ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์  (อ่าน 314 ครั้ง)

jacl598845

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 21
    • ดูรายละเอียด

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่พวกเราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับบุกประเภทที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ต่างพันธุ์กัน ซึ่งมีคุณสมบัติและสรรพคุณทางยาที่ใกล้เคียงกัน และก็สามารถนำมาใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในตระกูลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (จีนกลาง) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นโดยประมาณ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นแล้วก็แขนงมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปะปนอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกผู้เดียว รูปแบบของดอกเป็นทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกแล้วก็ผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จ.สกลนคร), กระบุก (จังหวัดบุรีรัมย์), บุกคางคก บุกปะทุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (จังหวัดปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกึ่งกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกชนิดกะแท่งหรือเท้ายายม่อมหัว แก่ได้นานหลายปี มีความสูงของต้นประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบแล้วก็อวบน้ำไม่มีแก่น ผิวตะปุ่มตะป่ำ ลำต้นกลมและมีลายเขียวๆแดงๆลักษณะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ พรรณไม้ชนิดนี้จะเติบโตในช่วงฤดูฝน และจะโรยราไปในช่วงต้นหน้าหนาว ในประเทศไทยพบมากขึ้นเองตามป่าราบหาดทรายแล้วก็ที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างประเทศบุกคางคกนั้นเป็นพืชพื้นบ้านในเอเซียอาคเนย์ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก คือส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะค่อนข้างจะกลมแล้วก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดแล้วก็เป็นเมือกลื่น มียาง โดยยิ่งไปกว่านั้นหัวสด ถ้าเกิดสัมผัสเข้าจะมีผลให้กำเนิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นของกินนั้นจึงจะต้องทำให้เป็นเมือกโดยการต้มในน้ำเดือดเสียก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ว่า 1 กรัม ไปจนกระทั่ง 35 โล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบลำพัง ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแบออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าพบเส้นกลางใบ ส่วนขอบของใบจะเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและยาวได้ราวๆ 150-180 เซนติเมตร
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก มีดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบแต่งแต้มเป็นรูปห่อหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางตาราง
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสำเร็จสด เนื้อนุ่ม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว ปริมาณยาวโดยประมาณ 1.2 เซนติเมตร ผลมีเยอะมากชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนถึงสีแดง ข้างในผลมีเมล็ดราว 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแม้กระนั้นเมล็ดแยกออกจากกัน เม็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
สรรพคุณของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน เป็นพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นอาหารสำหรับคนเจ็บเบาหวานและผู้เจ็บป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำดื่ม โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว นำมาชงกับน้ำดื่มก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสลด ช่วยกระจัดกระจายเสลดที่อุดตันรอบๆหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน และเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้เมนส์ไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับรอบเดือนของสตรี (ราก)
หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่รอยแผล กัดฝ้ารวมทั้งกัดหนองได้ดิบได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลระบุว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาพาราบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยคุณนิล วิหค (บ้านหนองพลวง ต.โคกกึ่งกลาง อ.ลำปลายกาญจนา จังหวัดบุรีรัมย์) เสนอแนะให้ลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พิงปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดเอามาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วก็ใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอเพียงท่วมเมล็ดบุก ต้มจนถึงเม็ดบุกตกลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลทรายแดงพอสมควรลงไปต้มให้เพียงพอหวาน ต่อไปลองลองดู ถ้าหากยังมีลักษณะคันคออยู่ก็ให้เพิ่มน้ำตาลเพิ่มและหลังจากนั้นก็ค่อยลองใหม่ ถ้าไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ และก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้จักล้มใส่เข้าไปด้วยราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปล่อยให้เย็นและก็เก็บไว้ภายในตู้แช่เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ประมาณ 30 นาที จะปวดปัสสาวะโดยธรรมชาติ ภายหลังอาวุธนั้นจะพร้อมสู้โดยทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วเอามาชงกับน้ำกิน ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำกินก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าเป็นส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถเอามากินได้ ถ้าเกิดเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือนำมาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เป็นจำนวนมาก ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก้านใบหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองและคันปากได้8ก่อนเอามารับประทานจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด6
กรรมวิธีการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นมัวแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นครั้งแรก แล้วค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมตัวกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วสำหรับการทำอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6หากอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วและก็ตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เนื่องด้วยวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่น้อยกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกวันหลังการกิน แม้กระนั้นให้กินก่อนที่จะรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่ผลิตขึ้นมาจากวุ้น ตัวอย่างเช่น วุ้นก้อนรวมทั้งเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังอาหารได้ เพราะเหตุว่าวุ้นดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านวิธีการรวมทั้งได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว รวมทั้งการการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เหตุเพราะไม่มีการเสื่อมสภาพเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินและแร่ธาตุ หรือสารอาหารอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดน้อยลง (ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และก็วิตามินเค) ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่ว่าจะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (เช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจส่งผลให้มีลักษณะท้องเสียหรือท้องขึ้น มีลักษณะหิวน้ำมากกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการหมดแรงเพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่เจอ อย่างเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี และก็ยังพบสารที่เป็นพิษเป็นConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine และก็วิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 รวมทั้งหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ปริมาณร้อยละ 5-6 รวมทั้งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงปริมาณร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญ คือ กลูวัวแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งประกอบด้วยเดกซ์โทรส แมนโนส รวมทั้งฟรุคโตส สารกลูโคแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะเหตุว่ามีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากก็ยิ่งส่งผลการดูดซึมกลูโคส ฉะนั้น กลูวัวแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum ก็เลยสามารถลดน้ำตาลได้ดีกว่า ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับผู้เจ็บป่วยเบาหวานและสำหรับคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนต่างกันออกไปตามจำพวกของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนประมาณ 90% รวมทั้งสิ่งเจือปนอื่นๆอย่างเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, และสารพิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นสำคัญๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองประเภทเป็นกลูโคส 2 ส่วน รวมทั้งแมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลประเภทลำดับที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลประเภทแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งไม่เหมือนกับแป้งที่พบในพืชทั่วไป ก็เลยไม่ถูกย่อยโดยกรดและก็น้ำย่อยในกระเพาะ เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 เว้นเสียแต่กลูวัวแมนแนนจะเจอได้ในบุกแล้ว ยังเจอได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำรวมทั้งขยายตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อพวกเรากินกลูโคแมนแนนก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากมายในกระเพาะของพวกเรา แล้วเกิดการพองตัวจนกระทั่งทำให้เรารู้สึกอิ่มอาหารได้เร็วรวมทั้งอิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้พวกเรารับประทานได้น้อยลงกว่าธรรมดาด้วย ทั้งกลูโคแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูโคแมนแนนจึงช่วยสำหรับในการควบคุมน้ำหนักและเป็นของกินของผู้ที่ต้องการลดความอ้วนได้อย่างดีเยี่ยม8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่กินทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโล ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูน้อยลงคิดเป็น 44% และ Triglyceride น้อยลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะและไส้ได้ดิบได้ดีมาก รวมทั้งยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะบวมที่ขารับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโล พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูต่ำลง6
ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากบุกคนประเทศไทยเรานิ http://www.disthai.com/

 

Sitemap 1 2 3