แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - onee021s149aa

หน้า: [1]
1
ไขมันส่วนเกิน ต้นเหตุของท้องรวมทั้งความอ้วน
เดือนพฤษภาคม 19, 2018  kungtep
ไขมันส่วนเกิน เสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคร้ายหลายอย่าง จำเป็นต้องรีบเผาผลาญไขมัน ขจัดไขมันส่วนเกินออกไป มิฉะนั้นจะเจอกับความอ้วน น้ำหนักตัวสูง รูปร่างอ้วนกลมบ๊อก เซลลูไลน์(cellulite)หนักอึ๊ง
ไขมันส่วนเกิน สิ่งที่ทำให้เกิดความอ้วน จำเป็นต้องสลายไขมันออกไป
ท้องที่เด่นกว่าใบหน้า ความอ้วนที่แบกรับมานานจากปัญหาของไขมันสะสม เรื่องใหญ่ของบุคลิกลักษณะด้านนอก กำจัดให้ออกไปได้ เพียงใช้สมุนไพรส้มแขก เรียกหุ่นที่ดูดีชวนชมกลับมาอีกที
ความอ้วน ทำให้บุคลิกภาพเสีย ขาดความมั่นใจและความเชื่อมั่น
ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพนับสิบนับร้อย ถือเป็นความไม่สาบายใจอย่างหนึ่งในชีวิต ด้วยเหตุว่าเมื่อได้เกิดการป่วยขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมมีผลเสียตามมาต่อการดำนงชีพหลายประเภท ไม่ว่าจะการทำงาน การพบปะผู้คน การประกอบงานกิจวัตรต่างๆซึ่งเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพในขณะนี้นั้นไม่ได้มีแค่เรื่องโรครุนแรงหรือเรื้อรังอย่างเดียว แต่ยังมีปัญหาสุขภาพในด้านของลักษณะท่าทางลักษณ์ที่ส่งผลต่อความไม่มั่นใจในตัวเอง
 
ไขมันส่วนเกิน
ไขมันส่วนเกินสูง cr.adrianjamesnutrition.com
แนวทางแก้ไขมันส่วนเกินสูง ต้องการลดหุ่น คุณทำเองได้
ปัญหาความอ้วน เซลลูไลท์มาก ไขมันภายในร่างกายสูง ซึ่งเกิดเรื่องที่มักพบในสังคมไทยพวกเราทุกวันนี้ รวมถึงในอีกหลายประเทศทั้งโลกเลยก็ว่าได้ แล้วก็ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากในระดับหนึ่งเลย แต่ว่าก็พอเพียงมีแนวทางที่จะช่วยจัดการปัญหานี้ได้ เป็นต้นว่า
ลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล
ลดอาหารจำพวกที่เป็นอาหารทอด
ลดอาหารที่มีไขมันสูง ได้แก่ หมู่ เนื้อ ไก่
ออกกำลังกาย เพื่อ{เผาผลาญไขมัน|สลายไขมันส่วนเกิน
รับประทานน้ำให้มาก ขั้นต่ำวันละ 2 ลิตร
กินผัก ผลไม้ เป็นอาหารหลัก ดังเช่นว่า สลัด
ลดข้าวเย็น กินให้ลดลง
อย่าให้ความอ้วน ไขมันส่วนเกิน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
เนื่องจากว่าเรื่องของความอ้วนไม่ใช่เรื่องที่จะหยิบมาล้อเลียนกันได้ง่ายๆราวกับอย่างที่ผู้คนจำนวนมากเคยทำกันมา ผู้ที่ล้ออาจรู้สึกสนุกสนาน และไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการหัวเราะชอบใจ คิดเพียงแค่ขำๆหน่า แต่ว่าคนที่ถูกล้อนี่สิ คงไม่ขำด้วย เนื่องจากสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องตลกเอาเสียเลย แถมยังเป็นเรื่องที่รู้สึกอับอายในภาพลักษณ์ที่ดูแย่ แปลกกว่าธรรมดาทั่วไปด้วย บางคนที่ถูกล้อหนักๆเสมอๆก็เก็บไปคิดมากจนถึงเป็นความทุกข์ แล้วก็สูญเสียความเชื่อมั่นไปหมดทุกเรื่องในชีวิตเลยก็มี ไม่ใช่ว่าเขาเล่านั้นอยากอ้วนกระทั่งถูกล้อเลียนอย่างงี้หรอก แต่ว่าแบบการใช้ชีวิตแต่ละคนมันหลบหลีกความอ้วนได้ยาก และคนจำนวนไม่น้อยก็อ้วนง่ายแม้กระนั้นลดยากเยอะแยะไป จริงไหม ?

ทางลัด ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดไขมันส่วนเกิน
“ส้มแขก” สมุนไพรช่วยระบายไขมัน ขับความอ้วนออกไป บรรเทาท้องผูก สลายเซลลูไลน์(Cellulite) เมื่อมีปัญหาเรื่องความอ้วน ไขมันส่วนเกินสูง ตรวจสอบและลองใช้

Tags : ไขมันส่วนเกิน

2

สมุนไพรพญายอ
เสลดพังพอนตัวเมีย
เสลดพังพอนตัวเมีย ชื่อสามัญ Snake Plant
เสลดพังพอนตัวเมีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees, Clinacanthus siamensis Bremek., Justicia nutans Burm. f.) จัดอยู่ในสกุลเหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)
สมุนไพรเสลดพังพอนตัวเมีย พญายอ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (จังหวัดเชียงใหม่), พญาปล้องคำ (จังหวัดลำปาง), เสมหะพังพอนตัวเมีย (พิษณุโลก), พญาข้อดำ พญาปล้องทองคำ (ภาคกึ่งกลาง), ลิ้นงูเห่า พญายอ (ทั่วไป), โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ชิงเจี้ยน หนิ่วซิ้วฮวา (ภาษาจีนกลาง) ฯลฯ
รูปแบบของเสมหะพังพอนตัวเมีย
ต้นเสมหะพังพอนตัวเมีย จัดเป็นพรรณไม้พุ่มปนเถา มักเลื้อยพิงไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้โดยประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะหมดจด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบเป็นข้อสีเขียว แพร่พันธุ์ด้วยแนวทางปักชำหรือแยกเหง้ากิ่งก้านสาขาไปปลูก เจริญวัยก้าวหน้าในดินทุกประเภท ชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีแดดจัด มีเขตผู้กระทำระจายประเภทในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ในประเทศไทยพบได้มากขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศ หรือพบปลูกกันตามบ้านทั่วๆไป
ต้นเสลดพังพอนตัวเมีย
ต้นพญายอ
ใบเสมหะพังพอนตัวเมีย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงกันข้ามกันเป็นคู่ๆลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบรวมทั้งโคนใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างราวๆ 2-3 ซม. และก็ยาวราว 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
ใบเสลดพังพอนตัวเมีย
ดอกพญายอเสมหะพังพอนตัวเมีย ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกโดยประมาณ 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกไม้เชื่อมชิดกันเป็นหลอด ยาวโดยประมาณ 3-4 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 2 ปากเป็นปากล่างแล้วก็ปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกไม้เป็นทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบนั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนคือต่อมเหนียวๆอยู่รอบๆ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียสะอาดไม่มีขน ออกดอกในช่วงประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม (แม้กระนั้นมักจะไม่ค่อยมีดอก)
ดอกเสลดพังพอนตัวเมีย
พญาข้อทอง
ลิ้นงูเห่า
ผลเสลดพังพอนตัวเมีย ผลเป็นผลแห้งรวมทั้งแตกได้ (แต่ว่าผลไม่เคยติดเป็นฝักในประเทศไทย) รูปแบบของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราว 0.5 เซนติเมตร ก้านสั้น ข้างในผลมีเม็ดโดยประมาณ 4 เมล็ด
หมายเหตุ : เสมหะพังพอน เป็นชื่อพ้องของพรรณไม้ 2 ชนิดหมายถึงเสลดพังพอนตัวผู้ แล้วก็เสลดพังพอนตัวเมีย ซึ่งจะต่างกันตรงที่เสลดพังพอนเพศผู้ลำต้นจะมีหนามและก็มีดอกเป็นสีเหลือง ส่วนเสลดพังพอนตัวเมียลำต้นจะไม่มีหนามและก็มีดอกเป็นสีแดงส้ม เพื่อไม่ให้เป็นการงงมากหลายๆแบบเรียนก็เลยนิยมเรียกเสมหะพังพอนตัวเมียว่า “พญายอ” หรือ “พญาปล้องทองคำ” โดยเสลดพังพอนเพศผู้นั้นจะมีคุณประโยชน์ทางยาอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย และก็หนังสือเรียนยาไทยนิยมนำมาใช้ทำยากันมาก
คุณประโยชน์ของเสลดพังพอนตัวเมีย
รากแล้วก็เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำเป็นยาบำรุงกำลัง (รากรวมทั้งเปลือกต้น)
อีกทั้งต้นและใบใช้กินเป็นยาถอนพิษไข้ ดับพิษร้อน (ทั้งยังต้นแล้วก็ใบ)1,3 ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้รอบคอบ ผสมกับน้ำแช่ข้าว ใช้พอกบนหัวคนไข้โดยประมาณ 30 นาที ลักษณะของการมีไข้และอาการปวดศีรษะจะหายไป (ใบ)6
ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (รับประทานอาหารแสลงไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบ) ด้วยการใช้รากสดนำมาต้มกินทีละราวๆ 2 ช้อนแกง (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาเคี้ยวประมาณ 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง (ใบ)6
ช่วยแก้คางทูม ด้วยการกางใบสดราวๆ 10-15 ใบ ตำให้รอบคอบผสมกับเหล้าโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป และก็ลักษณะการเจ็บปวดจะหายไปข้างใน 30 นาที (ใบ)
ใช้เป็นยารักษาโรคบิด (อีกทั้งต้นรวมทั้งใบ)
รากใช้ปรุงเป็นยาขับเยี่ยว ขับระดู (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เมนส์มาไม่ปกติ (ทั้งยังต้น)
ช่วยแก้อักเสบแบบดีซ่าน (ทั้งยังต้น)
ใช้เป็นยาแก้แผลอักเสบมีไข้ ไข่ดันบวม ด้วยการใช้ใบสดราวๆ 3-4 ใบ เอามาตำอาหารสาร 3-4 เม็ด ผสมกับน้ำพอเพียงเปียก ใช้พอกโดยประมาณ 2-3 รอบ จะช่วยให้อาการ (ใบ)
ลำต้นเอามาฝนแล้วใช้ทาแผลสดจะช่วยทำให้แผลหายเร็ว (ลำต้น)ใช้รักษาแผลจากสุนัขกัดมีเลือดไหล ด้วยการกางใบสดราว 5 ใบ เอามาตำพอกรอบๆแผลสัก 10 นาที (ใบ)
ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการกางใบสดเอามาตำต้มกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผล แผลจะแห้ง หรือจะใช้ใบสดเอามาตำอย่างถี่ถ้วนผสมกับเหล้า ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่ถูกไฟลุกหรือน้ำร้อนลวก จะมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนได้ดี4 ส่วนอีกหนังสือเรียนกล่าวว่า นอกเหนือจากที่จะใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยยุ่ยเนื่องจากถูกแมงกะพรุนไฟ แผลสุนัขกัด รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นจากการเช็ดกกรดได้อีกด้วย เพียงแต่นำใบไปหุงกับน้ำมันแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ใบโดยประมาณ 3-4 ใบ อาหารสาร 5-6 เม็ด เพิ่มน้ำลงไปให้พอเพียงเปียก แล้วนำมาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองก้าวหน้า ทำให้แผลแห้งไว โดยให้เปลี่ยนแปลงยาวันละ 2 ครั้ง พอกไปสักพักหนึ่งแล้วให้เอาน้ำมาหยอดกันยาแห้งด้วย (ใบ)
ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ด้วยการใช้ใบสดตำผสมกับเหล้าใช้ทา หรือใช้เหล้าสกัดใบเสลดพังพอน จะได้น้ำยาสีเขียวนำมาทาแก้ผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำใบมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวแล้วก็เม็ดผดผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้ฝี ด้วยการใช้ใบเอามาโขลกผสมกับเกลือและเหล้า ใช้พอกรอบๆที่เป็น เปลี่ยนยาทุกเช้าตรู่รวมทั้งเย็น (ใบ)
ทั้งต้นและก็ใบใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยเฉพาะพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ดังเช่นว่า งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ รวมถึงผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ลมพิษ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการกางใบสดราว 5-10 ใบ เอามาขยี้หรือตำใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบสดนำมาตำให้พอเพียงแหลก แช่ในเหล้าขาวประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วจากนั้นจึงค่อยนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลส่วนอีกตำรับยาแก้ผื่นคัน ตามข้อมูลระบุว่า ให้ใช้ใบตำผสมกับดินสอพอง ใส่น้ำบางส่วน ใช้ทาบริเวณที่เป็น (ใบ)

คนเมืองจะนำใบมาตากแห้งแล้วตำผสมกับแมงป่องปิ้ง ใช้เป็นยาแก้พิษงู (ใบ)
พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังชนิดเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ขยุ้มตีนสุนัข และใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆด้วยการใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสดราว 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มวาว ไม่อ่อนหรือแก่จนกระทั่งเกินไป) แล้วนำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลรวมทั้งเอากากพอกรอบๆแผล หรืออีกแนวทางให้เตรียมเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้ทารักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก โดยใช้ใบสด 1 กิโล นำมาปั่นให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์ 70% ลงไป 1 ลิตร แล้วหมักทิ้งเอาไว้ 7 วัน ระเหยบนเครื่องอังละอองน้ำให้ขนาดลดน้อยลงครึ่งหนึ่ง (ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด) แล้วก็เพิ่มเติมกลีเซอรีน (Glycerine pure) อีกเท่าตัว (ครึ่งลิตร) แล้วนำน้ำยาเสมหะพังพอนกลีเซอรีนที่ได้มาใช้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก และใช้ทำลายพิษต่างๆสำหรับตำรายาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบสดผสมกับดอกลำโพง โกฐน้ำเต้า อย่างละเท่ากัน รวมกันตำให้พอเพียงแหลก แช่กับเหล้า แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด (ใบ)
พญายอ ใช้แก้ถูกหนามพุงดอตำหรือถูกใบตะลังตังช้าง ด้วยการนำขี้ผึ้งแท้มาลุกลนไฟให้ร้อน แล้วนำมากดเพื่อดูดเอาขนย้ายใบตะลังตังช้างออกซะก่อน แล้วจึงใช้ใบเสลดพังพอนผสมกับเหล้าทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้เป็นยาแก้แพ้เกสรรักษาป่า ยางรักป่า แล้วก็ยางสาวน้อยผัดแป้ง ด้วยการใช้ใบผสมกับเหล้า นำมาทาบริเวณที่คัน (ใบ
ใช้แก้ฝึก เหือด ด้วยการกางใบสดราว 7 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 8 แก้ว ต้มให้เดือด 30 นาที เทยาออกรวมทั้งผึ่งให้เย็น แล้วนำใบสดมาอีก 7 กำมือ ตำผสมกับน้ำ 8 แก้ว แล้วเอาน้ำยาทั้งสองมาผสมกัน ใช้อีกทั้งรับประทานและทาทา (ยาทาให้ใส่พิมเสนลงไปน้อย) เด็กที่เป็นหัด เหือด ให้กินวันละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว (ใบ)
พญายอ อีกทั้งต้นใช้เป็นยาพาราบวม กลยุทธ์ขัดยอก ฟกช้ำ กระดูกร้าว ช่วยขับความชุ่มชื้นภายในร่างกาย แก้อาการปวดปวดเมื่อยเนื่องมาจากเย็นชื้น (ทั้งยังต้น)
รากใช้เป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยบั้นท้าย (ราก)
ขนาดรวมทั้งวิธีใช้ : ยาแห้งให้ใช้ทีละ 5-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน ส่วนยาสดให้ใช้ทีละ 30 กรัม เอามาตำคั้นเอาน้ำรับประทาน หรือตำพอกแผลข้างนอก
ข้อควรตรึกตรองพญายอ
: หากแม้ในสมัยก่อนจะมีการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล แม้กระนั้นในตอนนี้วิธีแบบนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบแล้ว เพราะว่าจะชำระล้างได้ยาก ทำให้กากติดแผล แล้วก็อาจก่อให้ติดเชื้อโรคเป็นหนองได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเสลดพังพอนตัวเมีย
พญายอ รากเจอสาร Betulin, Lupeol, β-sitosterol ส่วนใบพบสาร Flavonoids ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกรุ๊ป monoglycosyl diglycerides อย่างเช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และก็สารกรุ๊ป glycoglycerolipids ซึ่งมีฤทธิ์ยั้งเชื้อไวรัสเริม
จากการทดสอบในสัตว์ใช้สกัดจากใบสดของเสมหะพังพอนตัวเมียด้วย n-butanol พบว่า สามารถลดการอักเสบได้2 โดยพบว่าจะช่วยลดการอักเสบของข้อเท้าหนูที่ทำให้บวมด้วยสาร carrageenan ได้ เมื่อใช้ตำรับยาที่มีเสลดพังพอนตัวเมียร้อยละ 5 ใน Cold cream รวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ นำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้ แต่เมื่อใช้สารสกัดด้วย n-butanol มาทาที่ผิวหนังจะไม่ได้ผล
สารสกัดจากใบความเข้ม 15 กรัม ต่อ 1 กก. มีประสิทธิภาพต้านทานการอักเสบได้ดิบได้ดี
เมื่อให้หนูเม้าส์รับประทานสารสกัดด้วย n-butanol จากใบ พบว่า จะช่วยลดความเจ็บปวดของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติคได้ โดยสารสกัดความแรง 90 มก.ต่อกิโล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัมต่อกก. ส่วนสารสกัดด้วยน้ำและก็สารสกัดด้วยเอทานอล 60 จากใบ พบว่าไม่เป็นผลลดความเจ็บ
สารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และก็เอทิลอะสิเตทจากใบเสลดพังพอนตัวเมียมีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสเชื้อเริม HSV-1 เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นร้อยละ 4 และก็ใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล พบว่าจะมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์ ในขณะเมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะมีพิษต่อเซลล์ และจากรายงานการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาจากสารสกัดเสลดพังพอนตัวเมีย เปรียบเทียบกับยา acyclovir และยาหลอก โดยให้ผู้เจ็บป่วยป้ายยาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่มีความแตกต่างในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลผู้เจ็บป่วยที่ใช้ยาจากสารสกัดใบรวมทั้งยา acyclovir โดยแผลจะเป็นสะเก็ดด้านใน 3 วัน และหายสนิทด้านใน 7 วัน ซึ่งผิดแผกแตกต่างกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยยาที่สกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมียจะไม่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบและก็เคือง ในช่วงเวลาที่ acyclovir จะทำให้แสบ ยิ่งไปกว่านี้ยังมีการใช้ยาที่ทำจากเสมหะพังพอนตัวเมียในคนเจ็บโรคเริม งูสวัด แล้วก็แผลอักเสบในปาก แล้วพบว่าสามารถรักษาแผลรวมทั้งลดการอักเสบได้ดี
พญายอ สารที่สกัดจากบิวทานอล (Butanol) ของใบเสลดพังพอนตัวเมีย มีฤทธิ์ทำลายเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดที่นำไปสู่เริมและอีสุกอีใส3 จากรายงานการดูแลและรักษาผู้เจ็บป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดจากใบเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ จนกระทั่งแผลจะหาย พบว่าคนป่วยสุดที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบเสลดพังพอนตัวเมีย แล้วมีแผลตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน รวมทั้งหายข้างใน 7-10 วัน จะมีไม่น้อยเลยทีเดียวกว่ากรุ๊ปหวานใจษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ รวมทั้งระดับความเจ็บจะลดน้อยลงเร็วกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก โดยไม่เจอผลกระทบอะไรก็ตาม9
จากการทดลองความเป็นพิษ เมื่อป้อนสารสกัด n-butanol จากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษน้อย แต่ว่าจะเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าท้อง ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัมต่อกิโลกรัม (เทียบเท่าใบแห้ง 5.44 กรัมต่อกิโลกรัม) เมื่อเอามาป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ พบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการเป็นพิษอะไรก็แล้วแต่
จากการศึกษาเล่าเรียนพิษครึ่งหนึ่งเรื้อรัง
ด้วยการป้อนสารสกัด n-butanol จากใบในขนาด 270 รวมทั้ง 540 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ให้หนูแรทแต่ละวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเติบโต แม้กระนั้นพบว่ามีน้ำหนักต่อมธัยมัสลดลง ขณะที่น้ำหนักของตับเพิ่มขึ้น และไม่พบว่ามีความผิดปกติต่ออวัยวะอื่นๆหรืออาการไม่พึงประสงค์แต่อ http://www.disthai.com/

3

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งปนเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้สวยในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้มากตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ ฯลฯไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกเอาไว้ในแปลง ดูแลเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกึ่งกลางที่บริบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนกระทั่งเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” สกุลสถิต ฉั่วกุล รวมทั้งคณะได้ศึกษาเล่าเรียนพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโอ้อวดนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่กระจ่าง แต่ว่าปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแม้กระนั้นไม่มีไข้) จากแมลงที่เป็นพิษกัดต่อย เป็นต้นว่า ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามรอบๆที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ถี่ถ้วน เพิ่มแอลกอฮอล์เพียงพอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ หมั่นคนยาทุกเมื่อเชื่อวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ รวมทั้งกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสลดพังพอน เนื่องจากเสลดพังพอนมีหมดทั้งตัวผู้ละตัวเมีย แม้กระนั้นตัวผู้ไม่นิยมนำมาใช้เพราะว่ามีฤทธิ์อ่อน รวมทั้งเพื่อไม่ให้สับสนก็เลยเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" โดยมากนำมาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกลุ่มพืชถอนพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาใช้ภายนอกรักษาข้างนอก มีสรรพคุณทุเลาการอักเสบของผิวหนังได้ดี  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส
คุณลักษณะของผงพญายอสำหรับในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับเหล้า แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวรวมทั้งเม็ดผดผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับสุราใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวก พญายอมีคุณประโยชน์ช่วยดับพิษร้อนก้าวหน้า
- อีกตำราบอกว่านอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยยุ่ยเพราะว่าถูกแมงกะพรุนไฟ แผลสุนัขกัด รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นมาจากการถูกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย เอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองได้ดี ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือแล้วก็สุรา ใช้พอกรอบๆที่เป็น แปลงยาทุกตอนเช้ารวมทั้งเย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ทำลายพิษ โดยเฉพาะพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ดังเช่นว่า งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง อื่นๆอีกมากมาย
- พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังชนิดเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง รวมทั้งใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและเอากากพอกบริเวณแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บ ช่วยลดลักษณะของการปวด
- มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสได้ดิบได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์

กรรมวิธีพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยสินค้าล้างหน้าและเช็ดถูเครื่องแต่งตัวให้สะอาดก่อนแนวทางการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำที่สะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง น้ำนม หรือโยเกิร์ต เพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้ผิวหน้าแล้วก็ผิวกาย บ่อยๆ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง


     - สำหรับผิวหน้า พญายอแม้เป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลามไปทั่วใบหน้า และก็เพื่อไม่ให้เป็นการก่อกวนผิวหน้ามากจนเกินความจำเป็น พอกทิ้งไว้โดยประมาณ 15 นาที
     - ถ้าเกิดใช้ขัด (สำหรับคนที่ไม่เป็นสิว และผิวกาย) ให้ขัดให้เบาไม้เบามือที่สุด ราวๆแค่ลูบคลำอุตสาหะจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด รวมทั้งให้ขัดแค่ 5 นาทีก็พอเพียงที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งเอาไว้กระทั่งแห้ง (อาจใช้ระยะเวลาพอกทิ้งไว้โดยประมาณ 15 นาที)



Tip  เพื่อการบำรุงที่เพิ่มขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำกินธรรมดาในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเสมอกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วบริเวณใบหน้าสักเล็กน้อย ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความสดชื่นให้แก่ผิว อีกทั้งช่วยทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มและก็กระจ่างใส มองอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/

4

กระเทียม
กระเทียม ชื่อสามัญ Garlic
กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ คือคำว่า Allium sativum L. จัดอยู่ในวงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย ALLIOIDEAE (ALLIACEAE)
สำหรับในประเทศไทยนิยมปลูกมากมายในทางภาคเหนือและภาคอีสาน แต่สำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดี กลิ่นฉุนคงหนีไม่พ้นจังหวัดศรีสะเกศา
สรรพคุณของกระเทียม
ช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดีแล้วก็แข็งแรง
ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเยื่อในร่างกาย
ช่วยคุ้มครองการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด
ช่วยทำให้สมดุลภายในร่างกาย
ช่วยแก้อาการเวียนหัวหัว อาการมึนหัว ปวดหัว หูอื้อ
ช่วยในเรื่องระบบสืบพันธุ์และระบบทางเท้าฉี่ เนื่องจากมีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนหญิงแล้วก็ชาย ช่วยทำให้มดลูกบีบตัว เพิ่มกำลังให้มีเรี่ยวแรง
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวรุนแรง
ช่วยต้านเนื้องอก
ช่วยไขปัญหาผมบาง ยาวช้า มีสีเทา
ช่วยป้องกันการเกิดและก็รักษาโรคโลหิตจาง
ช่วยสำหรับเพื่อการขับพิษและสารพิษอันตรายที่แปดเปื้อนในเม็ดเลือด
ช่วยป้องกันฝาผนังเส้นเลือดหนาและแข็งตัว
สารสกัดน้ำมันกระเทียมมีสารที่มีส่วนช่วยสำหรับในการละลายลิ่มเลือด
ช่วยปกป้องการเกิดเส้นเลือดอุดตัน
มีสารต้านไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
ช่วยทุเลาอาการไอ น้ำมูกไหล คุ้มครองป้องกันหวัด
ช่วยรักษาโรคหวัดรวมทั้งไข้หวัดใหญ่
ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบและไซนัส
ช่วยรักษาโรคโรคไอกรน
ช่วยแก้อาการหอบ หืด
ช่วยรักษาโรคหลอดลม
ช่วยระงับกลิ่นปากกระเทียม
ช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยสำหรับเพื่อการขับเสมหะ
ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ
ช่วยสำหรับการขับลม
ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องขึ้น ท้องอืด
ช่วยคุ้มครองปกป้องโรคท้องผูก
ช่วยรักษาโรคบิด
ช่วยสำหรับเพื่อการขับฉี่
ช่วยในการขับพยาธิได้หลายชนิด ดังเช่นว่า พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิหมุด พยาธิไส้เดือน ฯลฯ
ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบจำพวกร้ายแรงได้
ช่วยคุ้มครองการเกิดโรคไต
ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียต่างๆรวมถึงเชื้อราตามหนังหัวและก็บริเวณเล็บ
ช่วยยับยั้งเชื้อต่างๆได้แก่ เชื้อที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดอักเสบ เชื้อวัณโรค เป็นต้น
ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่วกระเทียมสรรพคุณ
ช่วยรักษากลาก โรคเกลื้อน
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเยื่อ บำรุงข้อต่อรวมทั้งกระดูกภายในร่างกาย
บรรเทาอาการปวดข้อแล้วก็เมื่อยตามร่างกาย
ช่วยแก้อาการกลยุทธ์ขัดยอกและเท้าพลิก เนื่องจากว่ามีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมายังบประมาณริเวณที่นวดยาได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง
มีสารต่อต้านอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาว่ากล่าวสซั่ม
กระเทียมมีกลิ่นฉุนจึงสามารถช่วยไล่ยุงได้เป็นอย่างดี
ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากอาหาร
ประโยช์จากกระเทียม
ประโยชน์สำคัญๆของกระเทียมคงหนีไม่พ้นการนำมาใช้เพื่อช่วยแต่งรสชาติของของกิน ไม่ว่าจะใช้ผัด แกง ทอด ยำ ต้มยำ หรือน้ำพริกต่างๆอีกสารพัด
กระเทียมเป็นเครื่องสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่หลากหลายประเภท รวมทั้งยังเป็นพืชที่ธาตุซีลีเนียมสูงยิ่งกว่าพืชชนิดอื่นๆอีกทั้งยังมีสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA รวมทั้ง RNA ของเซลล์ในร่างกาย
นอกเหนือจากนั้นยังมีการนำกระเทียมไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างนานัปการ เป็นต้นว่า กระเทียมเสริมอาหาร กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง เป็นต้น

ค่าทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 149 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม
ใยอาหาร 2.1 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 6.36 กรัม
วิตามินบี 1 0.2 มิลลิกรัม 17%
วิตามินบี 2 0.11 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี 3 0.7 มก. 5%
วิตามินบี 5 0.596 มก. 12%
วิตามินบี 6 1.235 มิลลิกรัม 95%
วิตามินบี 9 3 ไมโครกรัม 1%
วิตามินซี 31.2 มก. 38%
ธาตุแคลเซียม 181 มก. 18%
ธาตุเหล็ก 1.7 มิลลิกรัม 13%
ธาตุแมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม 7%
ธาตุแมงกานีส 1.672 มก. 80%
ธาตุฟอสฟอรัส 153 มก. 22%
ธาตุโพแทสเซียม 401 มิลลิกรัม 9%
ธาตุสังกะสี 1.16 มก. 12%
ธาตุซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม
% จำนวนร้อยละของปริมาณชี้แนะที่ร่างกายอยากในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ที่มา : USDA Nutrient database)
ข้อเสนอแนะรวมทั้งข้อควรไตร่ตรองสำหรับการใช้กระเทียม
กระเทียมยิ่งสดเท่าใดก็ยิ่งมีคุณประโยชน์ที่ดีเลิศขึ้นแค่นั้น แต่ว่าสำหรับกระเทียมที่ผ่านความร้อนด้วยวิธีการต่างๆหรือผ่านการหมัก จะทำให้วิตามินรวมทั้งสารอัลลิซินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นสลายตัวไป
วิตามินแล้วก็ธาตุที่อยู่ในกระเทียมนั้น จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นกับดินรวมทั้งลักษณะอากาศที่ใช้สำหรับในการเพาะปลูกอีกด้วย
สำหรับหญิงที่กำลังท้องหรือให้นมลูก คนที่หรูหราน้ำตาลในเลือดปกติ หรูหราความดันโลหิตปกติ ผู้ที่มีลักษณะของเลือดหยุดไหลช้า รวมไปถึงผู้ที่ใช้ยาอื่นๆเป็นประจำ ยกตัวอย่างเช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต้านไวรัส คุณไม่สมควรกินกระเทียมหรือสินค้ากระเทียมเสริมในจำนวนที่มากจนถึงเกินไป ด้วยเหตุว่าอาจจะก่อให้เป็นอันตรายต่อสถาพทางร่างกายได้
สำหรับคนที่ได้รับกลิ่นของกระเทียมเสมอๆ อาจส่งผลให้กำเนิดอาการแพ้กระเทียมเมื่อรับประทานได้ โดยอาจจะมีอาการคลื่นไส้ แล้วก็มีของกินหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ แม้กระนั้นอาการดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะค่อยๆหายไปเองภายในช่วงเวลา 3-4 ชั่วโมง ซึ่งกระเทียมที่นำมาใช้ในการเข้าครัวมักจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่ากระเทียมแบบใหม่ๆ
สำหรับผู้ที่อยู่ในครัวหรือผู้จำต้องใช้มือสัมผัสกับกระเทียมบ่อยๆแล้วก็เป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวหนังมีการอักเสบ มีตุ่มน้ำได้ ฉะนั้นคุณควรจะเลี่ยงการสัมผัสกระเทียมโดยตรงบ่อยๆด้วยการใส่ถึงมือทุกคราวในตอนที่จะใช้กระเทียม
ถึงแม้กระเทียมจะเป็นพืชที่มีสรรพคุณอยู่มากมายก่ายกอง แม้กระนั้นคุณก็ไม่สมควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลสำหรับเพื่อการรักษาอาการหรือโรคใดโรคหนึ่ง อีกทั้งผลลัพธ์ที่ได้ในแต่ละบุคคลก็อาจจะต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้คุณควรที่จะทำการเลือกกินให้นานาประการและครบ 5 กลุ่ม จะเป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมที่สุด เพราะผักสมุนไพรทั่วๆไป ถ้าเกิดศึกษากันอันที่จริงแล้ว มันก็มีประโยชน์มากพอๆกับกันเลย
ปัจจุบันนี้ในบ้านพวกเรายังไม่มีการรับรองว่ากระเทียมนั้นจะสามารถรักษาโรคได้จริง คงจะเป็นได้เพียงแค่สมุนไพรโอกาสสำหรับในการรักษารวมทั้งสมุนไพรเสริมสุขภาพเท่านั้นhttp://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรกระเทียม

5

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ รักษาโรคมะเร็ง
อีกหนึ่งงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยที่เรียนเกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในคนป่วยโรคมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังที่กล่าวถึงแล้วมีส่วนสำหรับในการยัยยั้งรูปแบบการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการศึกษาวิจัยมากมายถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจมีผลต่อการต้านการอักเสบในคนเจ็บมะเร็งปอดบางราย แต่ว่ายังคงไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบทางด้านการแพทย์ที่ให้ข้อมูลเพียงพอที่สนับสนุนให้ใช้เห็ดหลินจือสำหรับในการรักษาโรคมะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อพินิจพิจารณาเปรียบจากการรวบงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยที่เล่าเรียนประสิทธิผลของเห็ดหลินจือเพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้ว่าจะพบว่าคนเจ็บตอบสนองต่อการดูแลและรักษาด้วยเคมีบำบัดรักษาหรือรังสีบำบัดรักษาก้าวหน้าขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แม้กระนั้นเมื่อทดสอบการใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับเพื่อการทำให้มะเร็งลดขนาดลงประการใด
นอกเหนือจากนั้น จาการทวนงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยพบว่ามีการค้นคว้าวิจัย 4 ชิ้นที่มีผลลัพธ์ส่งเสริมว่าเห็ดหลินจืออาจสโมสรต่อการปรับแต่งคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ และก็ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลลัพธ์จากงานศึกษาเรียนรู้หนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้และก็นอนไม่หลับด้วย
ฉะนั้น จึงอาจจะบอกได้ว่า ข้อยืนยันทางคุณสมบัติและคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาเรียนรู้เป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพเพียงพอ หรือเป็นเพียงแต่การทดลองในคนป่วยบางกลุ่มเท่านั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง จึงยังคงเป็นหัวข้อการค้นคว้าที่ควรจะทำงานทดลองต่อไปเพื่อได้สำเร็จลัพ์ที่แจ่มแจ้งรวมทั้งเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ในอนาคต
สภาวะต่อมลูกหมากโต รวมทั้งการเจ็บป่วยในระบบทางเท้าเยี่ยว
มีแนวทางการทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในคนไข้เพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีอาการปัสสาวะขัดข้อง หลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ ผลสรุปที่ได้คือ ผู้ป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ดียิ่งขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลในการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของผู้เจ็บป่วยจากการตอบปัญหา กลับไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลดังกล่าว การทดสอบดังที่กล่าวมาข้างต้นก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่กระจ่างแจ้งเพียงพอ จำเป็นต้องมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาข้างหลังฐานที่แจ่มกระจ่างในการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการรักษาภาวการณ์ต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพอะไรก็ตามที่เกี่ยว
ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดลองด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานชนิด 2 ร่วมทดสอบกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะสนับสนุนผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่พอเพียงสำหรับในการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจืออย่างเดียวกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลข้างเคียงจากการบริโภคเห็ดหลินจือในผู้เจ็บป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องเดิน หรือท้องผูก
ฉะนั้นจำเป็นต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงคุณภาพของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อคุ้มครองป้องกันรวมทั้งการดูแลและรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจต่อไป แล้วก็ให้ได้ความแจ่มแจ้งชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวมาข้างต้นเยอะขึ้น อันเป็นคุณประโยชน์ต่อแนวทางการรักษาป้องกันโรคเส้นโลหิตหัวใจและอาการต่างๆที่เกี่ยวต่อไปในอนาคต
ปริมาณที่สมควรสำหรับในการบริโรคเห็ดหลินจืออย่างแจ่มกระจ่าง เนื่องประสิทธิผลรวมทั้งผลข้างคียงจากการบริโภค โดยเหตุนั้น ผู้ซื้อ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ แล้วก็ปรึกษาหมอหรือเภสัชกรก่อนการบริโรค ด้วยเหตุว่าแม้เห็ดหลินจือในแต่ละรูปแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่สารเคมีและก็ส่วนประต่างอาจส่งผลใกล้กันที่เกิดอันตรายต่อสภาพทางด้านร่างกายได้ด้วยเหมือนกัน

โดยทั่วไป ปริมาณการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันได้แก่
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่สมควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1 มิลลิลิตร/วัน
ความปลอดภัยสำหรับในการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้จะมีการพิสูจน์ถึงคุณค่าในบางด้านที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แม้กระนั้นผู้บริโภคก็ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และขอความเห็นหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรระมัดระวังในด้านปริมาณรวมทั้งรูปแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค เพราะบางทีอาจเป็นผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ในคราวหลัง
โดยข้อควรพิจารณาสำหรับในการบริโภคเห็ดหลินจือยกตัวอย่างเช่น
คนซื้อทั่วๆไป.......
-ควรบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณที่พอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจส่งผลให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจจะส่งผลให้ได้รับอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจก่อเกิดผลข้างเคียงได้ อาทิเช่น ปากแห้ง คอแห้ง คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ปั่นป่วน ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มเหล้าองุ่นเห็ดหลินจืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเป็นอาการผื่นคัน
-การดมหายใจเอาเซลล์แพร่พันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจจะเป็นผลให้กำเนิดอาการแพ้
คนที่ควรจะระวังสำหรับในการบริโภคเป็นพิษ
คนที่ครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร แม้ยังไม่มีการพิสูจน์ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มผู้ซื้อนี้แต่ว่าคนที่มีท้องรวมทั้งคนที่กำลังให้นมบุตรควรหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของตนและลูกน้อย
ผู้ที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก บางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนไข้บางรายที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุนี้ เพื่อลดการเสี่ยง ผู้เจ็บป่วยควรจะหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ ขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ
ความดันเลือดต่ำ เห็ดหลินจืออาจทำให้ความดันเลือดต่ำลง ด้วยเหตุนี้ ผู้ป่วยภาวการณ์ความดันเลือดต่ำจะต้องหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมากบางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับในการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เพราะฉะนั้นผู้ป่วยสภาวะเกล็ดเลือดต่ำจึงไม่ควรบริโภคเห็ดหลินจือ
สภาวะมีเลือดออกผิดปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนเจ็บบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีภาวการณ์เลือกออกไม่ดีเหมือนปกติอยู่แล้ว http://www.disthai.com/

6

บุก
บุก มีสรรพคุณ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต รักษาโรคโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสลด แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีระดูมาผิดปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาแล้วก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาแก้ปวด แก้ฟกช้ำ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับประจำเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี
บุก มีชื่อสามัญว่า Konjac อ่านออกเสียงว่า คอน-จัค มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch ชื่อเรียกอื่นๆของบุก ดังเช่น บุกลุกงคก เบีย เบือ มันซูรัน หัวบุก บุกคางคก บุกหนาม บุกหลวง หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว แพทย์ยื่อ ฯลฯ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นบุก
ต้นบุก ถือเป็น พืชล้มลุกชนิกหนึ่ง เป็นไม้เนื้ออ่อน รูปแบบของลำต้นอ้วนรวมทั้งมีสีเขียวเข้ม ใบบุกเป็นใบผู้เดียว ซึ่งใบของบุกจะแตกใบที่ยอดและก็ใบแผ่ขึ้นเสมือนร่มกาง ดอกของบุกจะมีสีเหลือง จะบานในตอนค่ำ มีกลิ่นแรง ลักษณะเหมือนดอกหน้าวัว
ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราว 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปออกจะกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นรวมทั้งกิ่งมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปนเปอยู่
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกลำพัง รูปแบบของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวโดยประมาณ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
สรรพคุณของบุก
สำหรับคุณประโยชน์ของบุก พวกเรานิยมใช่ประโยน์ทางยาของบุก จาก หัว รากและก็เนื้อของลำต้น รายละเอียด ดังนี้
หัวบุก มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีประจำเดือนมาผิดปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟลุกแล้วก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาแก้ปวด แก้บวมช้ำ
รากของบุก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับเมนส์ของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี

ข้อควรพิจารณาสำหรับการบริโภคบุก
สำหรับสิ่งที่ไม่อนุญาตสำหรับเพื่อการรับประทานบุกเป็นหัวบุกจะมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร ด้วยเหตุนี้ ในฝูงชนที่ ม้าม ตับ แล้วก็ระบบทางเดินอาหาร ไม่ดี ควรหลบหลีกรับประทาน และไม่รับประทานมากจนเกินไป ซึงข้อควรตรึกตรองสำหรับเพื่อการบริโภคบุก มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) จำนวนไม่ใช่น้อย ที่ก่อให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก้านใบถ้าเกิดปรุงไม่ดีแล้วรับประทานเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองและก็คันปากได้
ก่อนนำมากินต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด
กระบวนการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นคราวแรก และจากนั้นจึงนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวถึงแล้วสำหรับในการปรุงอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้ถ้าเกิดอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
ด้วยเหตุว่าวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก จึงไม่สมควรบริโภควุ้นบกวันหลังการกิน แต่ว่าให้กินก่อนอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่ผลิตขึ้นมาจากวุ้น ดังเช่นว่า วุ้นก้อนและเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ เนื่องจากวุ้นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านกระบวนการแล้วก็ได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องด้วยไม่มีการสลายตัวเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินและแร่ธาตุ หรือสารอาหารใดๆที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลยกลูวัวแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดน้อยลง ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้ แม้กระนั้นจะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจจะทำให้มีลักษณะท้องเดินหรือท้องเฟ้อ มีลักษณะหิวน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการเหน็ดเหนื่อยเพราะเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรบุก

7

ขิง
ถึงแม้ขิงจะเป็นสมุนไพรซึ่งสามารถใช้ประกอบอาหารแล้วก็มีคุณประโยชน์สำหรับการรักษาโรค ถึงแม้ว่าขิงจะมีกลิ่นฉุนรวมทั้งมีรสชาติเผ็ดร้อน เลยทำให้ไม่ถูกปากหลายท่านนั้น แต่ขิงก็เป็นสมุนไพรซึ่งสามารถใช้ปรุงอาหารและมีสรรพคุณรักษาโรค เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าสมุนไพรดีๆอย่างขิงนั้นมีสาระและก็โทษอะไรที่เราคิดไม่ถึงบ้าง
ประโยชน์ซึ่งมาจากขิง
+ ลดอาการท้องอืดแม้คุณรู้สึกท้องขึ้นหรือของกินไม่ย่อยให้จิบชาน้ำขิงหรือรับประทานขิงสดจะมีผลให้คุณเข้าใจดีขึ้น หรือหากว่าคุณกำเนิดอาการท้องอืดจากการกินถั่วละก็ คราวหลังทดลองฝานถั่วบางๆลงไปในของกินที่มีถั่ว นั่นก็จะช่วยลดอาหารท้องอืดได้เช่นกันค่ะ เนื่องจากขิงนั้นเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน สามารถช่วยขับลม และกระตุ้นรูปแบบการทำงานของไส้ทำให้ อาการท้องอืดบรรเทาลงได้
+ ช่วยทุเลาอาการไมเกรน
จากการเล่าเรียน
พบว่า การรับประทานขิงในเวลาที่อาการไมเกรนใกล้กำเริบเสิบสานนั้น จะช่วยให้ความเจ็บจากอาการไมเกรนน้อยลงได้ ด้วยเหตุว่าขิงจะไปช่วยสกัดการฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการอักเสบ นอกเหนือจากนั้นยังมีการศึกษาอื่น บอกให้เห็นอีกว่าขิงสามารถช่วยรักษาอาการไขข้ออักเสบ โดยพบว่าผู้ที่มีลักษณะอาการของโรคข้อหัวเข่าเสื่อมหรือโรครูมาตอยด์มีลักษณะลดลงเมื่อบริโภคขิงผงบ่อยๆทุกวี่ทุกวัน
คุณประโยชน์ซึ่งมาจากขิง แล้วก็โทษที่คุณอาจคิดไม่ถึง
+ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
 ขิงมีคุณลักษณะสำหรับในการช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็ง โดยมีการเล่าเรียนพบว่าขิงช่วยให้เซลล์มะเร็งข้างในรังไข่ตาย เพราะว่าในขิงมีสารเคมีธรรมชาติที่ไปช่วยกระตุ้นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีกลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรส ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ก็เลยช่วยคุ้มครองป้องกันโรคมะเร็งได้ ยิ่งกว่านั้นยังเจออีกว่าสินค้าอาหารเสริมที่มีขิงเป็นส่วนประกอบยังช่วยลดอาการอักเสบในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
+ ช่วยบรรเทาอาการอาเจียน
 ขิงสามารถบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ โดยชาวเอเชียนั้นมักจะใช้ขิงในการช่วยทุเลาอาการเมารถ หรือเมาเรือ นอกจากนี้ยังมีหลายการเรียนรู้พบว่าขิงสามารถช่วยปกป้องและบรรเทาอาการอาเจียนภายหลังการผ่าตัดและก็ยังช่วยทุเลาอาการอ้วกแล้วก็อ้วกในผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับเคมีบำบัดได้อีกด้วย
+ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
 มีการเรียนรู้ใหม่พบว่า ขิงผงนั้นสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยเฉพาะกับคนเจ็บโรคเบาหวานประเภทที่ 2 แม้กระนั้นก็ควรจะที่จะขอคำแนะนำแพทย์ก่อนรับประทานขิงร่วมกับยา เนื่องจากขิงบางทีอาจทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้รักษาได้ รวมทั้งควรติดตามผลระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด เพราะเหตุว่าแม้รับประทานขิงมากจนเกินไปก็อาจจะทำให้ระดับอินซูลินน้อยลงมากจนเกินไปจนถึงอยู่ในขีดอันตรายได้
ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง และก็โทษที่คุณอาจนึกไม่ถึง
ขิงดอง คุณประโยชน์ดีก็มีนะ รู้ยัง?
 พวกเราบางครั้งอาจจะเคยได้ยินกันมาว่าการกินของหมักดองไม่ใช้เรื่องดีสำหรับสุขภาพ แต่ว่าจะต้องขอเว้นเสียแต่ไว้สำหรับขิงดองจ้ะ เพราะเหตุว่าที่จริงแล้วขิงดองจะเป็นของกินที่ผ่านการหมักดองด้วยน้ำส้มสายชู แม้กระนั้นเรื่องสรรพคุณ แล้วก็ประโยชน์เพื่อสุขภาพ ขิงดองก็มีดีไม่ด้อยไปกว่าขิงใหม่ๆเลยล่ะค่ะ ซึ่งคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิงดองมีดังนี้
* ช่วยแก้อาการเมาเรือ เมารถ และก็อาการแพ้ท้อง

ด้วยเหตุว่าขิงดองเป็นของกินที่มีกลิ่นแรงอีกทั้งยังมีรสชาติเผ็ดอมเปรี้ยว เลยทำให้กลายเป็นของกินที่เหมาะกับมีอาการเมาเรือ เมารถ และสตรีที่กำลังท้อง ซึ่งมักจะมีอาการแพ้ท้อง เอาไว้รับประทานเวลาที่รู้สึกอาเจียน ด้วยเหตุว่าจะช่วยทุเลาอาการได้ค่ะ ไม่ต้องพึ่งยาแก้เมา หรือยาแก้แพ้ท้อง ทดลองใช้ขิงดองมองนี่ล่ะจ้ะ เด็ด !
* ช่วยล้างปากเวลาทานอาหาร
 สำหรับหลายคนที่สงสัยว่าเพราะเหตุไรเวลาไปกินอาหารประเทศญี่ปุ่นแล้วบนจานของกินญี่ปุ่นจะมีขิงดอง คำตอบก็คือขิงดองพวกนั้นมีไว้กินล้างปากค่ะ โดยส่วนมากสำหรับเพื่อการทานอาหารญี่ปุ่น จะกินขิงดองตามเข้าไปภายหลังจากทานอาหารจานนั้นหมดแล้ว เพื่อไม่ให้รสของกินจานเดิมติดอยู่ในปากจนกระทั่งทำให้เกิดความรู้สึกเลี่ยนและก็รับประทานจานต่อไปไม่ไหว อีกทั้งยังทำให้ลิ้มชิมรสของกินจานต่อไปได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
* โซเดียมต่ำ
 แม้ขิงดองจะมีรสจัด แม้กระนั้นน่าประหลาดที่ขิงดองเป็นอาหารที่มีโซเดียมต่ำมากเมื่อเทียบกับของกินดองชนิดอื่นๆเมื่อนำมากินแล้วก็ทำให้ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจกับจำนวนโซเดียม ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความดันโลหิตสูงลงไปได้อีกเยอะเลย
ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง รวมทั้งโทษที่คุณอาจไม่คาดฝัน
ข้อควรระวังสำหรับการทานขิง
- อาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งท้องได้
 มีบางการศึกษาพบว่าขิงมีความเชื่อมโยงกับภาวะแทรกซ้อนในการมีท้องแล้วก็การแท้ง แต่สำหรับเพื่อการท้องรายอื่นๆนั้นไม่พบว่าการรับประทานขิงจะก่อให้กำเนิดอาการพวกนั้นขึ้น แถมยังช่วยลดอาการอ้วกจากการแพ้ท้องได้อีกด้วย โดยเหตุนั้นคุณควรจะไปปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะที่ใช้ขิงในการรักษาอาการแพ้ท้องด้วยตัวเองจ้ะ
- นำมาซึ่งการก่อให้เกิดแผลร้อนในด้านในปากได้
 [url=http://www.disthai.com/16488302/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87]ขิง[/url]เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน หากรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะสามารถเยื่อบุข้างในโพรงปากมีการอักเสบจนถึงเป็นอาการร้อนในได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวไม่สมควรรับประทานขิงมากจนเกินไปจ้ะ
- ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด
 การเล่าเรียนหนึ่งในประเทศออสเตรเลียพบว่า ขิงนั้นมีคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการต้านการแข็งตัวของเลือดมากยิ่งกว่ายาแอสไพริน สถาบันสุขภาพของออสเตรเลียได้ออกคำตักเตือนให้งดการรับประทานขิงในขณะที่ใช้ยาละายลิ่มเลือดเพราะว่าจะมีผลให้เกิดการเสี่ยงในการกำเนิดอาการช้ำเลือดหรืออาการเลือดออกได้ ดังนั้นถ้าเกิดคุณมีลักษณะอาการเลือดออกไม่ดีเหมือนปกติหรือกำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือด ควรจะเลี่ยงการรับประทานขิงค่ะฃ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรขิง

หน้า: [1]