แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - gogrov5568225

หน้า: [1] 2
1

ขายเห็ดหลินจือ รูปแบบของกัดลิ้นต้นกัดลิ้น หรือ ต้นลำไยป่า จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงราวๆ 5-12 เมตร รูปแบบของต้rftliuluiนเป็นทรงเรือนยอดแผ่กว้าtliuilงถึงค่อนข้างกลม1 ขยายพันธุ์ด้วยวิธีก;i;yt;iารเพาะเม็ด ในป;;ii;ระเทศไทยสา;i;iมารถเจอyului;ilioได้ทางภาคเหนือ จำหน่ายเหภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วi;oi;ก็ภi;i;i;าคตะวันออกเฉีy;ยงใต้ ส่วนต่างชาตินั้นio;op'o'จะมัio'oกพบในประเทศเมีo;pot;iยนมาร์รวมทั้งเขมรใบulio;lกัดลิ้น i;มีใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยปริมาณ 3 ใบ y;y;l;โดยใบย่อยใบกึ่งกลางuจะมีขนาดใหญ่สุด ใบย่อยคู่ข้างจะอยู่ตรo'ข้ามกัน ส่วนi;ที่เชื่อมกับ;iก้านใบย่อยจะป่องเป็นi;ข้อ ลักษณi;iะใบย่อยเป็นรูปรีyloแกมรูปขอบขนานถึtylioi;งรูปขอบขนานแกi;liมรูปใบหอก ปo'op'ลายใบเรีi;ยวแหมi' ส่วนโคนใบสอบ ผิวใบด้าiulioนบนสีเขียว ส่วนท้องใบสีอ่io;io;อนกว่าดอกกัดลิ้o'น ออกดอกเป็นช่อแบo'บแยกกิ้งก้านตามปลายกิ่io;ง มีขนสั้นสีน้ำตาลอ่อนๆดอกกัดลิ้นมีขนาดเล็ก มีกลบเลี้ยง 5 กลีบมีข.;o'op'นาดเล็กมากมาย ลักษณะเป็นรูปสามเหi;ลี่ยมรวมi;ทั้งมีขนสั้น ส่i;i;;วi;นกลีบดอกไม้มี l5u กลีบ ukuเป็นสีขาio;วนวล kyukลักษณะขายเห็ดหลินจือกลีบดอio;กเป็นรูปขอบขนานปลายมน มีความยาวi;i;โดi;ยประมาณ i;6 เท่าของ;iกลีบเลี้ยง ด้านนiอกมีขนสั้น i;มีเกสi;รตัวผู้ 10 อันi;ผiliol;ลกัดtkลิ้ulน ผลมีลักulษeณะกลม เมื่อสุกilผลจะเป็นสีเหลือง yyมีขนสั้/po/'นสี;io;น้ำตานๆภายในผลมีi;เม็ด i;1 เมล็ด โดยเมi;ล็ดมีลักษi;ณะกลม มีเยื่i;อนุ่มๆioioหุ้มi;ห่อเม็i;oดอยู่ต้นกัดi;ลิ้นลักi;ษณulะต้นกัดลิ้jh,jk.นสรรพคุulณขอกัi;ดiio/op;;ลิ้lulนผuilลสุกulใช้รับานเป็นยารักษาแผลในกระเพาะอาหi;ารi;รวมทั้งไส้ได้ (ผlulลสุกuli)ช่วยขัuบulมในลำไส้ul (รykuากulul)ชาวอีi;สานใช้กัดลิ้นเป็นส่วนปulร;i;ะกอบใuนยารักษาโรคริดสีulดวงทวาร (ไม่กำulหนดส่t7uliวนที่ใช้)กัดลิ้นช่วยห้ามเลือด ใช้ชำytyระล้างบาดแผล (เปลือก)ช่rjวยสมานyบาดแผล|รอยแi;ผล} (เปลือก)ช่วยรักษาแผลเปื่ulอยi;ยุ่ย (เนื้อผลสุulululก)ช่วยแullก้หิo;ดสุกหิi;i;ดเปื่อยยุ่ย ด้วยการนำuมาต้มอีกทั้งเปลือกทั้งยังแก่นผสมกับยาอื่น (แก่น, เปลือก)ช่วยบำรุงเอ็นi; แก้เอ็นพิการi; (ราก, ulต้น)ช่วยแก้ลักษณi;ะของการปวดi;ปวดเมื่ulอยตามร่างกาย (ราก)ประโยชน์กัดลิ้นผลสุกมีรสหวานใช้กินคือผลไม้เห็นulผลสุกประยุกต์ใช้ทำส้มตำร่วมกับผลตะโกแก่นไม้หรือuli;ลำi;ต้นขายเห็ดหลินจือใช้สำหรับในการก่อสร้าyulงเนื้อไม้สามารถlยุกuต์ใช้ทำเป็นฟืนที่ให้ความร้อนสูงได้lui;l

Tags : ขายเห็ดหลินจือ,จำหน่ายเห็ดหลินจือ,ขายเห็ดหลินจือ

2

ขายกระชายดำ ข้าวโพดมีสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องโรคมะเร็งได้ใช่หรือเปล่า rfjykuuilทานข้าวโพดช่วยลดความอ้วนได้ไหม แล้วสรุปข้าวโพดเป็นผักหรือผลไม้กันแน่ ทุกหัวข้อน่าสงyu,i.u.ioสัย วันนี้จำหน่ายกระชายดำพวกเรามีคำตอบมาให้แล้ว  เชื่อว่าulอาจจะไม่มีulใdsfjyukuilkulluครไม่รู้จักข้าวโพด ด้วยเหตุว่าอย่างน้อgkili;ยๆก็ต้องเคยulานป๊อปคtloi;i;อร์นตามโรงหนัง หรื;oi;oi;อข้าวโพดอบเนยตามตลาดylio;op[rhtนัดกันบ้าง แม้กระนั้นจะมีสักกี่tjytjykผู้ที่รู้ว่าข้าวโพดมีคุณประโrhtyjtjยชน์ ช่วยลดความuluilเสี่ยงและปกป้องโรคได้มากมาย ถึงขั้นที่มีนักวิจัยนำข้าวโพดไปศึกษjykio;op;o;'าค้นคว้ากันหลายต่อหลายรอบ ซึ่งในวันนี้เราก็ไulด้เก็บหลากหลายขายกระชายดำคุณประโy;tkuulkยชน์เด็ดๆของข้าวโพด ที่จะทำให้ทุกคนจำเป็นต้องตกหลุมรักมาฝากกัน ulมื่อก่ulอนอื่น ไปทำความรู้จักข้าวโพดกัo'o';o'ooนให้มากขึ้นกว่านี้อีกนิด เulนื่องจากว่าเดี๋ยวนี้คนไม่ใช่น้อยuยังงงมากจำหน่ายกระชายดำอยู่เลยว่า ข้าวโพดเป็นผักหรือผลไม้กันแน่ !  ข้าวโพดเป็นผักหรือuilลไuilม้กันแน่iu ?   ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนทำควาi;มเข้าiliol;io;ใจผักและผลfkyuไม้อย่างง่ายๆio;ก่อนว่า ผัก เป็น พืชที่เรานำราก ใบ แล้วก็ดอก ไปประกอบเป็นของกิน ส่วนผลไม้ คือพืชที่เรานำผลมาบริโภค ซึ่งส่วนมากจะหวานกว่าผัก แล้วก็สามารถกินได้เลยโดยไม่จำเป็นจะต้องปรุงให้สุก  อย่างไรก็ตาม เราอยากจะกล่าวว่าข้าวโพด ไม่ใช่ทั้io;งยังผักรวมทั้งผลไม้ เพราะเหตุว่าข้าวโพดจัดเป็นพืชไร่ตระกูลต้i;นหญ้าที่เรานำเมล็ดมาทำเป็นอาหาio;ร เหมือนกันกับพืชอย่างข้าวรวมทั้งถั่ว ซึ่งพืfrjykyutlilukluilเหล่านี้ ถือเป็นเili;มล็ดพืช ด้วยเหตุผลดังกล่าวปริศนาขายกระชายดำ[/u]ที่ว่า ข้าวโพดเป็นผักหรือผlulio;orjyukลไม้กันแน่ ? ก็ตอบได้เลยค่ะว่า ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เพราะเหตุว่าข้าวโพดเป็นyloi;i;ธัญพืชนั่นเอง !

Tags : จำหน่ายกระชายดำ

3

ขายกวาวเครือขาว[/i]ค่าทางโภชนาการของกล้วย
ลดระดับคอเลสเตอรอล การควบคุมระดับคอเลสjyuio.ตอรอลไม่ให้สูงเกินไปยอดเยี่ยมo.i9utyในสาเหตุที่จะช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆตามมา ดังเช่น เบาหวานแล้วก็โรคเส้นเu.,u.ลือดหัวใจ เหตุที่เชื่อกันว่ากล้วยอาจมีคุ7kณลั6kกษณะนี้ เนื่องkด้วยกล้วยเป็นแหล่งเส้นใยอาหารที่ดีต่อร่างกาย8l โดยกล้วยขนา4524ดกลางนั้นให้ใยอาหารประมาณ 3 กรัu.i.io.i ม ซึ่งเทียบเท่ากับ 10 เปอร์เซ็นต์ของเส้นใยอาหารที่ร่างกายคนเราอยากได้ใน00-'แต่ละวัน|ทุกวัน|วันแล้ววันเล่า|ทุกๆวัน} เมื่อรับประทานก็เล67kjยรู้สึกอิ่ม5j67 กลับให้ปริมาณแคลอรีเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ แล้วก็ช่ว0-'ยควบคุมระดับคอ4242เลสเตอรอลไม่ให้สูงเกินไปได้สำหรับเop'p0'0พื่อการเล่าเรียนเกี่ยวกับคุณภาพ{ในการ|สำหรับการ|สำ0-'สำหรับเพื่อก[ารลดระดับคอเลสเตอรอลของกล้วย มีการให้อาสาสมัครที่มีภาวะคอเลสเตอรอลสูio.i./io.ii';pงจำนวน 30 คน แล้วก็คนป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ปริมาณ 15 คน รับประทานกล้วยเป็นข้าวเช้าในจำนวน 250 หรือ 500 กรัม ทุกวัน นาน 12 สัปดาห์ ผลปรากฏว่าระดับน้ำตาลและก็คอเ89lลสเตอรอลในเลือดของกลุ่มที่มีคอเลสเตอรอลสูงลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังภายหลังจากรับประทานกล้วยไปแล้วตรงเวลา 2 ชั่วโมง ส่วนในคนเป็นเบาหวานนั้นไม่เจอความเคลื่อนไหวของระดับน้ำตา0'ลหรืu;อไขมันในเลือดมากเท่าไรนัก แต่พบว่าระดับของฮอร์โมนอดิโพเนคตินที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมน้ำตาลและไขมัน ซึ่งชอบลดลงต่ำในคนเป็นเบาหวาyukmyukuiนนั้นกลับมากขึ้น ส่วนด้านควki78lามปลอดภัย การบริโภคกล้วยเป็นประจำวันละ 2gmnyum50 กรัม ปลอดภัยต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้วก็คนไข้ส67ภาวะคอเลสเตอรอลสูงอะไร จากบทสรุปuiui,u,ดังกล่าวข้างต้น มั่นใจว่าถ้าเกิดมี{งานวิจัย|การวิจัย|การค้นคว้า|การค้นคว้าวิจัย|งานค้นคว้าวิจัย|งานศึกษาวิจัย|งานศึกษาค้นคว้าและการวิจัย|

Tags : ขายกวาวเครือขาว

4

สมุนไพรพญายอ
เสมหะพังพอนตัวเมีย
เสมหะพังพอนตัวเมีย ชื่อสามัญ Snake Plant
เสลดพังพอนตัวเมีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees, Clinacanthus siamensis Bremek., Justicia nutans Burm. f.) จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาแพทย์ (ACANTHACEAE)
สมุนไพรเสลดพังพอนตัวเมีย พญายอ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (จังหวัดเชียงใหม่), พญาบ้องคำ (ลำปาง), เสลดพังพอนตัวเมีย (พิษณุโลก), พญาบ้องดำ พญาข้อทองคำ (ภาคกึ่งกลาง), ลิ้นงูเห่า พญายอ (ทั่วไป), โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ชิงเจี้ยน หนิ่วซิ้วฮวา (ภาษาจีนกลาง) ฯลฯ
ลักษณะของเสลดพังพอนตัวเมีย
ต้นเสมหะพังพอนตัวเมีย จัดเป็นพรรณไม้พุ่มปนเถา มักเลื้อยพิงไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้ประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะสะอาด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบเป็นข้อสีเขียว แพร่พันธุ์ด้วยวิธีการปักชำหรือแยกเหง้าแขนงไปปลูก เจริญเติบโตเจริญในดินทุกประเภท ถูกใจดินร่วน ระบายน้ำดี มีแสงแดดจัด มีเขตการกระจายชนิดในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมทั้งไทย ในประเทศไทยพบมากขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศ หรือเจอปลูกกันตามบ้านทั่วไป
ต้นเสมหะพังพอนตัวเมีย
ต้นพญายอ
ใบเสมหะพังพอนตัวเมีย ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบแล้วก็โคนใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 2-3 เซนติเมตร และก็ยาวประมาณ 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
ใบเสลดพังพอนตัวเมีย
ดอกพญายอเสมหะพังพอนตัวเมีย ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกประมาณ 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกไม้เชื่อมชิดกันเป็นหลอด ยาวโดยประมาณ 3-4 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 2 ปากหมายถึงปากด้านล่างรวมทั้งปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบดอกไม้นั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนคือต่อมเหนียวๆอยู่โดยรอบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียหมดจดไม่มีขน มีดอกในตอนราวเดือนตุลาคมถึงมกราคม (แม้กระนั้นชอบไม่ค่อยออกดอก)
ดอกเสลดพังพอนตัวเมีย
พญาข้อทองคำ
ลิ้นงูเห่า
ผลเสมหะพังพอนตัวเมีย ผลได้ผลสำเร็จแห้งแล้วก็แตกได้ (แม้กระนั้นผลไม่เคยติดเป็นฝักในประเทศไทย) ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราว 0.5 เซนติเมตร ก้านสั้น ด้านในผลมีเมล็ดประมาณ 4 เมล็ด
หมายเหตุ : เสมหะพังพอน เป็นชื่อพ้องของพรรณไม้ 2 ชนิดหมายถึงเสมหะพังพอนตัวผู้ แล้วก็เสลดพังพอนตัวเมีย ซึ่งจะแตกต่างกันตรงที่เสมหะพังพอนเพศผู้ลำต้นจะมีหนามและก็มีดอกเป็นสีเหลือง ส่วนเสมหะพังพอนตัวเมียลำต้นจะไม่มีหนามและก็มีดอกเป็นสีแดงส้ม เพื่อไม่ให้เป็นการงงหลายๆตำราเรียนจึงนิยมเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า “พญายอ” หรือ “พญาข้อทองคำ” โดยเสมหะพังพอนเพศผู้นั้นจะมีสรรพคุณทางยาอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย และหนังสือเรียนยาไทยนิยมประยุกต์ใช้ทำยากันมาก
สรรพคุณของเสมหะพังพอนตัวเมีย
รากและเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำเป็นยาบำรุงกำลัง (รากและเปลือกต้น)
ทั้งต้นและใบใช้รับประทานเป็นยาทำลายพิษไข้ ดับพิษร้อน (ทั้งยังต้นรวมทั้งใบ)1,3 ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการใช้ใบสด 1 กำมือ ตำอย่างละเอียด ผสมกับน้ำแช่ข้าว ใช้พอกบนศีรษะผู้ป่วยโดยประมาณ 30 นาที ลักษณะของการมีไข้รวมทั้งอาการปวดศีรษะจะหายไป (ใบ)6
ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (กินอาหารแสลงไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบ) ด้วยการใช้รากสดเอามาต้มรับประทานทีละประมาณ 2 ช้อนแกง (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาเคี้ยวราวๆ 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง (ใบ)6
ช่วยแก้คางทูม ด้วยการใช้ใบสดราวๆ 10-15 ใบ ตำให้รอบคอบผสมกับสุราโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป และก็ลักษณะของการเจ็บปวดจะหายไปด้านใน 30 นาที (ใบ)
ใช้เป็นยารักษาโรคบิด (ต้นและใบ)
รากใช้ปรุงเป็นยาขับเยี่ยว ขับเมนส์ (ราก)
ใช้เป็นยาแก้ประจำเดือนมาไม่ดีเหมือนปกติ (ทั้งต้น)
ช่วยแก้อักเสบแบบโรคดีซ่าน (ทั้งยังต้น)
ใช้เป็นยาแก้แผลอักเสบมีไข้ ไข่ดันบวม ด้วยการกางใบสดราวๆ 3-4 ใบ เอามาตำอาหารสาร 3-4 เม็ด ผสมกับน้ำพอแฉะ ใช้พอกราวๆ 2-3 รอบ จะช่วยทำให้อาการดีขึ้น (ใบ)
ลำต้นเอามาฝนแล้วใช้ทาแผลสดจะช่วยทำให้แผลหายเร็ว (ลำต้น)ใช้รักษาแผลจากหมากัดมีเลือดไหล ด้วยการกางใบสดประมาณ 5 ใบ เอามาตำพอกรอบๆแผลสัก 10 นาที (ใบ)
ใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก ด้วยการกางใบสดเอามาตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผล แผลจะแห้ง หรือจะใช้ใบสดนำมาตำอย่างรอบคอบผสมกับสุรา ใช้เป็นยาพอกรอบๆที่ถูกไฟลุกหรือน้ำร้อนลวก จะมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนเจริญ4 ส่วนอีกหนังสือเรียนกล่าวว่า นอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยยุ่ยเหตุเพราะถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด และแผลที่เกิดขึ้นจากการถูกกรดได้อีกด้วย เพียงแต่นำใบไปหุงกับน้ำมันแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ใบโดยประมาณ 3-4 ใบ อาหารสาร 5-6 เม็ด เพิ่มเติมน้ำลงไปให้พอเพียงเปียก แล้วนำมาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองเจริญ ทำให้แผลแห้งไว โดยให้เปลี่ยนแปลงยาวันละ 2 ครั้ง พอกไปสักพักหนึ่งแล้วให้เอาน้ำมาหยอดกันยาแห้งด้วย (ใบ)
ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ด้วยการกางใบสดตำผสมกับสุราใช้ทา หรือใช้เหล้าสกัดใบเสมหะพังพอน จะได้น้ำยาสีเขียวเอามาทาแก้ผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำใบมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและเม็ดผดผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้ฝี ด้วยการกางใบนำมาโขลกผสมกับเกลือแล้วก็สุรา ใช้พอกรอบๆที่เป็น แปลงยาทุกเช้าตรู่รวมทั้งเย็น (ใบ)
ทั้งต้นและก็ใบใช้เป็นยาขับพิษ ทำลายพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ดังเช่นว่า งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ รวมทั้งผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 5-10 ใบ นำมาขยี้หรือตำใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบสดนำมาตำให้พอแหลก แช่ในเหล้าขาวประมาณ 1 อาทิตย์ แล้วจากนั้นจึงค่อยนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลส่วนอีกตำรับยาแก้ลมพิษ ตามข้อมูลกล่าวว่า ให้ใช้ใบตำผสมกับดินสอพอง ใส่น้ำเล็กน้อย ใช้ทาบริเวณที่เป็น (ใบ)

ชาวเมืองจะนำใบมาตากแห้งแล้วตำผสมกับแมงป่องปิ้ง ใช้เป็นยาแก้พิษงู (ใบ)
พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังชนิดเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ขยุ้มตีนหมา และก็ใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆด้วยการกางใบเสลดพังพอนตัวเมียสดประมาณ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มเป็นมัน ไม่อ่อนหรือแก่จนถึงเหลือเกิน) แล้วนำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและเอากากพอกบริเวณแผล หรืออีกวิธีให้เตรียมเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้ทารักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก โดยใช้ใบสด 1 กก. เอามาปั่นอย่างรอบคอบ เติมแอลกอฮอล์ 70% ลงไป 1 ลิตร แล้วหมักทิ้งเอาไว้ 7 วัน ระเหยบนเครื่องอังไอน้ำให้ความจุน้อยลงครึ่งเดียว (ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด) แล้วก็เติมกลีเซอรีน (Glycerine pure) อีกเท่าตัว (ครึ่งลิตร) แล้วนำน้ำยาเสมหะพังพอนกลีเซอรีนที่ได้มาใช้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก แล้วก็ใช้ทำลายพิษต่างๆสำหรับหนังสือเรียนยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบสดผสมกับลำโพง โกฐน้ำเต้า อย่างละเท่ากัน รวมกันตำให้พอเพียงแหลก แช่กับสุรา แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด (ใบ)
พญายอ ใช้แก้ถูกหนามพุงดอตำหรือถูกใบตะลังตังช้าง ด้วยการนำขี้ผึ้งแท้มาลนไฟให้ร้อน แล้วเอามากดเพื่อดูดเอาขนย้ายใบตะลังตังช้างออกเสียก่อน แล้วจึงใช้ใบเสลดพังพอนผสมกับเหล้าทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้เป็นยาแก้แพ้เกสรรักษาป่า ยางรักป่า และยางสาวน้อยผัดแป้ง ด้วยการใช้ใบผสมกับเหล้า นำมาทาบริเวณที่คัน (ใบ
ใช้แก้ฝึกฝน เหือด ด้วยการกางใบสดประมาณ 7 กำมือ เอามาต้มกับน้ำ 8 แก้ว ต้มให้เดือด 30 นาที เทยาออกรวมทั้งผึ่งให้เย็น แล้วนำใบสดมาอีก 7 กำมือ ตำผสมกับน้ำ 8 แก้ว แล้วเอาน้ำยาทั้งสองมาผสมกัน ใช้อีกทั้งกินและชโลมทา (ยาชโลมให้ใส่พิมเสนลงไปเล็กน้อย) เด็กที่เป็นหัด เหือด ให้รับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว (ใบ)
พญายอ ทั้งต้นใช้เป็นยาพาราบวม กลยุทธ์ปวดเมื่อย ฟกช้ำดำเขียว กระดูกร้าว ช่วยขับความชุ่มชื้นภายในร่างกาย แก้ลักษณะของการปวดปวดเมื่อยเหตุเพราะเย็นเปียกชื้น (ต้น)
รากใช้เป็นยาแก้ลักษณะของการปวดเมื่อยบั้นเอว (ราก)
ขนาดแล้วก็วิธีใช้ : ยาแห้งให้ใช้ครั้งละ 5-10 กรัม เอามาต้มกับน้ำรับประทาน ส่วนยาสดให้ใช้ทีละ 30 กรัม นำมาตำคั้นเอาน้ำรับประทาน หรือตำพอกแผลข้างนอก
ข้อพึงระวังพญายอ
: ถึงแม้ในอดีตกาลจะมีการใช้ใบสดนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล แต่ว่าในขณะนี้แนวทางนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบแล้ว ด้วยเหตุว่าจะชำระล้างได้ยาก ทำให้กากติดแผล แล้วก็อาจส่งผลให้ติดโรคเป็นหนองได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเสมหะพังพอนตัวเมีย
พญายอ รากเจอสาร Betulin, Lupeol, β-sitosterol ส่วนใบเจอสาร Flavonoids ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides ได้แก่ 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกรุ๊ป glycoglycerolipids ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสเริม
จากการทดลองในสัตว์ใช้สกัดจากใบสดของเสลดพังพอนตัวเมียด้วย n-butanol พบว่า สามารถลดการอักเสบได้2 โดยพบว่าจะช่วยลดการอักเสบของข้อเท้าหนูที่ทำให้บวมด้วยสาร carrageenan ได้ เมื่อใช้ตำรับยาที่มีเสลดพังพอนตัวเมียปริมาณร้อยละ 5 ใน Cold cream รวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เอามาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้ แม้กระนั้นเมื่อใช้สารสกัดด้วย n-butanol มาทาที่ผิวหนังจะไม่เป็นผล
สารสกัดจากใบความเข้ม 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม มีคุณภาพต้านทานการอักเสบได้ดี
เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วย n-butanol จากใบ พบว่า จะช่วยลดความเจ็บของหนูที่ถูกรั้งนำให้ปวดด้วยกรดอะซีตำหนิคได้ ขึ้นรถสกัดความแรง 90 มก.ต่อกิโลกรัม จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนสารสกัดด้วยน้ำและสารสกัดด้วยเอทานอล 60 จากใบ พบว่าไม่เป็นผลลดความเจ็บ
สารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และก็เอทิลอะสิเตทจากใบเสลดพังพอนตัวเมียมีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสเชื้อเริม HSV-1 เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นร้อยละ 4 และใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล พบว่าจะมีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์ ในระหว่างที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์ และก็จากรายงานการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์จำพวกเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาจากสารสกัดเสมหะพังพอนตัวเมีย เปรียบเทียบกับยา acyclovir และก็ยาหลอก โดยให้ผู้เจ็บป่วยป้ายยาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่แตกต่างในช่วงเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนไข้ที่ใช้ยาจากสารสกัดใบแล้วก็ยา acyclovir โดยแผลจะเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน แล้วก็หายสนิทข้างใน 7 วัน ซึ่งผิดแผกแตกต่างกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยยาที่สกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมียจะไม่ทำให้มีการเกิดการอักเสบรวมทั้งระคาย ในตอนที่ acyclovir จะมีผลให้แสบ นอกเหนือจากนั้นยังมีการใช้ยาที่ทำมาจากเสลดพังพอนตัวเมียในคนไข้โรคเริม งูสวัด และก็แผลอักเสบในปาก แล้วพบว่าสามารถรักษาแผลรวมทั้งลดการอักเสบเจริญ
พญายอ สารที่สกัดจากบิวทานอล (Butanol) ของใบเสมหะพังพอนตัวเมีย มีฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัส Varicella zoster ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสประเภทที่ทำให้เกิดเริมและอีสุกอีใส3 จากรายงานการรักษาคนป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดจากใบเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ ตราบจนกระทั่งแผลจะหาย พบว่าคนไข้หวานใจษาด้วยสารสกัดจากใบเสลดพังพอนตัวเมีย แล้วมีแผลตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน แล้วก็หายด้านใน 7-10 วัน จะมีมากมายกว่ากลุ่มหวานใจษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แล้วก็ระดับความเจ็บจะต่ำลงเร็วกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆก็ตาม9
จากการทดสอบความเป็นพิษ เมื่อป้อนสารสกัด n-butanol จากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษน้อย แต่จะเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัมต่อกก. (เสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัมต่อกิโลกรัม) เมื่อนำมาป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ พบว่าไม่กระตุ้นให้เกิดอาการเป็นพิษใดๆ
จากการศึกษาพิษกึ่งเรื้อรัง
ด้วยการป้อนสารสกัด n-butanol จากใบในขนาด 270 แล้วก็ 540 มิลลิกรัมต่อกก. ให้หนูแรทวันแล้ววันเล่า นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเติบโต แม้กระนั้นพบว่ามีน้ำหนักต่อมธัยมัเสียใจลง ในตอนที่น้ำหนักของตับมากขึ้น และไม่พบว่ามีความผิดปกติต่ออวัยวะอื่นๆหรืออาการไม่พึงปรารถนาแต่ว่าอ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเสลดพังพอน (พญายอ)

5

พญายอ
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url]เป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถารวมทั้งใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงอาทิตย์ปานกลาง มักพบตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกได้ไม่ยาก ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาก็ดีแล้วก็ย้ายไปปลูกเอาไว้ในแปลง ดูแลรักษาราวกับ พืชไม้ทั่วๆไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่บริบูรณ์ ไม่แก่หรือเปล่าอ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูเจริญ โดยยิ่งไปกว่านั้นส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” สกุลสถิต ฉั่วกุล รวมทั้งคณะได้เรียนรู้พบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านทานพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ไม่เป็นอันตรายพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแม้กระนั้นไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย อย่างเช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามรอบๆที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ถี่ถ้วน เติมแอลกอฮอล์เพียงพอเปียกยา ตั้งทิ้งเอาไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวี่วัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบรอบๆที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสมหะพังพอน เนื่องด้วยเสมหะพังพอนมีหมดทั้งตัวผู้ละตัวเมีย แต่ตัวผู้ไม่นิยมนำมาใช้เนื่องจากว่ามีฤทธิ์อ่อน และก็เพื่อไม่ให้งวยงงจึงเรียกเสมหะพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" ส่วนมากเอามาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกรุ๊ปพืชถอนพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาใช้ภายนอกรักษาข้างนอก มีสรรพคุณทุเลาการอักเสบของผิวหนังได้ดี  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส
คุณสมบัติของผงพญายอสำหรับในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและก็เม็ดผดผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับเหล้าใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวก พญายอมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนก้าวหน้า
- อีกตำราเรียนบอกว่านอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยด้วยเหตุว่าถูกแมงกะพรุนไฟ แผลสุนัขกัด และก็แผลที่เกิดขึ้นมาจากการถูกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย เอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองเจริญ ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือรวมทั้งสุรา ใช้พอกบริเวณที่เป็น เปลี่ยนยาทุกรุ่งเช้ารวมทั้งเย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ
- พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังประเภทเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง รวมทั้งใช้เป็นยาถอนพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและเอากากพอกบริเวณแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บปวด ช่วยลดอาการปวด
- มีฤทธิ์ต้านทานไวรัสเจริญและไม่เป็นพิษต่อเซลล์

กรรมวิธีการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ชำระล้างผิวหน้าด้วยสินค้าล้างหน้าล้างตาแล้วก็ขัดเครื่องแต่งตัวให้สะอาดก่อนแนวทางการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำสะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง น้ำนม หรือโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย บ่อยๆ สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง


     - สำหรับผิวหน้า พญายอแม้เป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลามไปทั่วใบหน้า แล้วก็เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผิวหน้ามากจนเกินความจำเป็น พอกทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 นาที
     - ถ้าเกิดใช้ขัด (สำหรับคนที่ไม่เป็นสิว แล้วก็ผิวกาย) ให้ขัดให้เบามือที่สุด โดยประมาณเพียงแค่คลำพากเพียรจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด แล้วก็ให้ขัดเพียงแค่ 5 นาทีก็พอเพียงที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งไว้จนถึงแห้ง (บางทีอาจใช้ช่วงเวลาพอกทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาที)

  • พญายอ หลังจากแห้งแล้ว ให้ทำความสะอาดโดยการล้างด้วยน้ำธรรมดา (ไม่ควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบค่อยที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆรวมทั้งปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือลูบคลำให้ค่อยที่สุด โดยใช้วิธีการล้างเดียวกับการขัดหน้าหมายถึงพยายามจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าเสร็จแล้ว ดูดซึมหน้าให้แห้ง


Tip  เพื่อการบำรุงที่มากขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำกินปกติในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเสมอกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วใบหน้าสักบางส่วน ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความสดชื่นให้แก่ผิว อีกทั้งช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มรวมทั้งกระจ่างใส มองอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเสลดพังพอน (พญายอ)

6

สมุนไพรพญายอ
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อวงศ์ ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อเขตแดนผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาบ้องคำ  พญาปล้องดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสมหะพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มรอคอยเลื้อย ลำต้นและกิ่งสะอาดวาว สูงได้ถึง 3 เมตร ใบผู้เดียวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซ็นต์ โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซ็นติเมตร ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายยอด กลีบดอกสีส้มแดงเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 เซนติเมตร ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาแล้วก็คุณประโยชน์


-ส่วนใบ รักษาอาการเนื่องด้วยแมลงกัดต่อยและก็โรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides เป็นต้นว่า 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกลุ่ม glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยั้งเชื้อไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าช่องท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอปริมาณร้อยละ 5  ใน cold cream และสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อนำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แม้กระนั้นเมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่ได้ผล
ฤทธิ์ลดลักษณะของการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์รับประทานสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บของหนูที่ถูกรั้งนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติเตียนค  โดยสารสกัดความแรง 90 มก./กิโลกรัม จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ และสารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่มีผลลดความเจ็บ

ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส
ไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล รวมทั้งเอทิลอะสิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสเชื้อเริม HSV-1  รวมทั้งเมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 4 และใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  ในขณะที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะมีพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ประเภทเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  และยาหลอก  โดยให้คนป่วยทายาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่มีความแตกต่างในช่วงเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนเจ็บที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอรวมทั้งยา acyclovir   โดยแผลจะตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน และก็หายสนิทด้านใน 7 วัน ซึ่งแตกต่างกันกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่ส่งผลให้เกิดการอักเสบ ระคาย เวลาที่ acyclovir ทำให้แสบ   ยิ่งกว่านั้นมีการใช้ยาที่ทำมาจากพญายอ ในคนเจ็บโรคเริม งูสวัด รวมทั้งแผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลรวมทั้งลดการอักเสบได้ดี   
ไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายไวรัส Varicella zoster ที่เป็นต้นเหตุโรคงูสวัดและก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่จะเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ทายาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 7-14 วัน จนกว่าแผลจะหาย  พบว่าผู้ป่วยสุดที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน แล้วก็หายภายใน 7-10 วัน จะมีเยอะแยะกว่ากลุ่มสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระดับความเจ็บปวดต่ำลงเร็วกว่ากรุ๊ปยาหลอก และไม่พบผลกระทบใดๆก็ตาม


อาการข้างๆ


ความเป็นพิษทั่วไปและต่อระบบขยายพันธุ์


การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่ามีพิษน้อย แต่เป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กิโลกรัม (หรือเทียบเท่าใบแห้ง 5.44 กรัม/กก.) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ ไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการพิษอะไรก็แล้วแต่
การศึกษาพิษ
พญายอกึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แล้วก็ 540 มิลลิกรัม/โล วันแล้ววันเล่า นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเจริญเติบโต แต่ว่าน้ำหนักต่อมธัยมัเสียใจลง ในขณะน้ำหนักตับมากขึ้น ไม่พบความแตกต่างจากปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่เจออาการไม่ปรารถนาอะไรก็แล้วแต่ หนูแรทที่กินสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/กิโลกรัม ทุกๆวันนาน 90 วัน พบว่าการกินอาหารของกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดและกลุ่มควบคุมไม่มีความแตกต่างกัน แต่ว่าน้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/โล ต่ำยิ่งกว่าพญายอกลุ่มควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งคู่เพศสูงขึ้นมากยิ่งกว่า แล้วก็ครีอาตินินต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  แต่ว่าไม่เจอความผิดปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน แล้วก็พยาธิภาวะด้านนอกhttp://www.disthai.com/

7

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี


รากพญายอ
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
http://www.disthai.com/

8


ราชพฤกษ์

คูน ผลดีรวมทั้งสรรพคุณของคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ประวัติความเป็นมาดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้พื้นเมืองของเอเชียใต้ ตั้งแต่ปากีสถาน ประเทศอินเดีย พม่า แล้วก็ศรีลังกา โดยนิยมปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเติบโตได้ดิบได้ดีในที่โล่งแจ้ง รวมทั้งมีชื่อเสียงในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 แม้กระนั้นก็ยังไม่ได้ข้อสรุปแจ่มกระจ่าง จนกว่ามีการลงนามให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ตอนวันที่ 26 ต.ค. พุทธศักราช 2544
ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เพราะว่า ต้นราชพฤกษ์ มีดอกสีเหลืองชูช่อ มองสง่างาม ทั้งยังมีสีตรงกับ สีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าอยู่หัว" รวมทั้งมีการเซ็นชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นเยี่ยมใน 3 สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องด้วยเป็นต้นไม้ท้องถิ่นที่รู้จักกันอย่างมากมาย และก็มีอยู่ทุกภาคของเมืองไทย
  • มีประวัติเกี่ยวกับประเพณีสำคัญๆในไทยรวมทั้งเป็นต้นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลที่นิยมปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ดังเช่นว่า ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังยังใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ เป็นต้น
  • มีสีเหลืองอร่าม พุ่มสวยเต็มต้น เทียบเป็นสัญลักษณ์ที่ศาสนาพุทธ
  • แก่ยืนนาน รวมทั้งทนทาน


คูน หรือ ราชพฤกษ์ (Golden Shower, Indian Laburnum) เป็นพืชสมุนไพรจำพวกยืนต้นขนาดกลางถึงกับขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกตามแคว้นต่างๆยกตัวอย่างเช่น ภาคเหนือเรียก ราชพฤกษ์, ต้นลมแล้ง หรือชัยพฤกษ์ ส่วนปัตตานีเรียก ลักเคย หรือลักเกลือ แล้วก็กะเหรี่ยง-กาญจนบุรีเรียก กุเพยะ เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรประจำถิ่นของทวีปเอเชียใต้ไปจนกระทั่งอินเดีย ศรีลังกา รวมทั้งพม่า แล้วก็คูนหรือราชพฤกษ์นี้ยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของไทยอีกด้วย
————– advertisements ————–
การดูแลรักษา
           แสงสว่าง : ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง แล้วก็เจริญเติบโตเจริญในที่โล่งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ชอบน้ำน้อย ควรรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพอากาศร้อนได้ดิบได้ดี
           ดิน : สามารถเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในดินร่วนซุย ดินร่วนซุยผสมทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมให้ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยมูลสัตว์ ในอัตรา 2-3 โลต่อต้น และควรจะให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
การขยายพันธุ์
           วิธีแพร่พันธุ์ต้น[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url]ที่นิยมเป็นการเพาะเมล็ด โดยใช้เม็ดสดๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แม้กระนั้นต้องเลือกขลิบรอบๆด้านป้าน เนื่องจากว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ ต่อจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งเอาไว้ผ่านวัน แล้วก็ค่อยเทน้ำออกให้เหลือจำนวนพอหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ ต่อจากนั้นทิ้งเอาไว้อีกคืนก็จะเจอรากผลิออก และสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อถือเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           มั่นใจว่าฯลฯไม้มงคล ที่ควรจะปลูกเอาไว้ภายในทิศตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งถ้าหากปลูกไว้ในบ้านจะช่วยทำให้มีเกียรติตำแหน่ง เกียรติยศ แล้วก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ เนื่องจากว่าเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนาม
ลักษณะทั่วไปของคูน
สำหรับต้นคูนนั้นจัดว่าเป็นต้นไม้ขนาดกึ่งกลาง โดยลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา มักขึ้นตามป่าผลัดใบ หรือในดินที่สามารถถ่ายเทน้ำก้าวหน้า ส่วนใบจะมีสีเขียวเป็นเงา โคนมน เนื้อใบหมดจดและบาง ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบรูปทรงไข่กลับอยู่ 5 กลีบ รวมทั้งเห็นเส้นกลีบแจ่มกระจ่าง ฝักอ่อนมีสีเขียวรวมทั้งจะเป็นสีดำเมื่อแก่จัด และในฝักจะมีฝาผนังเยื่อบางๆกันเป็นช่องๆอยู่ตามแนวขวางของฝัก และก็ภายในช่องพวกนี้จะมีเมล็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ประโยชน์แล้วก็คุณประโยชน์ของคูน
ใบ – ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเชื้อโรคต่างๆช่วยระบายท้อง สามารถใช้พอกแก้ลักษณะของการปวดข้อ หรือแก้ลมตามข้อ แล้วก็ช่วยแก้โรคอัมพาตของกล้ามเนื้อบนใบหน้า หรือนำไปต้มกินแก้เส้นทุพพลภาพ และโรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง ให้รสเมา
ดอกราชพฤกษ์ – ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ แก้พรรดึก (ท้องผูก) รวมทั้งโรคกระเพาะของกิน แล้วก็แผลเรื้อรัง ให้รสขมเปรี้ยว
ราก – ช่วยสำหรับเพื่อการฆ่าเชื้อโรคกุฏฐัง ระบายพิษไข้ แก้กลากหรือโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึมหนักแถวๆศีรษะ แล้วก็ช่วยถ่ายสิ่งสกปรกสกปรกออกมาจากร่างกาย แก้อาการหายใจขัด ทำให้กระชุ่มกระชวยหน้าอก แก้ลักษณะของการมีไข้ ไปจนกระทั่งรักษาโรคหัวใจ ถุงน้ำดี มีฤทธิ์ถ่ายแรงกว่าเนื้อในฝัก สามารถใช้ได้กับเด็กหรือสตรีตั้งท้อง ไม่มีผลข้างๆอะไรก็แล้วแต่ให้รสเมา
แก่น – ช่วยสำหรับในการขับพยาธิไส้เดือน ให้รสเมา
กระพี้ – ช่วยแก้โรครำมะนาด ให้รสเมา
เนื้อในฝัก – ใช้พอกเพื่อช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ แก้ต้นตานขโมย ปรับแต่งไข้จับสั่น แก้บิด ถ่ายพยาธิ หรือคนที่มีลักษณะอาการท้องผูกเรื้อรัง รวมถึงถ่ายเสมะรวมทั้งแก้พรรดึก (ท้องผูก) ไปจนถึงระบายพิษไข้ สามารถใช้ได้ในเด็กแล้วก็สตรีท้อง ไปจนกระทั่งเป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนหรือไข้ท้อง ให้รสหวานเบื่อ
เปลือกฝัก – ทำให้แท้งลูก ทำให้คลื่นไส้ และก็ขับรกที่ค้างอยู่ออกมา ให้รสเฝื่อนฝาดเมา
เม็ด – ทำให้อาเจียน ให้รสฝาดเมา
เปลือกต้น – ช่วยแก้อาการท้องเดิน ใช้ฝนผสมกับหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ และน้ำตาล รับประทานเพื่อให้เกิดลมเบ่ง ให้รสฝาดเมา
เปลือกราก – ช่วยแก้ไข้ไข้มาลาเรีย รวมทั้งระบายพิษไข้ ให้รสฝาด
ดอกคูน หรือ ดอกราชพฤกษ์
ต้นคูนมักนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนและก็ครึ่งหนึ่งเขตร้อน สามารถเติบโตก้าวหน้าใน รวมทั้งปลูกได้ง่ายอีกทั้งในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนผสมทราย หรือดินร่วนซุยเหนียว และก็ยังทนต่อลักษณะอากาศแห้งรวมทั้งดินเค็มเจริญ แต่ว่าหากอากาศหนาวจัดอาจจะก่อให้ติดโรคราหรือโรคใบจุดได้http://www.disthai.com/

9

ตะไคร้
ตะไคร้ ชื่อสามัญ Lemongrass
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จัดอยู่ในสกุลหญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ตะไคร้จัดเป็นไม้ล้มลุกตระกูลหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยที่นิยมนำมาปรุงอาหาร โดยตะไคร้แบ่งได้ 6 ชนิด เช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และก็ตะไคร้หางราชสีห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมปลูกทั่วๆไปในบ้านเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ ศรีลังกา และไทย
ตะไคร้ เป็นยารักษาโรคแล้วก็ยังมีวิตามินและก็แร่ธาตุที่มีสาระต่อสุขภาพอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก อื่นๆอีกมากมาย
คุณประโยชน์ของตะไคร้
มีส่วนช่วยในการขับเหงื่อ
เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้ก้าวหน้า (ต้นตะไคร้)
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยสำหรับการเจริญอาหาร
ช่วยแก้อาการไม่อยากอาหาร (ต้น)
สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยสำหรับการคุ้มครองป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
แก้และก็บรรเทาอาการหวัด อาการไอ
ช่วยรักษาลักษณะของการมีไข้ (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถทุเลาอาการปวดได้
ช่วยแก้ลักษณะของการปวดศีรษะ
ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้อาเจียนแม้ใช้ประโยชน์ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ(หัวตะไคร้)
ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นแล้วก็แก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
รักษาโรคอาการหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบบริเวณอก (ราก)
ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องและก็อาการท้องเดิน (ราก)
ช่วยแก้แล้วก็ทุเลาลักษณะของการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องอืด (หัวตะไคร้)
ช่วยสำหรับเพื่อการขับน้ำดีมาช่วยในการย่อยอาหาร
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้
มีฤทธิ์ช่วยสำหรับเพื่อการขับปัสสาวะ
ช่วยแก้อาการฉี่ทุพพลภาพรวมทั้งรักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
ช่วยรักษาอหิวาต์
ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน (หัวตะไคร้)
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต้านเชื้อราบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้โรคหนองใน ถ้านำไปผสมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ

ประโยชน์ที่ได้รับมาจากตะไคร้
ประยุกต์ใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงและก็รักษาสายตา
มีส่วนช่วยสำหรับการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและเพิ่มสมาธิ
สามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นยานวดได้
ช่วยแก้ไขปัญหาผมแตกปลาย (ต้น)
มีฤทธิ์เป็นยาช่วยในการนอน
การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักชนิดอื่นๆจะช่วยปกป้องแมลงได้อย่างดีเยี่ยม
ประยุกต์ใช้เป็นองค์ประกอบของสารระงับกลิ่นต่างๆ
ต้นตะไคร้ช่วยขจัดกลิ่นคาวหรือเหม็นกลิ่นคาวของปลาได้เป็นอย่างดี
กลิ่นหอมสดชื่นของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและก็กำจัดยุงได้เป็นอย่างดี
เป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์พวกยากันยุงประเภทต่างๆอย่างเช่น ยากันยุงตะไคร้หอม
สามารถนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายแบบ ดังเช่นว่า เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ
มักนิยมนำมาใช้สำหรับเพื่อการทำกับข้าวหลายชนิด ดังเช่น ต้มยำ รวมทั้งอาหารไทยอื่นๆเพื่อเพิ่มรสชาติ
แนวทางทําน้ําตะไคร้หอม
สรรพคุณตะไคร้จัดเตรียมวัตถุดิบดังนี้ ตะไคร้ 1 ต้น / น้ำเชื่อม 15 กรัม / น้ำดื่ม 240 กรัม
ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้วนำมาหั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก
ใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด จวบจนกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนกระทั่งเป็นสีเขียว
รอชั่วประเดี๋ยวแล้วยกลง จากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเพิ่มเติมน้ำเชื่อมให้ได้รสตามพอใจ
เสร็จแล้วแนวทางการทำน้ำตะไคร้
แนวทางทําน้ําตะไคร้ใบเตย
น้ำตะไคร้ การทําน้ําตะไคร้ใบเตยนั้นอย่างแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 2 ต้น / ใบเตย 3 ใบ / น้ำ 1-2 ลิตร / น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ก็ได้)
นำตะไคร้มาทุบให้แหลกพอควร แล้วก็ใช้ใบเตยมัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
ใส่ตะไคร้และใบเตยลงไปในหม้อแล้วเพิ่มเติมน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือดสักโดยประมาณ 5 นาที เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยสำหรับวิธีการทําน้ํา ตะไคร้
โดยตะไคร้รวมทั้งใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเพิ่มน้ำสุกใหม่ได้ 2-3 รอบ แม้กระนั้นรสอาจจืดชืดลงไปบ้าง นำมาดื่มแทนน้ำช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวา แถมช่วยบำรุงรักษาสุขภาพอีกด้วย
ค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 30 มก. เหล็ก 2.6 มก. วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มก. ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม ไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มิลลิกรัม และก็ ขี้เถ้า 1.4 กรัม
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ ปริมาณน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งหนึ่งของจำนวนหนูขาวทั้งหมดทั้งปวง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กิโล แล้วก็การให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งเดียว พบว่า มีปริมาณความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษกะทันหันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในระยะเวลา 60 วัน กลับได้มาพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากรุ๊ปที่ไม้ได้รับ แล้วก็ค่าทางเคมีของเลือดไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร

10

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลยังไงต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันสูง และก็โรคอื่นๆอันแสนเพลียที่จะรักษา ติดตามผลการค้นคว้ายืนยันคุณประโยชน์ได้ในบทความนี้จ้ะ
บทความกลุ่มนี้อ้างอิงคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษารับรองจากที่ต่างๆเพื่อเพื่อนได้พิเคราะห์ด้วยตัวเองว่ารักษาโรคก้าวหน้าขนาดไหนและน่าไว้ใจเท่าใด หากเพื่อนฝูงๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานศึกษาเรียนรู้วิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเยอะแค่ไหนหรือไม่รู้เรื่อง บทความในเว็บแห่งนี้นักเขียนได้คัดและก็เก็บจากหลายที่รวมทั้งเขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
สหายๆถูกใจบทความนี้ก็จะเป็นอันมากดวงใจให้คนเขียนได้บทความดีๆให้สหายอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนฝูงๆจำต้องถูกใจ
ระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีปะปน เซลล์ของโรคมะเร็ง และสิ่งแปลกปลอมอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อสภาพร่างกายเรานั้นเอง โดยเหตุนั้นถ้าเพื่อนฝูงๆมีระบบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่ป่วยง่าย หรือถ้าป่วยก็จะรู้สึกตัวเร็ว แต่หากระบบภูมิต้านทานไม่ดีก็จะป่วยหลายครั้งแล้วก็เป็นหนักกว่าคนที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวตรงนี้แล้วเพื่อนฝูงๆคงจะเห็นจุดสำคัญของการมีระบบระเบียบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกันแล้ว
ชาวจีนโบราณใช้เห็ดหลินจือมานานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ว่าในยุคนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเพราะเหตุไรทานเห็ดหลินจือถึงแก่ยืนแล้วก็แข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค ในตอนนี้เราสมารถยนต์พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกรุ๊ป Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพวกเราได้จริง สารกลุ่มดังที่กล่าวถึงแล้วสามารถกระตุ้นการผลิต Interleukin และ Immuoglodulin ซึ่งนำมาซึ่งการทำให้ระบบภูมป้องกันดีรวมทั้งแข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิต้านทานที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านวรัส เซลล์ของมะเร็ง และก็จำกัดสารอนุมูลอิสระได้ดิบได้ดีขึ้น นอกเหนือจากนั้นยังช่วยทำให้คนที่ถูกผลข้างเคียงที่โดนยาต้านโรคมะเร็งบางตัวรวมทั้งการทำคีโมกดภูมิต้านทานให้มีระบบระเบียบภูมิต้านทานอีก รวมทั้งเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กลุ่มดังที่กล่าวมาข้างต้นคือกรุ๊ป Bitter Triterpenoids
A
นักวิจัยได้ค้นพบสารหลายประเภทในเหล็ดหลินจือที่ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดเป็นGanoderic Acid และก็ Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 ชนิดที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว เว้นแต่ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้แล้ว ยังคุ้มครองไม่ให้ไขมันอุดตันเส้นเลือดได้โดยตรงอีกด้วย นอกนั้นยังมีสารกรุ๊ป Nucleotide ที่สามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นเลือด รวมทั้งช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นทดสอบให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับผู้ที่เป็นโรคไขมันเส้นเลือดสูง 70 ราย รวมทั้งกระทำเก็บผลการทดลองภายหลังจากผ่านไป 3 เดือน พบว่าโคเรสเตอรอลของคนรับการทดลองลดน้อยลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลการวิเคาะห์จากทั่วทั้งโลก แล้วก็ยังพบว่าเห็ดหลินจือ เว้นเสียแต่ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นโลหิตแล้ว ยังเป็นเหตุให้เลือดไหลเวียนอีกด้วย
โดยเหตุนั้น จึงอาจจะบอกได้ว่า สิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์ทางคุณสมบัติและก็ประโยชน์ที่ได้รับมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานวิจัยเป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงการทดสอบในผู้ป่วยบางกรุ๊ปแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นประเด็นการค้นคว้าที่ควรปฏิบัติงานทดสอบต่อไป เพื่อได้ได้ผลลัพ์ที่แจ่มกระจ่าง และเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ในอนาคต

ภาวะต่อมลูกหมากโต รวมทั้งการเจ็บป่วยในระบบฟุตบาทปัสสาวะ
มีขั้นตอนทดสอบหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดลองในผู้ป่วยเพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะปัสสาวะติดขัด หลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ ผลที่ได้คือ ผู้เจ็บป่วยต่างมีระดับคะแนน IPSS ที่ดีขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับการวัดปัญหาในระบบทางเดินปัสวะของคนป่วยจากการตอบคำถาม แต่ไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากอะไร
ฉะนั้น การทดลองดังกล่าวมาแล้วข้างต้นก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่แจ้งชัดเพียงพอ จึงควรมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่แจ่มกระจ่างสำหรับในการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาสภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพอะไรก็ตามที่เกี่ยว
ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคเส้นโลหิตหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดลองทางด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานจำพวก 2 ร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่มีผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะช่วยเหลือผลทางการรักษาพวกนั้น และไม่มีข้อมูลที่พอเพียงสำหรับการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นเดียวกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนไข้บางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องเสีย หรือท้องผูก
ด้วยเหตุนี้จะต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงสมรรถนะของเห็ดหลินจือในการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อปกป้องรวมทั้งการรักษาโรคเส้นโลหิตหัวใจถัดไป แล้วก็ให้รู้เรื่องแน่ชัดชัดดเจนในด้านดังกล่าวมากเพิ่มขึ้น อันเป็นผลดีต่อกรรมวิธีการรักษาคุ้มครองป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจและก็อาการต่างๆที่เกี่ยวข้องถัดไปในอนาคต

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ

11

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ รักษาโรคมะเร็ง
อีกหนึ่งการวิจัยที่เรียนรู้เกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในผู้เจ็บป่วยมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมีส่วนสำหรับในการยัยยั้งหลักการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการศึกษาเรียนรู้วิจัยมากมายก่ายกองถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจส่งผลต่อการต้านการอักเสบในผู้เจ็บป่วยมะเร็งปอดบางราย แต่ยังคงไม่มีหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบด้านการแพทย์ที่ให้ข้อมูลเพียงพอที่ส่งเสริมให้ใช้เห็ดหลินจือสำหรับในการรักษามะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อวิเคราะห์เทียบจากการรวบการวิจัยที่ศึกษาประสิทธิผลของเห็ดหลินจือเพื่อรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้จะพบว่าผู้ป่วยตอบสนองต่อการดูแลรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบรรเทาได้ดีขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่ว่าเมื่อทดสอบการใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับการทำให้โรคมะเร็งลดขนาดลงประการใด
นอกจากนั้น จาการทบทวนการค้นคว้าพบว่ามีการค้นคว้า 4 ชิ้นที่ส่งผลลัพธ์สนับสนุนว่าเห็ดหลินจืออาจชมรมต่อการปรับแต่งคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลลัพธ์จากงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้แล้วก็นอนไม่หลับด้วย
โดยเหตุนั้น จึงอาจพูดได้ว่า หลักฐานทางคุณสมบัติแล้วก็คุณประโยช์จากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานค้นคว้าเป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแต่การทดลองในคนป่วยบางกลุ่มเท่านั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรจะปฏิบัติงานทดสอบถัดไปเพื่อได้เห็นผลลัพ์ที่ชัดแจ้งและเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ในอนาคต
สภาวะต่อมลูกหมากโต รวมทั้งการเจ็บป่วยในระบบทางเท้าปัสสาวะ
มีกระบวนการทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในผู้เจ็บป่วยเพศ 88 รายซึ่งมีอายุเกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีอาการปัสสาวะติดขัด หลังการทดลองกว่า 12 สัปดาห์ คำตอบที่ได้เป็น คนป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับในการวัดปัญหาในระบบทางเดินปัสวะของผู้ป่วยจากการตอบคำถาม กลับไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนั้น การทดสอบดังกล่าวมาแล้วข้างต้นจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่แจ่มแจ้งเพียงพอ จำเป็นต้องมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ถัดไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่แจ้งชัดสำหรับการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาสภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพอะไรก็ตามที่เกี่ยว
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นโลหิตหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดสอบด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนป่วยเบาหวานจำพวก 2 เข้าร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะเกื้อหนุนผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับในการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือสิ่งเดียวกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลข้างเคียงจากการบริโภคเห็ดหลินจือในผู้เจ็บป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องเดิน หรือท้องผูก
โดยเหตุนี้จึงควรมีการค้นคว้าทดสอบถึงสมรรถนะของเห็ดหลินจือในการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆกลุ่มนี้เพื่อคุ้มครองปกป้องและการดูแลรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจถัดไป รวมทั้งให้ได้การแจ่มกระจ่างชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวมาแล้วเยอะขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลดีต่อขั้นตอนการรักษาคุ้มครองป้องกันโรคเส้นโลหิตหัวใจแล้วก็อาการต่างๆที่เกี่ยวพันถัดไปในอนาคต
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับเพื่อการบริโรคเห็ดหลินจืออปิ้งชัดแจ้ง เนื่องประสิทธิผลรวมทั้งผลข้างคียงจากการบริโภค ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้บริโภค ควรศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ แล้วก็หารือแพทย์หรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโรค ด้วยเหตุว่าหากแม้เห็ดหลินจือในแต่ละรูปแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่ว่าสารเคมีรวมทั้งส่วนประต่างบางทีอาจมีผลใกล้กันที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้ด้วยเหมือนกัน

โดยปกติ จำนวนการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันได้แก่
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่ควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่สมควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1 มล./วัน
ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ถึงคุณค่าในบางด้านที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แต่ผู้ซื้อก็ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และขอความเห็นแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรรอบคอบในด้านปริมาณแล้วก็ต้นแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค เนื่องจากว่าบางทีอาจเกิดผลใกล้กันต่อร่างกายได้ในตอนหลัง
โดยข้อควรตรึกตรองในการบริโภคเห็ดหลินจืออาทิเช่น
คนซื้อทั่วๆไป.......
-ควรบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนที่พอดิบพอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจก่อกำเนิดผลข้างเคียงได้ ตัวอย่างเช่น ปากแห้ง คอแห้ง คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ปั่นป่วน ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มเหล้าองุ่นเห็ดหลินจืออาจก่อเกิดผลข้างเคียงเป็นอาการผื่นคัน
-การดมหายใจเอาเซลล์ขยายพันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจก่อให้เกิดอาการแพ้
ผู้ที่ควรจะระวังสำหรับการบริโภคเป็นพิษ
ผู้ที่ท้อง หรือกำลังให้นมบุตร ยังไม่มีการยืนยันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรุ๊ปผู้บริโภคนี้แต่ผู้ที่มีท้องและผู้ที่กำลังให้นมบุตรควรเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อร่างกายของตนเองและก็ลูกน้อย
ผู้ที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนป่วยบางรายที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุนั้น เพื่อลดการเสี่ยง คนป่วยควรหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ ขั้นต่ำ 2 อาทิตย์ก่อนวันผ่าตัด
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ
ความดันโลหิตต่ำ เห็ดหลินจืออาจนำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ฉะนั้น คนป่วยสภาวะความดันเลือดต่ำจำเป็นจะต้องหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมากบางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับในการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ด้วยเหตุนั้นคนเจ็บภาวะเกล็ดเลือดต่ำจึงไม่ควรบริโภคเห็ดหลินจือ
สภาวะมีเลือดออกแตกต่างจากปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก บางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้เจ็บป่วยบางราย โดยเฉพาะในคนที่มีสภาวะเลือกออกผิดปกติอยู่แล้ว http://www.disthai.com/

12

[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url][/size][/b]
สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่มีคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ
เมื่อ ค.ศ 2005 บริษัทของพวกเรามีจุดเริ่มแรกขึ้นจากความจำเป็นหาสมุนไพรคุณภาพสูงจากในหลายประเทศ จนถึงพวกเราพบแล้วก็มีส่วนร่วมกับบริษัทยยาของรัฐบาลจีน และก็ได้ นำเข้าสปอร์เห็ดหลินจือประสิทธิภาพสูงนับจากนั้นมา
นับ 10 กว่าปี ที่พวกเราเป็นผู้ริเริ่ม รวมทั้งเป็นหัวหน้าในด้านสปอร์เห็ดหลินจือแดงประสิทธิภาพสูง คุณภาพเป็นหัวใจสำคุณของพวกเรา สปอร์เห็ดหลินจือของพวกเรา จะถูกคัดสรรอย่างดีก่อนถึงมือบริโภค เห็ดหลินจือแดงที่เรานำเข้ามา ถูกเพาะด้วยแนวทางพิถีพิถัน ทำให้ได้ตัวดอกเห็ดที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งกว่า
เราตั้งใจแล้วก็ตรวจดูคุณภาพในทุกแนวทางการผลิตอย่างใกล้ชิด และก็ด้วยกระบวนการผลิตที่ดูแลอย่างดี ทำให้เราได้รับการรับรองมาตฐาน GMP (GOOD Manufacturing Practice) ทุกล็อตที่เราผลิตออกมา จะได้รับการตรวจประสิทธิภาพจากห้องแล็ปในโรงพยาบาล
เพื่อคุณประโยชน์สูงสุดของท่านผู้ที่กำลังหาผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือมากิน
งานค้นคว้าวิจัยรับรองว่าการรับประทานสปอร์เห็ดหลินจือจะได้ประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งกว่าการทานดอก เพราะเหตุว่าสปอร์มีสารออกฤทธิ์สำคัญมากกว่าแล้วก็สปอร์ที่ถูกกระเทาะนั้น เปลือกหุ้มจะต่อต้านโรคมะเร็ง แล้วก็เสริมภูมิคุ้มกันได้ดีมากว่า เทียบกับแบบมิได้กระเทาะเปลือก
ที่พลาดมิได้ที่สุดเป็น.....
ท่านๆสามารถบริโภคเห็ดหลินจือได้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆโดยปลอดภัยใด อีกกด้วย เห็ดหลินจือมีมากว่า 100 สายพันธุ์แม้กระนั้นสายพันธุ์ที่มีสรรพคุณทางยายอดเยี่ยมเป็นเห็ดหลินจือแดง เพราะสายพันธุ์นี้จะมีสารออกฤทธิ์กรุ๊ป Polysaccharide อยู่เป็นอย่างมากที่สุด
ส่วนท่านที่กำลังเลือกซื้อเห็ดหลินจือออกมาขายในตลาดแบบอย่างต่างๆเยอะมาก ทั้งยังในรูปแบบดอกอบแห้ง แคปซูล น้ำเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจืออื่นๆอีกเยอะแยะ
โดยเหตุนี้การจะเลือกซื้อเห็ดหลินจือให้ได้แบบที่มีคุณภาพดี ต้อง......
ดูตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ว่าตัวเห็ดหลินจือนั้นได้รับการเลี้ยงที่สมควรหรือปล่าว เพราะเหตุว่าการควบคุมอณหภูเขาไม่ ความชื้น สารอาหาร รวมทั้งวิธีการแปลรูปล้วนส่งผลต่อปริมาณสาระสำคัญในตัวเห็ดหลินจือ บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเห็ดหลินจือจะขึ้นราได้ง่ายเมื่อโดนความชื้อ ด้วยเหตุนั้นตัวบรรจุภัณฑ์ควรต้องเลือกเป็นขวดที่กันความชื้อเจริญอีกด้วย
เห็ดหลินจือกับคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ
เห็ดหลินจือ (Lingzihi หรือ  REISHI)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กาโนเดอร์ มา ลูซิดัม (Ganoderma Lucidum) เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีสีแก่มีผิวแวววาว มีลักษณะคล้ายไม้ แล้วก็มีรสขม มีประวัตศาสตร์ยาวนานสำหรับการใช้เห็ดหลินจือ เพื่อรักษาหรือบำรุงสุขภาพในประเทศแถบเอเซีย โดย เฉพาะจีนแล้วก็ญี่ปุ่น เนื่องจากเชื่อว่าสารประกอบด้านในเหลืดหลินจือมีคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่บางทีอาจมีผลดีต่อสุขภาพจำนวนมาก จำพวกเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินแล้วก็แร่บางประเภท เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ดูแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ปีนอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลโคโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) และก็สารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) และก็ลิวซีน (Leucine)เพราะฉะนั้น มีบางบุคคลหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาทำกับข้าวและก็ดัดแปลงเพื่อการบริโภคอย่างนานาประการ นักวิทยาศาสตร์จึงให้ความสนใจรวมทั้งนำเห็ดหลินจือมาทดสอบหาประสิทธิผลทางการรักษาและการบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดประเภทนี้มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของผู้คนใช่หรือไม่

เห็ดหลินมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่บางทีอาจเป็นได้จริงหรือ?
ถึงแม้มีการค้นคว้าทดลองจำนวนมากเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณค่าที่บางทีอาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อยืนยันด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่กระจ่างถึงคุณสมบัติและคุณค่าที่บางทีอาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือแต่ว่า ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานหรือข้อยืนยันด้านวิทยาศาสตร์รวมทั้งการแพทย์ที่แจ่มชัดถึงคุณลักษณะและก็ประสิทธิผลด้านใดๆก็ตามดังนั้น ผู้บริโภคควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ จำนวนรวมทั้งแนวทางการบริโภคที่เหมาะสม แล้วก็ความจำกัดต่างๆและเหตุทางสุขภาพของตนให้ดีก่อนจะมีการบริโภค
ตัวอย่างการค้นคว้าที่เรียนรู้เกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อร่างกาย
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานศึกษาวิจัยหนึ่งได้ทดสอบหาประสิทธิผลรวมทั้งความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในคนไข้ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จำนวน 32 ราย  คำตอบเป็น เห็ดหลินจืออาจมีสรรพคุณในด้านการระงับลักษณะของการปวด ไม่มีอันตรายต่อการรับประทานไปสู่ร่างกายและไม่ส่งผลใกล้กัน อย่างไรก็ตาม กลับไม่ปรากฏผลที่มีนัยสำคัญสำหรับเพื่อการต่อต้านปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลของการปรับระบบภูมิคุ้มกันแต่อย่างใด
เพิ่มความสามารถร่างกาย
มีการทดสอบที่ทดสอบคุณภาพของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถยนต์ภาพของร่างกาย โดยได้ ทดลองในคนเจ็บโรคปวดกล้ามเนื้อไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)เพศหญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดเวลาการทดสอบ 6 สัปดาห์ คนป่วยบริโภคเห็ดหลินจือจำนวน 6 กรัม/วัน แล้วก็เลยทดสอบสมรรถภาพร่างกายของผู้เจ็บป่วย ผลการทดลองและก็วางแผนการรักษาคนไข้โรคนี้ถัดไป แม้กระนั้นยังคงขาดหลักฐานสนับสนุนที่ชัดแจ้ง จำเป็นที่จะต้องมีการทำการวิจัยในด้าน เพื่อหาหลักฐานและก็สิ่งพิสูจน์ที่แนชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือถัดไป
ต่อต้านการเกิดปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน และคุ้มครองป้องกันการทำลายเซลล์ตับ
จากการทดลองหาคุณภาพของสารสามเทอร์พีนอยด์ (Trirpenoids)รวมทั้งโพลีแซ็กคาไรด์(Polysaccharide)ในเห็ดหลินจือในด้านการต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน แล้วก็การคุ้มครองป้องกันการทำลายเซลล์ตับในกลุ่มผู้ทดลองที่มีร่างกายแข็งแรง 42 คน ผลสรุปครั้งแสดงถึงความสามารถของเห็ดหลินจือสำหรับการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของตับ
แต่ เห็ดหลินจืออาจช่วยต้านปริกิรริยาออกซิเดชันได้ แม้กระนั้นการทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นเพียงแต่การศึกษาเรียนรู้ขนาดเล็ก ควรศึกษาเรียนรู้ถัดไปเพื่อหาหลักฐานและก็ข้อพสจน์ที่แน่ชัดที่กระจ่างแจ้งถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือ http://www.disthai.com/

13

เห็ดหลินจือ
เรื่องเล่าประสบการณ์ตรงจากที่ลงภาคสนาม
คุณยายคนหนึ่ง อายุราว 67 ปี ทำอาชีพขายเห็ดในตลาด ลักษณะการป่วยเป็นโรค ดังต่อไปนี้
1.เห็ดหลินจือ สามารถรักษาโรคเบาหวาน เป็นทุนเดิม เป็นโรคนี้มาประมาณ 1x ปี
2.โรคความดันเลือด เป็นมาพร้อมๆกับโรคเบาหวาน จะต้องกินยาแผนปัจจุบันตลอด มีลักษณะอาการงุนงง
3.โรคไขมัน มาพร้อมๆกับเบาหวาน จะต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตลอด
4.โรคไตเสื่อม ภายหลังเป็นโรคเบาหวานมาโดยประมาณ 10 ปี แพทย์ตรวจพบว่า ไตเสื่อม ระยะ 2 มีอาการขาบวม หมดแรงเดิน
5.โรคกระเพาะเยี่ยว อักเสบ มาตอนเป็น ไตเสื่อม ก่อให้เกิดอาการเยี่ยวขับ ฉี่ไม่สุด เจ็บแปล็บๆ
6.โรคเก๊า มาตรวจพบคราวหน้า ว่าค่ายูริก เริ่มมากยิ่งขึ้น
======================
ความประพฤติปฏิบัติของคนไข้และประวัติความเป็นมาก่อนรับประทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
1.ช่วงเจ็บป่วยตอนเริ่ม จะมีลักษณะอาการน้ำตาลในเลือดสูง แทบ 200 มิลลิกรัม แต่ว่าพอเพียงผ่านมาเกือบจะ 10 ปี มีความรู้สึกว่าดูแลตัวเองได้ดี ผลที่ได้กลับเป็นแบบนี้ สักครู่น้ำตาลสูง ประเดี๋ยวน้ำตาลต่ำ นำไปสู่อาการมึนหัวได้ตลอดทั้งวัน หน้าที่การงานไม่ต้องทำแล้ว นอนดีมากยิ่งกว่า
2.พอมีน้ำตาลในเลือดสูง ความดันจะตามมาเลย ทำให้มีการเกิดอาการโลกหมุน ลายตา จำเป็นต้องนอนอีกอย่างที่เคย
3.พอเพียงช่วงหลังเริ่มรับประทานของมันลดลง สามารถที่จะคุมไขมันได้ แต่ว่าพอนานวันเข้า ไขมันคุมได้ แต่ว่าพบไตรกีซาลายสูงซะงั้น
4.หลังจากเจ็บมา 1x ปี ร่างกายก็ไม่ค่อยได้พักผ่อน ทำให้เกิดช่วงอาการน็อคน้ำตาล ไป 2 คราว ในรอบ 1 ปีที่ล่วงเลยไป ต้องเข้า รพ. เพื่อให้เดกซ์โทรส ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
5.พอเพียงผ่านมาอีก 6 เดือน หมอตรวจพบเป็นไตเสื่อมขั้นที่ 2 แถมมีโรคกระเพาะฉี่อักเสบ ด้วยเหตุว่ามีไข่ขาวรั่วมาทางเยี่ยวมากมาย ทำให้เรี่ยวแรงสำหรับเพื่อการเดินไม่มี (แทบจะเดินไม่ไหว ก้าวขาไม่ออก) แถมเจอโรคเก๊าต์ ถามหาอีก
6.ตอนหลังจากที่ทราบว่าเป็นหลายโรค ชีวิต มันช่างมืดมนเหลือเกิน ทำให้เบื่อข้าว รับประทานไม่ได้ นอนไม่หลับ ถึงหลับก็ไม่สนิท ขาบวม ใจสั่น โมโหง่าย
7.พอถึงเวลานี้ คุณยายคนนี้ ความประพฤติปฏิบัติเปลี่ยนไป จากที่เคยจำต้องออกไปเปิดร้านขายเห็ดในตลาดทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เคยหยุด กลับทำให้เขาไม่อยากขายสินค้า ขอหยุดนอนอยู่ในบ้าน กระทำตนเหมือนไม่มีค่า จำเป็นต้องให้ลูกๆมารอดู ทำให้เป็นภาระของลูก
======================
โจทย์ สำหรับลูกที่ดูแล และจุดเปลี่ยนแปลงแนวความคิด
1.ลูกคนนั้น มีความคิด ทำอย่างไงก้อได้ ให้แม่หายจากโรคทั้งปวงนี้
2.ทำอย่างไงก็ได้ให้ท่านแม่กลับมาดำเนินงานได้เหมือนเดิม
3.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้ท่านแม่ทานข้าวได้เสมือนสมัยเก่าเป็นโรคเบาหวาน
4.ทำอย่างไงก็ได้ให้คุณแม่นอนหลับเจริญ
=======================
ท้ายที่สุดลูกคนนั้นได้มาคุยกับผม ผมเลยชี้แนะเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้ม และลูกคนนั้นได้เอาไปให้ท่านแม่ทาน
เริ่มที่คุณแม่ไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น จะช่วยให้ชีวิตเขาดียิ่งขึ้นได้ เนื่องจากม่าม้าทานสมุนไพร อาหารเสริมมามากแล้ว
=======================

เริ่มต้นกับการทานเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น (ผลอาจต่างๆนาๆในแต่ละบุคคล)
1.ผมชี้แนะให้ทาน 24 ชั่วโมง 2 เวลาหมายถึงเช้าตรู่-เย็น ในกรณีของแม่คนนี้ มีโรคประจำตัวเยอะ จะให้ทานอย่างงี้ หลังจากกินอาหารแล้ว ให้ทานยาแผนปัจจุบัน รวมทั้งรอคอย 30 นาที ค่อยทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
2.พอหลังจากทานได้ทีแรกๆ อาการมึนๆงงงวยๆเริ่มดีขึ้น นอนหลับเจริญขึ้นมาก ธรรมดาจะดูจนกระทั่งเที่ยงคืนและก็หลังจากนั้นจึงค่อยหลับ แล้วตื่น 6-7 โมงเช้าตรู่ มาจัดร้านขายของ เปลี่ยนเป็น นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่น 6 โมงรุ่งเช้า
3.ภายหลังนอนหลับได้ดี  ทำให้อาการขาบวมดีขึ้น ฉี่มาก ไม่ขัดแล้วก็ฉี่ได้สุด ค่าน้ำตาลดียิ่งขึ้น ไม่สวิงต่ำ-สูง และผลไตดีขึ้นด้วย
4.ผู้ป่วยเริ่มทานข้าวได้ธรรมดา (ม่าม้าไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือช่วยได้จริงไหม เลยทดลองด้วย กินทุเรียน2เม็ด แล้วพรุ่งนี้ไปตรวจเลือด ผลเลือดที่ออกมาคุณแม่ตกอกตกใจ ว่าทำไมน้ำตาลปกติ ^_^)
5.เพียงพอร่างกายได้ นอนได้เต็มที่ หน้าใส(มีคนทักว่าไปทำอะไรมา) แข็งแรงสามารถยกของหนักๆได้ ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อน เพียงแค่เดินยังต้องหาที่นั่งพักเลย
สรรพคุณเห็ดหลินจือที่มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยรับรอง....มีอะไรบ้าง
มีความคิดกันมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณแจ่มใส ช่วยทำให้แก่ช้าลง ความจำดีขึ้น รวมทั้งช่วยอายุยืนนาน
ส่วนสรรพคุณในทางการดูแลรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างมากมายเช่นกัน อาทิเช่น แก้โรคตับแข็ง รักษามะเร็ง รักษาโรคความดัน รวมทั้งภูมิแพ้ฯลฯ
แต่ทีเด็ดเป็น......
มีงานวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือรักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งสำหรับเพื่อการทดสอบเรียนรู้ทางคลีนิคแล้วก็รับรองว่าเห็ดหลินจือมีสรรพคุณดังนี้จริง ไม่ใช่แค่ความเชื่ออีกต่อไป อันดังเช่น
-กระตุ้นภูมิต้านทาน
-ต้านทานเนื้องอกรวมทั้งโรคมะเร็ง
-รักษาโรคทางเท้าฉี่
-รักษาโรคหัวใจ
-ช่วยให้การนอนหลับ
-ลดไขมันในเลือด
-ต้านอนุมูลอิสระ
-ต่อต้านการอักเสบ

14

ขิง
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ภายนอกเหง้าเป็นน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักนำมาทำกับข้าวด้วยเหตุว่าส่งกลิ่นหอม ยิ่งไปกว่านี้ ขิงยังใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ รวมทั้งเครื่องสำอางทั้งหลายแหล่เหมือนกัน ด้านประโยชน์ต่อร่างกาย มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลายประเภทมาอย่างนาน อย่างเช่น โรคเกี่ยวกับระบบที่ทำการย่อยอาหารอย่างท้องร่วง มีก๊าซในกระเพาะ อาหารไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ คลื่นไส้ ไม่อยากกินอาหาร
คุณสมบัติของขิงมั่นใจว่ามีสารที่บางทีอาจช่วยลดอาการอ้วกและก็ลดการอักเสบ โดยนักค้นคว้าส่วนมากคาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารและก็ลำไส้ และก็สารนี้อาจมีผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการอ้วกด้วย แต่การสันนิษฐานดังที่กล่าวมาแล้วยังไม่ชัดเจนนัก รวมทั้งคุณลักษณะด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งคุณประโยช์จากขิงต่อสุขภาพที่เราเชื่อกันนั้น เวลานี้ทางด้านวิทยาศาสตร์มีข้อมูลแจกแจงไว้ดังนี้
การรักษาที่บางทีอาจได้ผล
อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาต่อต้านไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือเอดส์ คุณประโยชน์ทุเลาอาการคลื่นไส้อ้วกของขิงบางทีอาจมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคนี้ที่เอาแต่ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการศึกษาผู้เจ็บป่วยจำนวน 102 คน แบ่งให้กรุ๊ปหนึ่งรับประทานขิง 500 กรัม อีกกลุ่มกินยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในช่วง 30 นาทีก่อนที่จะได้รับยารักษาโรคเอดส์อย่างยาต้านรีโทรไวรัส เป็นเวลาทั้งผอง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการอ้วกอ้วกที่เกิดขึ้นจากการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องได้
อาการอาเจียนอาเจียนภายหลังจากการผ่าตัด ขิงอาจช่วยบรรเทาอาการอ้วกและคลื่นไส้จากการผ่าตัดได้เช่นเดียวกัน โดยการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์โดยมากชี้ว่าการกินขิง 1-1.5 กรัม ในตอน 1 ชั่วโมงก่อนที่จะมีการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่าง 1 วันหลังได้รับการผ่าตัด
งานวิจัยหนึ่งทดลองแบ่งคนป่วยปริมาณ 122 คนที่รับการผ่าตัดต้อกระจกให้กินแคปซูลขิง 1 กรัม และอีกกลุ่มได้รับแคปซูลขิง 500 มก.แต่แบ่งให้ 2 ครั้งกระโน้นผ่าตัด ซึ่งผลลัพธ์พบว่าคนไข้ในกรุ๊ปข้างหลังมีลักษณะอาเจียนคลื่นไส้น้อยครั้งและมีความร้ายแรงของอาการน้อยกว่า โดยงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยนี้พบว่าการใช้ขิงนั้นน่าจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกินเป็นประจำและบ่อยโดยแบ่งจำนวนการใช้
นอกเหนือจากนี้ การทดสอบทาน้ำมันขิงรอบๆข้อมือของผู้ป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยปกป้องอาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งสิ้น แต่ทว่าการใช้ขิงช่วยลดอาการอาเจียนคลื่นไส้ร่วมกับยาลดคลื่นไส้อาเจียนนั้นบางทีอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก และก็การใช้ขิงกับคนเจ็บที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการอ้วกอ้วกน้อยอยู่และบางทีอาจไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน
อาการแพ้ท้อง การรับประทานขิงอาจมีส่วนช่วยทุเลาอาการแพ้ท้อง ตัวอย่างเช่น อ้วก อาเจียน หรือเวียนหัว ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยชิ้นหนึ่งที่ช่วยยืนยันคุณสมบัตินี้เป็นการทดลองในหญิงที่มีอายุท้องต่ำลงยิ่งกว่า 20 สัปดาห์ จำนวน 120 คน ซึ่งเผชิญอาการแพ้ท้องทุกวี่วันนานอย่างต่ำ 1 สัปดาห์ และไม่รู้สึกดีขึ้นแม้จะเปลี่ยนแปลงการกินอาหารรวมทั้งตาม ภายหลังกินสารสกัดจากขิง 125 มก. ซึ่งเทียบเท่ากับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน ผลลัพธ์ได้ชี้ให้เห็นว่าขิงอาจสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ในฐานะการรักษาโอกาสต่ออาการแพ้ท้องได้
นับว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาเรียนรู้ก่อนหน้าที่ชี้ว่าการกินขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงตั้งท้องที่มีลักษณะอาการแพ้ท้องได้ แม้กระนั้นการใช้ขิงสำหรับคุณค่าด้านนี้อาจมองเห็นการดูแลรักษาได้ช้ากว่าหรือได้ผลดีไม่เทียบเท่าการใช้ยาแก้อ้วกอาเจียน ยิ่งไปกว่านี้ การเล่าเรียนเกี่ยวกับคุณลักษณะช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีข้อกำหนดแล้วก็เจอผลลัพธ์ที่ไม่บ่อยนัก โดยมีบางการทดสอบที่ชี้ว่าขิงบางทีอาจไม่ได้มีส่วนช่วยในการลดอาการแพ้ท้องเหมือนกัน
อาการตาลายหัว อาการที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยการคลื่นไส้นี้อาจบรรเทาให้ดีขึ้นได้ด้วยการใช้คุณประโยชน์จากขิง จากงานวิจัยที่ทดลองด้วยการให้คนที่มีลักษณะบ้านหมุน รวมทั้งตากระเหม็นตุกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิรับประทานผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะได้อย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก แต่มิได้ช่วยลดช่วงเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการศึกษาเล่าเรียนบางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีคุณประโยชน์ลดลักษณะของการเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากโรคข้อเสื่อม จากการทดสอบหนึ่งที่ให้คนไข้รับประทานสารสกัดจากขิง (Zintona EC) ในปริมาณ 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดอาการปวดข้อเข่าภายหลังจากการรักษาตรงเวลา 3 เดือน ส่วนอีกงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าได้ผลลัพธ์สำหรับการช่วยลดลักษณะการเจ็บขณะยืน ลักษณะของการเจ็บข้างหลังเดิน และก็อาการข้อติด
นอกเหนือจากนั้น มีการเรียนรู้เปรียบคุณภาพระหว่างขิงรวมทั้งยาพารา โดยให้ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบในกระดูกสะโพกรวมทั้งข้อหัวเข่ารับประทานสารสกัดขิง 500 มิลลิกรัมทุกเมื่อเชื่อวัน วันละ 2 ครั้ง ขิงได้ผลบรรเทาลักษณะของการปวดได้เทียบเท่ากับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง รวมทั้งยังมีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่เสนอแนะว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงและก็ส้มอาจช่วยบรรเทาอาการปวดแล้วก็เหน็ดเหนื่อยที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหัวเข่าได้ด้วย
อาการปวดระดู นอกจากอาการปวดจากโรคข้อเสื่อม การเล่าเรียนบางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดเมนส์ ดังเช่นว่า การทดสอบในนักศึกษามหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้รับประทานผงเหง้าขิงทีละ 500 มก. วันละ 3 ครั้งในช่วง 2 วันก่อนเริ่มมีประจำเดือนสม่ำเสมอไปจนถึง 3 วันแรกของการมีเมนส์ รวมยอดเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความร้ายแรงของอาการปวดรอบเดือนได้อย่างเป็นจริงเป็นจังด้านการเล่าเรียนเทียบประสิทธิภาพของขิงรวมทั้งยาลดลักษณะของการปวดรอบเดือนอย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มก. ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มรับประทานแคปซูลขิงหรือยาแต่ละชนิดในจำนวน 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีระดู คำตอบปรากฏไปในทิศทางเดียวกันกับงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยแรกหมายถึงขิงมีประสิทธิภาพบรรเทาความร้ายแรงของลักษณะของการปวดเมนส์ไม่มีความแตกต่างกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การดูแลและรักษาที่อาจไม่ได้ผล
อาการเมารถและก็เมาเรือ นับเป็นคุณประโยชน์ของขิงที่มีการพูดถึงกันมากมาย แต่ว่าแม้ขิงบางทีอาจจะช่วยลดอาการวิงเวียนได้ แต่สำหรับในการหน้ามืดอ้วกที่เกิดขึ้นจากการเดินทางนั้น งานศึกษาเรียนรู้ส่วนมากระบุว่าขิงอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง ตัวอย่างเช่น การแบ่งกรุ๊ปให้นักเรียนนายเรือ 80 ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นแรง รับประทานเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก ปรากฏว่ากลุ่มที่กินขิงนั้นมีลักษณะอาการอ้วกรวมทั้งวิงเวียนลดน้อยลงจริงแต่ว่าอยู่ในระดับเล็กน้อยแค่นั้น หรือในอีกงานศึกษาวิจัยที่ชี้ว่าการรับประทานผงขิงในปริมาณ 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มิลลิกรัม ต่างไม่มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการคุ้มครองอาการเมารถหรือลักษณะการทำงานของกระเพาะที่เกี่ยวกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด
การดูแลรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการระบุความสามารถ
อาการคลื่นไส้อ้วกจากกระบวนการทำเคมีบำบัด อีกหนึ่งสรรพคุณคือลดอาการคลื่นไส้และอาเจียน ซึ่งมีการเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่ว่าหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในคนป่วยที่รับเคมีบำบัดรักษานั้นยังเป็นที่โต้วาทีกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้ใช่หรือไม่ การเล่าเรียนหนึ่งที่ชี้ถึงคุณประโยชน์ข้อนี้ของขิง โดยให้ผู้ป่วยกินแคปซูลขิงที่ประกอบด้วยขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบำบัดรักษานานสม่ำเสมอเป็นเวลา 6 วัน พบว่า มีระดับความรุนแรงของอาการอาเจียนที่เกิดขึ้นภายหลังจากการรักษาน้อยกว่ากรุ๊ปที่มิได้รับประทานแคปซูลขิง แม้กระนั้นเห็นผลได้ชัดในกรุ๊ปที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่รับประทานแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับสำเร็จน้อยกว่า แสดงว่าการกินขิงในจำนวนมากจึงอาจมิได้ทำให้อาการอาเจียนดีขึ้นอย่างที่น่าจะเป็น
อย่างไรก็แล้วแต่ มีหลักฐานที่โต้แย้งข้อสนับสนุนดังที่กล่าวผ่านมาแล้วซึ่งเป็นงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่เผยว่าการรับประทานขิงมิได้มีคุณภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้คลื่นไส้ ทั้งนี้ ผลการศึกษาวิจัยที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีต้นสายปลายเหตุมาจากปริมาณขิงที่ใช้ทดลองนั้นไม่เหมือนกัน รวมถึงตอนที่เริ่มรักษาโดยใช้ ขิงจะนำมาใช้คุณประโยชน์ทางการแพทย์ในด้านนี้แล้วได้ผลหรือเปล่าคงจะจะต้องมีการยืนยันเพิ่มถัดไป
โรคเบาหวาน คุณสมบัติของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนไข้เบาหวานในตอนนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยที่ไม่แน่นอน การค้นคว้าหนึ่งพบว่าการกินขิง 2 กรัม นาน 12 อาทิตย์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด และสารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในคนไข้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และก็บางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางประเภทจากเบาหวานได้ ในเวลาเดียวกัน มีงานวิจัยอื่นๆที่เสนอแนะว่าขิงนั้นส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง แต่กลับไม่มีผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางงานศึกษาเรียนรู้วิจัยบอกว่าขิงมีผลกับอินซูลิน กลับไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลง ซึ่งผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยที่ต่างกันนั้นอาจมาจากจำนวนขิงหรือระยะเวลาที่ผู้เจ็บป่วยได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคเบาหวานในแต่ละการทดลองนั้นแตกต่างกันนั่นเอง
อาหารไม่ย่อย มีการศึกษาค้นคว้าศึกษาประสิทธิภาพของขิงในคนป่วยที่มีลักษณะของกินไม่ย่อยปริมาณ 11 คน โดยให้กินแคปซูลที่มีขิง 1.2 กรัมหลังจากการละอาหาร 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะเกิดการย่อยของกินรวมทั้งเกิดการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย แต่ว่าการกินขิงนั้นไม่มีผลต่ออาการที่เกี่ยวเนื่องกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในลำไส้ แม้กระนั้น ผู้ร่วมการทดลองนี้มีจำนวนน้อย ทำให้ไม่บางทีอาจเจาะจงได้อย่างชัดเจนว่าขิงช่วยลดอาการของกินไม่ย่อยได้แน่นอนแค่ไหน
อาการแฮงค์ เชื่อกันว่าการดื่มน้ำขิงจะสามารถช่วยบรรเทาอาการแฮงค์ซึ่งสำเร็จใกล้กันจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับประโยชน์ข้อนี้มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยแต่ก่อนที่ชี้แนะว่าการผสมขิงกับเปลือกภายในของส้มเขียวหวาน และน้ำตาลก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการแฮงค์ในตอนหลัง รวมถึงอาการคลื่นไส้ อาเจียนและก็ท้องเดิน อย่างไรก็แล้วแต่ การศึกษาดังที่กล่าวผ่านมาแล้วยังจัดว่าไม่ชัดเจนอยู่มากและไม่บางทีอาจยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากขิงจริงๆหรือส่วนผสมอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณสมบัติของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดสอบโดยให้ผู้เจ็บป่วยที่มีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงรับประทานแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ทีละ 1 กรัม ผลสรุปบอกว่าเมื่อเทียบกับคนป่วยกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก ขิงมีคุณภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะให้ผลดีจนถึงสามารถประยุกต์ใช้รักษาคนป่วยสภาวะนี้ได้ไหมคงจะต้องรอคอยการเรียนรู้ในอนาคตที่แจ่มชัดกันถัดไป
ลักษณะการเจ็บกล้ามหลังบริหารร่างกาย คุณสมบัติด้านการบรรเทาปวดแล้วก็ลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดลักษณะการเจ็บจากการออกกำลังกายได้ด้วยไหมนั้นยังคงคลุมเครือและเป็นที่ปะทะคารมกันอยู่เช่นกัน จากการทดลองหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมรับประทานขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมอย่างต่อเนื่องนาน 11 วัน พบว่าทั้งขิงสดรวมทั้งขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะของการเจ็บกล้ามจากการออกกำลังกายแบบหดยืดกล้ามได้ในระดับปานกลางไปจนถึงระดับมาก
แต่ว่าอีกการค้นคว้าวิจัยหนึ่งกลับเจอคำตอบในทางตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ทำกิจกรรมบริหารร่างกายยืดหดกล้ามเหมือนกัน กินขิง 2 กรัมในตอน 24 ชั่วโมงและ 48 ชั่วโมงภายหลังจากการบริหารร่างกาย พบว่ามิได้นำมาซึ่งการทำให้ลักษณะของการเจ็บกล้าม การอักเสบ หรือบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากการบริหารร่างกายลดน้อยลง แต่นักวิจัยพบว่าการรับประทานขิงบางทีอาจช่วยให้อาการเจ็บกล้ามค่อยๆดีขึ้นในแต่ละวัน แม้บางทีอาจไม่เห็นผลประโยชน์โดยทันที
อาการปวดศีรษะไมเกรน มีการเรียนกับคนเจ็บ 100 คน ที่เคยมีลักษณะปวดหัวไมเกรนเฉียบพลันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/

15

น้ำมันเหลือง เป็นยังไง?
น้ำมันเหลือง ยาแผนโบราณจากพืชสมุนไพรประสิทธิภาพเลิศ ทำจากพืชสมุนไพรจำพวกต่างๆกัน คุณประโยชน์ที่ใช้ดม ทา นวด เพื่อบรรเทาอาการต่างๆสรรพคุณนี้ไม่เป็นรองยาแผนปัจจุบันเลยทีเดียว
บริการนวดน้ำมันเหลืองรวมทั้งจำนวนมากสร้างความเข้มแข็ง ระบบภูมิต้านทานแล้วก็ช่วยในการย่อยของกินดียิ่งขึ้น.
ศิลป์ที่งามของการนวดได้ทวีความรุนแรงเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วยการนวดน้ำมันบางมาก. น้ำมันนวดแต่ละคนมีคุณสมบัติรักษาโรคต่างๆที่มีเพื่อบริการด้านต่างๆสำหรับในการรักษาร่างกายและจิตใจของคุณอีกด้วย. เลือกน้ำมันที่ยอดเยี่ยมสำหรับสิ่งที่ต้องการส่วนตัวของคุณและก็ผ่อนคลายร่างกายของคุณด้วยการนวดผ่อนคลายและก็ฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ, เพื่อจะรักษาความสมดุลทางใจวิญญาณของคุณและก็สุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงที่สุดของร่างกายของคุณ.
ประโยชน์ที่ได้รับมาจากการนวดน้ำมัน
นวดจริงหมายถึงการกระตุ้นเนื้อเยื่อของร่างกายด้วยมือ, เพื่อส่งเสริมสุขภาพและฟื้นฟูให้ร่างกายทั้งหมดทั้งปวง. น้ำมันนวดถูกออกแบบมาเพื่อมือเลื่อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้นในระหว่างนวด และในขณะเดียวกันเครื่องหอมอโรมาให้ความรู้สึกผ่อนคลายสูงที่สุดสำหรับทั้งกายใจ. อ่านถัดไปเพื่อหารายละเอียดต่างๆนอกเหนือจากนี้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ซึ่งมาจากการนวดน้ำมันเหลืองแล้วก็ผ่อนคลายร่างกายของคุณที่มีประสบการณ์นวดชื่นบาน.
การใช้นำมันนวดตามจุดต่างๆ
การนวดน้ำมันเหลืองเป็นแนวทางในการดูแลสภาพผิวแล้วก็สุขภาพที่ขอแนะนำเป็นการนวด ที่สกัดจากสมุนไพรรวมทั้งพืชต่างๆที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ โดนการนำสารสกัดกลิ่นแล้วก็เนื้อน้ำมันเหล่านั้นมานวดตามจุดต่างๆของร่างกายด้วยกลิ่นหอมหวน รวมทั้งสัมผัสของของน้ำมันที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบต่างๆของร่างกาย ลดความตึงเครียด ทำให้เราบรรเทา น้ำมันเหลือง รวมไปถึงช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้นรวมทั้งผิวพรรณให้ดูดีขึ้นด้วย วันนี้พวกเราจะพาไปดูคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากการนวดน้ำมันว่ามีสาระในด้านใดบ้าง
          สินค้าตัวนี้ ผลิตขึ้นมาจากสมุนไพรแท้ 100% ไม่มีส่วนประกอบจากสเตอรอยด์หรือสารเคมีอันตรายใด  ซึ่งก็มีสิ่งที่ห้ามจำกัดอยู่อย่างเดียวกันสำหรับเพื่อการใช้ ซึ่งในกรณีที่มีการแพ้สาร Notoginsenoside, Flavonoid, การบูร
มาดูประโยชน์ซึ่งมาจากน้ำมันนวดกันจ้ะ

  • ปวดต้นคอ บ่า ไหล่ จากการนั่งทํางานนานๆทํางานหน้าคอมฯ Office syndrome เป็นต้น
  • คนทํางานที่จำเป็นต้องใช้กล้าม ดังเช่น ยกของหนัก
  • นักกีฬา หรือผู้ได้รับบาดเจ็บจากการออกกําลังกาย
  • ผู้เดินทาง นักท่องเที่ยว
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ยกตัวอย่างเช่น ข้อหัวเข่าอักเสบ, เอ็นอักเสบ, กระดูกทับ เส้นประสาท ฯลฯ


        น้ำมันเหลือง ซึ่งเรามาดูผลกระทบในด้านที่เสียหายจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อกันนะคะ เพราะอะไรถึงต้องเลือก น้ำมันนวดเนื่องจาก ยาคลายกล้ามธรรมดาที่เราทาน ทำให้กล้ามเนื้อรู้สึกหายปกติจริง พวกเราจะมีความคิดว่ามันหายปกติ และบริหารร่างกายได้ปกติไม่เจ็บ แต่ว่าอันที่จริงแล้วกล้ามยังอักเสบอยู่ ถ้าเกิดเรายังคงใช้งานกล้ามดังเดิมจะทำให้กล้ามเนื้ออักเสบมากขึ้นเรื่อยๆ การที่กินยาแล้วบริหารร่างกายส่วนนั้นต่อเป็นเวลานานๆเข้า ก็บางทีอาจจะอัดเสบเรื้อรังได้ อันนี้เป็นข้อผลร้ายทางอ้อมมาจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อน้ำมันเหลือง ซึ่งคนส่วนมากและจากนั้นก็จะใช้กล้ามหรือปฏิบัติงานปกติทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเพราะเราไม่เคยทราบสึกปวดหรือเจ็บแล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผิดเพราะเหตุว่าการทานยาคลายกล้ามยาเมื่อเราทาน
นํ้ามันนวด ตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ใดบ้าง?

  • คนได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก
  • ผู้ที่ปวดมือและคอจากการเล่นโทรศัพท์มือถือ
  • ผู้ที่ปวดหลังจาก Office syndrome
  • ผู้ที่ปวดข้อจากโรคเกาท์
  • ผู้ที่ปวดเข่าจากโรคข้อต่ออักเสบ
  • คนที่ปวดขาจากการเดิน Shopping
  • บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ตีดอท จนถึงปวดมือ
  • ปวดคอจากการเล่นมือถือ
  • ปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก
  • ช๊อปจัดหนัก จนถึงปวดขา


          สำหรับคนไหนกันแน่ที่  มีติดบ้านกันไว้ก็ดีแล้วนะคะ บทความนี้เป็นเพียงรีวิวการใช้สินค้า ซึ่งเป็นความนึกเห็นส่วนตัวเท่านั้นนะคะมิได้ขายคอแต่อย่างใด เราใช้แล้วเห็นผลจริงจึงมาบอกต่อซึ่ง บทความนี้พวกเราได้หารายละเอียดต่างๆนอกเหนือจากนี้จากเว็บไซต์ต่างๆนะคะ น้ำมันเหลืองเพื่อมาประกอบสำหรับในการรีวิว ซึ่งหากมีจุดบกพร่องอย่างใด สามารถวิจารณ์และก็แนะนำกันเข้ามาได้ และก็สามารถติดตามบทความรีวิว ของพวกเราได้เรื่อยๆเลย และพวกเราจะมีผลิตภัณฑ์ดีๆตัวไหนมาเสนอแนะอีกห้ามพลาดเป็นอันขาดนะคะ เจอะกันในบทความหน้า
การเลือกน้ำมันนวด
การเลือกน้ำมันเหลืองนวดขึ้นอยู่กับการใช้แรงงาน รวมทั้งคุณประโยชน์ต่างๆของน้ำมันนวดแต่ละประเภท โดยส่วนใหญ่น้ำมันรากฐานที่นิยมนำมาผสมทำน้ำมันนวด อาทิเช่น น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดทานตะวัน ฯลฯ ซึ่งมีวิตามินอี สูงยิ่งกว่าน้ำมันที่ทำขึ้นมาจากถั่วเหลือง รวมทั้งน้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ปฏิบัติภารกิจเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ แล้วก็ทำลายของเสียที่รังควานเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในเส้นโลหิต คุ้มครองป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง น้ำมันเหลือง นอกเหนือจากนั้นน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสุขภาพ อีกทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณนุ่มชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย

หน้า: [1] 2