความปรารถนาหาสมุนไพรประสิทธิภาพสูงจากในหลายประเทศ จวบจนกระทั่งเราเจอแล้วก็มีส่วนร่วมกับบริษัทยยาของรัฐบาลจีน รวมทั้งได้ นำเข้าสปอร์เห็ดหลินจือประสิทธิภาพสูงหลังจากนั้นเป็นต้นมา
นับ 10 กว่าปี ที่เราเป็นผู้บุกเบิก รวมทั้งเป็นหัวหน้าในด้านสปอร์เห็ดหลินจือแดงคุณภาพสูง คุณภาพเป็นหัวใจสำคุณของเรา สปอร์เห็ดหลินจือของเรา จะถูกคัดสรรอย่างยอดเยี่ยมก่อนถึงมือบริโภค เห็ดหลินจือแดงที่พวกเรานำเข้ามา ถูกเพาะด้วยแนวทางประณีตบรรจง ทำให้ได้ตัวดอกเห็ดที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งกว่า
เราตั้งใจและก็สำรวจประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนการผลิตอย่างใกล้ชิด และด้วยขั้นตอนการผลิตที่ดูแลอย่างยอดเยี่ยม ทำให้เราได้รับการยืนยันมาตฐาน GMP (GOOD Manufacturing Practice) ทุกล็อตที่พวกเราผลิตออกมา จะได้รับการตรวจคุณภาพจากห้องแล็ปในโรงหมอ
เพื่อผลดีสูงสุดของท่านคนที่กำลังหาผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือมากิน
งานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยยืนยันว่าการรับประทานสปอร์เห็ดหลินจือจะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งกว่าการทานดอก เพราะว่าสปอร์มีสารออกฤทธิ์สำคัญมากกว่าและสปอร์ที่ถูกกระเทาะนั้น เปลือกจะต้านโรคมะเร็ง และเสริมภูมิต้านทานได้ดียิ่งไปกว่า เทียบกับแบบมิได้กระเทาะเปลือก
ที่พลาดมิได้ที่สุดคือ.....
ท่านๆสามารถบริโภคเห็ดหลินจือได้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆโดยไม่เป็นอันตรายใด อีกกด้วย เห็ดหลินจือมีมากว่า 100 สายพันธุ์แม้กระนั้นสายพันธุ์ที่มีคุณประโยชน์ทางยาดีเยี่ยมที่สุดเป็นเห็ดหลินจือแดง ด้วยเหตุว่าสายพันธุ์นี้จะมีสารออกฤทธิ์กรุ๊ป Polysaccharide อยู่อย่างมากที่สุด
ส่วนท่านที่กำลังเลือกซื้อเห็ดหลินจือออกมาขายในท้องตลาดแบบต่างๆมาก ทั้งยังในแบบดอกอบแห้ง แคปซูล น้ำเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจืออื่นๆอีกเยอะแยะ
โดยเหตุนี้การจะเลือกซื้อเห็ดหลินจือให้ได้แบบที่มีคุณภาพดี จะต้อง......
ดูตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ว่าตัวเห็ดหลินจือนั้นได้รับการเลี้ยงที่เหมาะสมหรือปล่าว เนื่องจากการควบคุมอณหภูเขาไม่ ความชื้น สารอาหาร รวมทั้งวิธีการแปลรูปล้วนมีผลต่อจำนวนสาระสำคัญในตัวเห็ดหลินจือ บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากเห็ดหลินจือจะขึ้นราได้ง่ายเมื่อโดนความชื้อ ด้วยเหตุนั้นตัวบรรจุภัณฑ์ควรต้องเลือกเป็นขวดที่กันความชื้อได้ดีอีกด้วย
เห็ดหลินจือกับคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ
เห็ดหลินจือ (Lingzihi หรือ  REISHI)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กาโนเดอร์ มา ลูสิดัม (Ganoderma Lucidum) เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีสีแก่มีผิวมันวาว มีลักษณะเหมือนไม้ และก็มีรสขม มีประวัตศาสตร์ยาวนานสำหรับในการใช้เห็ดหลินจือ เพื่อรักษาหรือบำรุงสุขภาพในประเทศแถบเอเซีย โดย เฉพาะเมืองจีนและก็ประเทศญี่ปุ่น เพราะมั่นใจว่าสารประกอบภายในเหลืดหลินจือมีคุณค่าต่อร่างกาย
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่อาจเกิดผลดีต่อสุขภาพล้นหลาม พวกเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและแร่บางชนิด เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองดูแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ปีนป่ายอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลวัวโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) และสารอนุพันธ์อื่นๆโดยยิ่งไปกว่านั้นกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) แล้วก็ลิวซีน (Leucine)ด้วยเหตุผลดังกล่าว มีบางคนหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาเตรียมอาหารและก็ดัดแปลงเพื่อการบริโภคอย่างนานาประการ นักวิทยาศาสตร์ก็เลยมีความสนใจและก็นำเห็ดหลินจือมาทดลองหาประสิทธิผลทางการรักษาและการบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดชนิดนี้มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราจริงหรือไม่

เห็ดหลินมีผลดีต่อร่างกายที่อาจเป็นได้จริงหรือ?
มีการค้นคว้าทดลองล้นหลามเกี่ยวกับคุณสมบัติและคุณค่าที่บางทีอาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ว่าในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งพิสูจน์ด้านวิทยาศาสตร์แล้วก็การแพทย์ที่แจ่มแจ้งถึงคุณสมบัติและคุณค่าที่อาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือแต่ว่า ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อรับรองทางวิทยาศาสตร์รวมทั้งการแพทย์ที่แจ่มแจ้งถึงคุณสมบัติและก็ประสิทธิผลด้านอะไรก็แล้วแต่ด้วยเหตุผลดังกล่าว คนซื้อควรศึกษาค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ ปริมาณรวมทั้งขั้นตอนการบริโภคที่เหมาะสม รวมทั้งความจำกัดต่างๆรวมทั้งปัจจัยทางสุขภาพของตนเองให้ดีก่อนที่จะมีการบริโภค
แบบอย่างการค้นคว้าวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อสุขภาพ
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยหนึ่งได้ทดลองหาประสิทธิผลและก็ความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในผู้เจ็บป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จำนวน 32 ราย  ผลคือ เห็ดหลินจืออาจมีสรรพคุณในด้านการห้ามลักษณะของการปวด ไม่มีอันตรายต่อการรับประทานเข้าสู่ร่างกายและไม่มีผลใกล้กัน อย่างไรก็ดี กลับไม่ปรากฏผลที่มีความนัยสำคัญในการต่อต้านปฎิกิริยาออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลการปรับระบบภูมิต้านทานอะไร
เพิ่มความสามารถร่างกาย
มีการทดสอบที่ทดสอบความสามารถของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถยนต์ภาพของร่างกาย โดยได้ ทดสอบในคนเจ็บโรคปวดกล้ามเนื้อไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)เพศหญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดเวลาการทดลอง 6 สัปดาห์ คนป่วยบริโภคเห็ดหลินจือจำนวน 6 กรัม/วัน แล้วก็เลยทดลองสมรรถนะร่างกายของคนเจ็บ ผลของการทดสอบและกำหนดแผนการรักษาคนเจ็บโรคนี้ถัดไป แต่ว่ายังคงขาดหลักฐานสนับสนุนที่เด่นชัด จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาวิจัยในด้าน เพื่อหาหลักฐานและก็สิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์ที่แนชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือถัดไป
ต้านทานการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน รวมทั้งคุ้มครองปกป้องการทำลายเซลล์ตับ
จากการทดสอบหาประสิทธิภาพของสารไตรเทอร์พีนอยด์ (Trirpenoids)และก็โพลีแซ็กคาไรด์(Polysaccharide)ในเห็ดหลินจือในด้านการต้านการเกิดปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน รวมทั้งการป้องกันการทำลายเซลล์ตับในกรุ๊ปผู้ทดลองที่มีร่างกายแข็งแรง 42 คน ผลคราวแสดงถึงสมรรถนะของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ รวมทั้งยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของตับ
อย่างไรก็ตาม หากแม้เห็ดหลินจืออาจช่วยต่อต้านปริกิรริยาออกซิเดชันได้ แม้กระนั้นการทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นเพียงการค้นคว้าวิจัยขนาดเล็ก ควรศึกษาค้นคว้าถัดไปเพื่อหาหลักฐานแล้วก็ข้อพสจน์ที่ชัดเจนที่ชัดเจนถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ

หน้า: [1]