แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - 4vvinWWW01

หน้า: [1]
2

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและก็ใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่บริบูรณ์ แสงอาทิตย์ปานกลาง มักพบตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกได้ไม่ยาก ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาก็ดีก็ย้ายไปปลูกไว้ในแปลง ดูแลเสมือน พืชไม้ทั่วๆไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกึ่งกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่ไหมอ่อนจนกระทั่งเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” สกุลสถิต ฉั่วกุล และก็แผนกได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโอ้อวดนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต่อต้านพิษงูยังไม่ชัดแจ้ง แม้กระนั้นปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่เป็นพิษกัดต่อย ยกตัวอย่างเช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำอย่างรอบคอบ เพิ่มแอลกอฮอล์เพียงพอชุ่มยา ตั้งทิ้งเอาไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกเมื่อเชื่อวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ แล้วก็กากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url] หรือ เสลดพังพอน เพราะเหตุว่าเสมหะพังพอนมีตลอดตัวผู้ละตัวเมีย แต่ตัวผู้ไม่นิยมประยุกต์ใช้เพราะว่ามีฤทธิ์อ่อน รวมทั้งเพื่อไม่ให้งงงันก็เลยเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" ส่วนใหญ่เอามาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกลุ่มพืชถอนพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาทารักษาด้านนอก มีคุณประโยชน์บรรเทาการอักเสบของผิวหนังเจริญ  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส
คุณสมบัติของผงพญายอในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผดผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับเหล้า แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวรวมทั้งเม็ดผดผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับสุราใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก พญายอมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนได้ดี
- อีกหนังสือเรียนบอกว่านอกจากจะใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยเนื่องด้วยถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด และแผลที่เกิดจากการถูกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย เอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองได้ดิบได้ดี ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือแล้วก็เหล้า ใช้พอกรอบๆที่เป็น เปลี่ยนแปลงยาทุกเช้าแล้วก็เย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยเฉพาะพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ได้แก่ งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง อื่นๆอีกมากมาย
- พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังประเภทเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง รวมทั้งใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและก็เอากากพอกบริเวณแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บ ช่วยลดอาการปวด
- มีฤทธิ์ต้านไวรัสเจริญและไม่เป็นพิษต่อเซลล์

แนวทางการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ชำระล้างผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแล้วก็ถูเครื่องแต่งตัวให้สะอาดก่อนขั้นตอนการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำที่สะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง น้ำนม หรือโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้อีกทั้งผิวหน้าและผิวกาย เป็นประจำ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง


     - สำหรับผิวหน้า พญายอแม้เป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลุกลามไปทั่วบริเวณใบหน้า และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผิวหน้ามากจนเกินไป พอกทิ้งไว้ราว 15 นาที
     - แม้ใช้ขัด (สำหรับผู้ที่ไม่เป็นสิว และก็ผิวกาย) ให้ขัดให้เบามือที่สุด โดยประมาณแค่ลูบพากเพียรจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด และก็ให้ขัดเพียงแค่ 5 นาทีก็เพียงพอที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งไว้จนถึงแห้ง (อาจใช้ระยะเวลาพอกทิ้งเอาไว้ราว 15 นาที)

  • พญายอ ภายหลังแห้งแล้ว ให้ทำการล้างด้วยน้ำปกติ (ไม่สมควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบเบาที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆแล้วก็ปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือคลำให้ค่อยที่สุด โดยใช้แนวทางล้างเดียวกับการขัดหน้า คือ พากเพียรจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าเสร็จแล้ว ดูดซับหน้าให้แห้ง


Tip  เพื่อการบำรุงที่เพิ่มขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำปกติในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเสมอกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วใบหน้าสักบางส่วน ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความสดชื่นให้แก่ผิว ทั้งยังช่วยทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มแล้วก็กระจ่างขาวสวยใส มองอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเสลดพังพอน (พญายอ)

3

เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มแพทย์ แก้มหมอเล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในตำรายาไทยกล่าวว่า เหงือกปลาแพทย์สามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกประเภท
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์เด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้แต่ โรคอีสุกอีใส ที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสก็จะเบาลงลง
สมุนไพร เหงือกปลาหมอเป็นไม้พุ่มที่มีขนาดกลางสูงราว 1-2 เมตร ส่วนของลำต้นรวมทั้งใบจะมีหนามมีหนาม ใบหนามแข็งแล้วก็มีขอบเว้าหนามแหลมใบออกเป็นคู้ตรงกันข้ามกัน ส่วนของดอกจะออกเป็นช่อตามยอด กลีบจะมีสีขาอมม่วง มี 4 กลีบแยกจากกันผลเป็นฝักสีน้ำตาล มี เม็ด จะสามารถพบได้มากตามชายน้ำ ริมฝั่งลำคลองบริเวณปากแม่น้ำ
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่อง แม้จะร้ายแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วๆไป แต่เมื่อใช้เหงือกปลาแพทย์เป็นทั้งยารับประทานและต้มน้ำอาบต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 3 ข้างขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะเบาลงลงอย่างชัดเจน สำหรับคนเจ็บโรคผิวหนังด้วย
แนวทางปรุงยารวมทั้งวิธีใช้ยาก็มีหลายวิธีหมายถึง
แนวทางต้มยารับประทานและอาบ
เอาเหงือกปลาแพทย์สดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มกินขณะอุ่นๆทีละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก่อนที่จะกินอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น จะต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดเสียก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นทีละ 3-4 ขัน แต่หากมีเหงือกปลาแพทย์ไม่น้อยเลยทีเดียว บางทีก็อาจจะต้มยาเพื่อเป็นการแช่ทั้งตัวในอ่างก็ยิ่งดี
วิธีการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมออีกทั้ง 5 ทีตากแห้งมาบดเป็นผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร คนแก่กินทีละ 2 เม็ด เด็กบางทีอาจจะกินทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุรวมทั้งน้ำหนัก รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ยามเช้า-เย็น รับประทานไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาย แม้กระนั้นถ้าเป็นโรคผิวหนังจากภูมิคุ้มกันขาดตกบกพร่องก็จำต้องกินตลอดไป

ขั้นตอนการทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการเหินเป็นผงละเอียดเสมือนแป้งบรรจุแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม ผู้ใหญ่กินครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนที่จะกินอาหาร เด็กลดลงตามส่วน
เหงือกปลาแพทย์มีสรรพคุณมากไม่น้อยเลยทีเดียว ได้แก่
-ราก มีสรรพคุณสำหรับในการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ รวมทั้งใช้ขับเสมหะ
-ต้น มีสรรพคุณรักษาโรคหลายประเภท โดยใช้ต้นตำผสมน้ำกินรักษาวัณโรค อาการซูบผอม ถ้าเกิดใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้คุณประโยชน์ทางยาต่างกันออกไปอีก
-ทั้งต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกประเภท
-อีกทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มกินแก้พิษฝีดาษ ฝีทั้งปวง ผลรับประทานเป็นยาขับโลหิตระดู ยิ่งกว่านั้น หากตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ทั้งต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาทั้งตัว
- ต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะดียิ่งขึ้น
- ตำเอาน้ำกินกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน คุดทะราด จับไข้จับสั่น
- อีกทั้งต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนกิน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผอมแห้งแรงน้อยเหลืองทั้งตัว กินวันแล้ววันเล่า
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ดุ้น ต้มกับน้ำจนเดือดให้งวดจึงชูลง อั้นลมหายใจกินขณะอุ่นจนกระทั่งหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนหมดทั้งตัว เวียนหัว ตามัว เจ็บระบมตลอดตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาแพทย์" ทั้ง 5 รวมราก กับ อาหารเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ปริมาณเท่ากัน กะตามต้องการ ต้มกับน้ำกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา รุ่งเช้า กลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการ ไปให้หมอเอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย แล้วก็ต้องระมัดระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาแพทย์" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินทุกๆวัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค สติปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกหมวดหมู่หาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 พวก หูไว
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่รู้จักเหนื่อย
กินได้ 7 เดือน ผิวสวย
กินได้ 8 เดือน เสียงไพเราะเพราะพริ้ง
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนถ้าหากผิวแตกตลอดตัวหายได้ ทั้งสิ้นที่บอกเป็นตำรายาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่สมควรดูหมิ่น ทราบไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

4

เหงือกปลาหมอ
เหงือกปลาหมอ ชื่อสามัญ Sea holly, Thistleplike plant
เหงือกปลาหมอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acanthus ilicifolius Lour., Acanthus ilicifolius var. ebracteatus (Vahl) Benoist, Dilivaria ebracteata (Vahl) Pers.) จัดอยู่ในตระกูลเหงือกปลาหมอ(ACANTHACEAE)
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า แก้มแพทย์ (สตูล), แก้มแพทย์เล (กระบี่), อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง), นางเกร็ง จะเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน เป็นต้น
เหงือกปลาหมอมีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ ชนิดที่เป็นดอกสีม่วง (Acanthus ilicifolius L.) ที่พบได้มากทางภาคใต้ และชนิดที่เป็นดอกสีขาว (Acanthus ebracteatus Vahl) ที่พบได้มากทางภาคกึ่งกลางรวมทั้งภาคตะวันออก รวมทั้งเป็นพรรณไม้ที่ขึ้นชื่อลือนามของจังหวัดสมุทรปราการ
เหงือกปลาหมอ สมุนไพรใกล้ตัวหรือบางครั้งอาจจะเรียกว่าเป็นสมุนไพรชายน้ำหรือชายเลนก็ได้ สามารถนำคุณประโยชน์ทางยามาใช้สำหรับในการรักษาโรคได้หลายประเภท ที่โดดเด่นมากมายก็คือการนำมารักษาโรคผิวหนังได้ดูเหมือนจะทุกประเภท แก้น้ำเหลืองเสีย แล้วก็การนำมาใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฯลฯ โดยส่วนที่ประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพรก็ได้แก่ ส่วนลำต้นอีกทั้งสดรวมทั้งแห้ง ใบทั้งยังสดและแห้ง ราก เม็ด และต้น (ส่วนทั้ง 5 ประกอบไปด้วย ต้น ราก ใบ ผล เม็ด)
รูปแบบของเหงือกปลาหมอ
ต้นเหงือกปลาแพทย์ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งตรง มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 1.5 เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ดและการใช้กิ่งปักชำ เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นกลางแจ้ง เติบโตก้าวหน้าในที่ร่มและก็ในที่ที่มีความชุ่มชื้นสูง ชอบขึ้นตามชายน้ำหรือรอบๆริมฝั่งลำคลองรอบๆปากแม่น้ำ เป็นต้นว่า รอบๆริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งทิศตะวันออกเหนือปากคลองมหาวงก์ รวมทั้งที่โรงเรียนนายเรือ ฯลฯ
ต้นเหงือกปลาหมอ
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบคนเดียว รูปแบบของใบมีหนามคมอยู่ขอบขอบของใบรวมทั้งปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นระยะๆผิวใบเรียบเป็นมันลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแนวก้างปลา เนื้อเรือใบแข็งแล้วก็เหนียว ใบกว้างโดยประมาณ 4-7 เซนติเมตร และก็ยาวราวๆ 10-20 ซม. ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น
ใบเหงือกปลาหมอ
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวราวๆ 4-6 นิ้ว ดอกมีพันธุ์ดอกสีม่วง (หรือสีฟ้า) รวมทั้งประเภทดอกสีขาว ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน รอบๆกึ่งกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และก็เกสรตัวเมียอยู่
ดอกเหงือกปลาหมอ
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
ผลเหงือกปลาหมอ รูปแบบของผลเป็นฝักสีน้ำตาล รูปแบบของฝักเป็นทรงกระบอก รูปไข่ หรือกลมรี ยาวประมาณ 2-3 ซม. เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ด้านในฝักมีเมล็ด 4 เมล็ด
สรรพคุณของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน สุขภาพดี เลือดลมไหลเวียนดี เส้นโลหิตไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคละเคล้าผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าถ้าหากกินติดต่อกัน 1 เดือน จะมีผลให้สติปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 จำพวก หูไว / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่รู้อิดโรย / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงน่าฟัง / 9 เดือน หนังเหนียว (ต้น, ราก)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยบำรุงรักษาประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุเปลี่ยนไปจากปกติ (ต้น)
ช่วยทำให้เลือดลมเป็นปกติ (ทั้งยังต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ทั้งต้น)
ช่วยแก้โรคกษัย อาการผอมเกร็งเหลืองหมดทั้งตัว ด้วยการใช้ต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผงกินทุกวี่ทุกวัน (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนทั้งตัว เจ็บระบบหมดทั้งตัว ตัวแห้ง เวียนหัว หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ต้นของเหงือกปลาหมอแล้วก็เปลือกมะรุมอย่างละเสมอกัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 แท่ง ต้มกับน้ำเดือดจนงวดแล้วชูลง เมื่อเสร็จให้กลั้นหายใจกินขณะอุ่นๆจนถึงหมด อาการก็จะดีขึ้น (อีกทั้งต้น)ช่วยยั้งโรคมะเร็ง ต้านทานโรคมะเร็ง (ทั้งยังต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งยังต้นรวมทั้งอาหารเย็นเหนือ อาหารเย็นใต้ในสัดส่วนที่เท่ากัน นำมาต้มกับน้ำกระทั่งเดือดแล้วนำมาดื่มในขณะอุ่นๆครั้งละ 1 แก้ว รุ่งเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น อาการจะ (ต้น)
รักษาปอดอักเสบ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยแก้ลักษณะของการปวดหัว (ต้น)
รากช่วยแก้และทุเลาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดนำมาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้ด้วยเหมือนกัน (ราก, เม็ด)
ช่วยแก้หืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้ลักษณะการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมออีกทั้งต้นเอามาตำผสมกับขิง คั้นเอาแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ทั้งยังต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (ทั้งยังต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้ต้นรวมทั้งรากนำมาต้มอาบแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
แก้อาการไอ เม็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด เอามาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เม็ด)
ช่วยขับเสลด (ราก)
หากเป็นลมเป็นแล้ง ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำให้ถี่ถ้วนเป็นผุยผงแล้วเอามาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้ต้นและก็พริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (ต้น)

ช่วยขับพยาธิ (เม็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย นำมาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายมิจฉาชีพ ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับปัสสาวะ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดระดูขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการใช้ใบแล้วก็ต้นนำมาตำเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรี ด้วยการใช้อีกทั้งต้นนำมาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการกางใบเอามาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตพิการ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้)
ผลช่วยขับโลหิต หรือจะใช้เมล็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด เอามาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนและพริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนรับประทานก็ได้ (เม็ด, ผล, ทั้งยังต้น)
ช่วยฟอกโลหิต ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยสมานแผล ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (อีกทั้งต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น นำมาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เม็ด)
สำหรับคนป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่องที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง ถ้าเกิดใช้ต้นมาต้มอาบและก็ทำเป็นยารับประทานต่อเนื่องกันประมาณ 3 เดือนจะช่วยให้ลักษณะของแผลพุพองทุเลาลงอย่างแจ่มแจ้ง (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประดง รักษากลากเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคเรื้อน โรคกุฏฐัง ด้วยการใช้ต้นนำมาตำมัวแต่น้ำดื่ม (ทั้งต้น)
ช่วยแก้ผดผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดแล้วก็ใบสดล้างสะอาดประมาณ 3-4 กำมือ นำมาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันติดต่อกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ทางยาช่วยแก้ลมพิษ (ต้น)
รากสดเอามาต้มมัวแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง ไข้ทรพิษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกประเภททั้งยังข้างในด้านนอก ด้วยการใช้ต้นแล้วก็ใบทั้งยังสดและแห้งโดยประมาณ 1 กำมือ เอามาบดอย่างละเอียด แล้วเอามาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือวิธีที่สองจะนำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งเอาไว้ 10 นาที แล้วเอามาดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง ราว 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เมล็ดเอามาคั่วให้ไหม้เกรียมแล้วป่นให้รอบคอบ ชงกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เม็ด)
เม็ดใช้ปิดพอกฝี (เม็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน สรรพคุณช่วยทำลายพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดนำมาตำให้รอบคอบ สามารถใช้พอกรอบๆแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกทั้งตัว ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
ต้น ถ้าหากนำมาใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาตลอดตัวได้ (ต้น)
รากมีคุณประโยชน์ช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้อาการเจ็บหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศเอามาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนกิน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบปรับปรุงข้ออักเสบแล้วก็แก้ลักษณะของการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยบำรุงรักษารากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบนำมาทาให้ทั่วศีรษะ จะช่วยบำรุงรากผมได้ (ใบ)
ประโยช์จากเหงือกปลาหมอ
ในตอนนี้สมุนไพรเหงือกปลาหมอมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาแคปซูลสมุนไพร (เหงือกปลาหมอแคปซูล) หรือเป็นยาชงสมุนไพร (เหงือกปลาแพทย์ผงสำเร็จรูป) หรือในรูปแบบของยาเม็ด
นอกจากการใช้เป็นยาสมุนไพรที่ใช้เพื่อการอบตัวหรืออบด้วยไอน้ำ สมุนไพรเหงือกปลาหมอยังคงใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งหน้าอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สบู่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับในการเปลี่ยนสีผม จนตราบเท่ายาสระผมของสุนัข ฯลฯ
แหล่งอ้างอิง
: เว็บไซต์สำนักงานโครงงานอนุรักษ์กรรมพันธุ์พืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, หนังสือพิมพ์ชาติบ้านเมือง (ชำนาญ หิมะคุณ), หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ฐานข้อมูลพืชพันธุ์ไม้ องค์การส่วนพฤกษศาสตร์, สำนักงานกองทุนเกื้อหนุนการผลิตเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ (อาจารย์ยุยงวดี จอมรักษา), หนังสือการบริหารร่างกายแกว่งแขน (โชคชัย ปัญจทรัพย์) http://www.disthai.com/

5


ราชพฤกษ์

คูน คุณประโยชน์และสรรพคุณของคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ความเป็นมาดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน เป็นต้นไม้ประจำถิ่นของเอเชียใต้ ตั้งแต่ปากีสถาน ประเทศอินเดีย เมียนมาร์ แล้วก็ศรีลังกา โดยนิยมปลูกกันมากมายในเขตร้อน สามารถเจริญเติบโตเจริญใน รวมทั้งมีชื่อเสียงในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ก็ยังมิได้บทสรุปแจ่มกระจ่าง จนถึงมีการเซ็นชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ตอนวันที่ 26 ตุลาคม พุทธศักราช 2544
ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เพราะเหตุว่า ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองยกช่อ ดูสง่างาม อีกทั้งยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เลยถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าอยู่หัว" และก็มีการเซ็นชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นหนึ่งใน 3 สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย รวมทั้ง 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เพราะเป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่รู้จักกันอย่างมากมาย แล้วก็มีอยู่ทุกภาคของเมืองไทย
  • มีประวัติเกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมหลักๆในไทยและฯลฯพืชที่มีความเป็นสิริมงคลที่นิยมปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้นานาประการ ได้แก่ ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังยังคงใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ เป็นต้น
  • มีสีเหลืองสวยงาม พุ่มงามเต็มต้น เปรียบเทียบเป็นเครื่องหมายแห่งศาสนาพุทธ
  • แก่ยืนนาน แล้วก็แข็งแรง


คูน หรือ ราชพฤกษ์ (Golden Shower, Indian Laburnum) เป็นพืชสมุนไพรพวกยืนต้นขนาดกลางถึงขั้นใหญ่ ที่มีชื่อเรียกตามแคว้นต่างๆอาทิเช่น ภาคเหนือเรียก ราชพฤกษ์, คูน หรือชัยพฤกษ์ ส่วนจังหวัดปัตตานีเรียก ลักเคย หรือลักเกลือ แล้วก็กะเหรี่ยง-กาญจนบุรีเรียก กุเพยะ เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นของเอเชียใต้ไปจนถึงอินเดีย ศรีลังกา แล้วก็ประเทศพม่า รวมทั้งคูนหรือราชพฤกษ์นี้ยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของไทยอีกด้วย
————– advertisements ————–
การรักษา
           แสง : ต้องการแดดจัด หรือกลางแจ้ง และก็เจริญวัยได้ดีในที่โล่งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ชอบน้ำน้อย ควรจะรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับลักษณะอากาศร้อนได้ดี
           ดิน : สามารถเจริญเติบโตก้าวหน้าในดินร่วนซุย ดินร่วนซุยปนทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมให้ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยหมัก ในอัตรา 2-3 กก.ต่อต้น แล้วก็ควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
การขยายพันธุ์
           แนวทางแพร่พันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยมหมายถึงการเพาะเมล็ด โดยใช้เม็ดใหม่ๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แม้กระนั้นจำต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน เพราะเหตุว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ ต่อจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งเอาไว้ผ่านวัน แล้วก็ค่อยเทน้ำออกให้เหลือจำนวนพอเพียงหล่อเลี้ยงเม็ดได้ แล้วทิ้งเอาไว้อีกคืนก็จะเจอรากงอก และสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อถือเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           มั่นใจว่าฯลฯพืชที่มีความเป็นสิริมงคล ที่ควรจะปลูกเอาไว้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ และก็หากปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยให้ทรงเกียรติตำแหน่ง เกียรติ แล้วก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยศาสตร์ โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ เนื่องจากว่าเป็นพืชที่มีความมงคลนาม
ลักษณะทั่วไปของคูน
สำหรับต้นคูนนั้นจัดว่าเป็นไม้ต้นขนาดกึ่งกลาง โดยลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา มักขึ้นตามป่าผลัดใบ หรือในดินที่สามารถระบายน้ำได้ดี ส่วนใบจะมีสีเขียวเป็นมัน โคนมน เนื้อใบสะอาดแล้วก็บาง ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบทรงไข่กลับอยู่ 5 กลีบ แล้วก็เห็นเส้นกลีบชัดแจ้ง ฝักอ่อนมีสีเขียวและก็จะเป็นสีดำเมื่อแก่จัด รวมทั้งในฝักจะมีฝาผนังเยื่อบางๆกั้นเป็นช่องๆอยู่ตามแนวขวางของฝัก แล้วก็ด้านในช่องกลุ่มนี้จะมีเม็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ผลดีและคุณประโยชน์ของคูน
ใบ – ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเชื้อโรคต่างๆช่วยระบายท้อง สามารถใช้พอกแก้ลักษณะของการปวดข้อ หรือแก้ลมตามข้อ รวมถึงช่วยแก้โรคอัมพาตของกล้ามเนื้อบนบริเวณใบหน้า หรือนำไปต้มรับประทานแก้เส้นทุพพลภาพ รวมทั้งโรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง ให้รสเมา
ดอกราชพฤกษ์ – ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ แก้พรรดึก (ท้องผูก) และก็โรคกระเพาะอาหาร รวมทั้งแผลเรื้อรัง ให้รสขมเปรี้ยว
ราก – ช่วยสำหรับการฆ่าเชื้อโรคคุดทะราด ระบายพิษไข้ แก้กลากหรือโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึมหนักแถวๆหัว แล้วก็ช่วยถ่ายสิ่งสกปรกสกปรกออกมาจากร่างกาย แก้อาการหายใจขัด ทำให้สดชื่นทรวงอก แก้ลักษณะของการมีไข้ ไปจนถึงรักษาโรคหัวใจ ถุงน้ำดี มีฤทธิ์ถ่ายแรงกว่าเนื้อในฝัก สามารถใช้ได้กับเด็กหรือสตรีมีท้อง ไม่เป็นผลข้างเคียงใดๆก็ตามให้รสเมา
แก่น – ช่วยสำหรับในการขับพยาธิไส้เดือน ให้รสเมา
กระพี้ – ช่วยแก้โรครำมะนาด ให้รสเมา
เนื้อในฝัก – ใช้พอกเพื่อช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ แก้ต้นตานขโมย ปรับแต่งมาลาเรีย แก้บิด ถ่ายพยาธิ หรือคนที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง และถ่ายเสมะและแก้พรรดึก (ท้องผูก) ไปจนถึงระบายพิษไข้ สามารถใช้ได้ในเด็กและก็สตรีท้อง ไปจนกระทั่งเป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนหรือไข้ท้อง ให้รสหวานเบื่อ
เปลือกฝัก – ทำให้แท้งลูก ทำให้อาเจียน และก็ขับรกที่ค้างอยู่ออกมา ให้รสเฝื่อนฝาดเมา
เมล็ด – ทำให้คลื่นไส้ ให้รสฝาดเมา
เปลือกต้น – ช่วยแก้อาการท้องเดิน ใช้ฝนผสมกับต้นหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ รวมทั้งน้ำตาล รับประทานเพื่อให้เกิดลมเบ่ง ให้รสฝาดเมา
เปลือกราก – ช่วยแก้ไข้ไข้มาลาเรีย รวมทั้งระบายพิษไข้ ให้รสฝาด
ดอกคูน หรือ ดอกราชพฤกษ์
ต้นคูนมักนิยมปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนแล้วก็ครึ่งหนึ่งเขตร้อน สามารถเติบโตได้ดิบได้ดีในที่โล่ง และปลูกได้ง่ายในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนซุยปนทราย หรือดินร่วนซุยเหนียว แล้วก็ยังทนต่อลักษณะอากาศแห้งแล้งรวมทั้งดินเค็มได้ดิบได้ดี แต่หากอากาศหนาวจัดอาจจะทำให้ติดโรคราหรือโรคใบจุดได้http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรราชพฤษ์

6

กระเทียม
กระเทียม ชื่อสามัญ Garlic
กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ คือคำว่า Allium sativum L. จัดอยู่ในสกุลพลับพลึง (AMARYLLIDACEAE) แล้วก็อยู่ในวงศ์ย่อย ALLIOIDEAE (ALLIACEAE)
สำหรับในประเทศไทยนิยมนำมาปลูกมากในทางภาคเหนือรวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ว่าสำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดี กลิ่นแรงอาจหนีไม่พ้นจังหวัดศรีสะผม
คุณประโยชน์ของกระเทียม
ช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและก็แข็งแรง
ช่วยสร้างเสริมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย
ช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด
ช่วยทำให้ปรับสมดุลในร่างกาย
ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ อาการมึน ปวดหัว หูอื้อ
ช่วยในเรื่องระบบสืบพันธุ์แล้วก็ระบบทางเดินเยี่ยว เพราะเหตุว่ามีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนหญิงและชาย ช่วยทำให้มดลูกบีบตัว เพิ่มกำลังให้มีเรี่ยวแรง
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ช่วยต่อต้านเนื้องอก
ช่วยแก้ไขปัญหาผมบาง ยาวช้า มีสีเทา
ช่วยคุ้มครองการเกิดแล้วก็รักษาโรคโลหิตจาง
ช่วยสำหรับเพื่อการขับพิษและสารพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด
ช่วยป้องกันผนังหลอดเลือดหนาแล้วก็แข็ง
สารสกัดน้ำมันกระเทียมมีสารที่มีส่วนช่วยในการละลายลิ่มเลือด
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดเส้นโลหิตตัน
มีสารต่อต้านไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
ช่วยบรรเทาอาการไอ น้ำมูกไหล คุ้มครองปกป้องหวัด
ช่วยรักษาโรคหวัดและก็ไข้หวัดใหญ่
ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบแล้วก็ไซนัส
ช่วยรักษาโรคโรคไอกรน
ช่วยแก้อาการหอบ โรคหืด
ช่วยรักษาโรคหลอดลม
ช่วยหยุดกลิ่นปากกระเทียม
ช่วยในการขับเหงื่อ
ช่วยในการขับเสลด
ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยของกินมาย่อยแผลในกระเพาะ
ช่วยสำหรับเพื่อการขับลม
ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
ช่วยคุ้มครองโรคท้องผูก
ช่วยรักษาโรคบิด
ช่วยสำหรับการขับฉี่
ช่วยสำหรับการขับพยาธิได้หลายอย่าง อาทิเช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิเข็มหมุด พยาธิไส้เดือน ฯลฯ
ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบจำพวกร้ายแรงได้
ช่วยปกป้องการเกิดโรคไต
ช่วยฆ่าเชื้อโรครา เชื้อแบคทีเรียต่างๆรวมทั้งเชื้อราตามหนังหัวและก็รอบๆเล็บ
ช่วยยั้งเชื้อต่างๆได้แก่ เชื้อที่กระตุ้นให้เกิดฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดบวม เชื้อวัณโรค เป็นต้น
ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่วกระเทียมคุณประโยชน์
ช่วยรักษากลาก โรคเกลื้อน
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเยื่อ บำรุงข้อต่อรวมทั้งกระดูกในร่างกาย
ทุเลาลักษณะของการปวดข้อและเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามร่างกาย
ช่วยแก้อาการกลยุทธ์ขัดยอกรวมทั้งเท้าพลิก เพราะมีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมายังบริเวณที่นวดยาได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง
มีสารต้านอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาติเตียนสซั่ม
กระเทียมมีกลิ่นฉุนก็เลยสามารถช่วยไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากอาหาร
ประโยชน์ของกระเทียม
ประโยชน์สำคัญๆของกระเทียมคงจะหนีไม่พ้นการนำมาใช้เพื่อช่วยปรุงรสชาติของอาหาร ไม่ว่าจะใช้ผัด แกง ทอด ยำ ต้มยำ หรือน้ำพริกต่างๆอีกสารพัน
กระเทียมเป็นเครื่องสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่ธาตุหลายประเภท และก็ยังเป็นพืชที่ธาตุซีลีเนียมสูงกว่าพืชประเภทอื่นๆทั้งยังมีสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์ในร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีการนำกระเทียมไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างนานัปการ ตัวอย่างเช่น กระเทียมเสริมของกิน กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง ฯลฯ

ค่าทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 149 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม
ใยอาหาร 2.1 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 6.36 กรัม
วิตามินบี 1 0.2 มิลลิกรัม 17%
วิตามินบี 2 0.11 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี 3 0.7 มก. 5%
วิตามินบี 5 0.596 มิลลิกรัม 12%
วิตามินบี 6 1.235 มิลลิกรัม 95%
วิตามินบี 9 3 ไมโครกรัม 1%
วิตามินซี 31.2 มิลลิกรัม 38%
ธาตุแคลเซียม 181 มิลลิกรัม 18%
ธาตุเหล็ก 1.7 มิลลิกรัม 13%
ธาตุแมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม 7%
ธาตุแมงกานีส 1.672 มิลลิกรัม 80%
ธาตุฟอสฟอรัส 153 มก. 22%
ธาตุโพแทสเซียม 401 มิลลิกรัม 9%
ธาตุสังกะสี 1.16 มก. 12%
ธาตุซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม
% ร้อยละของปริมาณเสนอแนะที่ร่างกายต้องการในทุกวันสำหรับคนแก่ (มูลเหตุ : USDA Nutrient database)
คำเสนอแนะแล้วก็ข้อควรไตร่ตรองในการใช้กระเทียม
กระเทียมยิ่งสดเท่าใดก็ยิ่งมีคุณประโยชน์ที่ดีเลิศขึ้นเพียงแค่นั้น แต่ว่าสำหรับกระเทียมที่ผ่านความร้อนด้วยวิธีการต่างๆหรือผ่านการหมัก จะก่อให้วิตามินรวมทั้งสารอัลลิสินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นเสื่อมสภาพไป
วิตามินและแร่ที่อยู่ในกระเทียมนั้น จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นกับดินและสภาพอากาศที่ใช้เพื่อการเพาะปลูกอีกด้วย
สำหรับหญิงที่กำลังท้องหรือให้นมลูก ผู้ที่หรูหราน้ำตาลในเลือดปกติ มีระดับความดันเลือดเป็นปกติ คนที่มีลักษณะของเลือดหยุดไหลช้า รวมไปถึงคนที่ใช้ยาอื่นๆบ่อยๆ อย่างเช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต่อต้านเชื้อไวรัส คุณไม่สมควรรับประทานกระเทียมหรือสินค้ากระเทียมเสริมในปริมาณที่มากจนถึงเกินความจำเป็น เพราะเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้เป็นอันตรายต่อสภาพร่างกายได้
สำหรับผู้ที่ได้รับกลิ่นของกระเทียมบ่อยๆ อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้กระเทียมเมื่อกินได้ โดยอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการอ้วก แล้วก็มีของกินหัวใจที่เต้นแรงแตกต่างจากปกติ แม้กระนั้นอาการดังที่กล่าวถึงมาแล้วจะเบาๆหายไปเองภายในช่วงเวลา 3-4 ชั่วโมง ซึ่งกระเทียมที่ประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการประกอบอาหารชอบทำให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่ากระเทียมแบบใหม่ๆ
สำหรับคนที่อยู่ในครัวหรือผู้จำเป็นต้องใช้มือสัมผัสกับกระเทียมเสมอๆแล้วก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน อาจจะเป็นผลให้ผิวหนังมีการอักเสบ มีตุ่มน้ำได้ ด้วยเหตุดังกล่าวคุณควรหลบหลีกการสัมผัสกระเทียมโดยตรงเสมอๆด้วยการสวมถึงมือทุกคราวในตอนที่จะใช้กระเทียม
หากว่ากระเทียมจะเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์อยู่ล้นหลาม แต่คุณก็ไม่ควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลสำหรับในการรักษาอาการหรือโรคใดโรคหนึ่ง อีกทั้งผลที่ได้ในแต่ละบุคคลก็อาจจะไม่เหมือนกันออกไป โดยเหตุนั้นคุณควรเลือกรับประทานให้หลากหลายและก็ครบ 5 กลุ่ม จะเป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมที่สุด เนื่องจากผักสมุนไพรทั่วๆไป ถ้าเรียนกันในความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยไปกว่ากันเลย
ปัจจุบันนี้ในบ้านพวกเรายังไม่มีการยืนยันว่ากระเทียมนั้นจะสามารถรักษาโรคได้จริง คงเป็นได้ก็แค่สมุนไพรโอกาสในการรักษาและก็สมุนไพรเสริมสุขภาพเพียงแค่นั้นhttp://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรกระเทียม

หน้า: [1]