ผู้เขียน หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 237 ครั้ง)

anonchobpost

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2204
    • ดูรายละเอียด

โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)

  • โรคพาร์กินสัน คืออะไร ทุกท่านคงเคยพบเห็นผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นคนในครอบครัว หรืออื่นๆที่พบเห็นทั่วไป มีอาการ แขนและมือสั่นข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจ ๒ ข้าง ซึ่งมักสั่นในท่าพักที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร มีอาการเคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีอาการทรงตัวผิดปกติ  โดยปกติร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชราก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ "โรคพาร์กินสัน" ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า

    โรคพาร์กินสันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต (Parkinson’s disease) หรือโรคที่คนไทยสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง จึงทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้  ชื่อโรคพาร์กินสัน ได้มาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคนี้ในปี พ.ศ.๒๓๖๐ โรคพาร์กินสันมักพบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยมากจะพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย
    ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นต้นมา) คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง ๖๗.๔ ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย ๗๑.๗ ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง ๔๕ ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทอย่างโรค  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
    เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง “วันโรคพาร์กินสัน” ขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ “เจมส์ พาร์กินสัน” (James Parkinson; เป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ในบทความที่ชื่อว่า “Shaking Palsy”) และมีการใช้ดอกทิวลิปสีแดงเป็นสัญลักษณ์

  • สาเหตุของโรคพาร์กินสัน สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคนี้ยังไม่มีวิธีสำหรับป้องกัน และมียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้ ประมาณ 5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบตำแหน่งบนโครโมโซม (Chromosome) ชัดเจน และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะปรากฏอาการของโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นหลัก ที่จะปรากฏอาการเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีไปแล้ว  สำหรับสาเหตุการเกิดโรคที่เหลือไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สัญนิษฐานได้ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
  • ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด
  • ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
  • ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันต่อไป
  • หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปามีนมีจำนวนน้อย หรือหมดไป
  • สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์
  • สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น
  • ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย
  • การอักเสบของสมอง
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา
  • ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด
  • อาการของโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนั้นนอกจากจะมีอาการเด่น ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้วอาจเกิดมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียด ดังนี้
  • อาการสั่น ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆไปที่จะสั่นมากเวลาทำงาน เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่า สั่นประมาณ ๔-๘ ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่นๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะ หรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้
  • อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกาย จะมีความดึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ
  • อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหวในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อยๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนคอยพยุง
  • ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ จะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรกๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์
  • การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะ หน้าตาทื่อเวลาพูดก็จะมีมุมปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์
  • เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือๆ และเบามากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบ รัวและอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด
  • การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำได้ลำบากและตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก
  • การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบาก ช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวาบนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ
  • น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือ มีน้ำลายมาสอยอยู่ที่มุมปากสองข้าง และไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคพาร์กินสัน
  • อายุ หากแก่มากยิ่งขึ้นก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเยอะขึ้นเรื่อยๆโดยยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • กรรมพันธุ์ โดยพบว่าคนไข้ประมาณ 15-20% จะมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (ถ้าเกิดมีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ 3 เท่า รวมทั้งถ้ามี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าเป็นลำดับ)
  • เป็นคนที่สัมผัสกับสารกำจัดแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช ดื่มน้ำจากบ่อรวมทั้งอาศัยอยู่ในเขตกันดาร ด้วยเหตุว่ามีกล่าวว่าพบโรคนี้ได้มากในชาวนาชาวไร่ที่ดื่มน้ำจากบ่อ
  • เป็นผู้ที่หรูหราฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ เช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่และมดลูก หญิงวัยทองยังไม่ครบกำหนด ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่ว่าถ้าได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็บางทีอาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยเผชิญอุบัติเหตุที่กระทบทางสมอง
  • ยิ่งไปกว่านี้ยังมีรายงานว่า คนที่ขาดกรดโฟลิกจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเช่นกัน
  • แนวทางการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยธรรมดาถ้าเกิดคนป่วยปรากฏอาการแน่ชัด สามารถวิเคราะห์ได้จากลักษณะของการเกิดอาการรวมทั้งการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างรอบคอบ ช่วงแรกเริ่ม อาจวิเคราะห์ยาก จำเป็นจะต้องวินิจฉัยแยกโรคก่อนเสมอผู้ที่สงสัยว่าจะมีอาการป่วยเป็นโรคพาร์คินสัน ควรได้รับการตรวจวิเคราะห์จากอายุรเวชผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์


การวิเคราะห์โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) ก็เลยต้องแยกโรคอื่นๆที่มีอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือภาวการณ์พาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องด้วยการดูแลรักษาจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีอาการบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้เจ็บป่วย แล้วก็ความแปลกที่หมอตรวจเจอเป็นหลัก และก็ลักษณะของการมีอาการที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น แล้วก็ประวัติในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าคนไข้กำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อรับรองการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะอาการของโรคพาร์กินสันและก็มีลักษณะเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาที่ต่างกันออกไปเพียงแค่นั้น ดังเช่นว่า การตรวจค้นระดับพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวินิจฉัย โรค Normal pressure hydrocephalus ฯลฯ
ในอดีตแพทย์เข้าใจว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แม้กระนั้นในปัจจุบันเป็นที่รู้กันแน่นอนแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆรอบๆก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดน้อยลง หรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่สำหรับการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) จึงส่งผลให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งและสั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนี้ในตอนนี้การดูแลและรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองมีระดับสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งอาจทำเป็นโดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธี คือ

  • รักษาโดยใช้ยา ซึ่งถึงแม้ว่ายาจะไม่สามารถที่จะทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นหรือกลับมาแตกออกทดแทนเซลล์เดิมได้ แต่ก็จะมีผลให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีปริมาณพอเพียงกับความต้องการของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในขณะนี้เป็นยากลุ่ม LEVODOPA และยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยจากหมอ ตามสมควร)
  • ทำกายภาพบำบัด จุดหมายของการรักษาก็คือ ให้คนเจ็บกลับคืนสู่สภาพชีวิตที่ใกล้เคียงคนธรรมดาที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างดี สุขสบายพร้อมด้วยกายและก็จิตใจ ซึ่งมีหลักแนวทางปฏิบัติง่ายๆเป็น


ก) ฝึกการเดินให้เบาๆก้าวขาแม้กระนั้นพอดี โดยการเอาส้นตีนลงเต็มฝ่าเท้า และก็แกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการทรงตัวดี นอกเหนือจากนั้นควรหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรจะเป็นแบบส้นเตี้ย และพื้นจำต้องไม่ทำมาจากยาง หรืออุปกรณ์ที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่ควรให้นอนเตียงที่สูงเหลือเกิน เวลาจะขึ้นเตียงต้องเบาๆเอนตัวลงนอนตะแคงข้างโดยใช้ศอกกระทั่งถึงก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยเครือญาติจะต้องให้ความเข้าอกรู้เรื่องค่อยๆฝึกฝนผู้ป่วย แล้วก็ควรจะทำในสถานที่ที่เงียบสงบ

  • การผ่าตัด ส่วนใหญ่จะได้ผลดีในคนป่วยที่มีอายุน้อย แล้วก็มีลักษณะอาการไม่เท่าไรนัก หรือในคนที่มีอาการเข้าแทรกจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆอาทิเช่น อาการสั่นที่รุนแรง หรือมีการเคลื่อนแขน ขา มากไม่ปกติจากยา เดี๋ยวนี้มีการใช้แนวทางกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังไว้ในร่างกาย พบว่าเกิดผลดี แต่ว่าค่าใช้สอยสูงมากมาย ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมทั้งจิตใจ เพราะฉะนั้นถ้าหากท่านมีคนสนิทที่เป็นโรคชนิดนี้ จำเป็นที่จะต้องรีบนำมาเจอหมอเพื่อรับการวินิจฉัยโรคอันจะก่อให้เกิดการรักษาที่ถูกต้องรวมทั้งสมควรถัดไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุว่าโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเซลล์สมองเกิดการตาย รวมทั้งทำให้สารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนลดลง จึงทำให้มีการเกิดอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่สามารถที่จะติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่สามารถถ่ายทอดทางประเภทกรรมไปสู่ลูกหลานได้)
  • การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ผู้เจ็บป่วยและเครือญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอรวมทั้งตลอด ดังต่อไปนี้
  • ติดตามรักษากับหมอเสมอๆ
  • รับประทานยาควบคุมอาการจากที่แพทย์แนะนำให้ใช้
  • รับประทานอาหารจำพวกที่มีกากใยเพื่อช่วยลดท้องผูก
  • หมั่นฝึกออกกำลังกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆและการทำกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวัน บริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดเกร็งแล้วก็ปรับการทรงตัวให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้วางท่า หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกหัดเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งแขน เหมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกฝนบอกโดยให้คนป่วยเป็นข้างกล่าวก่อน หายใจลึกๆแล้วออกเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งใจไว้
  • รอบๆทางเท้าหรือในห้องสุขาควรจะมีราวเกาะและไม่วางของเกะกะทางเดิน
  • การแต่งตัว ควรใส่เสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย ดังเช่น กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • ญาติพี่น้อง ควรที่จะเอาใจใส่ดูแลคนป่วยอย่างใกล้ชิด รอบคอบการเกิดอุบัติเหตุ ดังเช่น การเดินหกล้ม ฯลฯ


สิ่งสำคัญก็คือ คนสนิทของผู้เจ็บป่วยและก็ญาติ ควรจะเรียนรู้รวมทั้งทำความเข้าใจผู้ป่วยพาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในหญิงวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ก็ไม่เสนอแนะ เนื่องจากมีโทษทำให้มีการเกิดโรคอื่นๆที่น่าสยองเกิดอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การป้องกันตัวเองจากโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุว่ามูลเหตุที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่รู้เด่นชัด ฉะนั้นการคุ้มครองป้องกันเต็มที่ก็เลยเป็นไปไม่ได้ แต่บางการศึกษาเล่าเรียนพบว่า การกินอาหารมีคุณประโยชน์ 5 กลุ่มในจำนวนที่เหมาะสม โดยจำกัดอาหารกรุ๊ปไขมันแล้วก็เนื้อแดง (เนื้อของสัตว์กินนม) จำกัดของกินในกลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม กินผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากๆเพราะว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง บางทีอาจช่วยลดจังหวะเกิดอาการ หรือ ลดความรุนแรงจากอาการโรคนี้ลงได้บ้าง นักวิจัยที่คณะแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรนาได้คิดวิธีทดลองแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ และก็ทำเสร็จภายในเวลาเพียงแต่ ๑ นาที

แนวทางทดสอบดังที่กล่าวมาข้างต้นมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆคือ

  • ให้ผู้เจ็บป่วยยิ้มให้มอง
  • ให้ชูแขนขึ้นทั้ง 2 ข้างและก็ให้ค้างเอาไว้
  • สุดท้ายให้ผู้เจ็บป่วยบอกประโยคง่ายๆให้ฟังสักประโยค


นักวิจัยทดลอง ด้วยการให้คนที่เคยมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นรวมแล้ว ๑๐๐ คน หลังจากนั้นให้อาสาสมัครสมมุติตัวเป็นคนผ่านมาพบเรื่องราวที่มีคนป่วยเกิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครทดลองทดสอบด้วยคำสั่งข้างต้นกับตัวละครทั้งยัง ๓ ข้อ ช่วงเวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลการทดลองให้นักวิจัยทราบ โดยผู้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอาการหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักค้นคว้าสามารถแยกคนเจ็บออกมาจากคนธรรมดาได้อย่างเที่ยงตรงถึงจำนวนร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนเพลีย (facial weakness) ได้จำนวนร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามแขนอ่อนล้าได้ถึง ร้อยละ ๙๕ รวมทั้งแยก  ประสาทกลางที่ทำงานแตกต่างจากปกติทางคำกล่าวได้ปริมาณร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือว่าเป็นถูกต้องแม่นยำมากภายในเหตุการณ์ที่แพทย์ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกรุ๊ปอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพบว่า สามารถยับยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมาก ซึ่งการขัดขวางโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี acetyl cholinesterase เป็นเป้าหมายสำคัญของการเป็นยารักษาผู้เจ็บป่วยโรคสมองเสื่อม (Senile dementia), คนไข้จำอะไรไม่ค่อยได้ (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีสภาวะโรคสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ ภาวการณ์กล้ามเสียสหการ (Ataxia) และก็โรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย (myasthenia gravis)


               ผลการรักษาโดยใช้บอระเพ็ดในคนเจ็บพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการศึกษาและทำการค้นพบในการค้นคว้าวิจัย โดยเห็นผลสำหรับเพื่อการรักษาชัดแจ้งในด้านภาวการณ์รู้คิด     พฤติกรรมโดยรวมและ อาการทางประสาทดีขึ้นในสภาวะสมองเสื่อมที่เจอในคนเจ็บพาร์กินสัน เนื่องด้วยโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะเกิดความเสื่อมโทรมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา กระตุ้นให้เกิดความแตกต่างจากปกตินอกเหนือจากการขยับเขยื้อน เป็นต้นว่า การนอน ความผิดแปลกทางด้านอารมณ์รวมทั้งจิตใจ ภาวการณ์ย้ำคิดย้ำทำ อาการซึมเศร้า วิตกกังวล เป็นต้น
                แต่ยังไม่มีข้อมูลในทางคลินิก หรือการเรียนรู้ในคนไข้กรุ๊ปโรคดังที่กล่าวผ่านมาแล้วอย่างมีระบบ แนะนำถ้าเกิดพอใจใช้บอระเพ็ด ควรที่จะใช้ในทางเสริมการดูแลและรักษาพร้อมกันกับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก แล้วก็จะต้องมีตอนที่หยุดยาบ้าง เช่น ชี้แนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังหมายถึงห้ามใช้บอระเพ็ดในผู้ที่มีภาวการณ์เอนไซม์ตับผิดพลาด หรือคนเจ็บที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีลักษณะท่าทางความดันเลือดต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร
หมามุ่ยอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของประเทศอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลานาน ผลวิจัยพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดปา (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% รวมทั้งบางทีอาจพบสูงถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์มากยิ่งกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa คนเดียว
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเสมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะก่อให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ต่ำลง นอกนั้นยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลายาวนานกว่า  Levodopa/Carbidopa
อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อมูลในการค้นคว้าทางคลินิกและก็การศึกษาเล่าเรียนในผู้เจ็บป่วยโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุดังกล่าวจำเป็นจะต้องรอให้มีการศึกษาวิจัยเสริมเติม และส่งผลการศึกษาวิจัยยืนยันว่าปลอดภัยก่อนที่จะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร

 

Sitemap 1 2 3