ผู้เขียน หัวข้อ: กระเทียมนั้นมีสรรพคุณ-เเละประโยชน์ดีนักหนาอย่างไร  (อ่าน 325 ครั้ง)

jacl598845

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 21
    • ดูรายละเอียด

กระเทียม
ลักษณะทางกายภาพรวมทั้งเคมีที่ดี:
           ปริมาณน้ำไม่เกิน 68% w/w  จำนวนขี้เถ้ารวมไม่เกิน 2.5% w/w  จำนวนเถ้าที่ไม่ละลายในกรดไม่เกิน 1% และจำนวนสารสกัดเฮกเซน แอลกอฮอล์ รวมทั้งน้ำ โดยประมาณ 0.52, 0.50 และ 15% w/w  เป็นลำดับ เภสัชตำรับอังกฤษระบุจำนวนสาร alliin ไม่น้อยกว่า 0.45 % w/w
คุณประโยชน์:
           แบบเรียนยาไทยใช้หัวกระเทียมเป็นยาขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุทุพพลภาพ  ของกินไม่ย่อย ขับเสลด ขับเหงื่อ ลดไขมัน รักษาปอด แก้ปอดพิการ  แก้อุจจาระเป็นมูกเลือด  บำรุงธาตุ  กระจายเลือด  ขับปัสสาวะ แก้บวมพุพอง  ขับพยาธิ  แก้ตาปลา  แก้ตาแดง ร้องไห้  ตามัว รักษาโรคลักปิดลักเปิด  รักษาโรคมะเร็งคุด   รักษาริดสีดวง แก้ไอ  คุมกำเนิด แก้สะอึก  บำบัดโรคในอก แก้พรรดึก รักษาฟันเป็นโรครำมะนาด  แก้หูอื้อ แก้อัมพาต  ลมเข้าข้อ  แก้อาการชักของเด็ก พอกหัวเหน่าแก้ขัดเบา รักษาวัณโรค  แก้โรคประสาท แก้โรคหืด แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงสุขภาพทางกามคุณ  ขับโลหิตประจำเดือน  บำรุงเส้นประสาท   แก้ไข้   แก้ฟกช้ำ แก้ปวดกระบอกตา แก้โรคในปาก แก้หวัดคัดจมูก   แก้ไข้เพื่อเสมหะ ทำให้ผมเงาสวย  บำรุงเส้นผมให้ดกดำ ใช้ภายนอก รักษาแผลเรื้อรัง รักษากลากโรคเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง  ทาด้านนอกทุเลาลักษณะของการปวดบวมตามข้อด้วยเหตุว่าเป็นยาพอกให้ร้อน ใช้พอกตรงที่ถูกแมลง ตะขาบ แมงป่องต่อยเป็นส่วนประกอบในตำรับยาเหลืองปิดสมุทร (แก้ท้องเดิน), ยาประสะไพล (ขับน้ำคร่ำ ในสตรีหลังคลอด), ยาธาตุบรรจบ (แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  ท้องเดิน ใช้กระเทียม 3 กลีบ ตีชงน้ำร้อน ใช้เป็นน้ำกระสายยา สำหรับยาผง)
         บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เจาะจงการใช้กระเทียมในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์บรรเทาลักษณะของการปวดตามเอ็น กล้าม มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์รักษาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือมาน้อชูว่าธรรมดา บรรเทาลักษณะของการปวดประจำเดือน  แล้วก็ขับน้ำคร่ำในหญิงข้างหลังคลอดลูก
ต้นแบบและขนาดวิธีการใช้ยา:
กระเทียมสด 2-5 กรัมต่อวัน กระเทียมแห้ง 0.4-1.2 กรัมต่อวัน น้ำมันกระเทียม 2-5 มก.ต่อวัน สารสกัด 300-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือแบบอย่างยาอื่นๆที่มีสาร alliin 4-12 มก.หรือสาร allicin 2-5 มิลลิกรัม
ขนาดและก็วิธีการใช้สำหรับอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด:
ใช้กระเทียม  5-10  กลีบ ตรอกละเอียด  กินหลังรับประทานอาหาร หรือพร้อมของกิน
ขนาดรวมทั้งวิธีการใช้สำหรับรักษากลากเกลื้อน:
                   ฝานกระเทียมเช็ดเสมอๆรอบๆที่เป็น  หรือตำแล้วขยี้ทาบริเวณที่เป็น  วันละ 2 ครั้ง ก่อนจะทายาใช้ไม้บางๆเล็กๆที่ได้ฆ่าเชื้อโรคแล้ว (โดยการแช่ในแอลกอฮอล์ 70%  หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที) ขูดบริเวณที่เป็น ให้ผิวหนังแดงๆก่อนทา เพื่อให้ตัวยาซึมลงไปก้าวหน้าขึ้น เมื่อหายแล้วให้ทายาต่ออีก 7-10 วัน
ขนาดและก็วิธีใช้สำหรับแก้ไอ:
                   หนังสือเรียนยาไทยให้ใช้กระเทียม และก็ขิงสดอย่างละเสมอกันตำละเอียด ละลายน้ำอ้อยสด คั้นเอาน้ำจิบแก้ไอ กัดเสมหะ ทำให้เสลดแห้ง แบบเรียนยาไทยบางตำรับให้คั้นกระเทียมกับน้ำมะนาวเพิ่มเติมเกลือใช้จิดหรือปัดกวาดคอ
องค์ประกอบทางเคมี:
           น้ำมันหอมระเหย ราวๆ 0.1-0.4% มีองค์ประกอบหลักคือ allicin  ajoene  alliin  allyldisulfide diallyldisulfide ซึ่งเป็นสารประกอบกรุ๊ปกรุ๊ป organosulfur  สารในกลุ่มนี้ที่เจอในกระเทียมอาทิเช่น  สารกลุ่ม S-(+)-alkyl-L-cysteine sulfoxides , alliin 1% , methiin 0.2% , isoalliin 0.06% รวมทั้ง cycloalliin 0.1% แล้วก็สารที่ไม่ระเหยคือ สารกลุ่ม gamma-L-glutamyl-S-alkyl-L-cysteines , gamma-glutamyl-S-trans-1-propenylcysteine 0.6% แล้วก็ gamma-glutamyl-S-allylcysteine รวมโดยประมาณ 82% ของสารกรุ๊ป organosulpur ทั้งปวง ส่วนสารกรุ๊ป thiosulfinates (allicin) สารกลุ่ม ajoenes (E-ajoene แล้วก็ Z-ajoene) สารกรุ๊ป vinyldithiins (2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)-1,2-dithiin) รวมทั้งสารกรุ๊ป sulfides (diallyl disulfide , diallyl trisulfide) ซึ่งเป็นสารที่ไม่ได้พบในธรรมชาติแต่ว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากการเสื่อมสลายของสาร allin ซึ่งถูกสลายตัวด้วยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alliinase จากนั้นจึงเกิดการรวมตัวกันใหม่ได้สาร allicin ซึ่งเป็นสารที่ไม่เสถียร สลายตัวได้สารกลุ่ม sulfides อื่นๆโดยเหตุนั้นกระเทียมที่ผ่านกระบวนการสกัด การกลั่นน้ำมัน หรือความร้อน สารประกอบส่วนใหญ่ที่พบเป็นสารกรุ๊ป diallyl sulfide , diallyl disulfide , diallyl trisulfide และก็ diallyl tetrasulfide ส่วนกระเทียมที่ผ่านกรรมวิธีหมักในน้ำมัน สารประกอบที่พบจำนวนมากเป็น 2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)1,2-dithiin , E-ajoene และก็ Z-ajoene จำนวนของ alliin ที่เจอในกระเทียมสด ประมาณ 0.25-1.15% สารกรุ๊ปอื่นๆที่พบ อาทิเช่น สารเมือก แล้วก็ albumin, scordinins, saponins 0.07% , beta-sitosterol 0.0015%, steroids, triterpenoids รวมทั้ง flavonoids
การศึกษาทางเภสัชวิทยา: 
ฤทธิ์ปกป้องรักษาตับจากสารพิษ
      การทดลองป้อนสาร diallyl disulfide (DADS) จากกระเทียมให้แก่หนูขาว ขนาดวันละ 50 และ 100 มก./กก. น้ำหนักตัว ในหนูแต่ละกรุ๊ป นานต่อเนื่องกัน 5 วัน ก่อนเหนี่ยวนำให้ตับเกิดการเสียหายด้วยสาร carbon tetrachloride (CCl4) พบว่า DADS ทั้งคู่ขนาดสามารถคุ้มครองป้องกันตับเป็นพิษได้ การวิเคราะห์ลักษณะทางจุลกายส่วนศาสตร์พบว่าสามารถยับยั้งความทรุดโทรมของเซลล์ตับ โดยลดการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี aspartate transaminase (AST) และก็ alanine transaminase (ALT) ในตับลงได้ ลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวพันในวิธีการอักเสบ รวมทั้งการตายของเซลล์ตับ ดังเช่นว่า Bax, cytochrome C, caspase-3, nuclear factor-kappa B, I kappa B alpha นอกเหนือจากนั้นยังส่งผลเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน รวมทั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวโยงในกรรมวิธีการต่อต้านอนุมูลอิสระ ดังเช่นว่า catalase, superoxide dismutase, glutathione peroxidase, glutathione reductase, glutathione S-transferase ผลจากการเล่าเรียนชี้ให้เห็นว่า สาร DADS จากกระเทียมมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระและคุ้มครองตับจากสารพิษ โดยกลไกกระตุ้นแนวทางการทำงานของ nuclear factor E2-related factor 2 (Nrf2) ซึ่งเป็น transcription factor หรือโปรตีนที่ควบคุมการแสดงออกของยีนที่ปฏิบัติภารกิจคุ้มครองเซลล์ แล้วก็เยื่อจากอนุมูลออกซิเจนที่ว่องไวต่อปฏิกิริยา การกระตุ้น Nrf2 ส่งผลรั้งนำการผลิตเอนไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในระบบการกำจัดพิษออกมาจากร่างกายในขั้นตอนที่ 2 (detoxifying Phase II  enzyme) แล้วก็ยั้ง nuclear factor-kappa B มีผลให้ลดการสร้างสารที่เกี่ยวกับการอักเสบลง และก็คุ้มครองป้องกันตับจากพิษได้ (Lee, et al, 2014)
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ
      เล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบของสารสกัดน้ำโดยไม่ผ่านความร้อน (raw garlic) รวมทั้งสารสกัดกระเทียมที่ผ่านการต้มแล้ว นำมาทดสอบในหลอดทดสอบ โดยใช้เนื้อเยื่อของกระต่าย พบว่า raw garlic สามารถยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase (ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการสร้างสารอักเสบ) แบบ non-competitive และ irreversible จากการเรียนพบว่า raw garlic สามารถยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase ได้ โดยมีค่า IC50 ต่อเกล็ดเลือด,ปอด และก็เส้นโลหิตแดงในกระต่ายเท่ากับ 0.35, 1.10 รวมทั้ง 0.90 mg ในตอนที่กระเทียมที่ต้มแล้วมีฤทธิ์ยับยั้ง cyclooxygenase ได้นิดหน่อยเมื่อเปรียบเทียบกับกระเทียมที่ไม่ผ่านความร้อน เพราะส่วนประกอบสำคัญในกระเทียมนั้นถูกทำลายในเวลาที่ให้ความร้อน จากผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยทำให้เห็นว่ากระเทียมคงจะมีประโยชน์สำหรับการปกป้องโรคเส้นเลือดอุดตันได้ (Ali, 1995)
      จากการรวบรวมการค้นคว้า ที่เรียนฤทธิ์ต้านการอักเสบของกระเทียม โดยสรุปพบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบผ่านหลายกลไก ดังนี้คือ ต้านทานการอักเสบผ่าน T-cell lymphocytes โดยไปยับยั้ง SDF1a-chemokine-induced chemotaxis ส่งผลให้การมารวมกรุ๊ปกันของสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบลดลง, ยับยั้ง transendothelial migration of neutrophils มีผลให้ลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวจำพวก neutrophil ในแนวทางการอักเสบลง, ยั้งการหลั่งสาร TNFα ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นในขบวนการอักเสบ, กดการสร้างอนุมูลไนโตรเจนที่รวดเร็วต่อการเกิดปฏิกิริยาการอักเสบ และก็การทำงานผ่าน ERK1/2 อีกทั้ง 2 กลไก ได้แก่ การขัดขวาง phosphatase-activity (directly related with ERK1/2 phosphorylation) รวมทั้งการเพิ่ม phosphorylation of ERK1/2 kinase (ผ่านทาง p21ras protein thioallylation) ส่งผลทำให้การอักเสบลดน้อยลง (Martins, et al, 2016)

ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
      การทดสอบความสามารถในการต้านเชื้อ Escherichia coli ซึ่งป็นเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  และการสกัดสดโดยแนวทางบีบบังคับแบบเย็น โดยใช้แนวทาง microdilution broth susceptibility test พบว่าการสกัดสดมีค่า MIC แล้วก็ค่า MBC น้อยที่สุด (3.125กรัมต่อลิตร) และก็รองลงมาคือ สารสกัดจากตัวทำละลาย เอทานอล เมทานอล แล้วก็อะซิโตน ให้ค่า MIC รวมทั้ง MBC เท่ากัน (6.25กรัมต่อลิตร) มีความหมายว่าสารสกัดสดมีสมบัติในการยับยั้ง รวมทั้งฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียยอดเยี่ยม ด้วยเหตุว่าในกระเทียมสดมี allin เป็นสารประกอบกำมะถันที่สำคัญ เมื่อกระเทียมสดถูกบด หรือผ่านขั้นตอนดัดแปลง allinase จะถูกปล่อยออกมาจากภายใน vacuole ของเซลล์ แล้วก็อาศัยน้ำเป็นกลไกสำหรับการทำปฏิกิริยาได้เป็น allicin ซึ่งเป็นสารที่มีความรู้และมีความเข้าใจสำหรับในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งขั้นตอนการสกัดสดช่วยทำให้กระบวนการทำปฏิกิริยาระหว่างสาร allin และก็ allinase ดียิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าต้องใช้เวลาสำหรับการบีบคาดคั้นน้ำกระเทียมซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวช่วยทำให้แนวทางการทำปฏิกิริยาระหว่างสารเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้ได้ allicin เพิ่มขึ้น (ภรดี รวมทั้งรังสินี, 2554)
ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ
         เมื่อนำสารสกัดกระเทียมที่ได้จากการบ่มสกัด (aged garlic extract (AGE) ด้วย 20 % เอทานอล เป็นเวลา 20 เดือน ที่อุณหภูมิห้อง เอามาทดลองการต้านทานการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไลโปโปรตีนจำพวกความหนาแน่นต่ำ หรือต้านการเกิด oxidized LDL (ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง) โดยนำ LDL ที่แยกได้จากคนมาทดสอบในภาวะที่มีไหมมี AGE โดยใช้ CuSO4 และ 5-lipoxygenase เหนี่ยวนำให้เกิด oxidized LDL และทดสอบสารสกัดของ AGE ผลการทดสอบพบว่า AGE มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยลดการผลิต superoxide ion (อนุมูลอิสระของออกสิเจน) แล้วก็ลดการเกิด lipid peroxide (ออกซิเดชันของไขมัน)  โดย AGE 10%v/v เมื่อใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สามารถยั้งการเกิด superoxide ได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ของ AGE ได้ผล 34%  ฤทธิ์ลดการเกิด lipid peroxidation ของ LDL พบว่าสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ลดการเกิด lipid peroxidation ที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำของ Cu2+ และ 5-lipoxygenase ได้ 81% รวมทั้ง 37% เป็นลำดับ สรุปได้ว่า AGE มีผลยั้งการเกิด oxidation ของ LDL โดยลดการผลิต superoxide แล้วก็ยั้งการเกิด lipid peroxide  ดังนั้น AGE จึงอาจมีหน้าที่สำหรับเพื่อการปกป้องการเกิดภาวการณ์เส้นเลือดแดงแข็ง (atherosclerotic disease) ได้ (Dillon, et al, 2003)
      การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  รวมทั้งการสกัดสดโดยแนวทางบีบบังคับแบบเย็น ทดสอบโดยกรรมวิธีการยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH, การต้านออกซิไดส์จากสาร hydrogen peroxide (hydrogen peroxide (H2O2) scavenging activity ผลของการทดลองฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH พบว่าการสกัดกระเทียมด้วยตัวทำละลายอะซิโตน ให้ค่า IC50 ต่ำที่สุด เท่ากับ 3.58±0.02 mg/ml รองลงมา อาทิเช่น สารสกัดเมทานอล เอทานอล แล้วก็การสกัดสด เป็นลำดับ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 3.72±0.03, 4.47±0.20 แล้วก็ 55.36±3.96 mg/ml เป็นลำดับ  ผลการต้านสารออกสิไดซ์ที่รุนแรง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) พบว่าสารสกัดด้วยตัวทำละลายเมทานอล มีทรัพย์สินการต้านออกซิไดส์ของสาร H http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรกระเทียม

 

Sitemap 1 2 3