ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 208 ครั้ง)

iAmtoto007

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2203
    • ดูรายละเอียด

โรค SLE (โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง[/url][/i],โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง) (Systemic lupus erythematosus)

  • โรค SLE คืออะไร โรคเอสแอลอี หรือ โรคพุ่มพวงหมายถึงโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ โรคภูเขามิต้านตนเอง (Autoimmune disease) ประเภทหนึ่ง มีต้นเหตุจากการที่ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันยับยั้ง หรืออิมมูน (Immune) ไม่ดีเหมือนปกติ โดยจะต้านทานเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของเยื่อต่างๆเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะ สำเร็จให้มีการอักเสบเรื้อรัง (ชนิดไม่ใช่จากการตำหนิดเชื้อ) ของเยื่อได้ทุกส่วนของร่างกาย  อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้บ่อยครั้งตัวอย่างเช่น ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท ฯลฯ การอักเสบนี้จะดีกว่าเนื่องกระทั่งเป็น โรคเรื้อรัง  ซึ่งโรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อจริงในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus erythematosus หรือเรียกกล้วยๆว่าโรคลูปัส

    โดยจัดเป็นโรคที่เรื้อรังชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มโรคภูมิต้านทานบ้า มีต้นเหตุจากการที่ร่างกายคนไข้ผลิตโปรตีนของภูมิคุ้มกันในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามากเกินธรรมดา ก่อให้เกิดปัญหาในอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายไม่ว่าทั้งยังทางตรงหรือทางอ้อม เช่น จากธรรมดาภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะต้านทานเชื้อโรครวมทั้งสิ่งแปลกปลอม เป็นต้นว่า แบคทีเรีย หรือไวรัสจากภายนอกร่างกาย แต่ต้านทานร่างกายของตน จนถึงทำให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆและก็กำเนิดเป็นโรค SLE ในที่สุด
    ซึ่งคำว่า ลูปัส มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน หมายความว่า สุนัขป่า ซึ่งสันนิษฐานว่า มาจากการที่ผื่นที่บริเวณใบหน้าที่เกิดขึ้นจากโรคนี้อยู่ในตำแหน่งเหมือนลักษณะขนบนใบหน้าของสุนัขป่า หรือคล้ายถูกหมาป่ากัด หรือข่วน หรือจากการที่ผู้หญิงประเทศฝรั่งเศสใส่หน้ากากเพื่อปกปิดใบหน้าเมื่อมีผื่นเกิดขึ้น หน้ากากนี้เรียกว่า “Loup” หรือ “Wolf/สุนัขป่า” โรค SLE หรือโรคลูปัส เป็นโรคแพ้ภูเขามิตัวเอง (Autoimmune disease) ที่พบได้ทั่วไปในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (ร้อยละ 90) โดยพบมากในเพศหญิงอายุช่วง 20-30 ปี พบในหญิงเชื้อชาติผิวดำได้บ่อยมากที่สุด รองลงไปตามลำดับเป็นเพศหญิงทวีปเอเชีย และก็หญิงผิวขาว

  • ต้นเหตุของโรค SLE พยาธิกำเนิดยังไม่เคยรู้เด่นชัด แต่สันนิษฐานว่ามีต้นเหตุจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการสนองตอบอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางสิ่งบางอย่าง ทำให้มีการสร้างสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเนื้อเยื่อต่างๆจึงจัดเป็นโรคภูมิต้านทานตัวเอง (autoimmune) ประเภทหนึ่ง บางทีอาจเจอปัจจัยที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ ยกตัวอย่างเช่น ยาบางจำพวก (ดังเช่น ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราซิล) การถูกแดด การกระทบสะเทือนทางจิต สภาวะมีท้อง ฯลฯ


ยิ่งไปกว่านี้  ยังคาดการณ์ว่า อาจเกี่ยวเนื่องกับฮอร์โมนผู้หญิง (เพราะเหตุว่าพบได้บ่อยในหญิงวัยหลังมีเมนส์รวมทั้งก่อนวัยหมดระดูและก็พบบ่อยกว่าเพศ 7-10 เท่า)   แล้วก็พันธุกรรม (พบได้ทั่วไปในผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้)
ส่วนกลไกการเกิดโรคเกิดจากมีความผิดธรรมดาของระบบภูมิต้านทาน เกิดภาวะภูไม่ไวเกิน (hypersensitivity) ของเม็ดเลือดขาวประเภท T แล้วก็ B lymphocyte นำมาซึ่งการสร้าง autoantibodies ยับยั้งเนื้อเยื่อของตนและก็เกิด immune complex ลอยล่องไปตามกระแสเลือดไปติดตามอวัยวะต่างๆนอกเหนือจากนี้ยังมีความผิดธรรมดาของการกาจัด immune complex เป็นสาเหตุของการเกิดการอักเสบของอวัยวะและก็เส้นเลือดทำให้เกิดการเกิดพยาธิภาวะในหลายอวัยวะ

  • อาการของโรค SLE โรคนี้พบบ่อยในวัยเอ๊าะๆ อายุ 15-40 ปี เพศหญิงมากยิ่งกว่าผู้ชาย อาการแล้วก็อาการแสดงบางทีอาจแตกต่างกันได้มาก คนเจ็บบางรายอาจมีอาการน้อยดังเช่นว่า เป็นไข้ เหน็ดเหนื่อย ปวดข้อ มีผื่นแดงตามบริเวณใบหน้า ผื่นแพ้แดด ผมตก มีแผลในปาก รายที่เป็นมากขึ้นอาจมีอาการซีด ติดเชื้อโรคง่าย มีจุดเลือดออกหรือเส้นโลหิตอักเสบ นิ้วซีดเซียวเขียวเวลาถูกความเย็น ขาบวม ฉี่ไม่ปกติ มีความผิดปกติทางไต หอบ เจ็บทรวงอก ชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาทได้ และก็ด้วยโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีลักษณะเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการกลุ่มนี้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งครั้งละระบบ


ซึ่งจะมีลักษณะที่เกิดขึ้นอยู่กับอวัยวะต่างๆสามารถแยกได้เป็น อาการทางผิวหนัง คนเจ็บมักมีผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้า บริเวณดั้ง รวมทั้งโหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปเหมือนผีเสื้อที่เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (Butterfly rash) หรือมีผื่นแดงคันรอบๆนอกร่มผ้าที่ถูกแสงแดด หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามบริเวณใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใบหู มีแผลในปาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบริเวณเพดานปาก นอกเหนือจากนี้ยังมีผมตกมากขึ้น
อาการทางข้อแล้วก็กล้ามเนื้อ คนเจ็บจำนวนมากจะมีลักษณะอาการปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อต่อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า ครั้งคราวมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย
อาการทางไต ผู้เจ็บป่วยมักมีลักษณะบวมรอบๆเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เหตุเพราะมีอาการอักเสบที่ไต รายที่มีลักษณะอาการรุนแรงจะมีความดันโลหิตสูงขึ้น ปัสสาวะออกลดลง ไปจนกระทั่งขั้นไตวายได้ในช่วงเวลาอันสั้น
อาการทางระบบเลือด คนป่วยอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย มีภาวะติดเชื้อโรคง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัวได้
อาการทางระบบประสาท ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการชัก หรือมีอาการพูดพร่ำเพ้อไม่รู้เรื่อง หรือคล้ายคนโรคจิตจำวงศาคณาญาติมิได้ เนื่องมาจากมีการอักเสบของสมองหรือเส้นโลหิตในสมอง
นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการทั่วๆไปร่วมด้วย ดังเช่นว่า เป็นไข้ หมดแรง ไม่อยากอาหาร เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกล้ามเนื้อ ปวดศรีษะ จิตใจท้อแท้ ร่วมได้ ลักษณะโรคชอบแสดงความร้ายแรงมากหรือน้อยภายในเวลา 1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีลักษณะอาการ หลังจากนั้นชอบเบาลงเรื่อยๆแต่ว่าอาจมีอาการแย่ลงร้ายแรงได้เป็นครั้งๆ  ในขณะนี้โรคเอสแอลอียังมีแนวทางที่ไม่อาจจะรักษาให้หายสนิทได้ แต่สามารถควบคุมลักษณะโรคให้สงบ และก็ดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าเกิดรักษาได้ทันทีทันควัน

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรค SLE
  • เพศ ด้วยเหตุว่าพบโรคได้สูงในเพศหญิง ซึ่งพบได้ทั่วไปกว่าเพศชายถึง 7 เท่า
  • การต่อว่าดเชื้อบางจำพวกทั้งยังจากแบคทีเรีย และไวรัส บางประเภท
  • การเช็ดกแดดจัดเรื้อรัง
  • การแพ้สิ่งต่างๆแล้วก็ของกินบางประเภท
  • การสูบยาสูบ
  • ฮอร์โมนเพศหญิง (เพราะเหตุว่าโรคนี้กำเนิดในหญิงสูงกว่าในผู้ชาย ถึงโดยประมาณ 7-10 เท่า) และการมีท้อง
  • จากผลกระทบของยาบางชนิด ได้แก่ ยาคุ้มครองปกป้องการชัก ยาคุมกำเนิด และก็ยาลดหุ่นบางประเภท ซึ่งเมื่อเกิดจากยา หลังหยุดยา โรคมักหายได้
  • อารมณ์ (อาการเครียด)
  • การทำงานหนัก รวมทั้ง การออกกำลังกายเกินไป
  • จำพวกกรรม โดยเฉพาะผู้ที่ครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรค SLE

อาการที่เสี่ยงที่จะเป็นโรค SLE (ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์)

  • จับไข้ต่ำๆไม่เคยรู้มูลเหตุเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
  • มีลักษณะปวดตามข้อ
  • มีผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า หรือมีผื่นคันบริเวณที่ถูกแดด
  • มีผมตกมากไม่ปกติ
  • มีลักษณะอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา
  • ทางอาการรักษาโรค SLE


การวินิจฉัยโรค เนื่องด้วยโรค SLE มีความมากมายหลายในอาการรวมทั้งอาการแสดงเพราะฉะนั้นจึงมีการตั้งกฏเกณฑ์สำหรับการวิเคราะห์ ACR criteria โดยอาศัยอาการหรือสิ่งตรวจพบ 4 ใน 11 ข้อ (ความไว 75%, ความจำเพาะ 95%) การวินิจฉัย จำต้องอาศัยอาการทางสถานพยาบาลร่วมกับการตรวจทางห้องทดลอง การวินิจฉัยมักไม่คือปัญหาเพราะคนป่วยส่วนใหญ่จะมีลักษณะแจ่มชัด เช่น ผู้หญิงอายุน้อยมาด้วยผื่น malar rash, discoid rash ร่ปวดข้อ เหน็ดเหนื่อย มีไข้ ร่วมกับผลตรวจเลือดเข้าได้รับโรค SLE แต่ว่าการวิเคราะห์จะมีความทุกข์ยากในคนไข้บางกรณีตัวอย่างเช่น ผู้ชาย, คนวัยชราหรือผู้ป่วย ที่มีลักษณะแสดงเพียงระบบเดียวจำเป็นต้อง อาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการซึ่งดังเช่นว่า CBC, UA, CXR รวมทั้ง ANA ช่วยในการวิเคราะห์แยกโรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากโรคอื่น
นอกจากนี้หมอจะทำการวิเคราะห์โดยอาศัยผลของการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆอีกอาทิเช่น ตรวจเลือด เจอแอนตินิวเคลียร์แฟกเตอร์ (antinuclear factor) และแอลอีเซลล์ (LE cell) ตรวจปัสสาวะบางทีอาจเจอสารไข่ขาวรวมทั้งเม็ดเลือดแดง  ยิ่งไปกว่านี้ อาจจำต้องกระทำตรวจเอกซเรย์ คลื่นหัวใจแล้วก็ตรวจพิเศษอื่นๆอีกด้วย  ตอนนี้ยังไม่มียา หรือวิธีการรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ แม้กระนั้นเป็นการรักษาให้โรคสงบเป็นช่วงๆแล้วก็การรักษาประคับประคองตามอาการ   การดูแลและรักษาโรคเอสแอลอีจะต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคของผู้ป่วย การกระทำแบบอย่างถูกต้องของคนไข้  และการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้กระทำการดูแลและรักษา
โดยในรายที่เป็นไม่รุนแรง (เช่น มีเพียงแต่ไข้ ปวดข้อ ผื่นแดงที่หน้า) แพทย์อาจเริ่มต้นให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ) หากไม่ได้เรื่องอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการเหล่านี้
ในรายที่เป็นรุนแรง หมอจะให้สตีรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) ในขนาดสูงติดต่อเป็นสัปดาห์หรือยาวนานหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆเมื่อดีขึ้นแล้วก็ค่อยๆลดปริมาณยาลง แล้วก็ให้ในขนาดต่ำเพื่อควบคุมอาการไปเรื่อยบางทีอาจนานเป็นนานเป็นปีๆหรือจนกระทั่งจะมีความคิดเห็นว่าปลอดภัย ถ้าหากให้ยาดังกล่าวมาแล้วข้างต้นแล้วไม่เป็นผล หมอจะให้ยากดภูมิต้านทาน เช่น ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophasphamide) อะซาไทโอพรีน (azathioprine) เป็นต้น
ในรายที่มีลักษณะอาการรุนแรง อย่างเช่น บวม หายใจหอบ มีลักษณะเปลี่ยนไปจากปกติทางสมอง ฯลฯ จำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล จวบจนกระทั่งจะไม่มีอันตราย จึงให้ผู้เจ็บป่วยกลับไปอยู่บ้านรวมทั้งนัดมาตรวจกับหมอเป็นช่วงๆ

  • การติดต่อของโรค SLE โรค SLE เป็นโรคที่เกิดจากความไม่ปกติของภูมิต้านทานของร่างกาย ที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อของตัวเอง ก็เลยก่อให้เกิดอาการต่างๆของโรค SLE จึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด (แม้กระนั้นมีกล่าวว่าบางทีอาจพบการถ่ายทอดด้านกรรมพันธุ์ได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรค SLE
  • ผู้เจ็บป่วยควรจะรู้ว่า โรคนี้มีความรุนแรงต่างกัน บางบุคคลอาจมีอาการน้อย แต่ว่าบางคนอาจมีอาการร้ายแรงได้ หากว่าคนป่วยมีอาการบางส่วน หากไม่ได้รับการดูแลและรักษา อาการอาจรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆได้ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งมีอาการกำเริบเสิบสานรวมทั้งสงบสลับกันไป ด้วยเหตุนี้ควรจะมารับการตรวจรักษาจากหมอโดยบ่อย รับประทานยาตามสั่งโดยครัดเคร่ง ไม่สมควรหยุดยาหรือลดยาเอง เนื่องจากว่าอาจก่อให้โรคกำเริบขึ้น
  • เวลาป่วยหนักไม่สมควรซื้อยารับประทานเอง ควรจะเจอหมอแล้วก็บอกแพทย์ด้วยว่าเป็นเอสแอลอี เพื่อการดูแลรักษาที่เหมาะสม และหมอจะได้หลบหลีกยาบางตัวที่อาจส่งผลให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • หลบหลีกการสนิทสนมกับคนไข้ที่เป็นโรคติดโรค เนื่องมาจากคนไข้โรคเอสแอลอีอาจติดเชื้อโรคได้ง่าย และโรคเอสแอลอีอาจกำเริบเสิบสานขึ้นได้
  • ถ้ามีอาการที่บ่งถึงการติดเชื้อ อย่างเช่น ไข้สูง ไอ
  • ควรจะตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ การทำฟัน ถอนฟัน ควรจะกินยาปฏิชีวนะก่อนแล้วก็หลังทำ เพื่อคุ้มครองการต่อว่าดเชื้อ ทั้งนี้จำต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมดูแลของแพทย์
  • ถ้ามีลักษณะผิดปกติ ที่บางทีอาจบ่งว่าโรคกำเริบเสิบสาน อาทิเช่น ไข้ อ่อนแรง ผมตก ผื่นผิวหนังเห่อแดง ปวดข้อ ควรมาพบหมอก่อนนัดหมายได้
  • หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 10.00-16.00 น. เนื่องมาจากแดดจะทำให้โรคกำเริบเสิบสานได้ ผู้ป่วยที่แพ้แสงมากมาย ควรที่จะใช้ยากันแดด ใส่หมวก กางร่ม สวมเสื้อแขนยาว ถ้าหากต้องออกไปถูกแสงอาทิตย์
  • เลี่ยงภาวะเครียดทั้งกายใจ
  • ควรจะพักให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ไม่รับประทานอาหารสุกๆดิบๆหรือเปล่าสะอาด สถานที่คับแคบ เพราะว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ถ้าโรคยังไม่สงบ ไม่ควรมีท้อง เพราะเหตุว่าโรคบางทีอาจกำเริบเสิบสานขณะท้องได้ บางทีอาจทำให้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและเด็กแรกคลอด นอกจากนี้ยาที่กินเพื่อควบคุมโรคในคนป่วยบางรายอาจมีผลต่อทารกในท้อง ถ้าโรคสงบแล้ว สามารถท้องได้แต่ควรขอคำแนะนำแพทย์ก่อน แล้วก็ขณะท้องควรจะมารับการตรวจร่างกายอย่างใกล้ชิดมากยิ่งกว่าเดิม เพราะเหตุว่าบางทีโรคบางทีอาจกำเริบเสิบสาน
  • การคุมกำเนิด ควรจะเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด เพราะเหตุว่าอาจทำให้โรคกำเริบ สำหรับในการใส่ห่วงคุมกำเนิดบางทีอาจเพิ่มอุบัติการณ์ของการตำหนิดเชื้อ ชี้แนะว่าให้ใช้ถุงยางอนามัย
  • ผู้ป่วยที่ได้รับยาลดอาการปวดข้อ (NSAIDs) ถ้าเกิดมีลักษณะอาการเจ็บท้อง ควรจะแจ้งให้แพทย์รู้
  • ดื่มนมสด หรือทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงปกป้องกระดูกพรุน
  • การป้องกันตนเองจากโรค SLE เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ จึงยังไม่ทราบการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้  แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดย
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ไม่เครียดจนเกินไป
  • รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาด เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
เมื่อมีอาการผิดปกติที่เสี่ยงจะเป็นโรค SLE ข้อใดข้อหนึ่ง (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว) ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรค SLE


พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb)  พลูคาว เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลูคาว มีองค์ประกอบทางเคมี ที่สำคัญ 6 ประเภทคือ น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil), สารประเภท ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารประเภท อัลคาลอยด์ (Alkaloid), สารประเภทกรดไขมัน  (Fatty acids), สารประเภทไฟโตเสตอรอล (Phytosterols) และสารประกอบเคมีอื่นๆ ได้แก่ Polyphenolic acid กับแร่ธาตุ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate  งานวิจัยของพลูคาวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะแนวโน้มพบว่า เสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นโรคเอดส์ ขณะเดียวกัน ก็ลดภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน เช่นโรค SLE หรือภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง
นอกจากนี้เจียวกู่หลานยังช่วยปรับสมดุลของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันมากจนเกินไป หรือสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ จนทำให้มีอาการข้ออักเสบหรือมีอาการของโรค SLE ที่เป็นโรคเรื้อรังในปัจจุบัน โดยมีผลต่อการทำงานของร่างกายที่สำคัญคือ ช่วยบำรุงการทำงานของอวัยวะภายในให้แข็งแรงและปรับสมดุลการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมนให้เป็นปกติจากความเครียด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า สมุนไพรเจียวกู่หลานนั้นเป็น Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ.โรคเอสแอลดี (SLE).นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่274.คอลัมน์โรคน่ารู้.กุมภาพันธุ์.2545
  • Patients with SLE .คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • วิทยา บุญวรพัฒน์.”เจียวกู่หลาน (ปัญจขันธ์)”หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.หน้า 188.
  • Tsokos, G. (2011). Systemic lupus erythematosus. N Engl J Med. 365, 2110-2121.
  • โรคลูปุสหรือเอสแอลดี (SLE).ภาควิชาอาจวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Handa, R., Kumar, U., and Wali, J. (2006). Systemic lupus erythematosus and pregnancy http://www.japi.org/june2006/systemicpdf [2012, Jan10].
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคเอสแอลดี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์ สารานุกรมพันโรค.กรกฏาคม.2551
  • “เจียวกู่หลาน”.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง.สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
  • ศาสดาจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคพุ่มพวง/โรคลูปัส/โรคเอสแอลอี (SLE).หาหมอ.
  • แนวทางการรักษาโรคเอสแอลดี.Guideline ราชาวิทยาลัยอายุรแพทย์
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.


 

Sitemap 1 2 3