แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - boevy

หน้า: [1] 2
1



คนเราถ้าจะตัดสินใจคบกัน สิ่งแรกที่น่าจะสำคัญสำหรับใครๆ หลายๆ  คนนั่นก็คือ “ความรัก” ใช่มั้ยคะ แต่บางคนก็มีเหตุผลแตกต่างกันไปในการเริ่มต้นที่จะสานสัมพันธ์กับใครสักคน ถ้าการคบกันไม่ได้เริ่มต้นจากความรักจะคบกันได้จริงหรือไม่

 วันนี้เรามีคำทำนายสไตล์ญี่ปุ่นของแต่ละราศีว่าราศีไหนที่ถึงแม้ไม่ได้รักก็คบหาสานสันพันธ์ได้ ราศีไหนจะทำนายออกมาแนวไหนกันบ้างนั้นไปดูกันเลยค่ะ

อันดับ 1 ราศีตุลย์ufabet
สาวราศีตุลย์ที่ถึงจะไม่ได้เป็นฝ่ายรุกจีบใครๆก่อนก็มักจะมีหนุ่มๆเข้ามาขายขนมจีบอยู่ตลอดเวลา ด้วยความช่างพูดและคุยเก่งของชาวราศีตุลย์นี่แหละที่ทำให้หนุ่มๆหลายคนหลงเสน่ห์มานักต่อนักแล้ว หากมีหนุ่มคนไหนเดินหน้าจีบแบบไม่ลดละแล้วละก็
 สาวราศีตุลย์ก็จะลังเลไม่กล้าปฏิเสธก็จะเลยตามเลยคบกันไปแบบงงๆ และก็จะเกิดคำถามขึ้นใจว่า เออ แล้วทำไมถึงคบกับคนนี้ละ……

อันดับ 2 ราศีเมถุน
ชาวราศีเมถุนที่มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆอยู่เสมอ หากจะเลือกคบใครสักคน ชาวราศีเมถุนก็จะเลือกคบคนที่ดูแปลกๆไม่เหมือนใคร เหมือนเป็นหนึ่งในการลองอะไรใหม่ๆซะมากกว่า และในหัวก็จะมโนไปละว่า “คบกับคนนี้จะเป็นยังไงนะ”
“จริงแล้วคนๆนี้อาจจะเป็นคนที่ตลกก็ได้นะเนี่ย” และเริ่มที่จะสานสัมพันธ์โดยไม่ได้มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องก่อน แรกๆที่คบกันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดไว้แต่แรก แต่พอคบกันไปนานๆก็อาจจะกลายเป็นคู่รักที่เข้ากันได้ดีก็ได้นะ

อันดับ 3 ราศีกันย์
คนละเอียดอ่อนอย่างชาวราศีกันย์ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประสบการณ์ในด้านความรักและดูเหมือนจะกลัวๆในเรื่องความรัก ทำให้ชาวราศีกันย์ไม่กล้าที่จะเข้าไปพูดคุยกับคนที่มีใจด้วยก่อน การเลือกคบใครสักคนของชาวราศีกันย์นั้น
ก็จะเลือกจากในลิสคนที่เข้ามาจีบแม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกชอบก็ตาม แต่ก็จะเลือกว่าคนที่ดูแล้วว่าดี และด้วยความที่ชาวราศีกันย์ดูคนออกจึงเลือกคนไม่ผิดซะด้วย และหลังจากคบกันแล้ว ชาวราศีกันย์ก็จะพยายามมองหาส่วนที่ดีๆของอีกฝ่าย

อันดับ 4 ราศีเมษ
ชาวราศีเมษที่เป็นคนไม่ยอมใครง่ายๆ หากในกลุ่มเพื่อนสาวพากันอวดแฟนให้ฟังแล้วละก็ ชาวราศีเมษก็จะรู้สึกว่ายอมไม่ได้ที่จะโสดอยู่คนเดียว ก็จะรีบหาแฟนมาควงอย่างไว

อันดับ 5 ราศีมีน
ชาวราศีมีนชอบที่จะมีความรัก ชอบความรู้สึกใจเต้นตึกตักเวลาที่ได้รักใคร ชาวราศีมีนจึงมักที่จะเริ่มสานสัมพันธ์ก่อนเลยไม่ต้องเสียเวลามาคิดมาก

อันดับ 6 ราศีสิงห์ufabet
ชาวราศีสิงห์เวลาที่จะเลือกคบใครสักคนก็จะเลือกจากโปรไฟล์ก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นรายได้ งานที่ทำอยู่ เป็นต้น ถ้าโปรไฟล์ดีละก็ชาวราศีสิงห์ก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปแน่นอนจ้า

อันดับ 7 ราศีธนู
ชาวราศีธนูที่มักจะลงเอยคบหากับคนที่พูดคุยถูกคอกันในวงเหล้า

อันดับ 8 ราศีมังกรufabet
ชาวราศีมังกรที่เป็นคนเอาการเอางาน หากเมื่อไรที่ชาวราศีมังกรอยากที่จะแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็จะเลือกคบหนุ่มที่มีฐานะดีและมีแนวคิดไปในทางเดียวกัน ส่วนเรื่องอื่นนั้นเอาไว้ทีหลัง

อันดับ 9 ราศีกุมภ์
ชาวราศีกุมภ์ถ้าจะเลือกคบใครแล้วสิ่งแรกก็คือเลือกคนที่คุยสนุก เริ่มจากการเป็นเพื่อนกันและพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแฟนที่คุยถูกคอกันทุกเรื่องราวกับเป็นเพื่อนสาว

อันดับ 10 ราศีพฤษภ
ราศีพฤษภที่ค่อนข้างเป็นคนหัวแข็ง ไม่แม้จะประนีประนอม ในเรื่องความก็เช่นกัน ถ้าหากไม่ได้รักกัน ไม่ใช่เนื้อคู่กันก็คบกันไม่ได้

อันดับ 11 ราศีกรกฎ
ชาวราศีกรกฎที่มีความฝันอยากจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ยิ่งถ้าอยู่กับคนที่รักความฝันนี้ก็อยากจะทําให้เป็นจริง และจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าคบกันโดยไม่ได้รัก

อันดับ 12 ราศีพิจิก
ชาวราศีพิจิกที่ไม่รักใครง่ายๆ แต่ถ้าได้ชอบใครแล้วจะเดินหน้าจีบอย่างจริงจัง ดังนั้นถ้าไม่ใช่คนที่ตัวเองชอบแล้วไม่มีทางสนใจหรอก

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :uranaitv

2


เราทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า สารตะกั่วเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ใด หรือสิ่งใด ที่มีสารตะกั่วปนเปื้อน เราควรกำจัดออกไป และดูแลป้องกันเด็ก ๆ ให้ห่างไกลจากสารพิษดังกล่าว

แต่แม้ว่าเราพยายามดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังมีการค้นพบอาหาร ของใช้ และสถานที่บางแห่ง ที่เรามักจะนึกไม่ถึงอยู่เสมอ


อันตรายของ “สารตะกั่ว” ที่มีผลกระทบต่อร่างกายufabet


ในปี 2005 มีการศึกษาพบว่า สารตะกั่วส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะในเด็ก นอกจากจะส่งผลกระทบต่อระดับความเข้มข้นของเลือดแล้ว ยังพบว่า สารตะกั่ว มีส่วนเกี่ยวพันธ์กับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น อารมณ์ก้าวร้าว สมาธิสั้น

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบด้วยว่า สารตะกั่ว มีผลกระทบต่อความเฉลียวฉลาด เพราะมันทำให้คะแนน IQ ของเด็กลดลง และไม่เพียงแค่เด็กเท่านั้น สตรีมีครรภ์ หากได้รับสารตะกั่ว ก็อาจจะทำให้แท้ง หรือให้กำเนิดทารกที่ผิดปกติได้

สารตะกั่ว ส่งผลร้ายต่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย หากได้รับในปริมาณมาก จะทำลายระบบประสาท ความดันโลหิตสูง อาเจียน ชัก และอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต สารตะกั่ว จึงเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับการนำมาใช้ในครัวเรือน

 หรือแม้กระทั่ง ใช้ในการผลิต ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในครัวเรือน มาตั้งแต่ปี 1971 และในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ก็มีการลดปริมาณการใช้สารตะกั่วในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

แต่อย่างไรก็ตาม สารพิษดังกล่าวนี้ ยังคงมีอยู่ในสภาพแวดล้อม และที่สำคัญคือ มันปนเปื้อนอยู่ในสิ่งที่เราอาจนึกไม่ถึง ดังต่อไปนี้

1. สี : สมัยก่อนจะมีการใช้สารตะกั่ว ผสมลงไปในสี เป็นเรื่องปกติ เพราะมันช่วยให้สีสวยขึ้น ทาง่ายขึ้น แม้ปัจจุบัน จะมีการใช้สารตะกั่วผสมสีน้อยลงแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจได้ การจะเลือกสีมาใช้ จึงควรต้องมีความละเอียดรอบคอบ

2. น้ำ : น้ำที่เราดื่ม อาจปนเปื้อนสารตะกั่ว แม้ว่าโดยปกติแล้ว เราจะไม่พบสารพิษนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติก็ตาม แต่การนำน้ำมาผ่านกระบวนการแจกจ่ายไปตามอาคารบ้านเรือน อาจมีความเสี่ยง ทั้งจากการเครื่องปั้มน้ำ

และท่อน้ำที่มีการสึกกร่อนหรือชำรุด นอกจากนี้ตู้กดน้ำดื่มตามโรงเรียน ก็ถือเป็นจุดเสี่ยงอีกจุดหนึ่ง อุปกรณ์เหล่านี้ จึงควรได้รับการตรวจสอบอยู่อย่างสม่ำเสมอ

3. อาหาร : แม้แต่ผักที่ปลูกในดิน อาหาร ภาชนะใส่อาหาร ก็อาจมีการปนเปื้อนสารตะกั่วได้ จากฝุ่นสี  การเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิง ฝุ่นผงจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ลอยมาตามอากาศ ทุกขั้นตอนตั้งแต่การห่ออาหารส่งจำหน่าย

 การเตรียมอาหาร การเก็บอาหาร ต่างก็มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้นufabet

4. ลูกอม : ลูกอมจากหลายประเทศ ถูกสหรัฐอเมริกาเตือนว่ามีการปนเปื้อนสารตะกั่ว แม้จะไม่สามารถตรวจสอบผลที่แน่ชัด แต่ก็ได้มีการออกคำเตือนให้ระมัดระวังการนำเข้าลูกอมจาก เม็กซิโก มาเลเซีย จีน และอินเดีย

 เพราะทั้งกระบวนการผลิต การเก็บ และส่วนผสมนั้น ยังไม่ได้มาตรฐาน

5. ของใช้ในครัวเรือน : สิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในบ้านของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์โบราณ เครื่องเซรามิค งานศิลปะ อาจจะมีสารตะกั่วปนเปื้อนอยู่ เพราะของเก่า ของโบราณ จะยังใช้สี และการเคลือบเงา ที่มีส่วนผสมของสารตะกั่ว

 นอกจากนี้ ยังมีคำเตือนให้ระวังผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกไวนิล จากประเทศจีน ไต้หวัน เม็กซิโก และอินโดนีเซีย อีกด้วย

6. เครื่องประดับ : พวกสร้อย กำไล แหวน ราคาถูก อาจจะมีสารตะกั่วปนเปื้อน และ ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่งสำหรับเด็กเล็ก  เพราะเด็กอาจจะนำเข้าปากหากผู้ใหญ่อย่างเราไม่ระมัดระวังให้ดี เมื่อปี 2006 มีเด็กเสียชีวิตเพราะกลืนชิ้นโลหะเครื่องประดับ

 ที่ติดมากับรองเท้ายี่ห้อหนึ่ง เด็กมาโรงพยาบาลด้วยอาการอาเจียน และปวดท้อง จากนั้นอีก 4 วันก็เสียชีวิต เพราะ เครื่องประดับนั้น มีสารตะกั่วมากถึง 99.1 เปอร์เซ็นต์

7. ของเล่น : ของเล่นเด็กบางอย่างก็มีสารตะกั่วปนเปื้อนเช่นกัน โดยเฉพาะของเล่นที่มีสีสันสวยงาม แม้แต่กล่องใส่อาหาร หรือสีเทียน ก็อาจพบการปนเปื้อนได้ แม้จะปริมาณเล็กน้อย แต่ก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับเด็กบางคนได้เช่นกัน

8. ยาสามัญประจำบ้าน และเครื่องสำอาง : ยารักษาอาการผื่นคัน ยาแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย อาจมีส่วนผสมของสารตะกั่ว ส่วนเครื่องสำอางนั้น ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะเครื่องสำอาง ที่มาจากอินเดีย

 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง โดมินิกัน และเม็กซิโกufabet

 

ถึงจะพบสารตะกั่วจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ รอบตัวแทบจะทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าเราจะหลีกเลี่ยงการรับสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายไม่ได้นะคะ ทางที่ดีที่สุด คือพยายามใช้ หรือเลือกทานอาหารจากแหล่งผลิตให้หลากหลายมากขึ้น ไม่ทาน หรือใช้ผลิตภัณฑ์เดิมๆ

หรือจากแหล่งผลิตเดิมๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานมากเกินไป จะช่วยหลีกเลี่ยงการสะสมสารปนเปื้อนต่างๆ ที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้ไม่มากก็น้อยค่ะ

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :CNN

ภาพ :iStock

3



หลายคนที่เริ่มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองมักเริ่มที่การเปลี่ยนอาหารที่ทานให้มีคุณค่าทางสารอาหาร และดีต่อร่างกายมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะคำกล่าวที่ว่า “You are what you eat” หรือกินอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ยังคงเป็นข้อเท็จจริงถูกต้อง

 ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม การเลือกน้ำมันในการปรุงอาหารจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่หลายคนให้ความสนใจ แต่น้ำมันมะพร้าว 100% ที่หลายคนกำลังทานกันอยู่ กลับมีข้อโต้แย้งจากผู้เชี่ยวชาญที่กล่าวว่า “น้ำมันมะพร้าวเป็นอาหารที่แย่ที่สุดที่คุณจะทานได้” หรือ “ยาพิษบริสุทธ์” เลยทีเดียว

Karin Michels นักระบาดวิทยาจาก Harvard T.H. Chan School of Public Health ระบุว่า น้ำมันมะพร้าวมีปริมาณของไขมันอิ่มตัวสูงมาก หากทานเข้าไปมากๆ จะเป็นการเพิ่มระดับไขมันเลวในเลือกของเรามากขึ้น

 จนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของโรคอันตรายที่เกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือดมากมาย และในน้ำมันมะพร้าวยังมีปริมาณไขมันอิ่มตัวมากถึง 80% ซึ่งสูงเป็น 2 เท่าของปริมาณไขมันอิ่มตัวที่พบในไขมันหมู และมากกว่า  60% ของปริมาณไขมันที่พบในมันเนื้อ

นอกจากนี้ ในปี 2017 สถาบันโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาพบว่ามีน้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนผสมของอาหารอื่นๆ มากมายในประเทศ และประชากรราว 3 ใน 4 จากทั้งหมดคิดว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ ufabet

แต่จากการสำรวจความเห็นจากนักโภชนาการ กลับมีเพียง 37% เท่านั้นที่ระบุว่าน้ำมันมะพร้าวดีต่อสุขภาพจริง และทางสถาบันยังกล่าวอีกว่า การที่คนส่วนมากเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวดีต่อสุขภาพ มาจากการโฆษณาจากทางผู้ผลิตมากกว่า

 ซ้ำยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “น้ำมันมะพร้าวเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และไม่ได้มีผลดีต่อร่างกายที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงขอแนะนำว่าอย่าทานน้ำมันมะพร้าวจะดีกว่า” อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สถาบันโภชนาการของสหราชอนาจักร กล่าวว่า “เรายังสามารถทานน้ำมันมะพร้าวได้ แต่เพราะน้ำมันมะพร้าวมีปริมารไขมันอิ่มตัวสูงมาก ดังนั้นจึงควรทานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 เพื่อให้สารอาหารในแต่ละมื้อมีความสมดุลที่ดี แต่ก็เป็นความจริงที่ว่า ยังไม่มีข้อยืนยันทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าการทานน้ำมันมะพร้าวส่งผลดีอย่างไรต่อร่างกาย”ufabet

นอกจากนี้ Victoria Taylor นักกำหนดอาหารชั้นอาวุโสของสถาบันโรคหัวใจของสหราชอนาจักรกล่าวว่า “น้ำมันมะพร้าวมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูงถึง 86% ซึ่งสูงกว่าไขมันที่พบอยู่ในเนยถึง 1 ใน 3 ส่วน และเราทุกคนก็ทราบกันดีว่าไขมันอิ่มตัว

 เพิ่มความเสี่ยงของภาวะไขมันเลวในเลือดสูงขึ้น และปริมาณคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีต่อร่างกายที่สูงขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง แม้ว่าจะมีการพูดต่อๆ กันมาว่าไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวยังดีกว่าไขมันอิ่มตัวที่พบจากแหล่งอาหารอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ใดๆ

 ระบุเลยว่าเป็นเช่นนั้น และสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วนั่นคือ การลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวด้วยการหันไปทานน้ำมันพืช น้ำมันมะกอก และน้ำมันเมล็ดทานตะวัน จะช่วยลดปริมาณไขมันเลวในเลือด และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าแน่นอน”

แต่ใครก็ตามที่หลงรักในรสชาติของน้ำมันมะพร้าวจนถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว มีคำแนะนำว่าสามารถทานได้บ้างเล็กน้อย แต่อย่าทานมากจนเกินไป และอย่าทานทุกวัน ควรเลือกทานน้ำมันที่ไม่มีไขมันอิ่มตัวในทุกๆ วันจะดีกว่า

ขอขอบคุณufabet

ข้อมูล :The Guardian

ภาพ :iStock

4



คงมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเลยใช่ไหม ที่กำลังประสบกับปัญหาความรักระหว่างคุณกับสามีจืดชืดลง ด้วยสาเหตุหลักที่มาจากความเบื่อหน่ายของคุณสามีแถมยังเริ่มเซ็งกับเรื่องบนเตียงที่ขาดความแปลกใหม่และหวือหวาไป

 ซึ่งใครที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ วันนี้เราก็มีเคล็ดลับ 5 วิธีมัดใจสามีมาฝากซึ่งก็รับรองเลยว่าทำแล้วได้ผลจริงแน่นอน

1.เปลี่ยนท่าให้บ่อยขึ้นufabet

การเปลี่ยนท่าให้บ่อยขึ้นก็เหมือนเป็นการเพิ่มลีลารักให้สามีของคุณหลงใหลได้มากขึ้น หนำซ้ำยังเพิ่มความตื่นเต้นให้กับคุณเองอีกด้วย

 แต่ทั้งนี้การจะเปลี่ยนท่าทางใหม่ๆ ก็ควรอยู่ในท่วงท่าที่ทั้งคุณและสามีชื่นชอบไม่สร้างความลำบากใจให้จะดีที่สุด จะได้ไม่เป็นการฝืนใจกันซึ่งจะทำให้อะไรๆ แย่กว่าเดิมได้

2.เปลี่ยนสถานที่บ้าง

ไม่ใช่เพียงเรื่องของท่วงท่าเท่านั้นที่จะสร้างความเบื่อหน่ายให้ แต่สถานที่ก็เช่นกันเพราะคงไม่ดีแน่หากจะมีอะไรกันอยู่เพียงในห้องนอนกันเพียงอย่างเดียว ลองใช้ห้องอื่นๆ

 ภายในบ้าน หรือเปลี่ยนบรรยากาศไปพักโรงแรมต่างจังหวัดดูบ้างก็ดีไม่ใช่น้อยเลย




3.ใส่ชุดนอนหรือชุดชั้นในใหม่บ้างufabet

ชุดนอนหรือชุดชั้นในนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นอารมณ์ของสามีคุณได้มากทีเดียว ลองหาชุดที่แสดงความร้อนแรงและเซ็กซี่มาใส่ดูบ้าง รับรองว่าสามีของคุณจะรู้สึกกระชุ่มกระชวยมากกว่าเดิมเป็นแน่ แนะนำว่าหากใช้ วิธีมัดใจสามีด้วยวิธีนี้ สาวๆ อาจจะต้องศึกษาเรื่องเสื้อผ้าที่เซ็กซี่ดูสักหน่อย ซึ่งมันอาจเป็นเรื่องยากสำหรับสาวหวาน

4.อาบน้ำด้วยกัน

การอาบน้ำด้วยกันจะทำให้คุณกับสามีได้สัมผัสตัวกันได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการอาบน้ำในอ่างอาบน้ำด้วยก็จะยิ่งเพิ่มความเร้าร้อนได้มากขึ้นไปอีก ซึ่งการอาบน้ำด้วยกันก็เปรียบเสมือนการได้เล้าโลมกันก่อนลงสนามจริงนั่นแหละ

5.เปิดใจคุยกันเรื่องเซ็กส์ufabet

คู่รักบางคู่มักจะรู้สึกเขินอายที่จะเปิดใจคุยกันเรื่องเซ็กส์ ทำให้ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสามีหรือภรรยาต้องการให้ทำแบบไหนบ้าง ซึ่งเหตุผลนี้เองที่ทำให้หลายๆ คู่มักจบลงด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเพราะไม่ได้ลองทำในสิ่งที่อยากลองนั่นเอง เอาเป็นว่าก่อนจะนอนก็ลองหันมาคุยกันเรื่องเซ็กส์แบบไม่ต้องอายดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าสามีต้องการมีเซ็กส์แบบไหน

ทั้ง 5 ข้อนี้ก็เป็น วิธีมัดใจสามี ให้อยู่หมัดในเรื่องของ SEX เชื่อเถอะว่าหากได้ลองทำทุกข้อแล้วสามีของคุณจะหลงใหลในตัวคุณจนแทบคลั่งเลยทีเดียว เพราะชีวิตคู่นั้นไม่ได้มีความสำคัญแค่ความรักเท่านั้น แต่เซ็กส์ก็เป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน

ขอขอบคุณ

ภาพ :istock

5




ผิวหน้ามันมีสาเหตุมาจากการที่ต่อมไขมัน ผลิตน้ำมันออกมามากเกินกว่าปกติ โดยต่อมไขมันบนใบหน้าจะมีมากในช่วงทีโซน โดยเฉพาะบริเวณจมูกที่ต่อมไขมันจะมีขนาดใหญ่ และทำงานได้ดีกว่าบริเวณอื่น จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมบริเวณจมูกมักจะมีความมันมากกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่ผิวหน้ามันมักจะมาจากกรรมพันธุ์ และยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น อารมณ์ ความเครียด อากาศเปลี่ยนแปลง ความร้อน ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง การสัมผัส การใช้สกินแคร์ที่มากเกินความจำเป็น หรือใช้ไม่เหมาะกับสภาพผิว รวมไปถึงการใช้ยาบางชนิด ก็มีส่วนทำให้ผิวหน้ามันมากขึ้นเช่นกัน



วิธีลดปัญหาหน้ามัน

1. กระดาษซับมันช่วยได้ufabet
วิธีพื้นฐานที่ช่วยจัดการความมันส่วนเกินได้อย่างง่ายดาย ก็คือการใช้กระดาษหรือแผ่นฟิล์มซับความมัน นำมาซับบนใบหน้าบริเวณที่เป็นมัน ซึ่งนอกจากกระดาษซับมันแล้ว ทิชชูเปียกสำหรับเช็ดหน้าบางยี่ห้อ ก็มีส่วนผสมที่ช่วยชะลอการทำงานของต่อมไขมันบนใบหน้าด้วย จึงช่วยให้ผลิตน้ำมันน้อยลง


2. มาสก์หน้าสิจะได้ชุ่มชื่น
ใช้มาสก์ที่มีสารประกอบของผลไม้ เพราะจะช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว กระชับรูขุมขนให้เล็กลง และช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปได้ จึงเป็นการเผยผิวใหม่ที่ดูเรียบเนียน แต่ก็ไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป สูตรมาส์กหน้าลดความมันที่ทำได้เองๆ ที่บ้าน คือ สูตรน้ำมะนาว น้ำส้มสายชู น้ำอุ่น ให้ผสม 3 อย่างนี้เข้าด้วยกันอย่างละเล็กน้อย ใช้สำลีแบบแผ่นชุบส่วนผสมมาเช็ดบนใบหน้า แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออก สูตรนี้จะช่วยลดความมันวาว และช่วยลดเหงื่อที่ออกบนใบหน้าได้


3. เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า และเครื่องสำอางให้ดีufabet
เลือกใช้โทนเนอร์ ชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และน้ำหอม เพราะจะทำให้หน้าแห้งมาก จนผิวส่งสัญญาณให้ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้หน้ามันเร็วกว่าปกติ โดยควรใช้โทนเนอร์เป็นประจำ จะช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ธรรมดาล้างหน้า และโฟมล้างหน้าแบบสครับ เนื่องจากเม็ดสครับจะไปกระตุ้นให้ผิวสร้างน้ำมันมากขึ้น ในส่วนของเครื่องสำอางสำหรับคนผิวมันแล้ว พยายามเลือกแบบที่เป็นเนื้อแมท จะได้ไม่ไปส่งเสริมให้ผิวหน้าดูมันมากขึ้นกว่าเดิม


4. เลือกรับประทานอาหาร เลี่ยงอาหารมัน อาหารทอด
สารอาหารสำคัญที่คนผิวมัน ควรได้รับอย่างเพียงพอก็คือ วิตามินเอและวิตามินบี 2 เนื่องจากอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ จะสามารถช่วยลดกระบวนการผลิตความมันของผิวหน้าได้ และถ้าหากขาดวิตามินบี 2 อาจทำให้ผิวหน้ามันขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ให้หลีกเลี่ยงอาหารมันและอาหารทอด เพราะหากกินเกินปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากยิ่งขึ้น และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะฟาสฟู้ด รวมไปถึงอาหารเผ็ดร้อนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ร่างกายขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้


5. สำหรับผิวมันมาก ให้หลีกเลี่ยงจากแสงแดดufabet
สำหรับคนผิวมัน ควรหลีกเลี่ยงและอย่าให้ถูกแดดมากจนเกินไป เพราะแสงแดดจะทำให้ผิวแห้งลง และขาดความสมดุลได้ จึงเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้ผิวหน้ามันหนักขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญอย่าลืมทาครีมกันแดดทุกเช้าด้วยนะ โดยพยายามเลือกใช้สูตรบางเบา หรือครีมกันแดดที่มีส่วนผสมที่ช่วยดูดซับความมัน จะช่วยลดปัญหาผิวหน้ามันได้

เเท็กที่เกี่ยวข้อง

6



“ตื่นเช้ามาก็น้ำมูกไหล เสมหะเต็มคอ จามฟืดฟัดเสียแล้ว” มีใครที่มีอาการแบบนี้แทบจะทุกวันอยู่หรือเปล่า? หลายคนที่มีอาการแบบนี้อาจสันนิษฐานได้ว่าเกิดมาจากโรคภูมิแพ้กำเริบ และเมื่อรู้สึกว่าอากาศในห้องนอนอาจเป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้กำเริบในทุกๆเช้า

 จึงสนใจที่จะติดตั้งเครื่องฟอกอากาศไว้ในห้องนอน แต่อันที่จริงแล้วเครื่องฟอกอากาศให้ผลดีต่อผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากน้อยแค่ไหน

 

เครื่องฟอกอากาศ ช่วยลดอาการภูมิแพ้?

ก่อนอื่นเลยต้องเข้าใจโรคภูมิแพ้กันก่อนว่า ผู้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้อะไร หากเป็นภูมิแพ้เกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ สปอร์เชื้อรา ก็อาจจะพอช่วยได้บ้าง แต่หากไม่ได้เป็นภูมิแพ้ต่อสิ่งเหล่านี้ เช่น ไรฝุ่น แพ้แมลง แพ้อาหาร เครื่องฟอกอากาศก็คงจะไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น

ไรฝุ่นมีอนุภาคขนาดใหญ่ มักตกลงสู่พื้นหลังจากลอยตัวอยู่ในอากาศภายใน 5 นาที ดังนั้นการทำความสะอาดทั่วไปก็ช่วยกำจัดไรฝุ่นได้ ส่วนใหญ่ไรฝุ่นแฝงตัวอยู่ในที่นอน และพื้นที่แคบๆ ตามซอกหลืบมากกว่า

นอกจากนี้ เครื่องฟอกอากาศจะให้ผลดีต่อเมื่อใช้ความละเอียดในการกรองสูงมาก หรือเป็น HEPA filter ที่กรองได้ตั้งแต่ 0.3 ไมครอน (ไรฝุ่น 250 micron) ดังนั้นหากประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศไม่ดีพอ ก็อาจจะไม่ได้ผลต่ออาการภูมิแพ้ของเราได้เช่นกัน

 

จัดห้องนอน สำหรับคนเป็นภูมิแพ้ufabet

1. นอกจากเครื่องฟอกอากาศแล้ว การจัดห้องนอนก็ช่วยให้อาการของโรคภูมิแพ้ดีขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งสำคัญกว่าการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศมาก หากสามารถจัดห้องนอนตามนี้ได้ ก็อาจจะไม่ต้องติดตั้งเครื่องฟอกอากาศก็ได้

   จัดห้องนอนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เก็บของไว้ในห้องนอนมากเกินไป จำเอาไว้ว่าห้องนอนยิ่งเปิดโล่ง ยิ่งดีต่อคนที่เป็นโรคภูมิแพ้

2. ทำความสะอาดเป็นประจำทุกวัน อาจจะกวาดห้องหรือดูดฝุ่นทุกวัน วันเว้นวัน และอย่าลืมถูพื้นด้วย

3. เครื่องนอนนุ่มๆ ควรใช้เป็นใยสังเคราะห์ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องนอน หมอน ผ้าห่มต่างๆ ที่ทำจากนุ่น เพราะนุ่นเก็บฝุ่นได้มากกว่า

4.  ไม่ควรมีตุ๊กตาที่มีขน พรม และหนังสือในห้องนอน เพราะเป็นตัวเก็บฝุ่นที่ดีมาก

5. ไม่นอนร่วมกับสัตว์เลี้ยง เพราะขนของสัตว์เลี้ยงอาจทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ (ในรายที่แพ้ขนสัตว์)

6.  ใช้เตียงที่มีขาลอย ใต้เตียงโล่ง สามารถล้วงเข้าไปทำความสะอาดได้ง่าย

7.  หันหัวเตียงไปทางจุดที่แสงส่องถึง และมีลมพัดผ่านได้ufabet

8. อย่าวางเตียงใกล้ห้องน้ำ เพราะความชื้นจากห้องน้ำจะทำให้ป่วยได้ง่าย

9. ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ปลอกผ้าห่ม ผ้าม่าน ควรซักบ่อยๆ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เพื่อเป็นการกำจัดไรฝุ่นตามเตียง ถ้าเป็นไปได้ควรซักในน้ำร้อน

10. นำที่นอน หมอน ตุ๊กตาออกมาตากแดดบ้างราวสัปดาห์ละครั้ง เพื่อเป็นการกำจัดไรฝุ่น

11. ทำความสะอาดใบพัดลม 1-2 อาทิตย์ต่อครั้ง หรือทุกครั้งที่เห็นฝุ่นเกาะ และล้างแอร์ทุกๆ 6 เดือน
 

การนอนของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ufabet
หากแน่ใจว่าตัวเองเป็นภูมิแพ้ฝุ่น การสัมผัสโดนอากาศจากเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลมโดยตรงอาจทำให้อาการกำเริบได้ วิธีที่พอจะได้ผลดีอยู่บ้าง คือการเปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้ก่อนเข้าห้องนอน 2-3 ชั่วโมง เมื่อจะเข้านอนให้ปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วเปิดพัดลมแทน โดยหันพัดลมไปทางอื่นที่ไม่โดนศีรษะตรงๆ หรือหากใช้เครื่องปรับอากาศที่สามารถตั้งเวลาเปิดปิดได้ ก็สามารถตั้งเวลาปิดในตอนกลางคืนหลังจากนอนหลับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นพัดลมก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม โรคภูมิแพ้จะดีขึ้นได้ หากเราออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เป็นประจำ โดยแนะนำให้ออกกำลังกายทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ทั้งการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่ง จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และต่อสู้กับสิ่งที่ทำให้แพ้เหล่านี้ได้ อาการภูมิแพ้ก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :นพ.วิรัช จิตสุทธิภากร แพทย์หู คอ จมูก แพทย์ประจำบ้านต่อยอดสาขาจมูก ภูมิแพ้ ไซนัส รพ.จุฬาลงกรณ์

ภาพ :iStock

7



อาหารไหว้เจ้าในวันสารทจีน อาจจะเป็นอาหารที่ใครหลายๆ คนรอคอยที่จะได้ทานกันมาหลายเดือน เพราะนอกจากจะเป็นอาหารที่แต่ละบ้านตั้งแต่ใจทำ ตั้งใจเลือกเพื่อสืบทอดประเพณีอันดีงามของคนไทยเชื้อสายจีนกันแล้ว อาหารไหว้เจ้ายังเป็นที่โปรดปรานของทุกคนในครอบครัวกันมาอย่างยาวนานหลายสิบปีอีกด้วย

 แต่หากอาหารมื้อสุดวิเศษนี้จะทำให้คุณป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ ดังนั้น Sanook! Health จึงขอแนะนำวิธีเลือกซื้ออาหารเพื่อไหว้ในวันสารทจีนมาฝากกันufabet

1. เนื้อหมู : ไม่ควรเลือกเนื้อหมูที่มีสีแดงเข้มจนเกินไป เพราะอาจเป็นหมูที่ใส่สารเร่งเนื้อแดง หากทานเข้าไปมากๆ อาจเกิดอาการมือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก หรือหัวใจเต้นเร็วได้ หากร่างกายมีปฏิกิริยากับสารดังกล่าว และไม่มีสิ่งแปลกปลอมอย่างเม็ดสาคู หรือตัวอ่อนพยาธิตัวตืดอยู่ในเนื้อ

2. หมูสามชั้น : ควรเลือกให้มีส่วนของเนื้อหมู 2 ส่วน และส่วนไขมัน 1 ส่วน จึงจะเป็นหมูสามชั้นที่ปลอดภัย และนำมาปรุงอาหารได้รสชาติดี

3. เนื้อไก่ เมื่อซื้อเป็นตัว ควรสังเกตให้ดีว่าไม่มีร่องรอยของแผล จุดด่างดำ รอยช้ำต่างๆ ต้องเป็นไก่ที่หนัง และเนื้ออยู่ในสภาพสมบูรณ์ เนื้อแน่น เต่งตึง สีไม่คล้ำ ไม่มีจ้ำเลือด และไม่มีกลิ่นเหม็นคาวใดๆ

4. ไข่ไก่ ไข่เป็ด เลือกที่เปลือกไข่ดูสะอาด สด ใหม่ ไม่มีขนสัตว์ติดมาด้วย

5. ขนมที่ทำสำเร็จแล้ว เช่น ขนมเทียน ขนมเข่ง เลือกที่ทำสดใหม่ ไม่เก่าเก็บจนเกินไป ไม่มีแมลงวันตอม เนื้อเนียนละเอียดไม่มีกลิ่นเหม็นหืน
 

นอกจากวิธีเลือกซื้ออาหารแล้ว ยังมีคำแนะนำในการเตรียมอาหารไหว้เจ้ามาฝากกันด้วยufabet

1. เลือกผักที่สะอาด และสดใหม่ ก่อนปรุงอาหารล้างผักให้สะอาดโดยการล้างน้ำหลายๆ ครั้ง คลี่ใบออกมาล้างทีละใบ หรือปล่อยน้ำให้ไหลผ่านแต่ละใบนาน 2 นาที

2. ระหว่างปรุงอาหาร แยกภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ดิบ กับผักดิบออกจากกัน รวมถึงการแยกเขียง และมีดที่ใช้กับอาหารดิบ และอาหารสุกออกจากกันด้วย

3. ไม่ใส่เครื่องปรุงในการแต่งรสชาติมากจนเกินไป เช่น ซีอิ๊ว น้ำปลา

4. จำกัดปริมาณในการทานขนมเข่ง ขนมเทียน เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับพลังงานมากจนเกินความต้องการ (ไม่ควรทานเกิน 2 ชิ้นต่อวัน)

ขอขอบคุณufabet

ข้อมูล :กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ภาพ :iStock

8



ปัจจุบันในประเทศไทย กัญชาถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งมีโทษทางอาญากับผู้เสพและผู้ครอบครอง โดยไม่มีการอนุญาตให้นำมาใช้ในทางการแพทย์ แต่ล่าสุดนิด้าโพล ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “กัญชา ประโยชน์หรือโทษ” จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง และเมื่อถามถึงการทราบหรือเคยได้ยิน เกี่ยวกับประโยชน์ของกัญชา ที่สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้

พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ระบุว่า ทราบและเคยได้ยินถึง 68.24% ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีกฎหมายเฉพาะ ให้ใช้กัญชาเป็นยารักษาโรค โดยถูกกฎหมายในอนาคต พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 72.40% เห็นด้วย เพราะกัญชามีประโยชน์หลายอย่าง น่าจะใช้ในการรักษาโรคได้ ถ้านำมาใช้กับทางการแพทย์ ก็คาดว่าน่าจะเกิดประโยชน์อย่างมาก และต่างประเทศก็ทำกัน

ซึ่งวันนี้ Tonkit360 ก็ได้รวบรวมประโยชน์และโทษของกัญชา มาให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจกัน รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีประเทศใดบ้างที่กัญชาถูกกฎหมาย สามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์ได้ และสำหรับประเทศไทยแล้วข้อเสนอแนะของประชาชนที่ทำผลการสำรวจทั้งหมด 1,250 คน จะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง หากในอนาคตประเทศไทยจะทำให้กัญชานั้นถูกกฎหมาย เพื่อการรักษาโรค




ประโยชน์ของกัญชา ในทางการรักษาโรคufabet

-ในทางการแพทย์ กัญชาถูกนำไปผสมกับอาหาร เพื่อช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร

-จากการศึกษาของสำนักปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติอเมริกัน พบว่า กัญชามีสรรพคุณในการฆ่าเซลล์มะเร็ง และทำให้เนื้อร้ายในสมองเหี่ยวลดลงได้

-สาร Cannabinoids ในกัญชา ช่วยปรับสมดุลต่างๆ ในร่างกาย ทำให้ผู้ใช้ลดการแสดงพฤติกรรมรุนแรงในทางด้านอารมณ์ได้ (หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม)

-ในแคนาดามีการใช้สเปรย์ที่มีส่วนผสมของ Cannabinoid เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบของสมองและไขสันหลัง

โทษของกัญชาufabet

-มีฤทธิ์กระตุ้นและกดประสาท ทำให้มีอาการเซื่องซึม หากใช้ในปริมาณมากจะหลอนประสาท ทำให้เห็นภาพลวงตา หูแว่ว หวาดระแวง และควบคุมตัวเองไม่ได้

-ทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสน วิตกกังวล มีปัญหาในการตัดสินใจ

-มีฤทธิ์ทำลายสมรรถภาพทางกาย ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมและอ่อนแอ

-มีฤทธิ์ทำลายความรู้สึกทางเพศ ทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในชายลดลง

-หากใช้กัญชาเป็นระยะเวลานาน จะนำมาซึ่งภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และก่อให้เกิดความผิดปกติของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว

มีประเทศใดบ้าง ที่กัญชาถูกกฎหมายufabet

อุรุกวัย : อุรุกวัยนับว่าเป็นดินเเดนเเห่งกัญชา ที่เสรีที่สุดแห่งลาตินอเมริกา โดยเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี 2017 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุญาตให้มีการขายกัญชาเพื่อสันทนาการตามร้านขายยา ได้อย่างถูกกฎหมายเป็นชาติแรกในโลก หลังผ่านกฎหมายเสพกัญชาอย่างถูกกฎหมายมาตั้งเเต่ปี 2013

แคนาดา : แคนาดาเป็นประเทศที่อนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้ตั้งแต่ปี 2001 และต่อมาแคนาดาก็กลายเป็นประเทศที่สองของโลก รวมถึงเป็นประเทศแรกในกลุ่มจี 7 ที่อนุมัติให้ประชาชนสามารถใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกกฎหมาย

เนเธอร์แลนด์ : เนเธอร์แลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่มีชื่อเสียงด้านกัญชาถูกกฎหมาย ทั้งใช้ในการแพทย์และสันทนาการ ที่มาดึงดูดนักท่องเที่ยว เพื่อช่วยผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศให้เติบโต

ออสเตรเลีย : ออสเตรเลีย กำหนดให้การใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ถูกกฎหมาย มาตั้งแต่ปี 2016 ส่วนการใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงยังเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

สหรัฐอเมริกา : เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2018 ทางการรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศให้กัญชากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โดยเป็นรัฐที่ 7 ของสหรัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ ขณะเดียวกันยังมีอีก 29 รัฐในอเมริกา ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้

ยังอีกหลายประเทศที่เปิดให้กัญชาถูกกฎหมาย ทั้งเพื่อการรักษาโรคและสันทนาการ


ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การทำให้กัญชาถูกกฎหมาย เพื่อการรักษาโรคในไทย

53.12% กำหนดให้มีการใช้กัญชาได้เฉพาะบางสถานที่ที่ได้รับอนุญาต เช่น โรงพยาบาล เท่านั้น

36.48% กำหนดให้มีการปลูกได้เฉพาะพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

29.04% เจ้าหน้าที่ควรบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและลงโทษขั้นรุนแรงกับผู้ที่กระทำผิด

19.92% สร้างความรู้ จิตสำนึกให้กับประชาชนถึงประโยชน์และโทษของกัญชา

8.88% นำกฎหมายของต่างประเทศ ที่กัญชาถูกกฎหมายมาปรับใช้กับกฎหมายไทย

6.88% การเปิดเสรีการค้ากัญชาแบบถูกกฎหมาย เพื่อการรักษาโรค

9



 อย่างที่หลายคนรู้กันดีว่าเมนูข้าวหน้าต่าง ๆ แบบญี่ปุ่น มีเยอะมาก โดยเฉพาะเมนูข้าวหน้าปลาไหล (Unadon) ที่เหมาะกับคนชอบกินปลา แต่ราคาแพงแบบนี้ถ้าทำเองคงคุ้มกว่าเนอะ
 กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำข้าวหน้าปลาไหลย่าง สูตรนี้ใช้ปลาไหลย่างซีอิ๊วมาจี่จนร้อน แล้วราดซอสคาบายากิผสมซีอิ๊วหวาน บอกเลยว่าทำง่ายและได้กินปลาเต็มปากเต็มคำจริง ๆ ufabet

 ส่วนผสม ข้าวหน้าปลาไหลย่างufabet

          ​​◆ ​ ปลาไหลย่างซีอิ๊วสำเร็จรูป 1 ชิ้น
          ​​◆ ​ ซอสคาบายากิสำเร็จรูป (หรือซอสอุนาหงิ)
          ​​◆ ​ ซีอิ๊วหวานญี่ปุ่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
          ​​◆ ​ แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
          ​​◆ ​ น้ำเปล่า 1/2 ถ้วยตวง

 วิธีทำข้าวหน้าปลาไหลย่างufabet

          1. ผสมแป้งมันกับน้ำให้เข้ากัน เติมซีอิ๊วหวานญี่ปุ่นและซอสคาบายากิลงไป นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนไปเรื่อย ๆ ให้เหนียว เตรียมไว้
          2. หั่นปลาไหลย่างเป็นชิ้นตามชอบ นำไปจี่บนกระทะเทฟลอนด้วยไฟอ่อน ราดซอสที่ผสมไว้ รอจนซอสซึมเข้าเนื้อ ตักราดลงบนข้าว

           ใครหิวอย่ารอช้า มาทำเมนูข้าวหน้าปลาไหลย่างกันเถอะ ก่อนออกจากบ้านฝากคนที่บ้านหุงข้าวด้วยนะ เอาล่ะ… แต่งตัวไปช้อปปิ้งวัตถุดิบที่ตลาดกันเลยจ้า​

10



ใครที่เป็นโลหิตจาง นอกจากจะไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย หน้ามืด วิงเวียนศีรษะง่ายแล้ว ยังบริจาคเลือดไม่ได้ด้วยนะ เพราะฉะนั้นเรามาบำรุงร่างกายของเราให้แข็งแรง ด้วยอาหารดีๆ ที่จะช่วยบำรุงเลือดของเราให้เข้มข้นขึ้น ป้องกันภาวะโลหิตจางกันดีกว่า

 
5 อาหารบำรุงเลือด ป้องกันเลือดจาง

1.เลือดสัตว์ ตับสัตว์ เนื้อสัตว์ต่างๆufabet
อาหารเหล่านี้จะมีธาตุเหล็กอยู่มาก ซึ่งเจ้าธาตุเหล็กนี่แหละที่จะช่วยบำรุงโลหิต และธาตุเหล็กที่มาจากสัตว์ ลำไส้จะดูดซึมไปใช้ได้มากกว่าธาตุเหล็กที่มาจากพืชอีกด้วย ดังนั้นทานเข้าไปเสียบ้างนะ (จากประสบการณ์ตรง เราเป็นคนที่ “เกือบ” จะอยู่ในภาวะโลหิตจางจนบริจาคเลือดไม่ได้ ระดับความเข้มข้นของเลือดคือคาบเส้นพอดี พี่หมอแนะนำให้ทานต้มเลือดหมูให้บ่อยขึ้นค่ะ)

 
2.ผักใบเขียวเข้ม
อีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ทานมังสวิรัติ แม้ว่าธาตุเหล็กที่ได้จากพืชจะไม่มากเท่าจากสัตว์ แต่ก็ควรทานก่อนที่จะอยู่ในภาวะขาดธาตุเหล็ก ผักที่แนะนำได้แก่ คะน้า บล็อกโคลี่ ผักบุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม

เคล็ดลับ เมื่อร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชไปใช้ได้น้อย เราจึงควรทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงควบคู่ไปด้วย เพื่ออาศัยกรดเกลือในกระเพาะอาหาร และวิตามินซีช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ อาหารที่มีวิตามินซี สูง ส้ม มะละกอ ฝรั่ง มะนาว เป็นต้น

 
3.ไข่ufabet
เป็นอีกหนึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ส่วนใหญ่คือโปรตีน แต่ก็ยังมีปริมาณของธาตุเหล็กที่จะช่วยบำรุงโลหิตของเราให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะไข่แดงจะมีธาตุเหล็กสูงกว่าไข่ขาว


4.ธัญพืชต่างๆ
ถั่วชนิดต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ อัลมอนด์ รวมไปถึงข้าวโอ๊ต และจมูกข้าวสาลี ก็เป็นแหล่งอาหารที่นอกจากจะมีโปรตีนที่ดีต่อการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และบำรุงโลหิตอีกด้วย

 
5.อาหารทะเลufabet
อาหารทะเลอย่างปลา กุ้ง ปลาหมึก ปู อุดมไปด้วยโปรตีน และแร่ธาตุต่างๆ มากมาย รวมไปถึงธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงโลหิตอีกด้วย แต่อย่าทานมากเกินไป เพราะอาหารทะเลที่อร่อยสุดๆ มักมาพร้อมกับปริมาณแคลอรี่ และคอเลสเตอรอลที่มากตามไปด้วย

 
นอกจากอาหารแล้ว ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโลหิตจาง ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอด้วย จะได้ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู สร้างเม็ดเลือดแดงดีๆ ไว้บำรุงร่างกายให้แข็งแรงไปด้วยกัน คราวนี้ก็จะไม่เหนื่อย หน้ามืด หรือเป็นลมเป็นแล้งง่ายอีกแล้วล่ะค่ะ

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :หมอชาวบ้าน,Honest Docs

ภาพ :iStock

11



กรมการแพทย์แนะผู้สูงอายุใส่ใจดูแลสุขภาพตนเอง เตรียมความพร้อมรับมือกับอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เสี่ยงต่ออันตรายหรืออุบัติเหตุ

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุตั้งแต่ที่รุนแรงน้อยจนถึงรุนแรงมาก

 หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่งจะส่งผลต่อการทรงตัวและการเคลื่อนไหวของร่างกายทันที ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะที่รุนแรงจนรู้สึกว่าบ้านหมุนufabet

นายแพทย์ประพันธ์ พงศ์คณิตานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สูงอายุจะรู้สึกวิงเวียนเหมือนสิ่งของรอบตัวหมุนได้

 เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และสูญเสียการทรงตัว อาจทำให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุ

 

เมื่อเวียนศีรษะจนบ้านหมุนควรหลีกเลี่ยงท่าทาง ที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะufabet

1. การหมุนหันศีรษะเร็วๆ การเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว

2. ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มสุราหรือสูบบุหรี่

3. ไม่ควรอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การขับขี่ยานพาหนะ หรืออยู่ในที่สูง

 
ฝึกบริหารเพื่อช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะแบบง่ายๆ และทำได้ด้วยตนเอง

1. เริ่มต้นในท่านั่งตัวตรงufabet

2. ล้มตัวลงนอนในท่าตะแคงข้างใดข้างหนึ่งโดยให้ใบหน้าหรือปลายจมูกชี้ขึ้นทำมุมประมาณ 45 องศา 3. ค้างอยู่ในท่านอนอย่างน้อย 30 วินาที จนอาการเวียนศีรษะหายไป จากนั้นจึงกลับสู่ท่านั่งตัวตรงตามเดิม
 

ผู้สูงอายุควรดูแลตนเองให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ จะช่วยทำให้ผู้สูงอายุห่างไกลจากอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนได้

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :กรมการแพทย์

ภาพ :iStock

12

กรมอนามัย แนะเลี่ยงกินอาหารที่ "ไขมันทรานส์" และ "ไขมันอิ่มตัว" ชี้มักมาคู่กันในอาหารทอด ฟาสต์ฟู้ด ขนมอบ เบเกอรี แนะกินแต่พอควร กินไขมันอย่างพอเหมาะ ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้มากufabet

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการออกประกาสยกเลิกการใช้ไขมันทรานส์ ว่า มีหลักฐานชัดเจนว่า กรดไขมันทรานส์ (Trans Fatty Acids) จากน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ส่งผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกที่รณรงค์ให้ลดและเลิกการใช้ไขมันทรานส์ ภายในปี 2023 หรือ พ.ศ. 2566 เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของโรคหัวใจและหลอดเลือด

เพราะเชื่อว่าจะลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ 500,000 รายต่อปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ประชาคมโลกที่ได้ให้ความสำคัญกับการลดความตายก่อนวัยอันควรจาก 1 ใน 3 ของโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรังภายในปี 2573 ซึ่งการกำจัดไขมันทรานส์ที่ผลิตในอุตสาหกรรมเป็นส่วนหนึ่งจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ เพราะไขมันทรานส์ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอัมพฤกษ์ อัมพาต เนื่องจากร่างกายกำจัดไขมันทรานส์ได้ยาก ทำให้มีการอักเสบของผนังหลอดเลือด

 ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นอกจากนี้ยังส่งผลให้เสี่ยงต่อจอประสาทตาเสื่อม โรคนิ่วในถุงน้ำดี และยังเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์อีกด้วยufabet

พญ.นภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก แนะนำว่า ควรรับประทานกรดไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 10% หรือน้อยกว่า 22 กรัมต่อวัน ยิ่งถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอยู่แล้ว ควรรับประทานไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าร้อยละ 7 หรือน้อยกว่า 15.5 กรัมต่อวัน นอกจากขนมอบ เบเกอรี ฟาสต์ฟูดส์ อาหารทอดน้ำมันท่วม ที่กล่าวมาแล้วจะมีไขมันอิ่มตัวสูงufabet

 อาหารอื่นที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ได้แก่ ไขมันที่มาจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ หนังไก่ สะโพกไก่ มันหมู เนื้อติดมัน เนย ชีส และไขมันที่มาจากพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ครีมเทียม ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว จึงควรเลือกรับประทาน เลี่ยงไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว โดยการลดอาหารทอด เลี่ยงฟาสฟูด อาหารทอดน้ำมันท่วม คุมการกินขนมอบและเบเกอรี ใช้น้ำมันที่ปรุงอาหารให้หลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน อ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งก่อนซื้อผลิตภัณฑ์อาหาร และเพิ่มการกินผักและผลไม้หลากหลายชนิดเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ภาพ :iStock

13


เคยดื่มแอลกอฮอล์สังสรรค์กับเพื่อนๆ แล้วเห็นเพื่อนหน้าแดงแปร๊ดกันบ้างไหมคะ หรือบางทีอาจจะเป็นเราเองก้ได้ที่หน้าแดงกว่าชาวบ้านเขา ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอาจจะยังไม่เมาก็ได้ แต่เลือดลมทำไมสูบฉีดดีเหลือเกิน บ้างก็อ้างว่าเพราะเป็นคนผิวขาว
เลยเห็นสีหน้าแดงๆ ชัดกว่าคนอื่น แต่แท้ที่จริงแล้วอาการหน้าแดงเวลาดื่มเหล้าแบบนี้ อาจเป็นอาการที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้หรือไม่? ไปหาคำตอบกันค่ะufabet


ทำไมดื่มแอลกอฮอล์แล้วหน้าแดง?ufabet

ปรกติเมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์ ตับจะทำหน้าที่กำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย โดยอาศัยเอนไซม์ที่เปลี่ยนแอลกอฮอล์เป็น Acetaldehyde (หากมีสารนี้ในร่างกายเยอะๆจะทำให้เกิดอาการเมาค้าง) จากนั้นร่างกายก็จะเอาสารตัวนี้ไปทำปฎิกริยาแล้วขับออกจากร่างกายอีกที

สำหรับคนเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก จะมีปัญหาที่ยีนส์ ALDH2 ที่ทำให้การกำจัด Acetaldehyde ทำงานได้น้อยลง ผลคือใครที่มียีนส์ตัวนี้มาก ก็จะดื่มเหล้าแปบเดียว ก็ตัวแดงก่ำเป็นลูกตำลึงเรียบร้อย

 

ดื่มแอลกอฮอล์แล้วตัวแดงง่าย เสี่ยงเป็นมะเร็งจริงหรือ?ufabet

การที่ Acetaldehyde สะสมในร่างกายบ่อยๆเพราะกระบวนการกำจัดมันไม่ดี จะทำให้คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งสูงกว่าคนอื่นเยอะมาก มีตัวเลขระบุว่า จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร สูงกว่าคนทั่วไป 6-10 เท่า และถ้าคนกลุ่มนี้ดื่มเหล้าประจำสม่ำเสมอ
 จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารสูงกว่าคนทั่วไป ราว 90 เท่าดังนั้นใครที่มีอาการหน้าแดงก่ำเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ ขอให้ลองไปตรวจร่างกายดูบ้าง หรือดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง จะดีต่อสุขภาพมากกว่านะคะ

14



วันก่อนเห็นโพสจากคนทั่วไปในเฟซบุ๊คแฟนเพจหนึ่ง เขียนถึงประโยชน์ของ รางจืด ว่าใช้ป้อนสุนัขที่โดนวางยาเบื่อ แล้วรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด ทำให้เราเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า รางจืดที่ว่า มีประโยชน์มากมายขนาดไหน ใช้ถอนพิษได้เชียวหรือ ถ้าใครสงสัยเหมือนกัน ลองมาอ่านประโยชน์ของรางจืดกันดูนะคะ

 

10 ประโยชน์ดีๆ ของ รางจืดufabet

1. แก้ร้อนใน กระหายน้ำ

2.  ถอนพิษไข้ ลดไข้

3.  พอกบาดแผล ให้บาดแผลหายไวขึ้น โดยเฉพาะแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

4.  ลดพิษจากการบริโภคสารพิษเข้าไปได้ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ยาเบื่อ

5. ลดพิษจากสัตว์มีพิษ เช่น แมงดาทะเล ปลาปักเป้า

6.  บรรเทาอาการผื่นแพ้ต่างๆufabet

 7. ช่วยลด และเลิกการใช้สารเสพติดได้ เพราะมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายสารเสพติดบางชนิด ใช้ควบคู่ไปกับการรักษากับผู้ป่วยที่ต้องการเลิกยาเสพติดได้

8.  แก้อาการเมาค้าง แก้พิษจากแอลกอฮอล์จากการดื่มมากเกินไป

9.  ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมเบาหวาน และความดันโลหิตได้ดี

10. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านมะเร็งufabet




ข้อควรระวังในการทานรางจืด
ถึงแม้สรรพคุณจะดีขนาดนี้ แต่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา หรือ อย. ประกาศว่า ไม่อนุญาตให้ใช้รางจืดเป็นอาหารหรือส่วนประกอบในอาหาร รวมทั้งเครื่องดื่ม เพราะ อย. ระบุว่ามีงานวิจัยบางชิ้นพบว่า หากกินเป็นเวลานานอาจทำให้ระบบเลือด ตับ ไตทำงานผิดปกติได้

หากอยากทานรางจืดให้ได้ประโยชน์ตามที่ต้องการ ไร้อาการข้างเคียง ไม่ควรกินในปริมาณความเข้มข้นที่สูงเกินไป และไม่ควรทานติดต่อกันนานจนเกินไป หรือควรทานสลับหมุนเวียนไปกับอาหาร หรือชาสมุนไพรประเภทอื่น เพื่อให้ได้สารอาหารที่มีประโยชน์อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้นค่ะ

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :Medthai,สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

ภาพ :iStock

15




มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านมในประชากรหญิงไทย โดยในแต่ละปีพบผู้ป่วยประมาณ 10,000 คน และเสียชีวิตถึง 5,000 รายต่อปี


สาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกufabet

สาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกมาจากการติดเชื้อไวรัส Human Papilomavirus หรือเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) สายพันธุ์ 16 และ 18 ทำให้เซลล์บริเวณปากมดลูกเจริญผิดปกติ และเปลี่ยนเป็นมะเร็งปากมดลูกในที่สุด ดังนั้นจึงมีการคิดค้นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก(HPV)  จากสองสายพันธุ์ 16 และ 18 ขึ้นมา

 
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกufabet

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) มี 2 ชนิด ได้แก่ Quadrivalent vaccine (ชนิดไวรัส 4 สายพันธุ์ คือ 6, 11, 16 และ 18) และ Bivalent vaccine (ชนิดไวรัส 2 สายพันธุ์ คือ 16 และ 18) โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9-26 ปี ควรได้รับให้ครบก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และก่อนการติดเชื้อ สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อแล้ววัคซีนไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้

ทั้งนี้ การป้องกันการติดเชื้อจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ส่วนระยะเวลาในการป้องกันโรคของวัคซีนยังคงต้องติดตามผลต่อไป เนื่องจากวัคซีนยังไม่มีข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีนยาวเกินกว่า 10 ปี

 

อาการข้างเคียงจากวัคซีนมะเร็งปากมดลูกufabet

โดยทั่วไปการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก(HPV) มีความปลอดภัยสูง จึงไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรง แต่จะพบอาการปวด บวม แดง คัน บริเวณที่ฉีดวัคซีน ในบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย ผื่นคันตามตัว และอาจมีไข้

ดังนั้น หลังจากฉีดวัคซีน ควรนอนพักเพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 30 นาที และไม่ควรขับรถหรือเดินทางกลับบ้านคนเดียว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะได้รับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้ว แต่การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถป้องการการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์



ขอขอบคุณ

ข้อมูล :สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

หน้า: [1] 2