พัฒนาการทานาคา
เริ่มต้นจากการมองหาโอกาสจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พร้อมเฟ้นหาโอกาสใหม่บนตลาดอินโดไชน่า ก่อนจะปิ๊งไอเดียในการแปรรูปทานาคา สมุนไพรขึ้นชื่อของเมียนมาให้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ตามด้วยการตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตจากพนักงานประจำ สู่เจ้าของธุรกิจอย่างจริงจังในปี 2552
หลังจากนั้นเพียง 1 ปีครึ่งก็ลอนช์ผลิตภัณฑ์ตัวแรก "
แป้งฝุ่น ทานาคา" ลงจำหน่ายตลาดเมียนมาในปี 2554
"ศุภชัย จูพาณิชย์" ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มีความสุขทุกวัน จำกัด ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ภายใต้แบรนด์ "เดอลีฟ"กล่าวกับ ประชาชาติธุรกิจ ว่า เริ่มต้นธุรกิจนี้จากการมองหาโอกาสจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งถือว่าโชคดีที่ได้เป็นทีมบุกเบิกในยุคแรก ๆ ที่ได้เข้าไปสำรวจตลาดอินโดไชน่าให้แก่บริษัทที่ได้ทำงานประจำอยู่ในขณะนั้น โดยเมียนมาถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้เข้าไปสำรวจตลาดในช่วงแรก ๆ และพบว่า ทานาคา ซึ่งเป็นสมุนไพรท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อของประเทศนี้ เพราะมีสรรพคุณในการดูแลผิวที่หลากหลาย
และหลังจากนั้นไม่นานก็ตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงานประจำและมองหาพันธมิตร จากคอนเน็กชั่นที่มีอยู่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวขึ้น โดยใช้เวลาในการพัฒนา ศึกษา ทดลอง อยู่ 1 ปีครึ่ง ก่อนลอนช์สินค้าตัวแรกลงตลาด นั่นคือ แป้งฝุ่นทานาคา ภายใต้แบรนด์ "
เดอลีฟ" และส่งไปขายในเมียนมาก่อน ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเมียนมา เนื่องจากพฤติกรรมคนเมียนมาเริ่มเปลี่ยนไป จากการขยายตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับผลิตภัณฑ์ที่ลอนช์ออกไปนั้นตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกมากขึ้น
เมื่อประสบความสำเร็จในตลาดเมียนมาก็เริ่มนำสินค้าเข้ามาวางจำหน่ายในตลาดไทยพร้อม ๆ กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 1 โปรดักต์ ทำให้ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สกินแคร์หลากหลาย เช่น สบู่ ครีมบำรุงผิวหน้า แป้งอัดแข็งผสมรองพื้น เป็นต้น และเริ่มกระจายเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายต่าง ๆ ทั้ง
โมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าเพื่อสุขภาพ รวมถึงตัวแทนจำหน่ายในช่องทางออนไลน์
"โพซิชั่นนิ่งของแบรนด์ เดอลีฟ ที่วางไว้ตั้งแต่ต้น คือ สินค้าที่มีส่วนผสมจากสมุนไพร ในราคาจับต้องได้ เจาะกลุ่มผู้หญิงทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน อายุ 18-45 ปี ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้"
ขณะเดียวกันความท้าทายของแบรนด์จากนี้ไป คือ ต้องสลัดพื้นที่การเป็นแบรนด์สกินแคร์ที่มีแต่สินค้ากลุ่มทานาคาให้ได้ เพื่อขยายสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น เพราะตั้งใจวางให้ผลิตภัณฑ์จากทานาคาเป็นหัวหอกในการชิงส่วนแบ่งตลาดสกินแคร์ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
"ศุภชัย"บอกว่า นอกจากนี้สินค้าที่มีคุณภาพแล้ว อีกจุดที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักแก่ผู้บริโภคมากขึ้น คือ สื่อออนไลน์ ซึ่งบริษัทใช้เป็นสื่อหลักในการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับผู้บริโภค และยกระดับแบรนด์ด้วยการใช้ "แยม มทิรา" มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี
สเต็ปต่อไปนั้น "ศุภชัย" บอกว่า เตรียมต่อยอดแบรนด์เดอลีฟ สู่ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรของแต่ละประเทศ เช่น ไทยก็มีสมุนไพรที่ได้รับความนิยมหลากหลาย หนึ่งในนั้น คือ
ขมิ้น ซึ่งเตรียมจะพัฒนาเป็นสินค้าด้วย นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างหาสมุนไพรจากประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนเข้ามาพัฒนาด้วย
"เป้าหมายจากนี้ คือ การนำแบรนด์เดอลีฟสู่การเป็นแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรแห่งอาเซียน จากนี้ไปก็จะมีสินค้าบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสมุนไพรจากประเทศอื่น ๆ ด้วย และไม่จำกัดเฉพาะทานาคาเท่านั้น"
สำหรับทิศทางธุรกิจ 3 ปี จากนี้ "ศุภชัย" ตั้งเป้าหมายว่า จะเดินหน้าสร้างแบรนด์ต่อเนื่อง พร้อม ๆ กับพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มใหม่ ๆ ตอบโจทย์ลูกค้า และลุยขยายช่องทางจำหน่ายไปยังประเทศกลุ่มอาเซียนมากขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับตัวแทนจำหน่ายในมาเลเซีย อินโดนีเซีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายปีนี้ สเต็ปต่อไปจะเร่งนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในเวียดนาม กัมพูชา จากปัจจุบันที่จำหน่ายอยู่เพียง 2 ประเทศ คือ
เมียนมา และลาวเท่านั้น
ทั้งนี้คาดว่าผลจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จะทำให้สัดส่วนรายได้ส่งออกเพิ่มเป็น 70% และในประเทศ 30% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนส่งออก 40% และในประเทศ 60% ของยอดขายรวม