แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - klongthomtech

หน้า: [1]
1


การเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องขึ้นไปจะต้องมีตัวกลางในการเชื่อมต่อเพราะเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีการส่ง Packet ข้อมูลที่แตกต่างกันออกไปซึ่ง Packet เหล่านี้จะมีลักษณะที่จำเพาะ ด้วยเหตุนี้เองจึงต้องมีตัวกลางในการเชื่อมต่อเครือข่ายซึ่งอุปกรณ์นี้เราจะเรียกว่า เราเตอร์ (Router)เราเตอร์ (Router)

เปรียบเสมือนกับถนนที่เป็นเส้นทางในการเดินทางของรถยนต์ เพราะเราเตอร์ทำหน้าที่เหมือนกับถนนเมื่อข้อมูลวิ่งเข้ามาในเราเตอร์ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกวิเคราะห์และถูกส่งไปยังปลายทาง โดยเราเตอร์นั้นจะมีซอฟแวร์ในการควบคุมการทำงานอยู่ซึ่งเราเรียกซอฟแวร์นี้ว่า Internetwork Operating System (IOS) โดยเราสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเราเตอร์ได้มากกว่า 1 เครื่องในเวลาเดียวกันซึ่งการทำงานแบบนี้จะเหมือนกับอุปกรณ์สวิตช์ (Switch) ที่มีความสามารถแจก IP ได้ซึ่งเราเตอร์ก็สามารถแจก IP ได้เหมือนกัน


หลักการทำงานของเราเตอร์ (Router)
จากที่ได้อธิบายไว้แล้วในตอนต้นว่าเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้หลายเครื่องในเวลาเดียวกันและสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันให้สามารถใช้งานร่วมกันได้ โดยหน้าที่หลักของเราเตอร์นั้นก็คือการส่งข้อมูลในช่องทางที่ดีที่สุดให้กับปลายทางที่มีการระบุไว้ใน packet ข้อมูล โดยการทำงานของ Router จะใช้โปรโตคอลที่ทำงานในระดับบนหรือ Layer 3 ขึ้นไปเช่น IP, IPX เป็นต้น

เมื่อมีการส่งข้อมูลให้กับเราเตอร์ในรูปแบบของ Layer 2 คือ Data Link Layer เราเตอร์ก็จะทำการตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับว่าเป็นข้อมูลที่ใช้โปรโตคอลระดับใด และเพื่อหาปลายทางที่ต้องการส่งข้อมูล เมื่อทำการตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย เราเตอร์ก็จะส่งข้อมูลไปยังปลายทาง ซึ่งถือว่าจบกระบวนการทำงานของเราเตอร์


ประโยชน์ของเราเตอร์ (Router)
เราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่จัดการความเรียบร้อยของเครือข่ายและสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายที่มีความหลากหลายให้สามารถใช้งานรวมกันได้ซึ่งเราสามารถแบ่งประโยชน์ของเราเตอร์ได้ดังนี้

1. เราเตอร์สามารถช่วยเพิ่มการใช้งานของระบบเครือข่ายได้ เพราะเราเตอร์หนึ่งตัวสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้มากกว่า 1 เครื่องทำให้เราสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายได้มากตามลักษณะการใช้งาน

2. เราเตอร์ที่สามารถปล่อยสัญญาณไวไฟหรือไวท์เลซได้นั้นยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายนำสัญญาณและทำให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้งาน นอกจากนั้นเราเตอร์ยังมีความปลอดภัยของข้อมูลที่ส่งผ่าน wireless อีกด้วย

3. เราเตอร์บ้างรุ่นมีการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสมาให้ด้วยทำให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งาน นอกจากนั้นเราเตอร์จะสามารถป้องกันข้อมูลที่มีการส่งผ่านเราเตอร์ได้ด้วย

การเลือกซื้อเราเตอร์เราควรเลือกซื้อตามลักษณะการใช้งานซึ่งส่วนมากแล้วจะนิยม ไวร์เลสโมเด็มเราเตอร์ (Wireless ADSL Modem Router) ซึ่งมีความสามารถครบครั้น โดยส่วนมากเราเตอร์ประเภทนี้จะถูกเรียกว่า All in one เพราะความสามารถที่สามารถเป็นได้ทั้งโมเด็ม เราเตอร์และตัวกระจายสัญญาณ Wireless ภายในตัวเดียวกันที่สำคัญราคาของเราเตอร์ประเภทนี้ก็ไม่ได้สูงมากด้วย

2


เมื่อเราอ่านบทความหรือติดตามข่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยี เราอาจจะเคยผ่านตาหรือคุ้นหูกับความว่า “โปรโตคอล (Protocol)” กันมาบ้าง แต่ว่าแม้เราจะเคยได้ยินหรือคุ้นกับคำนี้มากแค่ไหน บางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า โปรโตคอล เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นในบทความนี้เราจะผ่านทุกท่านไปรู้จักกับคำว่า โปรโตคอล (Protocol) กัน

ความหมายของคำว่า Protocol
Protocol คือข้อกำหนดหรือข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ หรือภาษาสื่อสารที่ใช้เป็น ภาษากลางในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกเชื่อมโยงกันไว้ในระบบจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้นั้น จำเป็นจะต้องมีการสื่อสารที่เรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) เช่นเดียวกับ คนเราที่ต้องมีภาษาพูดเพื่อให้สื่อสารเข้าใจกันได้ หรือก็คือ Protocol เป็นภาษาของคอมพิวเตอร์ที่ไว้ใช้สื่อสารกันนั้นเอง

ความสําคัญของโปรโตคอล
ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลผ่านทางเครือข่ายนั้น จําเป็นต้องมีโปรโตคอลที่เป็นข้อกําหนดตกลงในการสื่อสารขึ้น เพื่อช่วยให้ระบบสองระบบที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้โปรโตคอลเป็นข้อที่กําหนดเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งวิธีการส่งและรับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่งและรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่งและรับกันระหว่างเครื่องสองเครื่องดังนั้นจะเห็นได้ว่าโปรโตคอลมีความสําคัญมากในการสื่อสารบนเครือข่ายหากไม่มีโปรโตคอลแล้ว การสื่อสารบนเครือข่ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันการทํางานของเครือข่ายใช้มาตรฐานโปรโตคอลต่างๆร่วมกันทํางานมากมายนอกจากโปรโตคอลระดับประยุกต์แล้ว การดําเนินการภายในเครือข่ายยังมีโปรโตคอลย่อยที่ช่วยทําให้การทํางานของเครือข่ายมีประสิทธิภาพขึ้น โดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถสังเกตเห็นได้โดยตรงอีกมาก

การทำงานของโปรโตคอล
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์ที่ทํางานร่วมกันเป็นจํานวนมาก ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีหลายมาตรฐานหลายยี่ห้อแต่ก็สามารถทํางานร่วมกันได้อย่างดีการที่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทํางานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพราะมีการใช้โปรโตคอลมาตรฐานที่มีข้อกําหนดให้ทํางานร่วมกันได้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่ทําหน้าที่เป็นผู้ใช้บริการหรือเป็นไคลแอนต์ (Client)  สามารถเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่านไปยังเครื่องให้บริการหรือเซิร์ฟเวอร์ (Server) บนเครือข่าย การทํางานของพีซีที่เชื่อมต่อร่วมกับเซิร์ฟเวอร์ก็จําเป็นต่องใช้โปรโตคอลเพื่อประยุกต์ใช้งานรับส่งข้อมูล ซึ่งโปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสารนี้ก็มีมากมายหลายประเภทด้วยกัน


Protocol ของคอมพิวเตอร์มีอะไรบ้าง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Protocol ก็คือภาษาของคอมพิวเตอร์แต่ก็ใช่ว่า การสื่อสารจะมีแค่ภาษาเดียว เหมือนกับมนุษย์เราที่มีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารมากมายไม่ว่าภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์เองก็มีภาษาใช้ในการสื่อสารเพื่อร้องขอข้อมูลที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงทำให้มี Protocol มากมายหลายตัว เพราะฉะนั้นในหัวข้อนี้เราจึงจะขอยกตัวอย่าง Protocol ที่มักจะพบเห็นและได้ยินกันบ่อยๆ

1. Protocol HTTP ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol เป็น Protocol ที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Server  และ Client โดยนำไปสู่การเชื่อมต่อกับ World Wide Web ( www ) ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีการทำงานได้รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน โดยจะใช้ได้เมื่อเรียกโปรแกรม web browser ต่างๆ เช่น  IE, Google Chrome, Safari เป็นต้น  ขึ้นมาเรียกดูข้อมูลหรือเว็บเพจ โดยที่จะมี HTTP Protocol ที่ทำให้ Server สามารถส่งข้อมูลมาให้ Browser ตามที่ต้องการ และ Browser ก็จะนำข้อมูลมาแสดงผลบนหน้าจอ

2. Protocol HTTPS เป็น Protocol ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก HTTP แต่มีการเพิ่มตัว S ขึ้นมา ซึ่งมีความหมายว่า Secure กล่าวง่ายๆ ก็คือเป็น Protocol ที่มีการเพิ่มเติมในส่วนความปลอดภัย โดยเฉพราะการป้องกันการดักจับข้อมูล

3. Protocol TCP/IP เรียกได้ว่า เป็น Protocol ที่สำคัญมากที่สุดเนื่องจากเป็น Protocol ที่ถูกใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่าย Internet เพื่อให้สามารถสื่อสารจากต้นทาง ข้ามเครือข่าย ไปยังปลายทางได้ และสามารถหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัตโนมัติ ซึ่งแยกออกมาได้เป็น 2 อย่างคือ

-          Protocol TCP ย่อมาจาก  “Transmission Control Protocol”  : ซึ่ง TCP จะทำหน้าที่ในการแยก package ส่งออกไป ส่วนปลายทางก็จะทำการรวมเอาข้อมูลนำไปประมวลผลต่อ ดังนั้น ระหว่างการรับและส่งข้อมูลนั้น จะมีการตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องด้วย  และถ้าหากมีการผิดพลาดเกิดขึ้น ทาง TCP ที่ปลายทาง ก็จะทำการขอไปยังต้นทาง เพื่อส่งข้อมูลใหม่มาให้

-          Protocol IP  ย่อมาจาก  “Internet  Protocol” : IP ก็จะเป็นส่วนที่ทำการส่งข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง โดยผ่าน IP Address นั่นเอง

4. Protocol SMTP ย่อมาจาก Simple Mail Transfer Protocol เป็น Protocol ที่ใช้ในการรับส่ง Email ใน Internet ที่เราใช้กันในปัจจุบัน

5. Protocol FTP ย่อมาจาก File Transfer Protocol เป็น Protocol ที่เอาไว้ใช้ในการการโอนย้ายแฟ้มระหว่างกัน ส่วนใหญ่จะใช้ในการ upload file  ขึ้น server

6. Protocol NNP ย่อมาจาก Network News Transfer Protocol เป็น Protocol ที่ใช้ในการโอนย้ายข่าวสารระหว่างกัน

7. Protocol ICMP ย่อมาจาก Internet Control Message Protocol เป็น Protocol ที่เอาไว้ใช้ในการสอบถามข้อมูลระหว่างกัน

8. Protocol POP3 (Post Office Protocol 3) เป็น Protocol ที่เอาไว้รับ email จาก server โดยจะเป็นการให้ผู้ใช้ โหลดอีเมล์เอามาเก็บเอาไว้อ่านแบบ Offline โดยที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ Internet

9. Protocol DHCP ย่อมาจาก Dynamic Host Configuration Protocol เป็น Protocol ที่ใช้ในเครือข่ายการทำงานแบบ แม่ข่าย และ ลูกข่าย ของคอมพิวเตอร์

10. Protocol IMAP (Internet Message Access Protocol) เป็น Protocol ที่เอาไว้รับอีเมล์จาก server เพื่ออ่านแบบ Online

3

ไม่ว่าจะเป็น IoT หรือ AI ต่างก็เป็นเทคโนโลยีที่คอยขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงโลกไปสู่อนาคต แต่หลายๆ คนอาจจะยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า IoT กับ AI เป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกันหรือไม่ ซึ่งในบทความนี้เราจะกล่าวถึงความแตกต่างของสองเทคโนโลยีนี้กันว่า IoT กับ AI นั้นมีข้อแตกต่างกันอย่างไร

ทำความรู้จักกับ IoT กับ AI กันก่อน

IoT เป็นคำย่อมาจาก Internet of Things แปลงตรงตัวก็คือ “อินเทอร์เน็ตของทุกสิ่ง” หมายถึง การที่อุปกรณ์ต่างๆ สามารถทำงานเชื่อมต่อกันอย่างอัจฉริยะผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สามารถทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนและเซ็นเซอร์ที่คอยตรวจจับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ตัวอย่างเช่น กล้องวงจรปิดที่สามารถดูออนไลน์ผ่านมือถือได้ เป็นต้น IoT ไม่ได้หมายถึงการที่อุปกรณ์เข้าถึงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์ใดๆ ก็ต่างที่สามารถสั่งการและควบคุมแบบไร้สายได้ด้วย



เราสามารถดูกล้องวงจรปิดผ่านมือถือได้โดยผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ จากผู้ผลิตแต่ละแบรนด์

AI หรือ Artificial Intelligence หรือชื่อภาษาไทยที่เรามักเรียกกันติดปากว่า “ปัญญาประดิษฐ์” คือโปรแกรมที่ถูกเขียนและพัฒนาให้มีความฉลาด มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจได้ และยังสามารถดัดแปลงการประมวลผล ประยุกต์ ให้เป็นไปตามสถานการณ์ต่างๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอการอนุมัติจากมนุษย์ ตัวอย่างเช่น Tengai หุ่นยนต์ HR (Human Resource) สามารถสัมภาษณ์งานและวิเคราะห์สีหน้า ท่าทาง และ น้ำเสียงของมนุษย์ได้ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่เรามักจะเข้าใจว่า AI ทั้งหมดหมายถึงหุ่นยนต์ที่มีความคิดความอ่านเหมือนมนุษย์เท่านั้น แต่อย่างที่กล่าวไปข้างว่า AI คือโปรแกรม ดังนั้นไม่จำเป็นว่าต้องเป็นหุ่นยนต์เสมอไปอย่างเช่น แอปถ่ายรูปส่วนใหญ่เราใช้งานก็มี AI ที่ตรวจจับใบหน้าและประมวลผลแต่งรูปให้เราเองได้อัตโนมัติ เป็นต้น



Tengai หุ่นยนต์สัมภาษณ์งานจากสวีเดน
สรุปความแตกต่างของ IoT และ AI

ถ้าจะให้สรุปความแตกต่างของสองเทคโนโลยีเข้าใจง่ายเลยก็คือ

- IoT หมายถึงอะไรก็ตามที่สามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้

- AI คือโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาให้มีความฉลาดและประมวลผลได้เหมือนมนุษย์

การทำงานร่วมกันของ IoT และ AI

หลังจากที่ได้ทราบความหมายและตัวอย่างเบื้องต้นของทั้งสองเทคโนโลยีกันแล้ว สังเกตได้ว่า IoT และ AI จะมีการทำงานร่วมกับอุปกรณ์เหมือนกัน แต่หลักการทำงานต่างกันชัดเจน แต่หากนำเทคโนโลยีทั้ง 2 มารวมกันแล้ว จะทำให้อุปกรณ์เหล่านั้นมีความฉลาดและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขั้น ยกตัวอย่างเช่น

- โทรศัพท์มือถือ iPhone ที่มีผู้ช่วยฉลาดสุดล้ำอย่าง Siri ที่สามารถพูดคุยโต้ตอบกับเราและสามารถสืบค้นหาข้อมูลที่เราต้องการได้จากอินเทอร์เน็ต

- Facebook โซเซียลมีเดียที่เรานิยมใช้กันมี AI ที่สามารถวิเคราะห์ความชอบหรือความสนใจของเราจากกิจกรรมที่เราทำต่างๆ ในโซเซียล และจากนั้นก็แสดงโพสต์หรือโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของเราขึ้นมา

- กล้องวงจรปิดแบบ Robot บางรุ่นที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไวของมนุษย์ได้ และสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนมามือถือของเราได้ทันที

- ตู้เย้นอัจฉริยะที่มีกล้องภายในตัวสามารถมองเห็นของที่อยู่ข้างในตู้ได้ และวิเคราะห์หาสูตรอาหารต่างๆ จากของที่เห็นภายในตู้



ตู้เย็นอัจฉริยะที่นอกจากเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้ด้วย
IoT, AI, internet of thing, ปัญญาประดิษฐ์

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง  : http://sashamall.com/index.php?topic=1066925.new#new

4

หมดปัญหาหรือไฟฟ้า กล้องวงจรปิดแบบไม่ใช้ไฟ(บ้าน)
กล้องวงจรปิด เป็นอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ต้องมีไฟเลี้ยงเข้ามาที่เครื่องตลอดเวลา ดังนั้นกล้องวงจรปิดทุกตัวจึงจำเป็นต้องมี Adaptor เพื่อจ่ายไฟให้กับกล้อง แต่ถ้าเกิดปัญหาไฟดับหรือไฟกระชากภายในบ้าน Adaptor ก็ไม่สามารถจ่ายไฟไปให้กล้องได้ และกล้องวงจรปิดก็ไม่สามารถทำงานได้เช่นกัน แต่ว่าก็ยังมีกล้องวงจรปิดบางประเภทสามารถทำงานได้เองโดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าภายในบ้าน บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับกล้องวงจรปิดที่ถึงแม้ไม่มีอุปกรณ์จ่ายไฟกล้อง  ก็ยังสามารถใช้งานได้กัน

กล้องวงจรปิดแบบไร้สาย
กล้องวงจรปิดนี้ไม่ใช่แบบเดียวกันกับกล้อง Wi-Fi ที่แค่สามารถดูออนไลน์ หรือบันทึกภาพได้โดยไม่ต้องใช้สายสัญญาณ แต่หมายถึงกล้องวงจรปิดที่สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมีสายจ่ายไฟกล้อง นั้นเป็นเพราะในตัวกล้องวงจรปิดมีแบตเตอรี่อยู่ เมื่อเราเปิดใช้งานเปิดกล้องวงจรปิด แบตเตอรี่ก็จะทำการจ่ายไฟมาเลี้ยงที่กล้องทันที ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมี Adaptor เสียบไว้ตลอดเวลา นอกจากนี้กล้องวงจรปิดตัวนี้ดูออนไลน์ผ่านมือได้ด้วย แต่มีข้อเสียคือเราต้องคอยเช็คแบตเตอรี่อยู่ตลอด และชาร์จแบตทุกครั้งที่ใกล้จะหมด


กล้องวงจรปิดพลังงานต่ำ
กล้องวงจรปิดแบบเดียวกับกล้องไร้สาย เพียงแต่สาเหตุที่เราตั้งชื่อให้ว่า ?พลังงานต่ำ? เป็นเพราะว่ากล้องวงจรปิดชนิดนนี้สามารถใช้โหมด Hibernate (จำศีล) ได้ กล่าวคือตัวกล้องจะทำงานในสภาพปิดเครื่อง เปิดทิ้งไว้แต่เซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวเท่านั้นตัวกล้องจะทำงานเต็มอัตราใน 2 กรณีคือ 1.เมื่อมีการเคลื่อนไหวผ่านหน้ากล้อง 2.เจ้าของกล้องรีโมทมาดูภาพผ่านมือถือ เท่านั้นนอกจากนั้นตัวกล้องจะมีที่ใส่แบตเตอรี่ชาร์จไฟได้ทำให้การทำงานสามารถทำงานได้นานขึ้น


กล้องวงจรปิด Solar Cam
กล้องวงจรปิด Solar Cam คือ กล้องวงจรปิดที่ทางเราจัดให้อยู่ในหมวดของกล้องวงจรปิดพลังงานต่ำเช่นเดียวกัน คือการทำงาน คุณสมบัติ ทุกอย่างจะเหมือนกล้องพลังงานต่ำหมดเลย ต่างกันเพียงว่ากล้องวงจรปิด Solar Cam จะมีแผ่นเซลล์แสงอาทิตย์อยู่กับตัวกล้อง จึงทำให้เราไม่ต้องไปคอยชาร์จไฟให้กับกล้อง เพราะกล้องสามารถชาร์จไฟเองได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ เหมาะสำหรับติดตั้งบริเวณรอบนอกอาคาร เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าไฟฟ้าด้วย


แม้ว่ากล้องวงจรปิดเหล่านี้จะสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ไฟบ้าน แต่ว่ากล้องแต่ละตัวก็มีข้อเสียด้วยเช่นกันดังต่อไปนี้

กล้องวงจรปิดแบบไร้สาย จะมีปํญหาเรื่องแบตเตอรี่ เราต้องตรวจดูและคอยชาร์จให้มีไฟอยู่เสมอ เพราะกล้องวงจรปิดประเภทนี้ถ้าแบตหมดก็จะไม่ทำงาน

กล้องวงจรปิดพลังงานต่ำ แม้แบตเตอรี่จะคงทนใช้งานได้นานกว่ากล้องวงจรปิดแบบไร้สาย แต่มีปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของภาพวีดีโอ เพราะกล้องทำงานเฉพาะตอนที่จับการเคลื่อนไหวได้

กล้องวงจรปิด Solar Cam ต้องอาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์ในการทำงานและชาร์จไฟ ดังนั้นต้องอยู่ในที่แสงแดดส่องถึง จึงไม่เหมาะกับการติดตั้งภายในอาคาร

5
หลายๆ คนอาจรู้จักคำว่า “Smart Home” กันมาบ้างแล้ว นั้นก็คือระบบบ้านอัจฉริยะที่นำเอาเทคโนโลยีอัตโนมัติต่างๆ เข้ามาใช้เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบายในชีวิตมากขึ้น อาทิ ระบบควบคุมไฟฟ้าเปิดปิดอัตโนมัติ ระบบรดน้ำในสวนอัตโนมัติ หรือแม้แต่หุ่นยนต์ดูดฝุ่นในบ้านก็เป็นเทคโนโลยี Smart Home เช่นเดียวกัน แต่ว่าที่เราจะพูดถึงกันที่นี่คือ “ระบบรักษาความปลอดภัยบ้านอัจฉริยะ” คือการนำเอาเทคโนโลยีหรือระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ มาใช้เพื่อความปลอดภัยภายในบ้านและเพิ่มความสะดวกสบายแก่ทุกๆ คน

ระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านคืออะไร?
ระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้าน หรือ Home Security คือระบบหรือมาตราการรักษาความปลอดภัยที่ทำขึ้นมาเพื่อป้องกันและรักษาความปลอดภัยของบ้าน โดยส่วนมากระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านที่ทุกคนนิยมใช้และคุ้นเคยมากกันดีที่สุดนั้นคือระบบกล้องวงจรปิด แต่ว่าเพียงแค่กล้องวงจรปิดธรรมดาอย่างเดียวอาจเพียงพอต่อความปลอดภัยภายในบ้าน จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้งานร่วมด้วยเกิดเป็น Smart Home Security ตัวอย่างเช่น กล้องวงจรปิดแบบมี Sensor ตรวจจับการเคลื่อนไหวพร้อมสัญญาณไซเรน เมื่อมีใครแอบเข้ามาในบ้านแล้ว Sensor ตรวจจับได้ กล้องก็จะส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังมือถือของผู้ใช้งาน เราสามารถดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ผ่านกล้อง หากมีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้น เราสามารถเปิดสัญญาณไซเรนหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที

ระบบความปลอดภัยบ้านอัจฉริยะนั้นไม่ได้มีเพียงแค่กล้องวงจรปิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จริงๆ แล้วระบบนี้สามารถแบ่งระบบออกมาย่อยๆ ได้อีก 8 ระบบ ซึ่งมีระบบดังต่อไปนี้

1. ระบบ Security Lighting
ระบบที่สามารถควบคุมการปิดเปิดไฟทั้งภายในและภายนอกบ้านด้วยคอมพิวเตอร์จากที่ทำงานหรือสมาร์ทโฟน โปรแกรมไฟที่จะเปิดขึ้นอัตโนมัติเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น รวมถึงการจำลองให้คนภายนอกเห็นว่ามีคนอยู่ในขณะที่ไม่อยู่บ้าน (Present Simulation)


ภาพที่ 1 หลอดไฟที่สามารถเปิดปิดไฟจำลองว่ามีคนอยู่ในบ้านขณะที่เราไม่อยู่

2. ระบบ Remote Locking
ระบบที่สามารถล็อคประตูได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่บนถนนหรือในเมือง เพียงแค่มีการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต รวมถึงการตั้งโปรแกรมให้ล็อคประตูอัตโนมัติในเวลาเดิมทุกคืน และปลดล็อคประตูสำหรับพี่เลี้ยงเด็กให้เข้ามาในบ้านได้ทุกๆ เช้าเวลาเดิมเช่นกัน


ภาพที่ 2 กลอนประตูที่สามารถสั่งการเปิดปิดได้ผ่านทางมือถือ

3. Digital Video Security
ระบบที่สามารถดูการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านแบบสด ณ เวลาจริงขณะนั้นเป็นวิดีโอ ไม่ว่าจะเป็น เมื่อลูกๆ กลับมาถึงบ้าน สังเกตสัตว์เลี้ยง หรือแม้กระทั่งคนมาส่งพัสดุที่บ้านหรือเรียกง่ายๆ ก็คือระบบกล้องวงจรปิดนั้นเอง


ภาพที่ 3 กล้องวงจรปิดที่มาพร้อมกับระบบ Sensor และสัญญาณไซเรน

4. Indoor/Outdoor Sensor
เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งในบ้านและนอกบ้านคุณ ตรวจจับเสียงประหลาดจากกระจกแตกเพื่อป้องกันการบุกรุก เมื่อเกิดอะไรขึ้นคุณจะได้รับการแจ้งเตือนมาทางสมาร์ทโฟน เพื่อให้คุณสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที


ภาพที่ 4 Outdoor sensor ตรวจจับสิ่งที่เคลื่อนที่ผ่าน sensor ที่เครื่องยิง

5. Environmental Sensor
เซ็นเซอร์ตรวจจับสภาพแวดล้อมในบ้านอัจฉริยะ ซึ่งเหมาะสำหรับห้องครัว ห้องน้ำ ห้องซักรีด ห้องใต้ดิน ที่จำเป็นต้องมีเครื่องตรวจจับอัตโนมัติ ซึ่งสามารถตรวจจับน้ำท่วม การรั่วไหลหรือซึมของน้ำและอุณหภูมิที่สูงผิดปกติ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นสัญญาณจะดังขึ้นเตือน ให้สามารถดำเนินการแก้ไขได้ทันเวลา เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของคุณและคนในบ้าน


ภาพที่ 5 เครื่องตรวจอุณภูมิและอากาศภายในบ้าน

6. Theft Protection
เซ็นเซอร์ไร้สายที่สามารถผูกติดกับของมีค่าต่างๆ ในบ้านคุณ และแจ้งเตือนเมื่อถูกเคลื่อนย้ายหรือเกิดความผิดปกติขึ้น เพื่อกันการโจรกรรมคล้ายๆ กับระบบสัญญาณกันขโมยของในห้างหรือร้านค้า

7. Emergency Help
การขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน ด้วยการกดเพียงหนึ่งถึงสองปุ่ม ผ่านอุปกรณ์รูปแบบต่างๆ เช่น สายรัดข้อมือ เครื่องประดับ เข็มขัด หรือพวงกุญแจ โดยสัญญาณจะถูกส่งไปยังสถานีส่วนกลางเพื่อแจ้งตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เพื่อให้การช่วยเหลือคนในบ้านหรือผู้สูงอายุเป็นไปได้อย่างทันเวลา


ภาพที่ 6 แผงควบคุมที่สามารถส่งข้อความให้ทุกคนในครอบครัวรับรู้ได้

8. 24 Hour Monitoring
ระบบการรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เป็นการเฝ้าระวังผ่านจอมอนิเตอร์จากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยที่สถานีศูนย์กลาง ซึ่งพร้อมจะส่งความช่วยเหลือมาที่บ้านเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ขึ้น เช่น การบุกรุก การเกิดเหตุเพลิงไหม้ เป็นต้น

ระบบความปลอดภัยบ้านอัจฉริยะนั้นไม่ใช่เพียงแค่ป้องกันอันตรายจากภายนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นภายในบ้านด้วย ระบบรักษาความปลอดภัยบ้านอัจฉริยะคือระบบที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านปกป้องครอบครัวและคนที่คุณรัก ทำให้บ้านยังคงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของพวกคุณ เพื่อให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและไร้ความกังวล

6
มาตรฐาน IP (อังกฤษ : IP Rating, IP Code, IP Standard) ชื่อเต็ม International Protection Standard ตามมาตรฐาน IEC 60529  หรือบางครั้งถูกตีความเป็น Ingress Protection Rating คือมาตรฐานที่บอกถึงระดับการป้องฝุ่นและน้ำของเครื่องจักร (mechanical casings) และอุปกรณ์ไฟฟ้า (electrical enclosures) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย IEC (International Electrotechnical Commission) เทียบเท่ากับมาตรฐานยุโรป EN 60529


          การบอกถึงระดับการป้องกันนั้นหลักๆแล้วจะถูกแสดงโดยตัวเลข 2 หลักคือ IPxx โดยหลักแรกจะหมายถึงระดับการป้องกันของฝุ่นหรือการสัมผัสโดยบังเอิญซึ่งจะมีระดับตั้งแต่ 0-6 ส่วนหลักที่สองจะหมายถึงระดับการป้องกัน

รายละเอียดรหัส IP
          ตารางนี้จะแสดงให้เห็นถึงลำดับและสิ่งจำเป็นที่ต้องถูกระบุจึงจะเรียกได้ว่าเป็นมาตรฐาน IP ที่สมบูรณ์


ตัวเลขหลักที่ 1 : การป้องกันของแข็ง

          ตารางนี้จะแสดงให้เห็นถึงระดับการป้องกันของแข็งซึ่งของแข็งที่กล่าวนี้หมายถึงการป้องกันการเข้าถึง(เข้าไปในตัวอุปกรณ์)ของฝุ่นหรือการสัมผัส โดยบังเอิญเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระแทกจากของแข็งซึ่งการทนต่อแรงกระแทกนั้นจะบอกในตัวเลขหลักที่ 3 ของมาตรฐาน IP และปัจจุบันได้ยกเลิกการใช้แล้ว โดยการป้องกันของแข็งจะมีทั้งหมด 7 ระดับ ตั้งแต่ระดับ 0-6 ดังนี้


ตัวเลขหลักที่ 2 : การป้องกันของเหลว

          ตารางนี้จะแสดงให้เห็นถึงระดับการป้องกันของเหลวซึ่งของเหลวที่กล่าวถึงนี้หมายถึงของเหลวจำพวกน้ำเท่านั้น
ไม่รวมถึงของเหลวประเภทอื่นๆเช่น น้ำมัน, สารเคมีที่มีความเป็นกรดหรือด่างสูง, ฯลฯ โดยการป้องกันมีทั้งหมด 11 ระดับ ตั้งแต่ระดับ 0-9K ดังนี้


          *มาตรฐานที่มีสัญลักษณ์ "K" คือมาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นโดย ISO 20653 ซึ่งจะไม่มีในมาตรฐาน IEC 60529 ยกเว้น IPx9 ซึ่งจะมีการทดสอบแบบเดียวกับ IP69K การป้องกันอื่นๆ

          นอกเหนือจากการป้องกันฝุ่นและน้ำแล้วยังมีการป้องกันอื่นๆเพิ่มเติมอีก โดยการป้องกันอื่นๆนั้นจะใช้สัญลักษณ์ตัวอักษรต่อท้ายหมายเลข IP โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่างดังนี้


ตัวอย่างมาตรฐาน IP

          เราอาจเจอมาตรฐาน IP อยู่บ่อยๆ จากตารางตัวเลขทั้งหมดที่กล่าวมานั้น มีไม่กี่ตัวที่ถูกนำมาใช้และเป็นที่นิยมทำมาจำหน่าย ซึ่งมาตรฐาน IP ที่นิยมและเห็นได้บ่อยครั้งมีดังนี้


IP54

          คือมาตรฐานที่จะเป็นตัวบอกว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือนั้นๆ มีความสามารถที่จะป้องกันฝุ่นได้แต่อาจมีฝุ่นเล็กน้อยเล็ดลอดเข้าไป โดยฝุ่นที่เล็ดลอดเข้าไปนั้นต้องไม่มีผลใดๆต่อการทำงานของอุปกรณ์และมีความสามารถที่จะป้องกันละอองน้ำที่ตกกระทบตัวอุปกรณ์ได้จากทุกทิศทาง

IP65

          คือมาตรฐานที่จะเป็นตัวบอกว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือนั้นๆ มีความสามารถที่จะป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์
และมีความสามารถที่จะป้องกันน้ำจากการฉีดที่ตัวอุปกรณ์ได้จากทุกทิศทาง

IP66

          คือมาตรฐานที่จะเป็นตัวบอกว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือนั้นๆ มีความสามารถที่จะป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์
และมีความสามารถที่จะป้องกันน้ำจากการฉีดแบบรุนแรงที่ตัวอุปกรณ์ได้จากทุกทิศทาง

IP66K

          คือมาตรฐานที่จะเป็นตัวบอกว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือนั้นๆ มีความสามารถที่จะป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์
และมีความสามารถที่จะป้องกันน้ำจากการฉีดแรงดันสูงที่ตัวอุปกรณ์ได้จากทุกทิศทาง

IP67

          คือมาตรฐานที่จะเป็นตัวบอกว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือนั้นๆ มีความสามารถที่จะป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์
และมีความสามารถที่จะป้องกันการแทรกซึมของน้ำจากการแช่ตัวอุปกรณ์ในน้ำได้ที่ความลึกสูงสุด 1 m เป็นระยะเวลาสูงสุด 30 นาที

IP68

          คือมาตรฐานที่จะเป็นตัวบอกว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือนั้นๆ มีความสามารถที่จะป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์
และมีความสามารถที่จะป้องกันการแทรกซึมของน้ำจากการแช่ตัวอุปกรณ์ในน้ำได้แบบถาวร

IP69K

          คือมาตรฐานที่จะเป็นตัวบอกว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือนั้นๆ มีความสามารถที่จะป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์
และมีความสามารถที่จะป้องกันน้ำจากการฉีดแรงดันสูงพิเศษที่ตัวอุปกรณ์ได้จากทุกทิศทาง ที่อุณหภูมิน้ำสูงสุด 80 °C

7
          เคยสงสัยกันไหมว่า ฮาร์ดิกส์ปกติ แตกต่างจาก ฮาร์ดิกส์กล้องวงจรปิดอย่างไร และทำไมเครื่องบันทึกภาพถึงต้องใช้ฮาร์ดิกส์สำหรับกล้องวงจรปิดด้วย

          ฮาร์ดิกส์ (HardDisk) ก็เปรียบเสมือนคลังเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ หลักการทำงานของฮาร์ดิกส์มีการทำงานคล้ายระบบเทปคลาสเซ็ทที่ ใช้ตัวแม่เหล็กเป็นตัวบันทึกข้อมูลและสารแม่เหล็กนี้ สามารถลบและเขียนใหม่ได้ตลอดเวลา ซึ่งข้อมูลของ ฮาร์ดิกส์ จะถูกเก็บไว้ในแม่เหล็กขนาดเล็กมาก เพื่อบรรจุข้อมูลที่ละเอียดและมากขึ้น

          ฮาร์ดิกส์แบบที่เราใช้กันทั่วไปคือ ฮาร์ดิกส์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นฮาร์ดิกส์ที่มีราคาถูกที่สุด เหมาะกับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไปที่เรารู้จัก ที่ใช้ทั้งการอ่านข้อมูลและการบันทึกข้อมูล การทำงาน คืออ่าน 50% บันทึก 50%  และไม่ได้ทำงานตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

          ฮาร์ดิกส์สำหรับกล้องวงจรปิด ฮาร์ดิกส์ ประเภทนี้  ต้องทำงานหนักกว่า ฮาร์ดิกส์ ทั่วไปหลายเท่าเพราะต้องทำงานตลอดเวลา 24 ชม.ทุกๆ วัน โดยไม่มีเวลาหยุดพัก เพราะปกติเราก็เปิดใช้งานกล้องวงจรปิดอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว นอกจากนี้สำหรับ ฮาร์ดิกส์ ประเภทนี้ หน้าที่หลักคือการบันทึกที่มากกว่าการอ่าน การทำงานคือ อ่าน 10% และ บันทึก 90% เพราะอย่างที่เรารู้กันดี ว่ากล้องวงจรปิดมีหน้าที่บันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ดังนั้นถ้าเราเลือก ฮาร์ดิกส์ ที่ใช้งานประเภทอื่นมาใส่ในระบบกล้องวงจรปิด จะทำให้ระบบการทำงานได้ไม่สมบูรณ์ และมีโอกาสที่ฮาร์ดิกส์จะเสียหายได้สูง ซึ่งจะเป็นผลทำให้เราสูญเสียข้อมูลสำคัญเมื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา

          สรุปก็คือ ฮาร์ดิกส์แบบปกติเหมาะกับการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป ไม่เหมาะกับเครื่องบันทึกภาพ เพราะฮาร์ดิกส์มีความเร็วในการบันทึกที่ต่ำและตัวฮาร์ดิกส์เองก็ไม่สามารถทนทานการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ได้ ซึ่งต่างจากฮาร์ดิกส์กล้องวงจรปิด ที่สามารถทนต่อการใช้งานตลอด 24 ซม. และมีความเร็วในการบันทึกข้อมูลที่สูงกว่าฮาร์ดิกส์ปกติ ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เครื่องบันทึกภาพถึงต้องใช้ฮาร์ดิกส์สำหรับกล้องวงจรปิด

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าฮาร์ดดิสก์แบบไหนดีที่สำหรับกล้องวงจรปิด??

          ฮาร์ดดิสก์ยี่ห้อเดียวกันแต่ละรุ่นจะไม่เหมือนกันนะครับ ฮาร์ดดิสก์เกรด Enterprise จะแพงกว่า แต่ก็จะมีความอึดมากกว่า เพราะมันจะถูกเอาไปเก็บข้อมูลที่สำคัญ ต้องมั่นใจว่าฮาร์ดดิสก์จะไม่เจ๊งง่ายๆ ฮาร์ดดิสก์ที่โลโซหน่อย ก็จะอึดน้อยกว่า เพราะข้อมูลที่เก็บไม่สำคัญมาก แต่ราคาก็จะประหยัดกว่าเยอะ บางรุ่นเน้นเอาไว้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ก็จะมีความเร็วในการหมุนสูงยิ่งปัจจุบัน อุปกรณ์ที่ต้อง ใช้ฮาร์ดดิสก์มีเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันไป ในที่นี่จะพูดถึง Seagate SkyHawk ฮาร์ดิกส์สำหรับใช้งานบนระบบ CCTV คือชื่อใหม่ของรุ่น Sv35 โดยมีความเร็วรอบที่ 7,200 รอบต่อนาที มีความจุ 10TB สำหรับบันทึกข้อมูลวิดีโอแบบ HD ได้ 10,000 ชั่วโมงจากกล้อง HD 64 ตัว พร้อม Firmware แบบ ImagePerfect ที่ช่วยปรับเพิ่มลดความเร็วรอบของดิสก์ให้ประหยัดไฟได้โดยยังคงมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการบันทึกข้อมูลอยู่ สามารถเขียนข้อมูลได้ถึง 180TB ต่อปี และ Skyhawk ยังเคยได้รับรางวัล Top Supplier Award จาก Hikvision ผู้ผลิตกล้อง IP Camera / CCTV กล้องวงจรปิดชั้นนำของโลกอีกด้วย

8
กล้องวงจรปิดมีความสำคัญมากในปัจจุบันเพราะเป็นระบบพื้นฐานด้านความปลอดภัย แต่ว่ากล้องวงจรปิดแต่ละตัวก็มีระบบการทำงานและให้คุณภาพของภาพที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับระบบกล้องวงจรปิดกัน โดยระบบของกล้องวงจรปิดหลักๆ จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ระบบ คือ HDCVI, HDTVI, AHD, และ CVBS ซึ่งแต่ละระบบแตกต่างกันดังนี้

HDCVI คือระบบกล้องวงจรปิดแบบ Analog ใหม่ล่าสุดที่สามารถให้ความคมชัดของภาพระดับ HD 720p และ 1080p โดยใช้สายสัญญาณ Coaxial หรือ RG6 แบบ Analog ที่ใช้ในกล้อง สามารถใช้การเดินสายระบบ Analog แบบเดิมแต่สามารถให้ความละเอียดของกล้องได้สูงใกล้เคียงระบบ IP Camera (เท่าที่ทดสอบภาพที่ได้ยังไม่คมชัดเท่า IP Camera) ในราคาที่ประหยัดกว่า IP Camera มากพอสมควร (กล้องระบบ HDCVI ราคาสูงกว่ากล้องระบบ Analog แบบเดิมไม่มากนัก) และยังสามารถทดแทนกล้องในระบบ Analog เดิมได้โดยไม่ต้องเดินสายสัญญาณใหม่ (ในกรณีต้องการเปลี่ยนระบบเดิมเป็น HDCVI)

HD TVI คือเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดที่มีชื่อเต็มว่า HD Transport Video Interface เป็นเทคโนโลยีการส่งภาพที่ให้ความคมชัดในระดับ HD ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการส่งสัญญาณผ่านสายเคเบิล Analog ทั่วไป หรือสาย RG6 แบบที่เราใช้เดินสายกล้องวงจรปิดกันอยู่นั่นเอง โดยการเพิ่ม Chip ที่มีคุณลักษณะพิเศษที่เป็นตัวส่งสัญญาณผ่านแบบ HD ใส่ลงไปในตัวกล้อง และใช้ Chip แบบพิเศษเช่นกันเป็นตัวรับสัญญาณใส่ลงไปในเครื่องบันทึก ทำให้สามารถขยายการส่งภาพและปรับคุณภาพความคมชัดของวีดีโอได้

AHD คือ กล้องวงจรปิดรูปแบบใหม่ที่พัฒนามาจากกล้อง Analog ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นในระดับ HD 720p(1280 x 720) และHD 1080p (1920×1080) มีความสามารถ ส่งผ่านสายสัญญาณไกลถึง 500 เมตรโดยใช้สาย Coaxial RG-6 ถ้าเป็นการอัพเกรดจาก ระบบ Analog เดิมก็ไม่ต้องทำการติดตั้งเดินสายใหม่ และยังสามารถใช้งานร่วมกับบาลัน (Balun) เดิมของระบบ Analog ได้ โดยใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาจากเทคโนโลยี Y/C ของระบบภาพ TV, เทคโนโลยีการกรองสัญญาณ ,เทคโนโลยีการลดสัญญาณรบกวน 3D Noise ทำให้ได้ภาพที่มีความละเอียดสูง และระบบ AHD จะไม่มีการบีบอัดหรือการเข้ารหัสทำให้ภาพที่ได้เป็น Real-Time ไม่มีการหน่วงของสัญญาณในการส่งสัญญาณ และเมื่อเปรียบกับสัญญาณCVBS ที่มีความละเอียดเท่ากันแต่คุณภาพของภาพของ AHD ดีกว่าอีกทั้งระบบเป็นแบบเปิดสามารถใช้งานกับ กล้องและเครื่องบันทึกที่เป็น AHD เหมือนกันได้สามารถนำกล้องในระบบเดิม (D1/960H) มาใช้ร่วมกันได้ ทำให้คุ้มค่าในการลงทุนประหยัดค่าใช้จ่าย ในการอัพเกรดระบบเดิม

CVBS เรียกว่า "สีวิดีโอว่างและซิงค์" "สัญญาณวิดีโอคอมโพสิตเบส" หรือ "สัญญาณวิดีโอคอมโพสิต" หรือ "วิดีโอคอมโพสิตที่มีการถ่ายโอนข้อมูลและซิงค์" CVBS เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายหรือที่เรียกว่าวิดีโอ baseband หรือวิดีโอ RCA ซึ่งเป็นวิธีการถ่ายโอนข้อมูลภาพแบบดั้งเดิมจากสัญญาณโทรทัศน์ NTSC ซึ่งส่งข้อมูลในรูปแบบอะนาล็อก เป็นรูปแบบที่รวมเอาสัญญาณภาพ (ภาพ) ของสัญญาณโทรทัศน์อะนาล็อกเข้ากับสัญญาณเสียงและเลียนแบบสัญญาณก่อนผู้ให้บริการคลื่นวิทยุAV = AUDIO + VIDEO อันที่จริงแล้ว VIDEO คือ CVBS

แต่ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดของเราก้าวหน้าไปไกลแล้ว ทำให้เราไม่ต้องมีปัญหาหรือคิดมากว่าเราควรจะเลือกกล้องวงจรปิดระบบไหนดี เพราะว่าเรามีกล้องวงจรปิดแบบ 4in1 ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยีระบบทั้งหมด รวมเข้ากับกล้องตัวเดียว ทำให้กล้องวงจรปิดมีระบบการทำงานทั้งแบบ HDCVI, HDTVI, AHD, และ CVBS ทำให้คุณสามารถเลือกได้หลากหลายว่าจะเลือกใช้ภาพคุณภาพแบบใด ทั้งราคาประหยัดกว่าและตอบสนองความต้องการมากกว่าด้วย แน่นอนว่าเรามีกล้องวงจรปิด 4in1 คุณภาพเยี่ยม ราคาย่อมเยา พร้อมส่งตรงถึงมือคุณ สนใจกดลิงก์ด้านล่างเพื่อดูสินค้าได้เลย

หน้า: [1]