ผู้เขียน หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 281 ครั้ง)

ttads2522

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2255
    • ดูรายละเอียด

โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)

  • โรคพาร์กินสัน คืออะไร ทุกท่านคงเคยพบเห็นผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นคนในครอบครัว หรืออื่นๆที่พบเห็นทั่วไป มีอาการ แขนและมือสั่นข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจ ๒ ข้าง ซึ่งมักสั่นในท่าพักที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร มีอาการเคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีอาการทรงตัวผิดปกติ  โดยปกติร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชราก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ "โรคพาร์กินสัน" ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า

    โรคพาร์กินสันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต (Parkinson’s disease) หรือโรคที่คนไทยสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง จึงทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้  ชื่อโรคพาร์กินสัน ได้มาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคนี้ในปี พ.ศ.๒๓๖๐ โรคพาร์กินสันมักพบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยมากจะพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย
    ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นต้นมา) คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง ๖๗.๔ ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย ๗๑.๗ ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง ๔๕ ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทอย่างโรค  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
    เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง “วันโรคพาร์กินสัน” ขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ “เจมส์ พาร์กินสัน” (James Parkinson; เป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ในบทความที่ชื่อว่า “Shaking Palsy”) และมีการใช้ดอกทิวลิปสีแดงเป็นสัญลักษณ์

  • สาเหตุของโรคพาร์กินสัน สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคนี้ยังไม่มีวิธีสำหรับป้องกัน และมียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้ ประมาณ 5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบตำแหน่งบนโครโมโซม (Chromosome) ชัดเจน และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะปรากฏอาการของโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นหลัก ที่จะปรากฏอาการเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีไปแล้ว  สำหรับสาเหตุการเกิดโรคที่เหลือไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สัญนิษฐานได้ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
  • ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด
  • ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
  • ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันต่อไป
  • หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปามีนมีจำนวนน้อย หรือหมดไป
  • สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์
  • สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น
  • ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย
  • การอักเสบของสมอง
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา
  • ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด
  • อาการของโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนั้นนอกจากจะมีอาการเด่น ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้วอาจเกิดมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียด ดังนี้
  • อาการสั่น ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆไปที่จะสั่นมากเวลาทำงาน เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่า สั่นประมาณ ๔-๘ ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่นๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะ หรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้
  • อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกาย จะมีความดึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ
  • อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหวในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อยๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนคอยพยุง
  • ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ จะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรกๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์
  • การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะ หน้าตาทื่อเวลาพูดก็จะมีมุมปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์
  • เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือๆ และเบามากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบ รัวและอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด
  • การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำได้ลำบากและตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก
  • การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบาก ช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวาบนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ
  • น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือ มีน้ำลายมาสอยอยู่ที่มุมปากสองข้าง และไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่โรคพาร์กินสัน
  • อายุ แม้มีอายุเยอะขึ้นก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเยอะขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • กรรมพันธุ์ โดยพบว่าผู้เจ็บป่วยราว 15-20% จะมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (ถ้ามีเครือญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ 3 เท่า รวมทั้งหากมี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าเป็นลำดับ)
  • เป็นผู้ที่สัมผัสกับยากำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าวัชพืช กินน้ำจากบ่อแล้วก็อาศัยอยู่ในเขตทุรกันดาร เนื่องจากว่ามีกล่าวว่าพบโรคนี้ได้มากในชาวนาชาวไร่ที่กินน้ำจากบ่อ
  • เป็นคนที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ เป็นต้นว่า ในหญิงที่ตัดรังไข่และก็มดลูก เพศหญิงวัยทองยังไม่ครบกำหนด ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แม้กระนั้นถ้าได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนชดเชยก็อาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยประสบอุบัติเหตุที่กระทบทางสมอง
  • ยิ่งกว่านั้นยังมีรายงานว่า คนที่ขาดกรดโฟลิกจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเช่นเดียวกัน


  • กรรมวิธีการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยปกติถ้าหากผู้ป่วยปรากฏอาการแจ้งชัด สามารถวินิจฉัยได้จากลักษณะของการเกิดอาการและการตรวจร่างกายทางระบบประสาทให้ละเอียด ระยะต้นเริ่ม บางทีอาจวิเคราะห์ยาก ควรต้องวินิจฉัยแยกโรคก่อนเสมอผู้ที่สงสัยว่าจะมีอาการป่วยด้วยโรคพาร์คินสัน ควรได้รับการตรวจวิเคราะห์จากอายุรแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์


การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือภาวการณ์พาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องมาจากการดูแลรักษาจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีอาการบางสิ่งบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการคนป่วย รวมทั้งความเปลี่ยนไปจากปกติที่แพทย์ตรวจพบเป็นหลัก รวมถึงลักษณะของการเกิดอาการที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น แล้วก็ความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องทดลองใดที่ตรวจแล้วพูดได้ว่าคนเจ็บกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคอื่นๆบางโรคที่มีอาการของโรคพาร์กินสันและมีอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งต้องได้รับการรักษาที่ผิดแผกออกไปแค่นั้น ได้แก่ การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสโลหิต การตรวจค้นระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวินิจฉัย โรค Normal pressure hydrocephalus ฯลฯ
ในสมัยก่อนแพทย์รู้เรื่องว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แม้กระนั้นในปัจจุบันเป็นที่รู้กันแน่นอนแล้วว่า พยาธิภาวะของโรคนี้กำเนิดที่รอบๆตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดน้อยลง หรือบกพร่องในหน้าที่สำหรับในการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยก่อให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งและก็สั่นเกิดขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้นในขณะนี้การดูแลและรักษาโรคนี้ก็เลยหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งอาจทำเป็นโดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลและรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธี คือ

  • รักษาด้วยยา ซึ่งแม้ว่ายาจะไม่อาจจะทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นหรือกลับมาแตกหน่อชดเชยเซลล์เดิมได้ แม้กระนั้นก็จะก่อให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีปริมาณพอเพียงกับสิ่งที่มีความต้องการของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในขณะนี้ คือ ยากลุ่ม LEVODOPA รวมทั้งยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์จากหมอ ตามความเหมาะสม)
  • ทำกายภาพบำบัด จุดหมายของการรักษาก็คือ ให้คนไข้คืนกลับสู่ภาวะชีวิตที่ใกล้เคียงคนธรรมดาที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นสุขทั้งกายใจ ซึ่งมีหลักแนวทางปฏิบัติกล้วยๆเป็น


ก) ฝึกการเดินให้เบาๆก้าวขาแม้กระนั้นพอดิบพอดี โดยการเอาส้นลงเต็มฝ่าตีน แล้วก็แกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับในการทรงตัวดี นอกเหนือจากนั้นควรหมั่นจัดท่าทางในท่าทางต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย และก็พื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือวัสดุที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเหลือเกิน เวลาจะขึ้นเตียงต้องค่อยๆเอนตัวลงนอนตะแคงข้างโดยใช้ศอกจนกระทั่งก่อนยกเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยเครือญาติจะต้องให้ความเข้าอกเข้าใจเบาๆฝึกหัดคนไข้ และก็ควรทำในสถานที่ที่สงบเงียบ

  • การผ่าตัด ส่วนใหญ่จะได้ผลดีในคนไข้ที่มีอายุน้อย รวมทั้งมีอาการไม่เท่าไรนัก หรือในผู้ที่มีลักษณะอาการเข้าแทรกจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆดังเช่นว่า อาการสั่นที่ร้ายแรง หรือมีการเคลื่อนไหวแขน ขา มากมายไม่ปกติจากยา ปัจจุบันนี้มีการใช้แนวทางกระตุ้นกระแสไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังไว้ในร่างกาย พบว่ามีผลดี แม้กระนั้นรายจ่ายสูงมาก ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ต้องได้รับการดูแลใส่ใจจากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมทั้งจิตใจ ด้วยเหตุนั้นถ้าเกิดท่านมีคนสนิทที่เป็นโรคประเภทนี้ จำเป็นจะต้องรีบเอามาเจอแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรคอันจะนำไปสู่การดูแลและรักษาที่ถูกและก็เหมาะสมต่อไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เนื่องด้วยโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเซลล์สมองเกิดการตาย และทำให้สารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนลดน้อยลง จึงส่งผลให้เกิดอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่ว่าสามารถถ่ายทอดทางพันธุ์บาปไปสู่ลูกหลานได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ผู้เจ็บป่วยแล้วก็เครือญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและก็ต่อเนื่อง ดังต่อไปนี้
  • ติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ
  • รับประทานยาควบคุมอาการตามที่แพทย์ชี้แนะให้ใช้
  • ทานอาหารจำพวกที่มีกากใยเพื่อช่วยลดท้องผูก
  • หมั่นฝึกบริหารร่างกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำเป็น อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆและแนวทางการทำงานกิจวัตร บริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดเกร็งและก็ปรับการเลี้ยงตัวให้ ได้แก่ การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้เก๊ก หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกหัดเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งแขน เหมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกฝนกล่าวโดยให้ผู้เจ็บป่วยเป็นฝ่ายพูดก่อน หายใจลึกๆแล้วเปล่งเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งจิตใจไว้
  • บริเวณทางเดินหรือในสุขาควรจะมีราวเกาะและไม่วางของขวางทางเท้า
  • การแต่งตัว ควรจะใส่เสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย อย่างเช่น กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • วงศ์ญาติ ควรจะเอาใจใส่ดูแลคนป่วยอย่างใกล้ชิด รอบคอบการเกิดอุบัติเหตุ ดังเช่นว่า การเดินหกล้ม ฯลฯ


สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของคนเจ็บรวมทั้งญาติ ควรทำความเข้าใจรวมทั้งทำความเข้าใจผู้เจ็บป่วยพาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในสตรีวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่ชี้แนะ เนื่องจากมีโทษก่อให้เกิดโรคอื่นๆที่น่าสะพรึงกลัวเป็นโทษต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคพาร์กินสัน เพราะมูลเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่เคยรู้ชัดเจน เพราะฉะนั้นการปกป้องคุ้มครองเต็มที่จึงเป็นไปไม่ได้ แม้กระนั้นบางการศึกษาพบว่า การกินอาหารมีคุณประโยชน์ 5 กลุ่มในจำนวนที่เหมาะสม โดยจำกัดอาหารกลุ่มไขมันและก็เนื้อแดง (เนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) จำกัดอาหารในกลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม รับประทานผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากมายๆเหตุเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อาจช่วยลดจังหวะกำเนิดอาการ หรือ ลดความร้ายแรงจากอาการโรคนี้ลงได้บ้าง นักค้นคว้าแห่งภาควิชาแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรทุ่งนาได้คิดแนวทางทดสอบแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ รวมทั้งทำเสร็จภายในเวลาเพียงแค่ ๑ นาที

วิธีทดลองดังที่ได้กล่าวมาแล้วมี 3 ขั้นตอนง่ายๆคือ

  • ให้คนเจ็บยิ้มให้ดู
  • ให้ยกแขนขึ้นอีกทั้ง 2 ข้างและก็ให้ค้างเอาไว้
  • สุดท้ายให้ผู้ป่วยพูดประโยคกล้วยๆให้ฟังสักประโยค


นักค้นคว้าทดสอบ ด้วยการให้ผู้ที่เคยมีลักษณะอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นๆรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วให้อาสาสมัครสมมุติตัวเป็นคนผ่านมาพบเหตุการณ์ที่มีผู้เจ็บป่วยกำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดสอบด้วยคำสั่งข้างต้นกับดาราทั้งยัง ๓ ข้อ ขณะเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลการทดลองให้ผู้วิจัยทราบ โดยผู้ศึกษาวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอาการหรือการแสดงออกของผู้ที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกผู้เจ็บป่วยออกมาจากคนธรรมดาได้อย่างเที่ยงตรงถึงปริมาณร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าเหน็ดเหนื่อย (facial weakness) ได้ร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามแขนอ่อนแรงได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ และก็แยก  ประสาทกลางสถานที่สำหรับทำงานผิดปกติทางคำกล่าวได้ปริมาณร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าถูกต้องแม่นยำมากด้านในสถานการณ์ที่แพทย์ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกรุ๊ปอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาวิจัยพบว่า สามารถยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมาก ซึ่งการขัดขวางเอนไซม์ acetyl cholinesterase เป็นเป้าหมายสำคัญของการเป็นยารักษาคนป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), ผู้ป่วยความจำไม่ดี (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีภาวการณ์โรคสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ ภาวการณ์กล้ามเนื้อเสียสหการ (Ataxia) รวมทั้งโรคกล้ามเมื่อยล้า (myasthenia gravis)


               ผลของการรักษาด้วยการใช้บอระเพ็ดในคนไข้พาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการศึกษาและทำการค้นพบในงานวิจัย โดยเห็นผลสำหรับการรักษากระจ่างแจ้งในด้านภาวการณ์รู้คิด     การกระทำโดยรวมรวมทั้ง อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในภาวการณ์สมองเสื่อมที่พบในผู้เจ็บป่วยพาร์กินสัน เนื่องด้วยโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะกำเนิดความเสื่อมโทรมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา ทำให้เกิดความไม่ปกตินอกเหนือจากการเคลื่อนไหว เป็นต้นว่า การนอน ความผิดปกติทางด้านอารมณ์และก็จิตใจ สภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการซึมเศร้า ตื่นตระหนก ฯลฯ
                แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการศึกษาในคนไข้กลุ่มโรคดังกล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างมีระบบ ชี้แนะแม้พอใจใช้บอระเพ็ด ควรจะใช้ในแง่เสริมการดูแลและรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก รวมทั้งควรจะมีช่วงที่หยุดยาขยันง อย่างเช่น ชี้แนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนี้ข้อควรปฏิบัติตามหมายถึงห้ามใช้บอระเพ็ดในผู้ที่มีภาวะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับผิดพลาด หรือคนเจ็บที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีลัษณะทิศทางความดันเลือดต่ำเกินความจำเป็น หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีมีท้อง สตรีให้นมลูก
หมามุ่ยอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลานาน ผลการค้นคว้าพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% และบางทีอาจเจอสูงถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับในการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเท่ากันกับ Levodapa เดี่ยว
โดยมีการตั้งสมมุติฐานว่าในสารสกัดเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเสมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยับยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะทำให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ลดน้อยลง นอกจากนั้นยังพบว่าเมล็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลานานกว่า  Levodopa/Carbidopa
แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในการค้นคว้าทางสถานพยาบาลและก็การศึกษาในคนป่วยโรคพาร์กินสัน โดยเหตุนี้จะต้องรอคอยให้มีการวิจัยเพิ่มเติม และก็ส่งผลการศึกษาเรียนรู้วิจัยยืนยันว่าไม่มีอันตรายก่อนที่จะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กิน

 

Sitemap 1 2 3