แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - guupost

หน้า: [1] 2
1
กลิ่นน้องชาย ไม่ใช่เรื่องตลก! ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ลดความเชื่อมั่นในตัวคุณไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตในแต่ละวัน หรือการต้องเจอกับสาวคนใดก็ตาม กางเกงใน GQ Cool Tech คืออีกทางเลือกดี ๆ ในการสวมใส่กางเกงในผู้ชายของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทุกผู้ทุกนาม จัดเต็มนวัตกรรมชั้นเลิศที่นอกจากลดปัญหากลิ่นอับแล้วยังสร้างความรู้สึกอันแสนเย็นสบาย ตอบโจทย์ในทุกวันและทุกกิจกรรม ที่สำคัญกางเกงใน GQ ราคาไม่แพงอย่างที่คิดด้วย

สาเหตุสำคัญที่มักทำให้น้องชายมีกลิ่นอับ
ก่อนจะไปรู้จักกับนวัตกรรมชั้นยอดของกางเกงใน GQ Cool Tech ขออธิบายถึงสาเหตุที่มักทำให้น้องชายของคุณมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยปัจจัยหลักมาจากเรื่องความอับชื้นจนเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคจำนวนมาก ทั้งนี้อาจเพราะกิจกรรมที่คุณ ๆต้องทำในแต่ละวันมีเหงื่อออกบวกกับสภาพอากาศอันแสนร้อนอบอ้าวของประเทศไทย และการสวมใส่กางเกงในผู้ชายที่เนื้อผ้าไม่ระบายอากาศ

แม้กระนั้นยังอาจมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย ได้แก่ การฉี่แล้วมีคราบปัสสาวะค้างอยู่ เช็ดหรือสะบัดออกไม่หมด, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง รวมไปถึงการซักกางเกงในไม่สะอาด ตากไม่แห้งสนิท มีความชื้น ขึ้นรา รวมถึงการใส่กางเกงในผู้ชายซ้ำก็มีส่วนด้วย

แก้ปัญหากลิ่นอับน้องชายด้วยกางเกงใน GQ Cool Tech
ในกรณีที่คุณมีสาเหตุมาจากเรื่องของความอับชื้นเนื่องมาจากกางเกงในที่สวมใส่ไม่ได้คุณภาพ ขอแนะนำกางเกงใน GQ Cool Tech ที่พร้อมพาหนุ่ม ๆ ทุกคนเปิดโลกทัศน์ใหม่แห่งความสบายน้องชายด้วยนวัตกรรมชั้นเลิศอย่างเทคโนโลยี GQ Cool Tech ช่วยให้ไข่เย็นลง 2 องศาเซลเซียส จากการผสมเจลลงไปบนเนื้อผ้าซึ่งผลิตจากเส้นใยรูปแบบตาข่ายละเอียดพิเศษ
มาพร้อมกับเทคโนโลยี GQ Quick Dry ที่จะกระจายความชื้นของเหงื่อและน้ำได้ดีกว่าเนื้อผ้าทั่วไป แน่ใจได้เลยว่าแม้สวมใส่แล้วต้องทำกิจกรรมหนัก ๆ หรือออกกำลังกายก็แห้งเร็ว ไม่รู้สึกแฉะ เหนียวเหนอะ ไม่คัน ไม่มีกลิ่นเหม็น หรือหนักไข่จากความอับชื้นให้ต้องกังวลใจ

ขณะที่ปัญหากลิ่นอับจากการล้วงควักน้องชายออกมาฉี่ด้วยความลำบากลำบน ทำให้มีคราบปัสสาวะติดค้าง กางเกงใน GQ Cool Tech ยังมีการตัดเย็บช่องเปิดด้านหน้าที่เรียกว่า GQ Easy Access ทำให้ควักง่ายด้วยมือเดียว ฉี่แล้วสะบัดให้เสร็จ เก็บใส่คล่องๆ จบปัญหาคราบฉี่แน่นอน

ด้วยความคุ้มขนาดนี้ต้องขอบอกอีกว่ากางเกงใน GQ ราคาไม่แพงอย่างที่ทุกคนคิด ใช้งานได้อย่างยาวนาน คุ้มค่ากับการควักกระเป๋าแน่นอน และที่สำคัญย้ำอีกครั้งเมื่อปัญหากลิ่นอับของน้องชายหมดไป ความมั่นอกมั่นใจในทุกการใช้ชีวิตของคุณก็กลับคืนมอีกครั้ง จะสถานการณ์ไหนบอกเลยเอาอยู่แบบหมดห่วง!!!

เว็บไซต์ : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

2
การสวมใส่กางเกงชั้นในชายไม่ใช่แค่เรื่องของการปกปิด หรือใส่เพื่อความปลอดภัยของน้องชายเท่านั้น แต่ยังมีผลกับ “อสุจิ” เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใครที่อยากมีลูกมาก นี่คือข้อมูลที่คุณต้องศึกษาให้ดีเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างครอบครัวตามแผนการที่วางเอาไว้ และยังมีผลลัพธ์ดีอื่น ๆ ตามมาอีกหลายประการ ว่าแล้วลองไปศึกษาเรื่องของอสุจิกับกางเกงในผู้ชายเลยดีกว่า

เรื่องจริงไม่มีโม้ กางเกงชั้นในชายมีผลต่ออสุจิ ต้องขอทำความเข้าใจกับผู้ชายทุกท่านเพิ่มเติมสักเล็กน้อย ปรกติแล้วลูกอัณฑะหรือ “ไข่” ที่ชอบเรียกกันคืออวัยวะสำคัญที่ช่วยเรื่องของการผลิตอสุจิสำหรับผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงแล้วจึงตั้งครรภ์ก่อนคลอดออกมาเป็นเด็กทารก ซึ่งถ้าฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิที่ได้คุณภาพ หรือมีปริมาณเยอะก็จะทำให้การมีลูกเป็นเรื่องง่าย ที่สำคัญเด็กยังคลอดออกมาด้วยร่างกายครบถ้วน 32 ประการ อีกต่างหาก

พื้นฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่หนุ่มๆควรรู้เกี่ยวกับการผลิตอสุจิและการใส่กางเกงชั้นในชายนั่นคือ “อุณหภูมิ” ที่อยู่บริเวณอัณฑะจัดว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตเชื้ออสุจิที่ได้คุณภาพและมีปริมาณเพียงพอกับการพุ่งเข้าสู่รังไข่ของฝ่ายหญิงกระทั่งเกิดการปฏิสนธิ ซึ่งงานวิจัยมีข้อยืนยันชัดเจนว่า อุณหภูมิที่อยู่บริเวณอัณฑะควรต่ำกว่าอุณหภูมิทั่วไปของร่างกาย เหตุผลนี้สอดคล้องกับเรื่องที่ว่าทำไมอวัยวะดังกล่าวจึงยื่นออกมาอยู่นอกร่างกาย

ตรงนี้หลายท่านอาจสงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับการสวมกางเกงในผู้ชาย? คำตอบคือ หากท่านเลือกสวมกางเกงในที่รัดรูป หรือเลือกเนื้อผ้าที่สร้างความอับชื้น อบอ้าวกับอัณฑะ ย่อมส่งผลให้อุณหภูมิบริเวณดังกล่าวสูงกว่าปกติ ส่งผลเสียต่อการผลิตอสุจิที่ได้ปริมาณและคุณภาพอันเหมาะสม จนกลายเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้มีลูกยาก!!!

เลือกกางเกงในไข่เย็น ผู้ช่วยชั้นดีสำหรับหนุ่ม ๆ ที่ต้องการมีลูก
วิธีแก้ปัญหาของบางคนอาจคิดว่าถ้าวันไหนอยากมีลูกแค่สวมกางเกงชั้นในชายที่ดี หรือปล่อยห้อยโตงเตงหน่อย อยู่ในห้องอากาศเย็น ๆ ก็จบแล้ว แต่ความจริงคือ ปกติอัณฑะจะใช้เวลาในการผลิตอสุจิที่มีคุณภาพและปริมาณเหมาะสมกับการปฏิสนธินานระดับ 10-11 สัปดาห์เลยทีเดียว

เพราะเหตุนี้การเปลี่ยนมาสวมใส่กางเกงในผู้ชายที่ช่วยลดอุณหภูมิของอัณฑะหรือไข่อยู่ตลอดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ช่วยให้คุณ ๆมีลูกได้ตามต้องการ ซึ่ง “กางเกงในไข่เย็น” GQ คือคำตอบอันแสนโดนใจ ด้วยเทคโนโลยี GQ Cool Tech มีการผสมเจลลงบนเนื้อผ้าซึ่งผลิตจากเส้นใยพิเศษในรูปแบบผ้าตาข่าย ส่งผลให้อุณหภูมิของไข่เย็นลงถึง 2 องศาเซลเซียส เหมาะสำหรับการสร้างเชื้ออสุจิให้มีความแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง ท่านใดอยากมีลูกทันใช้จัดกางเกงชั้นในชาย GQ ด่วน ๆ เลย!!!

Official Website : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

3
นอกเหนือไปจากการเลือกไซซ์ เลือกทรง หรือบางคนเน้นเรื่องสีสันของกางเกงในชายให้เหมาะสำหรับตัวเองแล้ว อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม คือ การสังเกตในส่วน “เนื้อผ้ากางเกงในชาย” ด้วยเหตุผลสำคัญมาจากผ้าแต่ละแบบจะมีจุดเด่นต่างกันออกไป นำมาซึ่งความเหมาะในการสวมใส่ และยังลดการเกิดผลข้างเคียงกับน้องชายของหนุ่ม ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งโดยหลักแล้วเนื้อผ้าที่ถูกนำมาผลิตกางเกงในผู้ชายจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่
เนื้อผ้ากางเกงในชายจากธรรมชาติ
1. ผ้าคอตตอน (Cotton)
นี่คือเนื้อผ้ากางเกงในชายที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการนำมาผลิต ทำจากฝ้ายจึงรู้สึกถึงผิวสัมผัสอันเนียนนุ่ม เบาสบาย ไม่อึดอัด หลาย ๆ ท่านนิยามให้เป็นกางเกงในชายระบายอากาศ อย่างไรก็ตามด้วยกางเกงในชายที่สวมใส่ต้องมีความยืดหยุ่นจึงมักผสมกับเนื้อผ้าอื่น ๆ อย่างเช่น ผ้าสแปนเด็กซ์เข้าไปด้วย

2. ผ้าโมดอล (Modol)
เป็นเนื้อผ้าที่พี่งนำมาใช้ไม่นานแต่เริ่มถูกกล่างถึงเยอะ วัตถุดิบผลิตจากเซลลูโลสของต้นบีช จึงนับว่ามาจากธรรมชาติได้เช่นกัน จุดเด่นสำคัญคือช่วยระบายอากาศ ไม่อับชื้น ลดความอึดอัดและยังรู้สึกนุ่มกว่าผ้าฝ้ายอีกต่างหาก แต่มีราคาสูง

เนื้อผ้ากางเกงในชายแบบสังเคราะห์
1. ผ้าไนลอน (Nylon)
เนื้อผ้ากางเกงในชายที่ทุกคนคุ้นเคยดีเช่นกัน ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์หลายชนิด มีจุดเด่นที่ความคงทน ใช้งานยาวนาน คืนตัวดี ไม่ยับง่าย ยืดหยุ่นจึงใส่ได้สบาย ไม่รัดบริเวณขอบเอวและตรงเป้า สามารถนำไปใส่กับเครื่องซักผ้าได้ (แต่ควรใส่ถุงซัก) ราคาไม่แพง

2. ผ้าสแปนเด็กซ์ (Spandex) หรือ ผ้าไลคร่า (Lycra)
ผ้าชนิดนี้ทำจากเส้นใยยางสังเคราะห์จึงมีความยืดหยุ่นสูงมาก คืนตัวดีเยี่ยม แม้นำไปซักกับเครื่องซักผ้าก็ไม่เสียรูปทรง ดูแลรักษาง่ายมาก เมื่อสวมใส่กางเกงในผู้ชายที่ทำจากผ้าดังกล่าวจะให้ความกระชับ โอบรับกับสรีระของน้องชายได้อย่างดี (กรณีเลือกขนาดเหมาะสม) อีกทั้งยังรู้สึกสบาย ไม่อึดอัด เพราะเหตุนี้ตัวเนื้อผ้าจึงมักถูกนำไปเป็นส่วนผสมของผ้าคอตตอนสำหรับทำกางเกงในชายระบายอากาศด้วยนั่นเอง

3. ผ้าโพลีเอสเตอร์ (polyester)
ผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์ที่มาจากพลาสติกเป็นหลัก จึงให้ความแข็งแรงทนทาน ราคาประหยัด แต่ปัญหาคือไม่ค่อยระบายอากาศเหมือนกับเนื้อผ้าชนิดอื่น หากสวมใส่เป็นเวลานานจะทำให้รู้สึกอึดอัด เกิดความอับชื้นได้ง่ายมาก

จากที่เสนอแนะมาจะเห็นว่าแท้จริงแล้วเนื้อผ้ากางเกงในชายที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมสูงมักเป็นการผสมกันระหว่างผ้าคอตตอน (ผ้าฝ้าย) กับผ้าสแปนเด็กซ์ ซึ่งอัตราส่วนที่ได้มาตรฐานต้องเป็น Cotton ประมาณ 90% ขึ้นไป ขณะที่ผ้าสังเคราะห์อย่างพวก Spandex อาจอยู่ที่ 3-9% ขึ้นอยู่กับการผลิตกางเกงในชายแต่ละเจ้า ลองพิจารณาให้เหมาะสมเพื่อความคุ้มค่าของเงินทุกบาท และความสบายกายสบายใจในระยะยาว

Official Website : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

4
ใช่ว่ากางเกงในจะมีแค่สีสันหรือดีไซน์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้หญิงเท่านั้น แต่สำหรับชายหนุ่มทั้งหลายก็สามารถเลือกทรงกางเกงในชายตามแบบที่ตนเองถูกใจ เพื่อการสวมใส่อันแสนสบาย สร้างความคล่องตัว ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ลองมาทำความรู้จักกับ 6 ทรง 6 สไตล์ กางเกงในชายมีแบบไหนน่าสนใจ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากที่สุด

6 ทรงกางเกงในชาย ชอบแบบไหนเลือกได้เลย
1. ทรง Boxer
นี่คือทรงของกางเกงชั้นในชายที่ได้รับความนิยมมากสุดแห่งยุคนี้คงไม่ผิดนัก ด้วยจุดเด่นคือ สวมสบาย ไม่รู้สึกอึดอัดเสมือนสวมกางเกงขาสั้นอีกชั้นไว้ด้านใน มีลวดลายสีสันต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นใส่แล้วออกเดินไปไหนมาไหนใกล้บ้านได้ และไม่เหมาะสมกับการสวมใส่เพื่อทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวเยอะ

2. ทรง Brief
นี่คือกางเกงในผู้ชายสไตล์คลาสสิกที่ทุกคนคุ้นเคยดี ไม่ต้องดีไซน์อะไรเยอะ แค่ปิดน้องชายพร้อมสร้างความกระชับให้กับทุกการเคลื่อนไหวก็เพียงพอ มีหลายเนื้อผ้าให้เลือก แนะนำควรสวมใส่ที่รู้สึกสบาย ไม่อึดอัดจนเกินไป

3. ทรง Bikinis
อีกสไตล์ของทรงกางเกงในชายที่คล้ายกับทรง Brief แต่ช่วงต้นขามีความเว้ามากกว่า จึงเพิ่มความกระชับเหมาะกับคนที่ต้องทำกิจกรรมหนัก ๆ หรือเคลื่อนไหวตัวเองตลอด ทว่าก็อย่าลืมเลือกให้พอดีกับน้องชายป้องกันการรัดติ้วจนเกินไปด้วย

4. Tanga / Thong
กางเกงในผู้ชายที่จะมีเนื้อผ้าบริเวณขอบเอว ก้น และตรงเป้า พูดง่าย ๆ คือ เนื้อผ้าตรงช่วงต้นขาจะถูกตัดออกไปจนหมด นิยมใส่สำหรับสายฟิตเนส เล่นกล้าม ต้องการโชว์ความสวยงามของเนื้อกล้ามต้นขา และข้อสำคัญมีความสบายมากแค่เลือกขนาดให้พอดีกับน้องชายก็ตอบโจทย์แล้ว

5. Trunk
ให้นึกภาพกางเกงในชายทรง Boxer กับ Briefs ผสมกัน คือ ช่วงขายาวกว่าทรงปกติเล็กน้อยแต่ยังคงรัดรูปช่วงต้นขาไว้ ขณะที่ตรงน้องชายก็มีการดีไซน์ให้รัดเป้าเพื่อความโอบกระชับ สามารถทำกิจกรรมได้ตามสะดวก ระบายอากาศได้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด

6. Jockstrap
ถ้าเห็นว่าทรงกางเกงในชาย Tanga หรือ Thong แลดูเซ็กซี่แล้ว เจอทรงนี้เข้าไปยังต้องชิดซ้าย เพราะว่าดีไซน์จะคล้ายกันมาก เพียงแค่เอาเนื้อผ้าด้านหลังที่ปิดก้นออกไปอีกส่วน อาจเพิ่มลูกเล่นด้วยการมีทำห่วง 2 ข้างบริเวณสะโพก หรือดีไซน์ตรงเป้าให้คล้ายกระจับนักมวย เหมาะกับหนุ่ม ๆ สายเซ็กซี่ขยี้ใจโดยแท้

เป็นยังไงกันบ้างกับทรงกางเกงในชายแต่ละสไตล์ที่หยิบมาแนะนำกัน หากชอบแบบไหนหรือต้องทำกิจกรรมสไตล์ใดเป็นหลักแค่เลือกให้เหมาะกับตัวเอง ที่สำคัญอย่าลืมดูขนาดเพื่อทุกการสวมใส่รู้สึกสบายกาย สบายใจ มีความสุขกับทุกวัน แน่ใจยิ่งกว่าเคย

Website : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

5
ปัญหาผิวหนังในร่มผ้าเป็นเรื่องที่ไม่มีใครปรารถนาให้เกิดขึ้นกับตนเอง ยิ่งถ้าเป็นคุณหนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงรู้สึกเพลียใจน่าดูที่น้องชายต้องเจอกับอาการไม่พึงประสงค์ แถมยังมักทำให้เสียบุคลิกอีกด้วย จะดีกว่าหรือไม่หากมีหนทางในการสวมใส่กางเกงในชายอย่าง กางเกงใน GQ ที่เลื่องลืออย่างมากกับฉายา “กางเกงในไข่เย็นกางเกงในชายใส่สบายที่คุณ ๆต้องมีติดลิ้นชักบ้านเอาไว้เลย

โรคผิวหนังในร่มผ้า เรื่องไม่ล้อเล่นสำหรับคุณผู้ชาย
โรคผิวหนังในร่มผ้าขอย้ำว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และไม่ควรปล่อยผ่านเป็นอันขาด อาการเบื้องต้นที่สังเกตง่าย ๆ คือ รู้สึกคันในร่มผ้าทุกส่วน, คันตรงซอกหว่างขา บริเวณที่คันมักมีผื่นแดง ขอบบวมนูนเป็นวง บางคนมีตุ่มใส่เล็ก ๆ หรือขุยสีขาวร่วมด้วย สามารถขยายออกไปเรื่อย ๆ ได้หากไม่รักษาหรือแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี

สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความอับชื้น การหมักหมมของสิ่งสกปรก เชื้อแบคทีเรีย เหงื่อไคลในกิจกรรมที่ผู้ชายอย่างเราต้องพบเจอตลอดวัน บวกกับหลายท่านไม่ได้ใส่ใจเรื่องการเลือกกางเกงในผู้ชาย ใส่แบบไหนก็ได้ขอแค่เก็บน้องชายให้อยู่ก็พอ นำมาซึ่งบุคลิกและภาพลักษณ์ไม่ดี และยังกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญใจอีกต่างหาก

หยุดปัญหาโรคผิวหนังในร่มผ้า หันมาใช้กางเกงในชายใส่สบาย GQ ดีกว่า
อย่างที่กล่าวไปว่า สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการเลือกสวมใส่กางเกงในชายที่ไม่ตอบโจทย์ รัดแน่นมากเกินไป ผลิตจากวัสดุที่หนา ระบายอากาศได้ไม่ดี ส่งผลถึงความอับชื้น มีกลิ่น เกิดการสะสมของเชื้อโรค เพราะฉะนั้นจึงขอนำเสนอให้ลองเปลี่ยนมาใช้งาน “กางเกงใน GQ” หรือที่หนุ่ม ๆ ชอบเรียกว่า “กางเกงในไข่เย็น”
กางเกงใน GQ เป็นกางเกงในชายใส่สบาย โดดเด่นด้วยนวัตกรรม GQ Cool Tech ที่เลือกใช้เส้นใยแบบพิเศษรูปแบบตาข่ายช่วยเพิ่มการระบายอากาศได้อย่างดีเยี่ยม มีการผสมเจลลงไปบนเนื้อใยผ้า ส่งผลให้คุณผู้ชายทั้งหลายจะรู้สึก “เย็นไข่” ด้วยอุณหภูมิลดลงถึง 2 องศาเซลเซียส แห้งเร็ว กระจายความชื้น จึงไม่รู้สึกคันตลอดวันไปกับ GQ Quick Dry ทำกิจกรรมหนักแค่ไหนไม่รู้สึกแฉะ เหนียว หนัก

มีการออกแบบด้วยชิ้นส่วนผ้าพิเศษเพื่อประคองไข่ให้ลงหลุม อยู่ทรงทั้งวัน ลดการเสียดสีอันเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรคผิวหนังในร่มผ้าทั้งแสบ คัน บวม เลือกได้ทั้ง 3 สไตล์ไม่ว่าจะเป็น
- All-day Secure เนื้อผ้าคอตตอน / สแปนเด็กซ์ ทรง Trunk นุ่มสบาย โอบอุ้มน้องชายให้อยู่ทรง ไม่เสียดสีตลอดวัน
- New Normal เนื้อผ้าคอตตอน / สแปนเด็กซ์ ทรง Bikini ทรงคุ้นเคย ผิวสัมผัสนุ่ม สวมใส่สบายกว่า
- Sports เนื้อผ้าโพลีเอสเตอร์ / สแปนเด็กซ์ ทรง Trunk เนื้อสัมผัสเรียบ ลื่น แห้งเร็วกว่า สบายทั้งตัว
แค่เลือกกางเกงในชายใส่สบายจาก GQ ก็พร้อมบอกลาปัญหาโรคผิวหนังในร่มผ้าอันมีสาเหตุจากกางเกงในผู้ชายที่สวมใส่ แถมยังช่วยให้ท่านใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขกับทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันอีกด้วย

Website : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

6
แม้กางเกงในผู้ชายที่สวมใส่กันจริง ๆ แล้วอาจไม่ได้มีสีสันหรือลวดลายน่ารักอะไรให้เลือกมากมายเหมือนกับของสาว ๆเขา แต่รู้หรือไม่การที่คุณชอบ “สีกางเกงในชาย” แบบไหน หรือนิยมซื้อสีใดมาสวมใส่อยู่ตลอด นั่นถือเป็นอีกวิธีที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของหนุ่ม ๆ ได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ลองมาดูกันว่ากางเกงในชายสีสันที่คุณชอบสวมใส่ มีความหมายอะไรบ้างนะ สีกางเกงในชายกับการบ่งบอกความเป็นตัวตนของคุณ
1. สีขาว
ถือเป็นสีสุดคลาสสิกที่หนุ่ม ๆ ให้ความสนใจใส่เป็นอย่างมาก ซึ่งท่านไหนมีความชอบส่วนตัวของการสวมกางเกงในผู้ชายสีนี้บ่งบอกถึงการเป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดี มีความอ่อนโยนต่อสิ่งรอบตัวรวมถึงเพศตรงข้ามจึงเข้ากับผู้คนได้ง่ายดาย ไลฟ์สไตล์เป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ยึดติด รักสะอาด

2. สีดำ
สีกางเกงในชายสุดฮิตติดลมบนที่หนุ่ม ๆ จำนวนมากนิยมสวมใส่ไม่แพ้กัน จะบอกนิสัยในเรื่องความหนักแน่น มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก ๆ ชอบคิดแปลกแหวกแนว เชื่อถือในสิ่งที่ตนเองกำลังทำ บางครั้งจึงอาจถูกมองว่าเป็นคนหัวดื้อ ไม่ค่อยฟังใคร เอาแต่ใจ ดื้อเงียบอยู่เล็กน้อย

3. สีน้ำเงิน / กรมท่า
ใครชอบใส่กางเกงในชายสีนี้จะมีเสน่ห์กับเพศตรงข้ามด้วยอุปนิสัยของความอ่อนโยน ชอบทำเรื่องโรแมนติกกับคนรักหรือคนที่ตนเองแอบชอบบ่อย ๆ เป็นคนรักความเงียบสงบ พึงพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ตอนนี้ ไม่ขวนขวายเรื่องไกลเกินเอื้อม แต่ถ้าตั้งเป้าหมายแล้วก็พร้อมพุ่งชนจนสุดเหมือนกัน

4. สีเทา
สีกางเกงในชายที่ผสานตัวตนของคนชอบสีขาวกับสีดำเอาไว้ในโทนกลาง ๆ คือ เป็นคนมีความคิดเป็นของตนเอง รักอิสระ เน้นความเรียบง่าย สิ่งไหนที่ทำแล้วรู้สึกยุ่งยากต่อชีวิตหรือทำให้เรื่องวุ่นวายจะขอเดินหนีไปดีกว่า ข้อสำคัญชอบสร้างมิตรภาพกับผู้อื่นมากกว่าสร้างปมทะเลาะเบาะแว้ง

5. สีน้ำตาล
สำหรับคนที่ชอบสวมกางเกงในผู้ชายสีนี้จะมีนิสัยรอบคอบ ความคิดทะเยอทยานภายใต้กระบวนการคิดอันซับซ้อน บางทีอาจดูเข้าใจยากไปบ้างแต่ก็พร้อมมีมุมที่จะสร้างความสนุกสนานให้กับตนเองและคนรอบข้างไม่รู้สึกเครียดเกินไป

6. สีแดง
กางเกงในชายสีสันสุดแสบทรวงที่หนุ่ม ๆ หลาย ๆ ท่านก็แอบหลงรัก บ่งบอกถึงความกระตือรือร้นในชีวิต คิดเร็วทำเร็ว ไม่ชอบการเสียเวลา ไม่แคร์คนรอบข้างที่มองเข้ามา และยังชอบหว่านเสน่ห์ให้กับคนใกล้ตัวหรือคนที่ตนเองชอบอยู่บ่อย ๆ ด้วย

เป็นยังไงกันบ้างแต่ละสีกางเกงในชายที่นำมาเล่าสู่กันฟังตรงกับอุปนิสัย หรือตัวตนคุณมากน้อยเพียงใด แต่ไม่ว่าจะใสสีไหนก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเลือกทรง ขนาด ให้เหมาะสมกับตนเอง เพื่อความกระชับ สวมใส่ได้อย่างมั่นอกมั่นใจในทุกสถานการณ์

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

7
การออกกำลังกายกับผู้ชายหลาย ๆ คนคือของคู่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกไปวิ่งทั้งตามสวนสาธารณะ หรือในฟิตเนส ซึ่งไม่ใช่แค่การเตรียมเสื้อผ้า รองเท้าสำหรับการออกกำลังกายเท่านั้น แต่การเลือก “กางเกงในวิ่ง” ที่ดีจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมทั้งก่อน ระหว่าง และหลังทำกิจกรรม ลองมาดูกันว่าหนุ่ม ๆ ทั้งหลายควรเลือกสวมกางเกงในผู้ชายอย่างไรให้เหมาะสมกับการวิ่งมากที่สุด
เลือกสวมกางเกงในวิ่งยังไงให้ตอบโจทย์
1. รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด
สิ่งแรกสำหรับใครก็ตามที่มองหากางเกงในชายสำหรับวิ่ง ต้องรู้สึกว่าสวมแล้วเบาสบาย ไม่โอบรัดน้องชายมากเกินไป ทั้งนี้เพราะจะช่วยให้คุณวิ่งหรือออกกำลังกายอย่างเพลิดเพลิน ไม่อึดอัดจนนำไปสู่ความรำคาญ ไม่สบายตัว แสดงบุคลิกไม่เหมาะสม ไปจนถึงเบื่อกับการวิ่งไปเลยก็มี
2. สังเกตเนื้อผ้าที่ผลิต
แท้จริงแล้วการใช้ผ้าธรรมชาติจะช่วยระบายกลิ่นอับชื้น กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าผ้าใยสังเคราะห์ และยังไม่เกิดการสะสมของแบคทีเรียอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นหากจะสวมกางเกงในวิ่งทั้งทีไม่ควรพลาดการสังเกตเนื้อผ้าเพื่อช่วยให้สบายตัวตั้งแต่เริ่มวิ่งไปจนถึงไม่สร้างปัญหาหลังการวิ่งเสร็จ
3. สวมใส่แล้วต้องไม่หลวมหรือคับเกินไป
ในกรณีที่เลือกสวมกางเกงในผู้ชายเพื่อออกไปวิ่งแล้วคับเกินไปก็อึดอัดและสร้างปัญหาแบบข้อแรก แต่ถ้าเลือกตัวที่หลวมเกินไปก็มักรู้สึกไม่สบายใจ วิ่งแล้วไม่รู้สึกถึงการโอบรัดที่ดีของน้องชาย และอาจก่อให้เกิดการเสียดสีระหว่างผิวหนังกับเนื้อผ้ากางเกงใน นำไปสู่การบาดเจ็บอีกต่างหาก
4. ทรงกางเกงในก็ต้องใส่ใจด้วย
ที่จริงแล้วทรงกางเกงในวิ่งก็ไม่ต่างจากกางเกงในชายทั่วไป ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว ดังเช่น ทรง Boxer จะไม่โอบรัดมาก ใส่แล้วสบายตัว ไม่อึดอัด, ทรง Briefs ให้ความคล่องตัวในการวิ่ง เป็นต้น อย่างนั้นเลือกในสไตล์ที่เหมาะสำหรับตนเองและรู้สึกถึงความมั่นใจในทุกการเคลื่อนไหวเอาไว้จะดีที่สุด

มองหากางเกงในวิ่งสำหรับผู้ชายแนะนำกางเกงในไข่เย็น GQ

เมื่อรู้แล้วว่าควรเลือกสวมกางเกงในวิ่งยังไงให้โดนใจ ตอบสนองการออกกำลังกายของตนเองมากที่สุด อีกสิ่งที่อยากนำเสนอสำหรับหนุ่ม ๆ สายเฮลตี้ทุกคนนั่นคือ การเลือกใช้ “กางเกงในไข่เย็น” GQ ที่มีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดช่วยให้ไข่ของคุณเย็นลงถึง 2 องศาเซลเซียส ด้วยเจลเย็นที่ผสมในเนื้อผ้าส่วนเป้า และมีผ้าตาข่ายในจุดสะสมความร้อนช่องอับ ช่วยให้ระบายอากาศดี และยังดีไซน์ให้โอบรัดกับสรีระน้องชาย ไม่ปลิ้น ไม่เสียดสี ลดการบาดเจ็บ ที่สำคัญแห้งเร็ว ไร้ความอับชื้น จึงไม่รู้สึกเหนียวเหนอะ แฉะ หมักหมมให้รำคาญใจ มีทั้งทรง Briefs และ Boxer เลือกสรรได้ตามชอบ ไม่ว่าจะวิ่งที่ไหนสวมใส่กางเกงในไข่เย็นเอาไว้แน่ใจได้ทุกสถานการณ์ พร้อมช่วยให้มีสุขภาพดียิ่งกว่าเคย

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

8
สำหรับหนุ่ม ๆ ทุกคนการสวมใส่ “กางเกงในชาย” ถือเป็นเครื่องแต่งกายอีกชนิดที่ขาดไม่ได้เหมือนกัน ทั้งนี้เพราะช่วยเสริมบุคลิกของตัวเองให้ดูดี แถมยังพาความมั่นอกมั่นใจ ความคล่องตัวในการใช้ชีวิตอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้การดูแล กางเกงในผู้ชาย ที่ตนเองใส่ประจำจึงสำคัญอย่างมาก ก็เพราะว่านอกจากช่วยลดการเกิดโรคภัยกับน้องชายแล้ว ยังใส่ได้ยาวนานไม่ต้องเปลืองเงินซื้อใหม่บ่อย ๆ อีกต่างหาก นี่จึงเป็นเคล็ดไม่ลับที่นำมาบอกต่อ

เคล็ดไม่ลับดูแล กางเกงในชาย สวมใส่ยาวนาน หลักใหญ่ใจความในการดูแลควรเน้นเรื่องการซักและการตากเป็นหลัก หนุ่ม ๆ ทุกคนต้องซักกางเกงในชายที่ตนเองใส่ทุกวัน อย่าใช้งานประเภทกลับด้านใน-ด้านนอกเด็ดขาด เหตุเพราะนำมาซึ่งสิ่งสกปรก เชื้อโรค ความอับชื้น และโรคต่าง ๆ แต่ทั้งนี้การซักและตากก็มีสิ่งที่ควรทราบด้วยเช่นกัน
- หากผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ อาทิเช่น ผ้าฝ้าย ควรซักมือ สามารถใช้น้ำอุ่น ผึ่งแดดแรงจัดได้ รวมถึงการรีดด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมก็ไม่มีปัญหา
- หากผลิตจากผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้ากึ่งใยสังเคราะห์ ดังเช่น ผ้าเรยอน, ไลคร่า, ไนล่อน ฯลฯ ซักเครื่องได้แต่ควรใส่ในถุงซัก อุณหภูมิน้ำปกติ ไม่เย็นหรือร้อนเกินไป ผึ่งพื้นที่แดดอ่อน ไม่แนะนำให้รีด
- กรณีสวมใส่กางเกงในสีขาวหรือสีอ่อนต้องแยกซักกับผ้าสีเข้ม ป้องกันสีตกใส่
- การตากควรกลับด้านในออกมาเพื่อไม่ให้ผิวของเนื้อผ้าเสื่อมสภาพเร็วเกินจากการโดนแสงแดดเป็นเวลานานทุกวัน แต่ถ้าเป็นตอนฤดูฝนหรือฝนตกต้องคอยดูราวผ้าหรือพื้นที่การตกไม่ให้โดนละอองฝนด้วย เพราะว่าหากกางเกงในผู้ชายมีความชื้นจะทำให้เกิดเชื้อรา
- ไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในการซัก ยิ่งถ้าเป็นของมีราคาแพง เนื่องจากส่วนใหญ่จะผ่านขั้นตอนการถักทอแบบพิเศษ เมื่อเจอกับน้ำยาดังกล่าวมักส่งผลให้อุดตัน การระบายความชื้นลดลง
- ไม่แนะนำให้นำกางเกงในชายไปอบหรือปั่นแห้งในเครื่องอบผ้า เหตุเพราะจะทำให้เนื้อผ้าหดตัวเสียรูปทรงง่าย แถมหากเป็นกลุ่มมีสีสันยังมักทำให้สีซีดเร็วอีกต่างหาก
- กางเกงในผู้ชายที่ซื้อมาใหม่ทุกตัวควรมีการซักก่อนนำไปสวมใส่ทุกครั้ง แม้จะดูสะอาดมากเพียงใดตอนซื้อมาก็ตาม นั่นเพราะความเป็นจริงยังมีสารเคมีจากกระบวนการผลิตตกค้างอยู่

หากหนุ่ม ๆ ทุกคนทำได้ตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้กางเกงในชายของคุณสวมใส่ได้ยาวนาน ไม่สิ้นเปลืองต้องซื้อใหม่บ่อย และข้อสำคัญยังเสมือนเป็นการดูแลน้องชายทางอ้อมไปในตัวไม่ให้เจอกับสิ่งสกปรก ความอับชื้น สวมใส่ได้อย่างมั่นอกมั่นใจทุกครั้งและทุกกิจกรรมที่ต้องพบเจอในแต่ละวัน

Website : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

9
เข้าใจดีว่าอุปสรรคใหญ่อย่างหนึ่งที่ทำให้หนุ่ม ๆ รู้สึกรำคาญและไม่อยากสวมใส่กางเกงในผู้ชายมาจากเรื่องความอับชื้นของน้องชายด้วยสภาพอากาศของบ้านเราอันแสนร้อนอบอ้าว และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องทำตลอดวัน นำมาซึ่งอาการและบุคลิกไม่พึงประสงค์หลายด้าน ถึงอย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะหายไปในพริบตาหากได้รู้จักกับ “กางเกงในไข่เย็น” จาก GQ ตัวช่วยที่ถูกสร้างสรรค์มาเพื่อผู้ชายไทยโดยเฉพาะ ความอับชื้น รู้สึกอึดอัด ปัญหาใหญ่ที่ทำให้หนุ่ม ๆ ไม่อยากสวมใส่กางเกงในผู้ชาย

อย่างที่อธิบายเบื้องต้นไปว่าประเทศไทยของเรามีความร้อนอบอ้าวเป็นทุนเดิม พอน้องชายของหนุ่ม ๆ ต้องโดนโอบรัดด้วยกางเกงในผู้ชายทั่วไปที่ไม่ได้ถูกดีไซน์เพื่อความสบายตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สวมใส่แล้วจะรู้สึกถึงความอึดอัด อับชื้น แถมยังมีอาการไม่พึงประสงค์ อาทิ ผื่นคัน, มีกลิ่นแรง บางท่านอดทนไม่ไหวก็ต้องมีการเกา นำมือไปสัมผัสกับน้องชาย สร้างบุคลิกไม่น่ามองและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์อย่างมาก

แก้ปัญหาด้วยกางเกงในไข่เย็น สุดยอดเทคโนโลยีขั้นล่าสุดจาก GQ
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่กำลังพบกับปัญหาดังกล่าว และพยายามมองหากางเกงในผู้ชายยี่ห้อไหนดีที่จะช่วยจัดการกับเรื่องในที่ลับแบบอยู่หมัด ขอแนะนำให้รู้จักกับ “กางเกงในไข่เย็น” จาก GQ หรือบางคนจะเรียก “กางเกงในชายใส่สบาย” ก็ไม่ว่ากัน เนื่องจากนี่คือสุดยอดเทคโนโลยีที่ถูกสร้างสรรค์และพัฒนาเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้ชายทุกคนได้อย่างลงตัวด้วยจุดเด่นสำคัญ ดังนี้
- GQ Cool TechTM เทคโนโลยีเฉพาะที่มีการผสมเจลเย็นลงไปบนเส้นใยของเนื้อผ้าพร้อมใช้เส้นใยแบบพิเศษรูปแบบตาข่าย ส่งผลให้ไข่ของคุณผู้ชายเย็นลงถึง 2 องศาเซลเซียส เมื่อสวมใส่ ที่สำคัญพอไข่เย็นลงยังนำมาซึ่งความแข็งแรงของเชื้ออสุจิอีกต่างหาก นี่แหละกางเกงในไข่เย็นของแท้
- GQ Pouch เป็นชิ้นส่วนผ้าแบบพิเศษคอยประคองไข่ให้อยู่ทรงในพื้นที่เหมาะสม ไม่ปลิ้น ไม่ยาน ไม่แกว่ง ลดการเสียดสีลงได้เยอะกว่าเดิม หมดกังวลเรื่องเสียภาพลักษณ์และบุคลิกไปได้เลย
- GQ Easy Access ควักออกง่ายๆด้วยมือเดียวเพราะว่ามีช่องเปิดด้านหน้าเหมือนกระเป๋าจิงโจ้ ไม่ต้องถอดทั้งกางเกงและกางเกงในเพื่อทำธุระอีกต่อไป
- GQ Quick Dry การกระจายตัวของน้ำดีกว่าเนื้อผ้าของกางเกงในทั่วไป แม้ขณะออกกำลังกายจนเหงื่อออกหนักแค่ไหนก็ไม่แฉะ ไม่เหนียว ลดความอับชื้นและกลิ่นไม่พึงประสงค์ แถมซักแล้วแห้งรวดเร็วอีกต่างหาก

ทั้งหมดนี้คงตอบคำถามได้ชัดเจนว่าควรเลือกใช้งานกางเกงในผู้ชายยี่ห้อไหนดี อีกทั้งกางเกงในผู้ชายจาก GQ ยังมีให้เลือกถึง 3 แบบ ได้แก่
- New Normal ทรง Bikini ผ้าคอตตอน ความคุ้นเคยที่สวมใส่ได้สบายกว่าเดิม
- All-day Secure ทรง Trunk ผ้าคอตตอน นุ่มสบาย สวมใส่กระชับตลอดวัน
- Sports ทรง Trunk ผ้าโพลีเอสเตอร์ มีผิวสัมผัสเรียบ ลื่น แห้งเร็ว เย็นสบายทั้งตัวในทุกกิจกรรม

มองหากางเกงในชายใส่สบาย กางเกงในไข่เย็น GQ คำตอบเดียว เนื่องจากสร้างสรรค์มาเพื่อผู้ชายทุกท่าน มองการณ์ไกล ไม่ต้องพบเจอกับปัญหารบกวนเกี่ยวกับไข่และน้องชายอีกต่อไป

เว็บไซต์ : https://gqsize.gqsize.com/v20vz


10
หากจะพูดว่าการสวมใส่กางเกงในเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ทุกคนบนโลกมายาวนานทั้งกับผู้ชายและผู้หญิงคงไม่ใช่เรื่องผิดนัก แต่ทั้งนี้สำหรับหนุ่ม ๆ หลาย ๆ ท่านอาจกำลังมีข้อสงสัยว่าทำไมตนเองต้องสวม “กางเกงในผู้ชาย” อยู่ประจำ นี่คือคำตอบที่จะช่วยให้คุณหายคลางแคลงใจและยินดีสวมใส่กางเกงในชายกันแบบไม่มีข้อแม้อื่นใดเข้ามาสร้างเครื่องหมายคำถามอีกแน่นอน
สาเหตุที่หนุ่ม ๆ ต้องสวมใส่กางเกงในผู้ชายเป็นประจำ
1. เพิ่มความคล่องตัวในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
ด้วยน้องชายของผู้ชายมีความเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ในตัว แล้วลองนึกภาพว่าคุณ ๆต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวันเยอะมาก คงไม่ดีแน่หากเจ้าหนูต้องห้อยโตงเตง เพราะฉะนั้นเหตุผลแรกที่หนุ่ม ๆ ควรสวมใส่กางเกงในชายประจำคือเพื่อเพิ่มความคล่องตัว จะนั่ง ยืน เดิน กระโดด ก็มีสิ่งที่คอยรองรับน้องชายไม่ให้เคลื่อนที่มากเกินเหตุ สะดวกในทุกกิจกรรมทำได้แบบไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งสิ้น
2. ป้องกันการโป๊หรือเหตุไม่คาดฝันนำมาซึ่งความอับอาย
แม้ชายหนุ่มบางคนอาจคิดว่าตนเองก็สวมกางเกงชั้นนอกอยู่แล้วไม่เห็นต้องกังวลใจอะไรเลย ไม่มีใครเห็นน้องชายหรอก แต่ไม่ควรลืมว่าบ่อยครั้งเหตุไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ อาทิ ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันอยู่แล้วเป้าแตก, ใส่กางเกงกีฬาแล้วน้องชายแอบโผล่ดูโลกกว้าง, อยู่ดี ๆ ก็เคารพธงชาติแบบไม่ตั้งใจ หรือกางเกงชั้นนอกหลุดออกมาระหว่างทำกิจกรรมบางอย่าง คงไม่ต้องนึกต่อหากคุณไม่ยอมสวมกางเกงในผู้ชายจะกลายเป็นภาพที่ไม่น่ามองแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดใส่เอาไว้ก็ลดความเสี่ยงจากสิ่งเหล่านี้ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อกับใครก็ได้อยู่เหมือนกัน
3. ลดแรงกระแทกและป้องกันการบาดเจ็บของน้องชาย
อีกเหตุผลสำคัญที่ควรสวมกางเกงในผู้ชายมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและช่วยลดแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่ การรูดซิปกางเกง, เผลอโดนของแข็งอัดมาที่เป้า, การเสียดสีระหว่างน้องชายกับกางเกงชั้นนอกที่ทำจากผ้าเนื้อแข็ง และอื่น ๆ อย่ามองว่าไม่มีทางเกิดขึ้นกับตนเองเนื่องจากของอย่างนี้ใครไม่เจอบอกเลยว่าเกินจินตนาการจะคาดเดา ทั้งเจ็บ จุก จนไม่รู้จะบรรยายยังไงเลยทีเดียว

แม้การสวมใส่กางเกงในจะไม่มีผลกับโรคภัยไข้เจ็บ อาทิ ไส้เลื่อน แต่จากเหตุผลที่อธิบายทั้งหมดก็คงพอบอกได้ชัดว่าทำไมคุณยังควรต้องใส่กางเกงในผู้ชายอยู่ โดยสรุปคือจะมีผลทั้งเรื่องของการใช้ชีวิตและภาพลักษณ์ภายนอก หรืออธิบายแบบเข้าใจง่ายๆทุกครั้งที่สวมใส่จะช่วยให้ท่านทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ ลดความวิตกกังวล หรือสิ่งไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นใส่เอาไว้ไม่ได้ทำให้ชีวิตเสียหายใด ๆ แม้แต่นิดเดียว
Website : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

 

11

 รู้หรือไม่ว่า ชาวไทยป่วยเป็นโรคหัวใจสูงถึงเกือบ 433,000 คนต่อปี และมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากถึง 20,855 คน ต่อปี หรือ ชั่วโมงละ 2 คนเลยนะ จากสถิตินี้ทำให้เห็นว่า โรคหัวใจไม่ใช่เรื่องไกลตัว และทุกผู้ทุกนามยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้ด้วย เนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร ความเครียด สภาพแวดล้อมที่มีมลพิษสูงมาก เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจได้ทั้งสิ้น ดังนั้นการตรวจเช็คความเสี่ยงโรคหัวใจอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยหนึ่งในวิธีการตรวจที่มีประสิทธิภาพคือ การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง Echo

 การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง Echo คืออะไร?
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram: Echo) หรือเรียกง่ายๆ ว่า การตรวจหัวใจแบบ Echo คือ การส่งคลื่นเสียงความถี่สูงที่ปลอดภัยต่อร่างกายเข้าไปยังบริเวณทรวงอก เมื่อคลื่นเสียงผ่านอวัยวะต่างๆ จะเกิดสัญญาณสะท้อนกลับ ระบบจะนำข้อมูลที่สะท้อนกลับนั้นไปประมวลผลเป็นภาพ ซึ่งจะแสดงรูปร่าง ขนาด การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และลิ้นหัวใจได้ค่อนข้างชัดเจน

การตรวจหัวใจแบบ Echo นี้ นับว่ามีประโยชน์ในการประเมินการทำงานของหัวใจ สามารถบอกได้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจหนาเท่าใด หัวใจโตหรือเปล่า กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวดีหรือเปล่า จึงช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรค ตรวจหาความรุนแรง และติดตามผลการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจแต่กำเนิด โรคลิ้นหัวใจพิการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ โรคของเยื่อหุ้มหัวใจ

การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง Echo เหมาะกับท่านใด?
การตรวจหัวใจแบบ Echo เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการดังนี้
- ผู้ที่มีอาการหอบ เหนื่อย หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก
 - ผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ใจสั่น
 - ผู้ที่มีอาการบวมตามร่างกาย ซึ่งสงสัยว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของหัวใจ โดยโรคหัวใจที่ทำให้เกิดอาการบวมตามร่างกาย ได้แก่ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ และโรคที่เยื่อหุ้มหัวใจ การตรวจหัวใจแบบ Echo จะช่วยบอกว่าอาการบวมนี้เกิดจากโรคหัวใจหรือเปล่า

เนื่องจากการตรวจหัวใจแบบ Echo เป็นการตรวจเฉพาะทาง ใช้วินิจฉัยโรคเชิงลึก ฉะนั้นแม้ว่าผู้ป่วยจะมีอาการที่สงสัยว่าอาจป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจ หมอส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ตรวจหัวใจแบบ Echo ในทันที แต่จะพิจารณาประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เอกซเรย์ทรวงอกก่อน

หากพบว่ามีแนวโน้มเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจจริง จึงค่อยพิจารณาให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจหัวใจแบบ Echo เพื่อวินิจฉัยโรคต่อไป

ทั้งนี้ผลการตรวจที่ได้จะมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของหัวใจ ดังเช่น การบีบตัวของหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ การไหลเวียนของเลือดในหัวใจ การเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ขนาดหัวใจผิดปกติ เป็นต้น

เชิญติดตามอ่านบทความหัวข้อ ตรวจ echo กันต่อได้ที่ Website : https://www.honestdocs.co/heart-check-up-echo

12

เมื่ออยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งเป็นระยะเวลานานๆ อย่างเช่น ขับรถ นั่งก้มทำงาน หรืออยู่ในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจมีอาการปวด เมื่อย เคล็ด ขัด ยอก เกร็ง ตึง ฟกช้ำ ตามร่างกายในส่วนนั้นๆ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว เคลื่อนไหวลำบาก ภูมิปัญญาของไทยแต่โบราณจึงคิดค้น "การนวดไทย" และการ "ประคบสมุนไพร" ขึ้น เพื่อบำบัดอาการโดยไม่ต้องกินยา

การประคบสมุนไพร
การประคบสมุนไพรหมายถึง การรักษาอาการปวดเมื่อยด้วยสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้อาการปวด เมื่อย เคล็ด ขัด ยอก เกร็ง ตึง ฟกช้ำ หลายชนิดร่วมกับความร้อนชื้นของไอน้ำจากการนึ่งลูกประคบและแรงของผู้นวดที่กดลงไป อาจนวดไทยก่อนแล้วค่อยประคบ ประคบก่อนนวด หรือจะนวดไปพร้อมๆ กับการประคบก็ได้

ความร้อนที่เหมาะสมในการประคบไม่ควรสูงเกิน 45 องศาเซลเซียสซึ่งจะส่งผลให้เนื้อเยื่อพังผืดคลายตัวออก ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดการติดขัดของข้อต่อ ลดอาการเจ็บปวด ลดอาการบวมที่เกิดจากการอักเสบ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ส่วนสมุนไพรก็ให้ผลตามสรรพคุณแต่ละชนิดที่เลือกสรรมา อาทิเช่น แก้อาการปวด เมื่อย เคล็ด ขัด ยอก เกร็ง ตึง ฟกช้ำ ยิ่งหากเป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย ตัวยาจะออกมากับไอน้ำและความชื้นซึมเข้าผิวหนังได้ดี ส่วนกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยจะช่วยให้สดชื่น ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

อุปกรณ์ในการทำลูกประคบ
1. ผ้าสำหรับห่อลูกประคบ เป็นผ้าฝ้าย หรือผ้าดิบ ที่มีเนื้อผ้าแน่นพอที่จะป้องกันไม่ให้สมุนไพรหลุดล่วงมาจากห่อได้
2. เชือก
3. ตัวยาสมุนไพรที่ใช้ทำลูกประคบ
4. เครื่องชั่ง สำหรับชั่งน้ำหนักสมุนไพรเพื่อให้ได้ปริมาณสมุนไพรที่ถูกต้อง
5. เตา
6. หม้อสำหรับนึ่งลูกประคบ
7. จานรองลูกประคบ

ตัวยาที่นิยมใช้ทำลูกประคบ
ไพล: แก้ปวดเมื่อย ลดอาการอักเสบ ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเกร็ง ฟกช้ำ บวม

ผิวมะกรูด หรือใบมะกรูด: มีน้ำมันหอมระเหยให้กลิ่นหอมปร่าช่วยให้รู้สึกสดชื่น หายใจโล่ง แก้อาการวิงเวียนหน้ามืด แก้ช้ำใน ช่วยขับลม

ตะไคร้บ้าน:  มีน้ำมันหอมระเหยให้กลิ่นหอมปร่าช่วยให้รู้สึกสดชื่น แก้ฟกช้ำ ปวดเมื่อย ช่วยบรรเทาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ

ใบมะขาม: ช่วยให้เส้นเอ็นหย่อน แก้ผื่นคัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง

ขมิ้นอ้อย: ช่วยลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง แก้ฟกช้ำบวม แก้เคล็ดขัดยอก

ขมิ้นชัน: แก้อาการบวม ฟกช้ำ  เคล็ดขัดยอก แก้ผื่นคันตามผิวหนัง ช่วยบำรุงผิว

การบูร: แก้ปวดตามเส้น แก้ปวดข้อ แก้เคล็ดขัดยอก ลดบวม และกลิ่นยังช่วยให้หายใจโล่ง บรรเทาอาการคัดจมูก

พิมเสน: ช่วยแต่งกลิ่น แก้อาการพุพอง ลดผื่นคัน มีกลิ่นที่ช่วยให้หายใจโล่ง

ใบส้มป่อย: ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน ช่วยให้เส้นเอ็นอ่อน แก้ปวดเมื่อย

ใบพลับพลึง: แก้ช้ำใน ลดอาการปวด บวม ฟกช้ำ

เกลือสมุทร หรือเกลือทะเล: ช่วยดูดความร้อน ช่วยให้ตัวยาซึมสู่ผิวหนังได้ง่าย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้

วิธีการทำลูกประคบ
1. นำสมุนไพรต่าง ๆ ที่เตรียมไว้มาล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
2. หั่นสมุนไพรที่เตรียมไว้เป็นชิ้นๆ แล้วตำรวมกันพอหยาบ
3. นำผิวมะกรูด ใบมะขาม ใบส้มป่อย ตำผสมกับข้อ 1 เสร็จแล้วให้ใส่เกลือ การบูร คลุกเคล้าและตำให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ควรให้ละเอียดมากจนแฉะเป็นน้ำ
4. แบ่งตัวยาที่ตำเรียบร้อยแล้วเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน สามารถทำลูกประคบได้ 2 ลูก โดยแต่ละลูกให้ใช้ผ้าขาวห่อเป็นลูกประคบ แล้วรัดด้วยเชือกให้แน่น
5. นำลูกประคบที่ได้ไปนึ่งในหม้อนึ่งครั้งละ 1  ลูก โดยใช้เวลานึ่งราวๆ 15-20 นาที
6. นำลูกประคบที่ความร้อนได้ที่แล้วมาประคบผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ โดยสับเปลี่ยนลูกประคบระหว่าง 2 ลูกนี้
ติดตามอ่านเนื้อหาเรื่อง นวดประคบสมุนไพร กันต่อได้ที่

Website : https://www.honestdocs.co/thai-herbal-ball-compress

13

แค่เพียงเอ่ยคำว่า "ไขมัน" ขึ้นมา บางคนก็รู้สึกรังเกียจ รู้สึกว่าอ้วน รู้สึกว่าเป็นผู้ร้าย ฯลฯ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ไขมันนับว่าเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็น เมื่อร่างกายย่อยสลายให้เป็นโมเลเกุลเล็กที่สุดจะเรียกว่า “Fatty acid” หรือ กรดไขมัน

ร่างกายจะต้องได้รับกรดไขมันจากการกินเข้าไปเท่านั้นและร่างกายจำเป็นต้องมีกรดไขมันเพื่อใช้ประโยชน์มากมายนับตั้งแเต่เป็นวัตถุดิบสร้างผนังเซลล์ของทุกๆ เซลล์ทั่วร่างกาย กรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) คือ กรดไขมันที่ร่างกายขาดไม่ได้

อาหารไขมันนอกจากจะเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายแล้วยังช่วยให้อาหารอร่อย กลืนลงคอง่าย มนุษย์ยุคใหม่จึงกินไขมันกันมากเกินความจำเป็น จนในที่สุดไขมันก็สร้างพิษภัยต่อร่างกายแทนที่จะให้ประโยชน์ หากอยากทราบว่า เรามีไขมันในร่างกายมากน้อยอย่างไร ชนิดไหนเกิน ชนิดไหนขาด ควรเจาะเลือดเพื่อตรวจสอบไขมันในเลือด ทั้งนี้เพราะบางคนกว่าจะรู้ตัวว่าไขมันในเลือดสูงก็เข้าข่ายเป็นโรคเสียแล้ว

การตรวจไขมันในเลือด (Lipid Profile)
คำแนะนำ: ต้องงดอาหารก่อนเจาะเลือดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
วัตถุประสงค์
- เพื่อต้องการทราบค่าขององค์ประกอบที่สำคัญของไขมันทุกตัวในกระแสเลือด
- การได้ทราบค่าระดับไขมันทุกชนิดในเลือดที่ผิดปกติแต่เนิ่นๆ ย่อมช่วยให้มีโอกาสที่จะแก้ไข เยียวยา หรือรักษา ให้ไขมันลดลงมาสู่ระดับปกติได้ ทั้งนี้ย่อมจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease: CAD) โรคลมปัจจุบัน หรือโรคอุบัติเหตุขาดเลือดในสมอง (cerebrovascular accident: CVA) ได้

คำอธิบายอย่างสรุป
1. ตามตำราโดยทั่วไปคำว่า Lipid Profile จะประกอบด้วยการวัดค่าไขมัน 5 ตัว ดังนี้
คอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol: TC)
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides: TG)
เอชดีแอล (HDL-c)
แอลดีแอล (LDL-c)
วี แอล ดี แอล (VLDL)

2. ตามแบบฟอร์มใบตรวจเลือดของโรงพยาบาลทั่วไป ท่านต้องการทราบผลของไขมันในเลือดเฉพาะที่สำคัญเพียง 4 ตัว
คอเลสเตอรอล (Cholesterol)
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)
เอชดีแอล  (HDL-c)
แอลดีแอล (LDL-c)

คอเลสเตอรอล (Cholesterol)
Cholesterol เป็นคำนามเฉพาะที่เกิดจากการประสมคำโดยนักวิจัยชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1769 ซึ่งพบว่า นิ่วในถุงน้ำดี (gallstone) นั้นประกอบด้วยสารเคมีอันมีชื่อตรงกับคำในภาษากรีก กล่าวคือ
Chole   =  bile (น้ำดีจากตับ)
Stereos  =  solid (ของแข็ง)
Ol  =   (suffix) แสดงว่าแอลกอฮอลล์

การวิจัยต่อมาทำให้ทราบว่าคอเลสเตอรอลเป็นสารตั้งต้นของน้ำดี หรือกรดน้ำดี หากน้ำดีอยู่ในถุงน้ำดีจนมีความเข้มข้นมากขึ้นๆ ก็จะตกผลึกจับตัวกันแข็งกลายเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งก็คือ เปลี่ยนสภาวะมาเป็นของแข็งได้ ตามรากศัพท์ของชื่อที่ตั้งขึ้นมา

แม้ว่าคอเลสเตอรอลจะจัดอยู่ใน Lipid Profile (กลุ่มสารไขมันในเลือด) แต่ในความเป็นจริงแล้ว คอเลสเตอรอลเป็นสารคล้ายไขมันแต่มิใช่ไขมันแท้จริงเพราะไม่มีค่าพลังงาน (ไขมัน หรือ fat ทั่วไป จะมีค่าพลังงานประมาณ = 9 แคลอรีต่อกรัม)

ติดตามอ่านบทความเรื่อง ตรวจไขมัน และบทความเพื่อสุขภาพที่ดีกันต่อได้ที เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/understanding-your-cholesterol-report

14


เส้นผม นับเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมความงามและความมั่นอกมั่นใจให้ใครหลายๆ คน ปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ มากมายที่ช่วยทำให้เส้มผมนุ่มสลวย เงางาม แลดูมีน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นแชมพูสูตรเสริมวิตามินบำรุงเส้นผม ครีมนวดผม ทรีตเมนต์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงเส้นผมเองได้ตามความต้องการ ยิ่งไปกว่านี้ยังมีคอร์สสปาผม ที่ต้องเดินทางไปทำที่ร้านทำผมหรือสถาบันเสริมความงาม แต่หลายคนอาจงงว่า สปาผม คืออะไร จำเป็นต้องทำเป็นประจำหรือไม่ ช่วยฟื้นฟูและบำรุงเส้นผมได้จริงหรือไม่ HonestDocs มีคำตอบ

สปาผมคืออะไร
สปาผม คือกระบวนการเสริมความงามที่ช่วยฟื้นฟูเส้นผมและบำรุงหนังศีรษะอย่างเข้มข้น เพื่อให้เส้นผมนุ่มสลวย เงางาม แลดูสุขภาพดี โดยคอร์สสปาผมในปัจจุบันก็มีหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นมอยเจอร์ไรซ์เซอร์ น้ำมันสกัดเย็น หรือวิตามินต่างๆ ชโลมไปที่เส้นผมและหนังศีรษะแล้วทิ้งไว้เพื่อให้สารสำคัญซึมซาบสู่เส้นผมและรากผม การใช้เทคโนโลยีจำพวกการอบไอน้ำเข้ามาช่วยบำรุงเส้นผม หรือบางคอร์สอาจมีการนวดศีรษะเพื่อการผ่อนคลาย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับเทคนิคของร้านทำผมหรือสปาแต่ละแห่ง

จำเป็นต้องทำสปาผมหรือไม่?
ก่อนจะทราบว่าเราจำเป็นต้องทำสปาผมหรือไม่ ลองมาทำความเข้าใจลักษณะเส้นผมโดยธรรมชาติกันก่อน โดยมีองค์ประกอบดังนี้
- โปรตีน 80%
- น้ำ 10-15%
- เม็ดสีผม แร่ธาตุและไขมันประมาณ 5-10%

หากนำเส้นผมมาตัดขวางจะพบว่าเส้นผมของเราแยกส่วนประกอบได้ 3 ชั้น ซึ่งได้แก่
- ผิวนอก (Cuticle) มีลักษณะเป็นเกล็ดใสๆ โปร่งแสงไม่มีสี เรียงซ้อนกันแบบเกล็ดปลาอยู่ชั้นนอกสุดของเส้นผม โดยองค์ประกอบหลักของเส้นผมชั้นนี้คือเคราติน ทำหน้าที่ห่อหุ้มเส้นผม ป้องกันสิ่งสกปรกที่จะซึมผ่านเข้าไปทำลายเส้นผม ปกป้องเนื้อผมไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น ปกป้องเส้นผมจากแสงแดดและรังสียูวี นอกจากเคราตินแล้วผิวชั้นนอกยังมีน้ำมันตามธรรมชาติเคลือบอยู่ด้วย ช่วยทำให้ผมเรียบรื่น เป็นเงางาม

- เนื้อผม (Cortex) เป็นชั้นที่มีความหนาที่สุดและเป็นโครงสร้างหลักของเส้นผม ชั้นเนื้อผมเป็นแหล่งรวมของเม็ดสี (pigment) เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นตัวกำหนดสีผม มีช่องอากาศ โปรตีน เคราติน และเส้นใยโปรตีนที่เกาะเกี่ยวกัน ช่วยให้ผมมีความนุ่มและยืดหยุ่น

- แกนผม (Medulla) ประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมัน แกนผมนับว่าไม่มีบทบาทในการทำงาน ส่วนมากจะพบในผมที่มีสุขภาพแข็งแรง โดยผมเส้นเล็กมักไม่มีแกนผม

ตามปกติเส้นผมของเราจะมีความแข็งแรง นุ่มสลวยเป็นทุนเดิม แต่หากมีสิ่งเร้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด สารเคมี สภาพอากาศ ฝุ่นควันหรือมลพิษต่างๆ อาจส่งผลให้ผิวนอกถูกทำลาย ทำให้ผมมีอาการชี้ฟู แห้งแตก กลายเป็นปัญหาที่ทำให้ขาดความมั่นอกมั่นใจได้ หลายท่านจึงเลือกเข้ารับบริการสปาผม เพื่อฟื้นบำรุงสภาพผมให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

สำหรับท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม หนังศีรษะ หรือผู้ที่เส้นผมได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าบ่อยๆ อาทิเช่น ใช้ครีมเปลี่ยนสีผม หรือสเปรย์จัดแต่งทรงผมเป็นประจำ คอร์สปาผมก็ถือว่ามีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาผมชี้ฟู ขสดหลุดร่วงลงได้ ซึ่งอาจเข้ารับบริการเดือนละ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผมของแต่ละคน

ติดตามอ่านข้อดีของการทำสปาผมได้ที่ https://www.honestdocs.co/hair-spa

15


การนวดไทย หรือที่เรียกกันโดยทั่ว ๆ ไปว่านวดแผนโบราณ เป็นการรักษาที่เรียกว่าหัตถเวชกรรมไทย โดยใช้การบีบ การนวด คลึง ดัด ดึง กด ทุบ เคาะ สับ ประคบร้อน อบ เพื่อให้เลือดลมในร่างกายไหลเวียนได้อย่างสมดุล

นวดไทยมีกี่ประเภท
การนวดไทย นอกจากจะแบ่งตามลักษณะการนวดที่มีมาแต่โบราณออกได้เป็น 2 ประเภทคือ การนวดแบบเชลยศักดิ์และการนวดแบบราชสำนักแล้ว ยังสามารถแบ่งตามสรรพคุณได้ 4 ประเภทคือ นวดเพื่อสุขภาพ นวดเพื่อการบำบัดรักษา นวดป้องกันโรค และนวดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ
1. การนวดเพื่อสุขภาพ เป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี เส้นเอ็นที่ตึงจะหย่อนลง ทำให้ข้อต่อต่างๆ ของร่างกายไม่ติดขัด
2. นวดเพื่อบำบัดรักษา คือการนวดที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะในการักษาโรคหรือรักษาผู้ป่วย เน้นนวดเพื่อให้อาการของกล้ามเนื้อและข้อต่อดีขึ้น ช่วยให้ขยับข้อต่อได้สะดวกยิ่งขึ้น การนวดในลักษณะนี้ ได้แก่โรคเกี่ยวกับปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ดังเช่น ปวดหลัง ปวดคอ โรคเกี่ยวกับข้อต่อ อย่างเช่น ไหล่ติด เข่าตึง ส่วนที่นิยมนำมาใช้เป็นการรักษาเสริม เช่น ปวดหัว โรคเครียด โรคนอนไม่หลับการนวดรูปแบบนี้ผู้นวดต้องมีความรู้เรื่องโรคต่าง ๆ ที่ให้การรักษาอย่างมาก
3. นวดเพื่อป้องกันโรค การนวดแนวนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อยและไม่ได้เคลื่อนไหว อาทิ ผู้ป่วยนอนติดเตียง ช่วยลดการเกิดแผลจากกดทับที่ผิวหนังหุ้มกระดูก การตบบริเวณหน้าอกช่วยขับเสมหะออกจากปอดป้องกันเสมหะอุดตันที่หลอดลม
4. นวดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ เป็นการนวดเพื่อให้ร่างกายกับสู่สภาวะปกติ เหมาะสมกับผู้ที่ป่วยเรื้อรัง เป็นต้นว่า ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคพาร์กินสัน ซึ่งจะช่วยลดอาการเกร็ง ทำให้การฟื้นตัวในการทำงานของร่างกายดีขึ้น ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติมากที่สุด และช่วยฟื้นฟูร่างกายให้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการนวดในนักกีฬาทั้งก่อนและหลังการเล่นกีฬา รวมถึงการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา

องค์ประกอบการนวด
การนวดแต่ละครั้งอาจมีกรรมวิธีหลายอย่างประกอบกันดังนี้
- นวดด้วยมือ เป็นการใช้มือทั้ง 2 ข้างนวดคลึงด้วยวิธีต่างๆ ได้แก่ กด บีบ บิด ดึง ดัด ทุบ เคาะ สับ เพื่อสร้างความผ่อนคลายจุดต่างๆ ของร่างกายตั้งแต่นวดตัว (Body massage) เพื่อการปรับสมดุลของสรีระ นวดฝ่าเท้า (Foot massage) ช่วยผ่อนคลายเส้นเอ็น น่อง ขา และเข่า อาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือผสมผสานกันก็ได้
- นวดน้ำมัน (Aroma therapy) การนวดน้ำมันจะใช้น้ำมันอโรม่า ที่สกัดจากพืชธรรมชาติมีกลิ่นหอมช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเป็นวิธีบำบัดด้วยกลิ่นและการซึมเข้าผิวหนัง เช่นว่า น้ำมันกุหลาบลดความเครียดได้ น้ำมันเซจลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกาย ลดปฏิกิริยาการตึงตัวของกล้ามเนื้อ
- นวดประคบ (Herbal ball massage) การประคบสมุนไพรมักเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากนวดเสร็จแล้ว ใช้เวลาประคบราว 15-20 นาที โดยใช้ความร้อนช่วยให้สมุนไพรซึมเข้าสู่ผิวหนัง สามารถช่วยให้ลดความปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดการติดขัดของข้อต่อ เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น สมุนไพรที่นิยมใช้ประคบได้แก่ ตะไคร้ มะกูด ขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย ไพล ใบมะขาม ใบส้มป่อย ใบพลับพลึง

ติดตามอ่านบทความหัวข้อ นวดไทย ต่อกันได้ที่ เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/thai-massage

หน้า: [1] 2