แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - dpdsio2s4a5

หน้า: [1]
1

บัวบก
ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่เติบโตในแถบประเทศอินเดีย แอฟริกา แล้วก็เอเซียอาคเนย์ ใบแล้วก็ลำต้นนำมาใช้เป็นยารักษาโรคตามแพทย์แผนโบราณของประเทศอินเดียแล้วก็จีนมาอย่างนาน ใช้รักษาหลายโรค อย่างเช่น โรคซิฟิลิส โรคหอบหืด หรือโรคสะเก็ดเงิน แล้วก็ยังเอามาเตรียมอาหารได้อีกด้วย
ใบบัวบก
ใบบัวบกมีสารออกฤทธิ์หลักที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพร่างกายอยู่หลากหลายประเภท เป็นต้นว่า ซาโปนิน (Saponin) หรือสามเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) เอเชียติเตียนวัวไซด์ (Asiaticoside) กรดทวีปเอเชียตำหนิก (Asiatic Acid) มาเดแคสโซไซด์ (Madecassoside) และกรดมาดีคาสสิค (Madecassic Acid) ก็เลยทำให้นำมาใช้ในทางการแพทย์ โดยมั่นใจว่ามีสรรพคุณหลายแบบ ดังเช่นว่า ทุเลาอาการอักเสบ ถ้าหากใช้กินอาจมีคุณลักษณะช่วยลดความดันโลหิตในหลอดโลหิตดำ รวมทั้งนำมาใช้รักษาโรคหรืออาการที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิตต่างๆอาทิเช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ การตำหนิดเชื้อที่ระบบฟุตบาทฉี่ โรคงูสวัด โรคเรื้อน อหิวาต์ โรคบิด โรคเท้าช้าง วัณโรค โรคพยาธิใบไม้ในเลือด เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีความคิดว่าถ้าใช้ใบบัวบกทาที่ผิวหนังบางทีอาจช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับการสมานบาดแผล ลดลางเลือนรอยแผลเป็น รวมถึงปัญหาท้องลายที่เกิดจากการตั้งท้อง แต่ข้อรับรองหรือหลักฐานทางการแพทย์มีมากมายน้อยมีมากมายน้อยเพียงใดที่จะช่วยยืนยันความศรัทธา คุณประโยชน์ รวมทั้งความปลอดภัยของใบบัวบกสำหรับเพื่อการรักษาโรคพวกนี้
การดูแลรักษาด้วยใบบัวบกที่บางทีอาจสำเร็จ
เส้นโลหิตขอด มีการศึกษาชิ้นหนึ่งรายงานว่าใบบัวบกอาจมีส่วนช่วยทำนุบำรุงรวมทั้งสร้างสมดุลในการเติบโตของเนื้อเยื่อเกี่ยวเนื่อง (Connective Tissues) เพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นเลือด ส่งผลต่อความดันในเส้นเลือดฝอยและก็เส้นโลหิตขอด ลดอัตราการกรองของเส้นเลือดฝอยโดยปรับแต่งการไหลเวียนของโลหิต นอกเหนือจากนั้น ยังมีการเล่าเรียนโดยการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวเนื่อง 8 ชิ้นเกี่ยวกับการดูแลรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบกในคนเจ็บที่มีปัญหาเส้นโลหิตขอดเรื้อรัง พบว่าอาการปวดขา ขาหนัก แล้วก็อาการบวมน้ำบรรเทาลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้สารสกัดจากใบบัวบกบางทีอาจช่วยทุเลาอาการผู้ป่วยเส้นเลือดขอดเรื้อรังลงได้ แม้กระนั้นจากงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยระบุว่าบทสรุปข้างต้นต้องตีความด้วยความระวังเนื่องจากความจำกัดต่างๆของงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัย แล้วก็ยังจะต้องเรียนเพิ่มเพื่อหาหลักฐานที่มีความถูกต้องและก็มีคุณภาพมากพอสำหรับเพื่อการประเมินคุณภาพการดูแลและรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบก
การรักษาด้วยใบบัวบกที่เป็นไปได้ แต่ว่ายังมีหลักฐานส่งเสริมไม่พอ
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง (Atherosclerosis) ใบบัวบกอาจช่วยสำหรับเพื่อการลดจำนวนไขมันในเส้นเลือดได้ จากการเรียนรู้ชิ้นหนึ่งโดยให้อาสาสมัครโรคเส้นเลือดแดงแข็งที่ไม่ออกอาการกรุ๊ปหนึ่งทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกตรงเวลา 6 เดือน รวมทั้งอีกกลุ่มไม่รับประทาน แล้วตรวจหาความหนาแน่นของไขมันหรือพลัค (Plagues) ที่เกาะอยู่ตามเยื่อบุของเส้นเลือด พบว่า ระดับคอเลสเตอรอลของอาสาสมัครทั้งยัง 2 กลุ่มไม่ต่างอะไรกัน แม้กระนั้นในกลุ่มที่รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกพบว่า อนุมูลอิสระในเลือดลดน้อยลง จำนวนไขมันหรือพลัคที่เส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอรวมทั้งขาลดลง รวมทั้งลักษณะของพลัคทั้งความครึ้มแล้วก็ความยาวก็ต่ำลงด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งยังไม่เจออาการที่ไม่ปรารถนา สามารถทนต่ออาการใกล้กันได้ รวมทั้งมีการบันทึกผลการตรวจเลือดเสมอๆ เพราะหลักฐานส่งเสริมคุณลักษณะของใบบัวบกต่อโรคเส้นเลือดแดงแข็งยังไม่พอ จึงควรต้องศึกษาต่อไป
ปกป้องลิ่มเลือด การรับประทานใบบัวบกอาจช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่ขาซึ่งมีสาเหตุมาจากการโดยสารเรือบินเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จากหลักฐานที่ได้รับการพัฒนาเสนอแนะว่าใบบัวบกบางทีอาจช่วยลดของเหลวรวมทั้งเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในคนที่โดยสารเรือบินติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่แจ่มแจ้งว่าการเล่าเรียนชิ้นนี้จะซึ่งก็คือการลดการสะสมของลิ่มเลือด เนื่องด้วยหลักฐานสนับสนุนคุณสมบัติของใบบัวบกต่อการปกป้องคุ้มครองลิ่มเลือดยังไม่พอ ก็เลยจึงควรศึกษาต่อไป
กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ในคนเจ็บเบาหวาน งานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งให้คนป่วยโรคเบาหวานที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดฝอยปริมาณ 50 คน กินสารสกัดจากใบบัวบกซึ่งมีสารไตรเทอร์พีนอยด์เป็นส่วนสำคัญ ขนาด 60 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 6 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก พบว่าสารไตรเทอร์พีนอยด์ของใบบัวบกเป็นประโยชน์ต่อการไหลเวียนของโลหิตในหลอดเลือดฝอยของผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน แต่หลักฐานสนับสนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อการไหลเวียนเลือดยังน้อยเกินไป จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาต่อไป
แผลโรคเบาหวาน มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณภาพและก็ผลกระทบของการกินสารสกัดจากใบบัวบกต่อแผลเบาหวาน โดยแบ่งคนเจ็บโรคเบาหวานจำนวน 200 คนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งรับประทานสารเอเชียว่ากล่าวโคไซด์ซึ่งเป็นสกัดจากใบบัวบกขนาด 50 มก. แล้วก็อีกกลุ่มกินยาหลอกปริมาณ 2 แคปซูลข้างหลังมื้อของกินวันละ 3 ครั้ง รวมทั้งมีการประมวลผลทุก 7 วัน พบว่าแผลของคนเจ็บที่กินสารสกัดจากใบบัวบกมีการหดรั้ง (Wound Contraction) ที่ดีมากกว่าและไม่พบผลข้างเคียง หรือบอกได้ว่าสารสกัดจากใบบัวบกอาจมีความสามารถสำหรับในการรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น แล้วก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่เกิดผลข้างเคียง แต่เนื่องมาจากหลักฐานส่งเสริมคุณลักษณะของใบบัวบกต่อการดูแลรักษาแผลเบาหวานยังไม่พอ จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาต่อไป
แผล สารออกฤทธิ์ของใบบัวบก เช่น ทวีปเอเชียว่ากล่าววัวไซด์ กรดทวีปเอเชียตำหนิก มาเดแคสโซไซด์ รวมทั้งกรดมาดีคาสสิค เป็นสารช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนภายในร่างกายและอาจมีคุณภาพสำหรับการรักษาแผลต่างๆอีกทั้งแผลขนาดเล็ก แผลไฟลุก แผลจากโรคสะเก็ดเงินหรือโรคหนังแข็ง รวมทั้งแผลเป็นแบบนูน ซึ่งจากงานค้นคว้าวิจัยชิ้นหนึ่งได้เสนอแนะว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกรอบๆผิวหนังภายหลังจากเย็บแผลแล้ว 2 ครั้งต่อวัน ตลอดนาน 6-8 สัปดาห์ อาจช่วยลดการเกิดรอยแผลได้ รวมถึงแผลแบบนูนหรือคีลอยด์ แม้กระนั้นเนื่องจากหลักฐานสนับสนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อแผลยังน้อยเกินไป จึงควรต้องศึกษาต่อไป
ท้องลาย จากการตั้งครรภ์ ได้มีงานค้นคว้าวิจัยเสนอแนะให้คนที่กำลังตั้งท้องทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี และคอลลาเจน เสมอๆทุกเมื่อเชื่อวันในช่วง 6 เดือนสุดท้ายก่อนจะมีการคลอด ซึ่งบางทีอาจช่วยปัญหารอยแตกได้ ยิ่งกว่านั้น ยังมีการทดลองโดยให้หญิงท้องจำนวน 100 คน ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี แล้วก็คอลลาเจน-อีลาสติน ไฮโดรไลเซท ทาบริเวณผิวหนังที่มีรอยแตกเปรียบเทียบกับการใช้ยาหลอก พบว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของใบบัวบกอาจจะก่อให้กำเนิดรอยแตกหรือท้องลายน้อยกว่าในกลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่ว่าเนื่องด้วยหลักฐานช่วยเหลือคุณสมบัติของใบบัวบกต่อรอยแตกหรือท้องลายยังไม่แน่นอน จึงจะต้องศึกษาต่อไป
ลดความวิตกกังวล การรักษาแบบหมอแผนจีนมีการนำใบบัวบกมาใช้เพื่อทุเลาอาการกลัดกลุ้มรวมทั้งความรู้สึกกลุ้มใจ ซึ่งสอดคล้องกับการเรียนรู้ทดลองชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประสิทธิภาพของใบบัวบกสำหรับเพื่อการลดความรู้สึกหนักใจ โดยสุ่มให้อาสาสมัครรับประทานใบบัวบกในปริมาณ 12 กรัมหรือรับประทานยาหลอก จากผลของการทดลองทำให้เห็นว่าใบบัวบกมีฤทธิ์ต้านทานความรู้สึกหนักใจ ช่วยลดความตึงเครียด แม้กระนั้นยังคงจำต้องศึกษาเล่าเรียนเสริมเติมต่อไปถึงประสิทธิภาพของใบบัวบกสำหรับในการรักษาโรควิตกกังวล
โรคและก็อาการอื่นๆได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นลมเป็นแล้งแดด การตำหนิดเชื้อฟุตบาทฉี่ โรคตับอักเสบ โรคดีซ่าน ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย ซึ่งยังจำเป็นที่จะต้องศึกษาค้นคว้าหาสมรรถนะรวมทั้งความปลอดภัยสำหรับในการรักษาถัดไป

ความปลอดภัยในการรับประทานใบบัวบก
 การใช้สารสกัดจากใบบัวบกทาบริเวณผิวหนังอาจมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ว่าการรับประทานใบบัวบกอาจไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก คนที่กำลังมีท้อง หรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากว่ายังไม่มีหลักฐานด้านการแพทย์พอเพียงที่จะส่งเสริมถึงเรื่องความปลอดภัยต่อเด็ก คุณแม่ หรือทารกในท้อง
การรับประทานใบบัวบกบางทีอาจเป็นต้นเหตุให้กำเนิดความย่ำแย่ต่อตับ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคตับหรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับไม่สมควรรับประทานใบบัวบก เพราะเหตุว่าอาจส่งผลให้อาการต่างๆห่วยลงได้ รวมถึงไม่ควรกินใบบัวบกร่วมกับยาที่มีผลต่อตับในกรุ๊ปกลุ่มนี้ อย่างเช่น พาราเซตามอล อะไม่โอดาโรน คาร์บามาซีป่ายปีน ไอโซไนอะสิด ซิมวาสแตตำหนิน เป็นต้น
การรับประทานใบบัวบกในจำนวนมากอาจจะเป็นผลให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนได้มากกว่าปกติ หรือถ้าเกิดกินร่วมกับยานอนหลับหรือยาความกลุ้มอกกลุ้มใจน้อยลง ดังเช่นว่า โคลนาซีแพม ลอราซีแพม ฟิโนบาร์บิทอล และโซลพิเดม
ควรหยุดกินใบบัวบกอย่างต่ำ 2 สัปดาห์สำหรับคนที่คิดแผนเข้ารับการผ่าตัด เพราะเหตุว่าบางทีอาจเกิดปฏิกิริยากับยาที่ใช้สำหรับการผ่าตัดและก็อาจทำให้รู้สึกง่วงได้มากขึ้น
ควรหารือหมอก่อนรับประทานใบบัวบก แม้อยู่ในช่วงการใช้ยาหรืออาหารเสริมประเภทอื่นๆอยู่เป็นประจำ เนื่องจากอาจจะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงปรารถนาถ้าเกิดกินใบบัวบกในระหว่างการดูแลและรักษาของผู้ป่วยโรคกังวล คนเจ็บโรคเบาหวาน คนที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง คนป่วยอัลไซเมอร์ รวมถึงคนที่ใช้ยานอนหลับหรือยาความกังวลใจลดลง รวมทั้งผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ ด้วยเหตุว่าอาจจะทำให้กดประสาทเพิ่มมากขึ้น http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรบัวบก

2

เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน ขี้กลากโรคเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มแพทย์ แก้มแพทย์เล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในหนังสือเรียนยาไทยกล่าวว่า เหงือกปลาแพทย์สามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกชนิด
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณเด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้กระทั้ง โรคอีสุกอีใส ที่เกิดจากเชื้อไวรัสก็จะลดลงลง
สมุนไพร เหงือกปลาแพทย์เป็นไม้พุ่มที่มีขนาดกลางๆสูงประมาณ 1-2 เมตร ส่วนของลำต้นและใบจะมีหนามมีหนาม ใบหนามแข็งรวมทั้งมีขอบเว้าหนามแหลมใบออกเป็นคู้ตรงข้ามกัน ส่วนของดอกจะออกเป็นช่อตามยอด กลีบจะมีสีขาอมม่วง มี 4 กลีบแยกจากกันผลเป็นฝักสีน้ำตาล มี เมล็ด จะสามารถพบได้มากตามชายน้ำ ริมฝั่งลำคลองบริเวณปากแม่น้ำ
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่อง แม้จะรุนแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วไป แม้กระนั้นเมื่อใช้เหงือกปลาหมอเป็นทั้งยารับประทานรวมทั้งต้มน้ำอาบติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 3 ข้างขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะลดลงลงอย่างชัดเจน สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังด้วย
แนวทางปรุงยาและวิธีใช้ยาก็มีหลายวิธีเป็น
แนวทางต้มยากินและอาบ
เอาเหงือกปลาแพทย์สดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มกินขณะอุ่นๆครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้าตรู่-เย็น ก่อนอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น จำต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำจะต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดซะก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง เช้าตรู่-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แต่ว่าถ้าเกิดมีเหงือกปลาแพทย์เยอะๆ บางครั้งอาจจะต้มยาเพื่อเป็นการแช่ตลอดตัวในอ่างก็ยิ่งดี
ขั้นตอนการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมอทั้ง 5 ทีตากแห้งมาบดเป็นผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. คนแก่กินทีละ 2 เม็ด เด็กบางทีก็อาจจะรับประทานทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุแล้วก็น้ำหนัก กินวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร ยามเช้า-เย็น กินไปเรื่อยจวบจนกระทั่งจะหาย แต่หากเป็นโรคผิวหนังจากภูมิต้านทานขาดตกบกพร่องก็ต้องกินตลอดไป

ขั้นตอนการทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการร่อนเป็นผุยผงละเอียดเหมือนแป้งใส่แคปซูลขนาด 250 มก. คนแก่รับประทานทีละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนที่จะรับประทานอาหาร เด็กต่ำลงตามส่วน
เหงือกปลาแพทย์มีสรรพคุณมากไม่น้อยเลยทีเดียว เป็นต้นว่า
-ราก มีสรรพคุณสำหรับในการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ แล้วก็ใช้ขับเสลด
-ต้น มีคุณประโยชน์รักษาโรคหลากหลายประเภท โดยใช้ต้นตำผสมน้ำรักษาวัณโรค อาการผอมโซ หากใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้สรรพคุณทางยาไม่เหมือนกันออกไปอีก
-ทั้งยังต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกประเภท
-อีกทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มกินแก้พิษไข้ทรพิษ ฝีทั้งผอง ผลกินเป็นยาขับเลือดรอบเดือน นอกเหนือจากนั้น ถ้าหากตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ทั้งต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาหมดทั้งตัว
- ทั้งยังต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะ
- ตำเอาน้ำกินกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน โรคกุฏฐัง เป็นไข้จับสั่น
- อีกทั้งต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บข้างหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนกิน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผอมเกร็งเหลืองตลอดตัว กินทุกวัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือนิดนึง หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 แท่ง ต้มกับน้ำจนถึงเดือดให้งวดก็เลยชูลง กลั้นใจรับประทานขณะอุ่นจนถึงหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนทั้งตัว วิงเวียน ตามัว เจ็บระบมหมดทั้งตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาแพทย์" ทั้งยัง 5 รวมราก กับ อาหารมื้อเย็นเหนือ อาหารเย็นใต้ จำนวนเท่ากัน กะตามอยากได้ ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้าตรู่ ช่วงกลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย แล้วก็ต้องระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาแพทย์" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินทุกวี่วัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค ปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกจำพวกหาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 พวก หูดี
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่ทราบเมื่อยล้า
กินได้ 7 เดือน ผิวงาม
กินได้ 8 เดือน เสียงไพเราะเพราะพริ้ง
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนถ้าเกิดผิวแตกหมดทั้งตัวหายได้ ทั้งสิ้นที่บอกเป็นหนังสือเรียนยาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ รู้ไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

3

ทับทิม
ทับทิม ชื่อสามัญ Pomegranate
ทับทิม ชื่อวิทยาศาสตร์ Punica granatum L. จัดอยู่ในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE)
ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิหร่านทางตอนใต้ของอัฟกานิสถาน ผลไม้ชนิดนี้จะชอบอากาศหนาวเป็นพิเศษ ยิ่งหนาวมากเท่าไหร่ เนื้อทับทิมนั้นจะมีสีแดงเข้มมากขึ้นเท่านั้น และยังเป็นผลไม้มงคลของคนจีนอีกด้วย ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ดมากจึงสื่อความหมายถึงการมีลูกชายมาก ๆ ด้วยนั่นเอง โดยกิ่งใบของทับทิมก็นำมาใช้ในพิธีการต่าง ๆ ที่มีน้ำมนต์ในการประกอบพิธีหรือนำมาใช้พรมน้ำมนต์เพราะเชื่อว่ามีไว้ติดตัวจะช่วยในเรื่องการคุ้มครองจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย
ทับทิมยังถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ โดยประโยชน์ของทับทิมและสรรพคุณของทับทิมนั้นมีมากมาย ด้วยทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำทับทิมจึงมีวิตามินซีสูงและยังประกอบด้วยเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย อย่างเช่น บรรเทาอาการของโรคหัวใจ รักษาความดันโลหิตสูง ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวขอเลือด รักษาโรคท้องเดิน โรคบิด เป็นต้น
ประโยชน์ของทับทิม
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยในการชะลอวัย
น้ำทับทิมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง ด้วยการนำน้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชามาทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก
น้ำทับทิมช่วยเพิ่มความสดชื่น แก้กระหาย คลายร้อนได้เป็นอย่างดี
ช่วยระงับกลิ่นปากได้อีกด้วย
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง บรรเทาอาการหวัด
ช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด
ทับทับมีวิตามินซีสูงมาก และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี และกรดโฟลิกอีกด้วย
ใบทับทิมใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมนต์ในการประกอบพิธี
ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์
ช่วยในการปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน
ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
ช่วยในการบำบัดอาการของโรคเบาหวาน
ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาอักเสบ
น้ำต้มเปลือกทับทิมช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจ ด้วยการช่วยเสริมสุขภาพหัวใจให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยบำรุงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด
ช่วยในการฟอกไตและท่อปัสสาวะ
ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง
มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้อาการระดูขาว ตกเลือด
ช่วยบำรุงสุขภาพตับให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยบำรุงและต่อต้านอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
เปลือกทับทิมสามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้ เพราะมีสารในกลุ่มแทนนินอยู่ในปริมาณมาก
เปลือกทับทิมมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ
เปลือกผลช่วยรักษาแผลหิด กลากเกลื้อน
เปลือกของทับทิมช่วยต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
ยาต้มจากเปลือกผลช่วยรักษาอาการอุจจาระร่วงได้ โดยช่วยลดจำนวนครั้งในการขับถ่ายและทำให้ระยะเวลาเริ่มถ่ายครั้งแรกนานขึ้น

เปลือกต้นและเปลือกรากของทับทิมสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลมได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำเปลือกของรากและต้นที่ยังสด ๆ ประมาณครึ่งกำมือ เติมกานพลูลงไปเล็กน้อยเพื่อแต่งรส นำมาต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือถ้วยครึ่ง แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงจึงรับประทานยาถ่าย เช่น ดีเกลืออีก 2 ช้อนโต๊ะตามไปอีกครั้งหนึ่ง
ดอกทับทิมใช้ห้ามเลือดได้ ด้วยการนำดอกแห้งมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาทาหรือโรยใส่บริเวณบาดแผล
ดอกทับทิมช่วยแก้อาการหูชั้นในอักเสบ
ใบของทับทิมสามารถนำมาอมกลั้วคอหรือทำเป็นยาล้างตาก็ได้
ทับทิมช่วยลดปัญหาผมร่วง ด้วยการนำยาพอกที่ได้จากใบ แล้วนำมาพอกหนังศีรษะ
ชาวอินเดียนำน้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกของทับทิมมาปรุงเป็นยาธาตุ สมานลำไส้ บำรุงหัวใจ
ทับทิมช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 13 ชนิด โดยช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
ช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อ ทับทิม ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม
ประโยชน์ของทับทิมน้ำตาล 13.67 กรัม
เส้นใย 4 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
โปรตีน 1.67 กรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.377 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม 10%
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม 12%
วิตามินอี 0.6 มิลลิกรัม 4%
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม 4%
ธาตุแคลเซียม 10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.119 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.35 มิลลิกรัม 4%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ http://www.disthai.com/

4

ราชพฤกษ์
ภูมิหลังของต้นราชพฤกษ์
   จากอดีตกาลที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางราชการมีความพากเพียรหลายทีในการกำหนดให้มีเครื่องหมายประจำชาติไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นการกำหนด ต้นไม้ และ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มต้นที่กรมป่าไม้ได้ชวนให้ราษฎรพอใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ตอนปี พุทธศักราช2494 โดยรัฐบาลลงความเห็นให้ถือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีประโยชน์จำพวกต่างๆมากไม่น้อยเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ คงจะนับว่าเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ราชพฤกษ์
   กระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อระบุเครื่องหมายต้นไม้รวมทั้งสัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ ไม้มงคลที่มีคุณประโยชน์แล้วก็รู้จักกันอย่างล้นหลามเป็นต้นไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวพันกับขนบธรรมเนียมไทยและประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอตอนนั้นมิได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเครื่องหมายที่บอกถึงความเป็นเอกราชยจึงมีหลากหลาย ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ สัตว์ ดอกไม้ ที่ชาวไทยเคยชินแล้วก็พบเจอบ่อยครั้ง ดังเช่นว่า พระปรางค์วัดย่ำรุ่งฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เช่นเดียวกับ ต้นราชพฤกษ์ และ ช้างเผือก ยังคงถูกสรรเสริญให้เป็นเครื่องหมายประจำชาติตลอดมา
            ปี พุทธศักราช2530 มีการเกื้อหนุนให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกครั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการช่วยเหลือให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วราชอาณาจักรจำนวน 99,999 ต้น เวลานี้ก็เลยมีต้นราชพฤกษ์อยู่ล้นหลามทั่วทั้งประเทศไทย
            บทสรุปเรื่องสัญลักษณ์ประจำชาติดูเหมือนจะยังกำกวม กระทั่งช่วงปี พุทธศักราช2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวข้างต้นกลับมาเสนออีกที รวมทั้งมีผลสรุปเสนอให้มีการกำหนดเครื่องหมายประจำชาติ 3 สิ่งเป็น ดอกไม้ สัตว์และสถาปัตยกรรม แล้วก็การพินิจก่อนหน้านี้เสนอให้กำหนดดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติหมายถึงช้างไทย แล้วก็สถาปัตยกรรมประจำชาติคือ ศาลาไทย
            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติเพราะเหตุว่ามีความเหมาะสมในหลายๆด้านเป็นเป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้เป็นต้นไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน แข็งแรง ปลูกขึ้นได้ดีทั่วทุกภาคของประเทศ ฯลฯไม้ท้องถิ่นที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อต่างกันในแต่ละภาค อย่างเช่น ราชพฤกษ์ คูน อ๋อดิบ ราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลใช้ประโยชน์ในพิธีหลักๆตัวอย่างเช่น ลงหลักเมือง ลงเสาฤกษ์ ทำคฑาจอมพลรวมทั้งยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในช่วงฤดูร้อนราชพฤกษ์จะออกดอกสะพรั่งอีกทั้งต้น ช่อดอกมีทรงสวย สีเหลืองสวยงามเป็นเครื่องหมายของพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำประเทศ แล้วก็เป็นสีเดียวกับวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกจากนี้ความสวยสดงดงามของช่อดอก และก็ความหมายที่ดียังถูกจำลองแบบแต่งแต้มไว้บนอินทรธนูของข้าราชการอีกด้วย
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
ส่งดอกไม้ประจำชาติไทย คือ ดอกราชพฤกษ์ (Golden shower) หรือ ชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ของ ดอกราชพฤกษ์เป็นCassia fistula
           ดอกไม้สีเหลืองอร่ามที่พบได้ทั่วไปมองเห็นได้ทั่วๆไปตามข้างถนนสายต่างๆคือสีสันของ ดอกราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน ต้นไม้มงคลที่ได้รับการเชิดชูให้เป็น ดอกไม้ประจำชาติไทย อีกทั้งเชื่อว่าฯลฯไม้ที่ปลูกไว้แล้วจะเสริมให้คนภายในบ้านมีเกียรติขั้นชื่อ เสียงมากเพิ่มขึ้นด้วย ยิ่งใกล้เข้าสู่เวลาแห่งการเปิดประตูต้อนรับเพื่อนบ้านอาเซียนกันแล้ว ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเนื้อหาสาระเกี่ยวกับดอกไม้ประจำชาติไทยอย่าง ดอกราชพฤกษ์ มาให้ทำความรู้จักกันจ้า
เรื่องราวดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้ประจำถิ่นของเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน ประเทศอินเดีย ประเทศพม่า และก็ศรีลังกา โดยนิยมนำมาปลูกกันมากมายในเขตร้อน สามารถเจริญเติบโตได้ดีใน และเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แม้กระนั้นก็ยังมิได้บทสรุปชัดเจน จนกระทั่งมีการลงชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ช่วงวันที่ 26 ตุลาคม พุทธศักราช 2544

ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เพราะเหตุว่า ต้นราชพฤกษ์ มีดอกสีเหลืองยกช่อ ดูสง่างาม ทั้งยังยังมีสีตรงกับ สีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระมหากษัตริย์" และมีการเซ็นชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นเยี่ยมใน 3 เครื่องหมายประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และ 3. ดอก[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url] เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องด้วยเป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่รู้จักกันอย่างมากมาย และก็มีอยู่ทุกภาคของเมืองไทย
  • มีประวัติเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมสำคัญๆในไทยและก็เป็นต้นพืชที่มีความมงคลที่นิยมนำมาปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้นานาประการ ตัวอย่างเช่น ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังยังใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ เป็นต้น
  • มีสีเหลืองอร่าม พุ่มไม้งามเต็มต้น เทียบเป็นเครื่องหมายแห่งพุทธศาสนา
  • แก่ยืนนาน แล้วก็แข็งแรง
ลักษณะทั่วไป
           ฯลฯไม้ขนาดกึ่งกลาง สูงประมาณ 10-20 เมตร ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองงาม แต่ละช่อยาวราว 20-40 เซนติเมตร โดยกลีบดอกจะเป็นสีเหลือง 5 กลีบ ส่งผลยาวประมาณ 30-60 ซม. มีกลิ่นแรง และมีเม็ดที่เป็นพิษ
การปลูกดอกราชพฤกษ์
           นิยมนำมาปลูกด้วยเมล็ด โดยจะมีการเจริญวัยช้าในตอน 1-3 ปีแรก แม้กระนั้นต่อไปจะมีการเติบโตเร็วขึ้น รวมทั้งมีดอกตอนอายุประมาณ 4-5 ปี
การรักษา
           แสง : ต้องการแดดจัด หรือกลางแจ้ง รวมทั้งเจริญวัยได้ดีในที่โล่งแจ้งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ชอบน้ำน้อย ควรรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพอากาศร้อนเจริญ
           ดิน : สามารถเติบโตเจริญในดินร่วนซุย ดินร่วนซุยคละเคล้าทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมให้ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยธรรมชาติ ในอัตรา 2-3 โลต่อต้น และควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
การขยายพันธุ์
           แนวทางขยายพันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยมเป็นการเพาะเม็ด โดยใช้เม็ดสดๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แต่จำต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน เพราะว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ จากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งเอาไว้ผ่านวัน แล้วก็ค่อยเทน้ำออกให้เหลือปริมาณพอเพียงหล่อเลี้ยงเม็ดได้ แล้วหลังจากนั้นทิ้งไว้อีกคืนก็จะพบรากผลิออก รวมทั้งสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความศรัทธาเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าฯลฯไม้มงคล ที่ควรปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งถ้าเกิดปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยให้มีเกียรติตำแหน่ง เกียรติ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ เนื่องจากเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนาม http://www.disthai.com/

5

กระเทียม
ลักษณะทางกายภาพและเคมีที่ดี:
           จำนวนน้ำไม่เกิน 68% w/w  ปริมาณเถ้ารวมไม่เกิน 2.5% w/w  จำนวนเถ้าที่ไม่ละลายในกรดไม่เกิน 1% รวมทั้งปริมาณสารสกัดเฮกเซน แอลกอฮอล์ และก็น้ำ ราวๆ 0.52, 0.50 และก็ 15% w/w  ตามลำดับ เภสัชตำรับอังกฤษระบุปริมาณสาร alliin ไม่น้อยกว่า 0.45 % w/w
สรรพคุณ:
           ตำราเรียนยาไทยใช้หัวกระเทียมเป็นยาขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุทุพพลภาพ  ของกินไม่ย่อย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ลดไขมัน รักษาปอด แก้ปอดพิการ  แก้อุจจาระเป็นมูกเลือด  บำรุงธาตุ  กระจายเลือด  ขับเยี่ยว แก้บวมพุพอง  ขับพยาธิ  แก้ตาปลา  แก้ตาแดง น้ำตาไหล  ตาฝ้า รักษาโรคลักปิดลักเปิด  รักษามะเร็งคุด   รักษาริดสีดวง แก้ไอ  คุมกำเนิด แก้สะอึก  บำบัดรักษาโรคในอก แก้พรรดึก รักษาฟันเป็นรำมะนาด  แก้หูอื้อ แก้อัมพาต  ลมเข้าข้อ  แก้อาการชักกระตุกของเด็ก พอกหัวเหน่าแก้ขัดเบา รักษาวัณโรค  แก้โรคประสาท แก้โรคหืด แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงสุขภาพทางกามคุณ  ขับเลือดรอบเดือน  บำรุงเส้นประสาท   แก้ไข้   แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ปวดกระบอกตา แก้โรคในปาก แก้หวัดคัดจมูก   แก้ไข้เพื่อเสลด ทำให้ผมเงาสวย  บำรุงเส้นผมให้ดกดำ ใช้ข้างนอก รักษาแผลเรื้อรัง รักษากลากเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง  ทาภายนอกทุเลาลักษณะของการปวดบวมตามข้อเพราะเป็นยาพอกให้ร้อน ใช้พอกตรงที่ถูกแมลง ตะขาบ แมงป่องต่อยเป็นส่วนประกอบในตำรับยาเหลืองปิดสมุทร (แก้ท้องเสีย), ยาประสะไพล (ขับน้ำคร่ำ ในสตรีหลังคลอด), ยาธาตุบรรจบ (แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  ท้องเสีย ใช้กระเทียม 3 กลีบ ตีชงน้ำร้อน ใช้เป็นน้ำกระสายยา สำหรับยาผง)
         บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการปรับปรุงระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้กระเทียมในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ทุเลาอาการปวดตามเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์รักษาระดูมาไม่บ่อยนักหรือมาน้อยกว่าปกติ ทุเลาอาการปวดรอบเดือน  และขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร
แบบแล้วก็ขนาดวิธีการใช้ยา:
กระเทียมสด 2-5 กรัมต่อวัน กระเทียมแห้ง 0.4-1.2 กรัมต่อวัน น้ำมันกระเทียม 2-5 มิลลิกรัมต่อวัน สารสกัด 300-1,000 มก.ต่อวัน หรือแบบอย่างยาอื่นๆที่มีสาร alliin 4-12 มก.หรือสาร allicin 2-5 มก.
ขนาดและการใช้สำหรับอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด:
ใช้กระเทียม  5-10  กลีบ ซอกซอยละเอียด  รับประทานหลังรับประทานอาหาร หรือพร้อมอาหาร
ขนาดและวิธีใช้สำหรับรักษากลากเกลื้อน:
                   ฝานกระเทียมถูเสมอๆบริเวณที่เป็น  หรือตำแล้วขยี้ทาบริเวณที่เป็น  วันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะทายาใช้ไม้บางๆเล็กๆที่ได้ฆ่าเชื้อโรคแล้ว (โดยการแช่ในแอลกอฮอล์ 70%  หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที) ขูดรอบๆที่เป็น ให้ผิวหนังแดงๆก่อนทา เพื่อตัวยาซึมลงไปเจริญขึ้น เมื่อหายแล้วให้ป้ายยาต่ออีก 7-10 วัน
ขนาดแล้วก็วิธีการใช้สำหรับแก้ไอ:
                   หนังสือเรียนยาไทยให้ใช้กระเทียม และขิงสดอย่างละเสมอกันตำละเอียด ละลายน้ำอ้อยสด คั้นเอาน้ำจิบแก้ไอ กัดเสมหะ ทำให้เสลดแห้ง หนังสือเรียนยาไทยบางตำรับให้คั้นกระเทียมกับน้ำมะนาวเพิ่มเติมเกลือใช้จิดหรือปัดกวาดคอ
ส่วนประกอบทางเคมี:
           น้ำมันหอมระเหย ราว 0.1-0.4% มีส่วนประกอบหลักเป็น allicin  ajoene  alliin  allyldisulfide diallyldisulfide ซึ่งเป็นสารประกอบกลุ่มกรุ๊ป organosulfur  สารในกลุ่มนี้ที่เจอในกระเทียมเช่น  สารกรุ๊ป S-(+)-alkyl-L-cysteine sulfoxides , alliin 1% , methiin 0.2% , isoalliin 0.06% แล้วก็ cycloalliin 0.1% รวมทั้งสารที่ไม่ระเหยเป็น สารกลุ่ม gamma-L-glutamyl-S-alkyl-L-cysteines , gamma-glutamyl-S-trans-1-propenylcysteine 0.6% และ gamma-glutamyl-S-allylcysteine รวมราว 82% ของสารกรุ๊ป organosulpur ทั้งหมดทั้งปวง ส่วนสารกลุ่ม thiosulfinates (allicin) สารกรุ๊ป ajoenes (E-ajoene รวมทั้ง Z-ajoene) สารกรุ๊ป vinyldithiins (2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)-1,2-dithiin) และสารกรุ๊ป sulfides (diallyl disulfide , diallyl trisulfide) ซึ่งเป็นสารที่มิได้พบในธรรมชาติแต่ว่ามีต้นเหตุจากการเสื่อมสลายของสาร allin ซึ่งถูกย่อยสลายด้วยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alliinase ต่อไปก็เลยเกิดการรวมตัวกันใหม่ได้สาร allicin ซึ่งเป็นสารที่ไม่เสถียร ย่อยสลายได้สารกลุ่ม sulfides อื่นๆดังนั้นกระเทียมที่ผ่านวิธีการสกัด การกลั่นน้ำมัน หรือความร้อน สารประกอบโดยมากที่พบเป็นสารกรุ๊ป diallyl sulfide , diallyl disulfide , diallyl trisulfide รวมทั้ง diallyl tetrasulfide ส่วนกระเทียมที่ผ่านกระบวนการหมักในน้ำมัน สารประกอบที่พบส่วนมากเป็น 2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)1,2-dithiin , E-ajoene และก็ Z-ajoene ปริมาณของ alliin ที่เจอในกระเทียมสด โดยประมาณ 0.25-1.15% สารกลุ่มอื่นๆที่พบ เช่น สารเมือก และ albumin, scordinins, saponins 0.07% , beta-sitosterol 0.0015%, steroids, triterpenoids รวมทั้ง flavonoids
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา: 
ฤทธิ์ป้องกันตับจากสารพิษ
      การทดสอบป้อนสาร diallyl disulfide (DADS) จากกระเทียมให้แก่หนูขาว ขนาดวันละ 50 แล้วก็ 100 มิลลิกรัม/กก. น้ำหนักตัว ในหนูแต่ละกลุ่ม นานต่อเนื่องกัน 5 วัน ก่อนรั้งนำให้ตับเกิดการเสียหายด้วยสาร carbon tetrachloride (CCl4) พบว่า DADS ทั้งคู่ขนาดสามารถคุ้มครองตับเป็นพิษได้ การตรวจทานลักษณะทางจุลกายส่วนศาสตร์พบว่าสามารถยั้งความย่ำแย่ของเซลล์ตับ โดยลดการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี aspartate transaminase (AST) รวมทั้ง alanine transaminase (ALT) ในตับลงได้ ลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบ และการเสียชีวิตของเซลล์ตับ เช่น Bax, cytochrome C, caspase-3, nuclear factor-kappa B, I kappa B alpha นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน และเอนไซม์ที่เกี่ยวพันในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้นว่า catalase, superoxide dismutase, glutathione peroxidase, glutathione reductase, glutathione S-transferase ผลจากการเรียนแสดงให้เห็นว่า สาร DADS จากกระเทียมมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องตับจากสารพิษ โดยกลไกกระตุ้นรูปแบบการทำงานของ nuclear factor E2-related factor 2 (Nrf2) ซึ่งเป็น transcription factor หรือโปรตีนที่ควบคุมการแสดงออกของยีนที่ทำหน้าที่คุ้มครองเซลล์ และก็เยื่อจากอนุมูลออกสิเจนที่ว่องต่อปฏิกิริยา การกระตุ้น Nrf2 ส่งผลเหนี่ยวนำการสร้างเอนไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระ และสร้างเอนไซม์ในระบบการกำจัดสารพิษออกมาจากร่างกายในขั้นตอนที่ 2 (detoxifying Phase II  enzyme) และก็ยั้ง nuclear factor-kappa B ส่งผลให้ลดการสร้างสารที่เกี่ยวเนื่องกับการอักเสบลง และปกป้องรักษาตับจากสารพิษได้ (Lee, et al, 2014)
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ
      ศึกษาฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบของสารสกัดน้ำโดยไม่ผ่านความร้อน (raw garlic) และสารสกัดกระเทียมที่ผ่านการต้มแล้ว เอามาทดสอบในหลอดทดลอง โดยใช้เนื้อเยื่อของกระต่าย พบว่า raw garlic สามารถยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase (ที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการสร้างสารอักเสบ) แบบ non-competitive รวมทั้ง irreversible จากการเล่าเรียนพบว่า raw garlic สามารถยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase ได้ โดยมีค่า IC50 ต่อเกล็ดเลือด,ปอด รวมทั้งเส้นโลหิตแดงในกระต่ายพอๆกับ 0.35, 1.10 รวมทั้ง 0.90 mg ในเวลาที่กระเทียมที่ต้มแล้วมีฤทธิ์ยับยั้ง cyclooxygenase ได้น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกระเทียมที่ไม่ผ่านความร้อน เพราะองค์ประกอบสำคัญในกระเทียมนั้นถูกทำลายตอนที่ให้ความร้อน จากผลการศึกษาเรียนรู้แสดงให้เห็นว่ากระเทียมคงจะมีคุณประโยชน์ในการป้องกันโรคเส้นโลหิตอุดตันได้ (Ali, 1995)
      จากการรวบรวมงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัย ที่ศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานการอักเสบของกระเทียม โดยสรุปพบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบผ่านหลายกลไก ดังนี้คือ ต่อต้านการอักเสบผ่าน T-cell lymphocytes โดยไปยั้ง SDF1a-chemokine-induced chemotaxis ส่งผลให้การมารวมกรุ๊ปกันของสารที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบน้อยลง, ยั้ง transendothelial migration of neutrophils ส่งผลให้ลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวจำพวก neutrophil ในแนวทางการอักเสบลง, ยั้งการหลั่งสาร TNFα ซึ่งเป็นสารเริ่มในกรรมวิธีอักเสบ, กดการผลิตอนุมูลไนโตรเจนที่รวดเร็วต่อการเกิดปฏิกิริยาการอักเสบ รวมทั้งการทำงานผ่าน ERK1/2 อีกทั้ง 2 กลไก อาทิเช่น การขัดขวาง phosphatase-activity (directly related with ERK1/2 phosphorylation) แล้วก็การเพิ่ม phosphorylation of ERK1/2 kinase (ผ่านทาง p21ras protein thioallylation) ส่งผลทำให้การอักเสบลดลง (Martins, et al, 2016)

ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
      การทดสอบความสามารถสำหรับเพื่อการต่อต้านเชื้อ Escherichia coli ซึ่งป็นเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  และก็การสกัดสดโดยแนวทางบีบบังคับแบบเย็น โดยใช้วิธี microdilution broth susceptibility test พบว่าการสกัดสดมีค่า MIC รวมทั้งค่า MBC ต่ำที่สุด (3.125กรัมต่อลิตร) รวมทั้งรองลงมาเป็น สารสกัดจากตัวทำละลาย เอทานอล เมทานอล รวมทั้งอะซิโตน ให้ค่า MIC และก็ MBC เท่ากัน (6.25กรัมต่อลิตร) แปลว่าสารสกัดสดมีโภคทรัพย์ในการยั้ง แล้วก็ทำลายเชื้อแบคทีเรียดีที่สุด เนื่องมาจากในกระเทียมสดมี allin เป็นสารประกอบกำมะถันที่สำคัญ เมื่อกระเทียมสดถูกบด หรือผ่านขั้นตอนดัดแปลง allinase จะถูกปล่อยออกมาจากภายใน vacuole ของเซลล์ แล้วก็อาศัยน้ำเป็นกลไกสำหรับเพื่อการทำปฏิกิริยาได้เป็น allicin ซึ่งเป็นสารที่มีความรู้ความเข้าใจสำหรับในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งขั้นตอนการสกัดสดช่วยทำให้แนวทางการทำปฏิกิริยาระหว่างสาร allin และก็ allinase ดีขึ้น ด้วยเหตุว่าจะต้องใช้เวลาสำหรับในการบีบคาดคั้นน้ำกระเทียมซึ่งช่วงเวลาดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วช่วยให้การทำปฏิกิริยาระหว่างสารมากเพิ่มขึ้น อาจจะทำให้ได้ allicin เพิ่มขึ้น (ภรภัทร และรังสินี, 2554)
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
         เมื่อนำสารสกัดกระเทียมที่ได้จากการบ่มสกัด (aged garlic extract (AGE) ด้วย 20 % เอทานอล ตรงเวลา 20 เดือน ที่อุณหภูมิห้อง นำมาทดลองการต่อต้านการเกิดปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชันของไลโปโปรตีนจำพวกความหนาแน่นต่ำ หรือต้านทานการเกิด oxidized LDL (ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว) โดยนำ LDL ที่แยกได้จากคนมาทดสอบในสภาวะที่มีหรือไม่มี AGE โดยใช้ CuSO4 และก็ 5-lipoxygenase รั้งนำให้เกิด oxidized LDL รวมทั้งทดลองสารสกัดของ AGE ผลการทดลองพบว่า AGE มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระโดยลดการผลิต superoxide ion (อนุมูลอิสระของออกสิเจน) และลดการเกิด lipid peroxide (ออกซิเดชันของไขมัน)  โดย AGE 10%v/v เมื่อใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สามารถยับยั้งการเกิด superoxide ได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ของ AGE ให้ผล 34%  ฤทธิ์ลดการเกิด lipid peroxidation ของ LDL พบว่าสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ลดการเกิด lipid peroxidation ที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำของ Cu2+ และก็ 5-lipoxygenase ได้ 81% รวมทั้ง 37% ตามลำดับ สรุปได้ว่า AGE ส่งผลยั้งการเกิด oxidation ของ LDL โดยลดการผลิต superoxide และก็ยั้งการเกิด lipid peroxide  ฉะนั้น AGE ก็เลยอาจมีหน้าที่สำหรับเพื่อการป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว (atherosclerotic disease) ได้ (Dillon, et al, 2003)
      การเรียนรู้ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  และการสกัดสดโดยแนวทางบีบบังคับแบบเย็น ทดลองโดยกรรมวิธียั้งอนุมูลอิสระ DPPH, การต้านออกสิไดส์จากสาร hydrogen peroxide (hydrogen peroxide (H2O2) scavenging activity ผลของการทดสอบฤทธิ์ยั้งอนุมูลอิสระ DPPH พบว่าการสกัดกระเทียมด้วยตัวทำละลายอะซิโตน ให้ค่า IC50 น้อยที่สุด เท่ากับ 3.58±0.02 mg/ml รองลงมา ได้แก่ สารสกัดเมทานอล เอทานอล และการสกัดสด เป็นลำดับ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 3.72±0.03, 4.47±0.20 แล้วก็ 55.36±3.96 mg/ml เป็นลำดับ  ผลการต้านทานสารออกซิไดซ์ที่ร้ายแรง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) พบว่าสารสกัดด้วยตัวทำละลายเมทานอล มีสมบัติการต้านออกสิไดส์ของสาร H http://www.disthai.com/

6

ทับทิม
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม ยอดเยี่ยมราชินีที่ผลไม้ เป็นประโยชน์ทั้งต้น
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม สุดยอดราชินีแห่งผลไม้ มีคุณประโยชน์ทั้งยังต้น
อัปเดตปัจจุบันเมื่อวันที่ พฤษภาคม 3, 2018 ราวเวลาการอ่าน: 2 นาที
แชร์บทความนี้
[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม[/url]สำเร็จไม่ที่นิยมกินกันมากมาย รวมทั้งขึ้นชื่อลือนามในเรื่องของคุณค่าที่มากมาย จนได้รับสมญาว่า ราชินีที่ผลไม้ พูดกันว่าทับทิมนั้นคือผลไม้ที่ถูกประยุกต์ใช้ในแวดวงแพทย์มาแล้วนับพันปี ในขณะนี้ทับทิมนับว่าเป็นผลไม้ที่นิยมนำมาปลูก และรับประทานกันทั่วทั้งโลก สามารถหารับประทานได้ง่ายในประเทศไทย พินิจได้จากร้านค้าขายน้ำทับทิม หรือผลทับทิมสด ที่แทบมีอยู่ตามถนนหรือทุกตลาดในประเทศไทย
ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากทับทิมมีเยอะมาก ในเรื่องของสารอาหาร และก็การป้องกันโรค
วิตามินซีสูงมาก
ทับทิมนับว่าเป็นผลไม่ที่มีวิตามินซีสูงมาก ในน้ำทับทิมเพียง 1 แก้ว มีวิตามินซีถึงจำนวนร้อยละ 40 ของปริมาณที่พวกเราอยากในหนึ่งวัน (สำหรับผู้ใหญ่) ด้วยจำนวนวิตามินซีที่สูงในระดับนี้จึงมีคุณประโยชน์สำหรับในการลดความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเป็นโรคหวัด หรือแพ้อากาศได้อย่างยอดเยี่ยม
ช่วยทำนุบำรุงผิวพรรณ
การรับประทานทับทิมสด หรือน้ำทับทิมนั้น จะช่วยทำให้ผิวพรรณของเรามองสดใส เพราะเหตุว่าทับทิมเป็นผลเหมาะมีสรรพคุณสำหรับในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสำหรับเพื่อการชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของพวกเรา รวมทั้งด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงจึงช่วยในเรื่องทำให้ผิวกระจ่างขาวสวยใส นอกเหนือจากนั้นพวกเรายังสามารถใช้น้ำทับทิมราวๆ 1 ช้อนชา ทาบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้มองเต่งตึงมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย ผลดีในข้อนี้ของทับทิมสามารถยืนยันได้จากการที่ในตอนนี้ มีเครื่องแต่งหน้าหรือครีมหลายอย่างได้นำทับทิมไปเป็นส่วนประกอบ
เส้นเลือดและหัวใจ
ในทางการแพทย์มีการศึกษาค้นคว้าแล้วพบว่าทับทิม มีสรรพคุณช่วยในการทำให้การไหลเวียนของเลือด ลดภาวการณ์ขาดเลือดในผู้เจ็บป่วยโรคหัวใจ ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าคนที่มีความดันโลหิตสูง เมื่อกินน้ำทับทิมวันละ 50cc จะช่วยลดระดับความดันเลือดได้ร้อยละ 5 ช่วยลดสภาพการณ์การแข็งตัวของไขมันในหลอดเลือดได้อีกด้วย
ลดความเสี่ยงสำหรับในการเกิดโรคมะเร็ง
เนื่องมาจากคือผลไม้ที่มีค่าการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูง ก็เลยช่วยลดการเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี มีงานศึกษาวิจัยพบว่า การรับประทานทับทิมช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็งถึง 13ช นิด รวมทั้งยังสามารถช่วยทำลายเซลล์ของมะเร็งในหลอดของกิน และก็ไส้ได้อีกด้วย
ผลดีอื่นๆของทับทิม
นอกจากสรรพคุณหลักที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว ทับทิมยังมีสรรพคุณอื่นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ช่วยทุเลาอาการแพ้ท้องในหญิงมีท้อง ช่วยปรับสมดุลในวัยหมดระดู ลดความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเป็นโรคสูญเสียความทรงจำในคนแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน เสริมสุขภาพกระดูกลดการเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคกระดูกพรุน ป้องกันการเสื่อมสรรถภาพทางเพศ ลดการตกขาว กล่าวได้ว่ามีสรรพคุณเยอะมากจริง
 นอกเหนือจากส่วนที่พวกเรานิยมรับประทานกันอย่างเม็ดแล้ว องค์ประกอบอื่นของทับทิมก็มีคุณประโยชน์ไม่แพ้กัน ทั้งเป็นยาแล้วก็สมุนไพร
ใบ: สามารถทำน้ำยาบ้วนปากหรือล้างตาได้ ยาพอกที่ทำจากใบสามารถช่วยบรรเทาอาการผมหล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
เปลือก: ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของพวกเราใช้รักษา แผลหิด กากเกลื้อน มีสรรพคุณเกี่ยวกับการรักษาโรคในทางเดินของกิน ตัวอย่างเช่นรักษาอาการท้องเสียได้
เปลือกของลำต้น รวมทั้งราก: สามารถนำมาทำเป็นยาถ่ายพยาธิได้อีกด้วย โดยเอามาผสมกับกานพลู และก็บางทีอาจใส่ดีเกลือต้มกับน้ำโดยประมาณสามถ้วย มีสรรพคุณสำหรับในการถ่ายพยาธิ
ดอก: มีคุณประโยชน์ในการรักษาแผล และก็บรรเทาอาการอักเสบของหูชั้นใน
ทับทิมนับว่าเป็นผลไม้ที่เป็นประโยชน์ในทุกส่วนของต้น ไม่ใช่เพียงแต่เม็ด หรือน้ำทับทิม ก็เลยไม่สนเท่ห์ใจเลยที่ทับทิมจะได้รับฉายานามว่า "ราชชินีแห่งผลไม้"
โรครวมทั้งอาการอื่นๆยกตัวอย่างเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เจ็บกล้ามเนื้อหลังการบริหารร่างกาย กรุ๊ปอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแดด การตำหนิดเชื้อทริวัวโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง แล้วก็อื่นๆยังจะต้องศึกษาค้นคว้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมอีกเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับคุณภาพรวมทั้งความปลอดภัยของทับทิมสำหรับเพื่อการรักษาโรค
ความปลอดภัยสำหรับการรับประทานทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยธรรมดาการกินน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัย แม้กระนั้นในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเป็นผลข้างๆจากการดื่มน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพร่างกาย การรับประทานรากรวมทั้งลำต้นของทับทิมในจำนวนมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมออกจะปลอดภัยสำหรับในการกินหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แม้กระนั้นอาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้บางส่วนในบางราย ได้แก่ อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจไม่สะดวก
การกินน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร แต่ยังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานหรือใช้ทับทิมในแบบอื่น ดังเช่น สารสกัดจากทับทิม ควรต้องขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการกินทุกคราว
น้ำทับทิมอาจจะก่อให้ความดันเลือดลดลดลงบางส่วน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้ป่วยที่มีสภาวะความดันต่ำอาการกำเริบ

ผู้ที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะกำเนิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
คนไข้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานทับทิมขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ เนื่องมาจากทับทิมนำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ก็เลยอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางประเภทอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ตัวอย่างเช่น ยาที่เกี่ยวกับแนวทางการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดระดับความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตติน ผู้ที่กินยาเป็นประจำหรือมีโรคประจำตัวควรขอคำแนะนำหมอก่อนจะมีการรับประทานเพื่อให้มีความปลอดภัย http://www.disthai.com/

หน้า: [1]