แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - one005464a5

หน้า: [1]
1

สมุนไพรพญายอ
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อสกุล ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อท้องถิ่นผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาข้อคำ  พญาบ้องดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสมหะพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มคอยเลื้อย ลำต้นแล้วก็กิ่งไม้เกลี้ยงวาว สูงได้ถึง 3 เมตร ใบผู้เดียวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานปนใบหอก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซ็นต์ โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซ็นต์ ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอด กลีบดอกสีส้มแดงเชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 ซม. ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาและก็สรรพคุณ


-ส่วนใบ รักษาอาการด้วยเหตุว่าแมลงกัดต่อยและโรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides เช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกลุ่ม glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าช่องท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอปริมาณร้อยละ 5  ใน cold cream และก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อเอามาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แต่ว่าเมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่ได้เรื่อง
ฤทธิ์ลดลักษณะของการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติค  ขึ้นรถสกัดความแรง 90 มก./กิโลกรัม จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ รวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่เป็นผลลดความเจ็บ

ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส
เชื้อไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และก็เอทิลอะสิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสเชื้อเริม HSV-1  และก็เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 4 แล้วก็ใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสเจริญและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  เวลาที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะมีพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการดูแลรักษาคนเจ็บโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  และยาหลอก  โดยให้คนไข้ทายาวันละ 4 ครั้ง ตรงเวลา 6 วัน พบว่าไม่แตกต่างในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนไข้ที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอแล้วก็ยา acyclovir   โดยแผลจะเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน แล้วก็หายสนิทข้างใน 7 วัน ซึ่งต่างกันกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ เคือง ในระหว่างที่ acyclovir ทำให้แสบ   นอกเหนือจากนี้มีการใช้ยาที่ทำจากพญายอ ในคนเจ็บโรคเริม งูสวัด แล้วก็แผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลและลดการอักเสบได้ดี   
ไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายไวรัส Varicella zoster ที่เป็นต้นเหตุโรคงูสวัดแล้วก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่จะไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการดูแลและรักษาคนป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน จนกว่าแผลจะหาย  พบว่าคนป่วยสุดที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน แล้วก็หายด้านใน 7-10 วัน จะมีจำนวนไม่น้อยกว่ากลุ่มสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ระดับความเจ็บปวดลดลงเร็วกว่ากลุ่มยาหลอก และไม่พบผลข้างเคียงใดๆก็ตาม


อาการข้างเคียง


ความเป็นพิษทั่วไปแล้วก็ต่อระบบขยายพันธุ์


การทดลองความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษน้อย แม้กระนั้นเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กิโลกรัม (หรือเสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัม/โล) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ ไม่นำมาซึ่งอาการพิษใดๆ
การเรียนพิษ
พญายอครึ่งหนึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/โล และก็ 540 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุกเมื่อเชื่อวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเติบโต แต่ว่าน้ำหนักต่อมธัยมัเสียใจลง ในช่วงเวลาที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่พบความแตกต่างจากปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่พบอาการไม่พึงปรารถนาใดๆ หนูแรทที่กินสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/โล ทุกวี่ทุกวันนาน 90 วัน พบว่าการกินของกินของกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดและก็กลุ่มควบคุมไม่มีความแตกต่างกัน แต่น้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/กก. ต่ำยิ่งกว่าพญายอกลุ่มควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งคู่เพศสูงขึ้นมากยิ่งกว่า และก็ครีอาตำหนินินน้อยกว่ากลุ่มควบคุม  แต่ว่าไม่พบความแตกต่างจากปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน และพยาธิสภาพภายนอกhttp://www.disthai.com/

2

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี


ราก[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url][/url][/color]
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
http://www.disthai.com/

3

[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url][/size][/b]
ที่ไปที่มาของต้นราชพฤกษ์
   จากอดีตที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางราชการมีความพยายามหลายหนสำหรับเพื่อการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นการกำหนด ต้นไม้ และก็ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มที่กรมป่าไม้ได้เชื้อเชิญให้สามัญชนพอใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ตอนปี พ.ศ.2494 โดยรัฐบาลลงความเห็นให้ถือวันที่ 24 เดือนมิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการเชิญชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีคุณประโยชน์ประเภทต่างๆมากมาย ในเวลาเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ คงจะนับว่าเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ราชพฤกษ์
   จนกระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อกำหนดสัญลักษณ์ต้นไม้รวมทั้งสัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ พืชที่มีความมงคลที่มีคุณประโยชน์และรู้จักกันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวโยงกับจารีตประเพณีไทยแล้วก็ประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอคราวนั้นมิได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุดังกล่าวตลอดระยะเวลาก่อนหน้านี้สัญลักษณ์ที่บอกถึงความเป็นไทยจึงมีหลากหลาย ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ สัตว์ ดอกไม้ ที่คนประเทศไทยเคยชินและก็ประสบพบเห็นบ่อย ดังเช่นว่า พระปรางค์วัดอรุณฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เหมือนกันกับ ต้นราชพฤกษ์ และก็ ช้างเผือก ยังคงถูกชื่นชมให้เป็นเครื่องหมายประจำชาติตลอดมา
            ปี พ.ศ.2530 มีการเกื้อหนุนให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกที เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการเกื้อหนุนให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วทั้งประเทศจำนวน 99,999 ต้น ขณะนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่เยอะแยะทั่วทั้งประเทศไทย
            ผลสรุปเรื่องเครื่องหมายประจำชาติดูเหมือนจะยังกำกวม จนถึงตอนปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังที่กล่าวมาข้างต้นกลับมาเสนออีกครั้ง แล้วก็มีบทสรุปเสนอให้มีการระบุเครื่องหมายประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์รวมทั้งสถาปัตยกรรม และก็การไตร่ตรองก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเสนอให้ระบุดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติหมายถึงช้างไทย รวมทั้งสถาปัตยกรรมประจำชาติคือ ศาลาไทย
            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติเพราะเหตุว่ามีความเหมาะสมในหลายๆด้าน คือ เป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้ฯลฯไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ ฯลฯไม้ที่แก่ยืน แข็งแรง ปลูกขึ้นได้ดิบได้ดีทั่วทุกภาคของประเทศ เป็นต้นไม้พื้นเมืองที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อแตกต่างกันในแต่ละภาค ยกตัวอย่างเช่น ลมแล้ง คูน อ้อดิบ ราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลใช้ประโยชน์ในพิธีหลักๆเช่น ลงหลักเมือง ลงเสาฤกษ์ ทำคฑาจอมพลแล้วก็ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในช่วงฤดูร้อนราชพฤกษ์จะออกดอกสะพรั่งต้น ช่อดอกมีทรงสวยงาม สีเหลืองแพรวพราวเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ และเป็นสีเดียวกับวันพระราชการเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกนั้นความงามของช่อดอก และความหมายที่ดียังถูกจำทดลองแบบประดับประดาไว้บนอินทรธนูของข้าราชการอีกด้วย
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
ส่งดอกไม้ประจำชาติไทย คือ ดอกราชพฤกษ์ (Golden shower) หรือ ชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ของ ดอกราชพฤกษ์เป็นCassia fistula
           ดอกไม้สีเหลืองแพรวพราวที่พบบ่อยเห็นได้ทั่วๆไปตามริมถนนสายต่างๆคือสีสันของ ดอกราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน ต้นไม้มงคลที่ได้รับการเชิดชูให้เป็น ดอกไม้ประจำชาติไทย ทั้งมั่นใจว่าเป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้วจะเสริมให้คนภายในบ้านทรงเกียรติตำแหน่งชื่อ เสียงเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วย ยิ่งใกล้ไปสู่เวลาแห่งการเปิดประตูต้อนรับเพื่อนบ้านอาเซียนกันแล้ว ในวันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอนำข้อมูลเกี่ยวกับดอกไม้ประจำชาติไทยอย่าง ดอกราชพฤกษ์ มาให้ทำความรู้จักกันแรง
ประวัติดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้ท้องถิ่นของเอเชียใต้ ตั้งแต่ปากีสถาน ประเทศอินเดีย พม่า รวมทั้งศรีลังกา โดยนิยมปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเจริญเติบโตก้าวหน้าในที่โล่งแจ้ง และก็มีชื่อเสียงในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน จนถึงมีการลงชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. พ.ศ. 2544

ดอกไม้ประจำชาติไทย
           ด้วยเหตุว่า ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองชูช่อ มองสง่างาม ทั้งยังยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชการเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เลยถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าอยู่หัว" และมีการเซ็นชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นเลิศใน 3 เครื่องหมายประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และก็ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เพราะฯลฯไม้พื้นบ้านที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งมีอยู่ทุกภาคของเมืองไทย
  • มีประวัติเกี่ยวพันกับขนบธรรมเนียมหลักๆในไทยและก็เป็นต้นพืชที่มีความมงคลที่นิยมนำมาปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ได้แก่ ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ ฯลฯ
  • มีสีเหลืองสวยงาม พุ่มงามเต็มต้น เทียบเป็นสัญลักษณ์ที่พุทธศาสนา
  • มีอายุยืนนาน และแข็งแรง
ลักษณะทั่วไป
           เป็นต้นไม้ขนาดกลาง สูงประมาณ 10-20 เมตร ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองสวยงาม แต่ละช่อยาวราวๆ 20-40 ซม. โดยกลีบจะเป็นสีเหลือง 5 กลีบ ส่งผลยาวราว 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นฉุน แล้วก็มีเมล็ดที่เป็นพิษ
การปลูกดอกราชพฤกษ์
           นิยมนำมาปลูกด้วยเม็ด โดยจะมีการเติบโตช้าในตอน 1-3 ปีแรก แต่ว่าหลังจากนั้นจะมีการเติบโตเร็วขึ้น และออกดอกตอนอายุโดยประมาณ 4-5 ปี
การดูแลและรักษา
           แสง : อยากได้แสงอาทิตย์จัด หรือกลางแจ้ง รวมทั้งเจริญวัยได้ดิบได้ดีในเป็นพิเศษ
           น้ำ : ชอบน้ำน้อย ควรจะรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพอากาศร้อนได้ดิบได้ดี
           ดิน : สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนซุยผสมทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมใส่ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยคอก ในอัตรา 2-3 กิโลกรัมต่อต้น แล้วก็ควรจะให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
การขยายพันธุ์
           วิธีเพาะพันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยมเป็นการเพาะเม็ด โดยใช้เมล็ดสดๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แต่ว่าจำต้องเลือกขลิบรอบๆด้านป้าน เพราะว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ แล้วต่อจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งเอาไว้ผ่านวัน จึงค่อยเทน้ำออกให้เหลือจำนวนพอเพียงหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ ต่อจากนั้นทิ้งไว้อีกคืนก็จะพบรากแตกออก และสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าฯลฯไม้มงคล ที่ควรจะปลูกเอาไว้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งถ้าหากปลูกไว้ในบ้านจะช่วยให้มีเกียรติขั้น เกียรติยศ และก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำพระพุทธมนต์สะเดาะเคราะห์ เพราะเป็นพืชที่มีความมงคลนาม http://www.disthai.com/

4

กระเทียม
กระเทียม ชื่อสามัญ Garlic
กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ คือคำว่า Allium sativum L. จัดอยู่ในสกุลพลับพลึง (AMARYLLIDACEAE) และอยู่ในสกุลย่อย ALLIOIDEAE (ALLIACEAE)
สำหรับในประเทศไทยนิยมนำมาปลูกมากมายในทางภาคเหนือแล้วก็ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่สำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดี กลิ่นแรงอาจจะหนีไม่พ้นจังหวัดศรีสะเกศ
สรรพคุณของกระเทียม
ช่วยบำรุงรักษาผิวหนังให้มีสุขภาพแข็งแรงรวมทั้งแข็งแรง
ช่วยสร้างเสริมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย
ช่วยคุ้มครองการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและก็น้ำตาลในเลือด
ช่วยทำให้สมดุลในร่างกาย
ช่วยแก้อาการเวียนหัวศีรษะ อาการงุนงง ปวดหัว หูอื้อ
ช่วยในเรื่องระบบสืบพันธุ์รวมทั้งระบบทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากมีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งยังหญิงและก็ชาย ช่วยให้มดลูกบีบตัว เพิ่มกำลังวังชาให้มีเรี่ยวแรง
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด
ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดการเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวฉับพลัน
ช่วยต้านเนื้องอก
ช่วยแก้ไขปัญหาศีรษะบาง ยาวช้า มีสีเทา
ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดรวมทั้งรักษาโรคโลหิตจาง
ช่วยสำหรับเพื่อการขับพิษและสารพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด
ช่วยป้องกันผนังเส้นเลือดหนาและก็แข็งตัว
สารสกัดน้ำมันกระเทียมมีสารที่มีส่วนช่วยสำหรับการละลายลิ่มเลือด
ช่วยคุ้มครองการเกิดเส้นโลหิตตัน
มีสารต้านไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
ช่วยทุเลาอาการไอ น้ำมูกไหล คุ้มครองป้องกันหวัด
ช่วยรักษาโรคไข้หวัดและก็ไข้หวัดใหญ่
ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบแล้วก็ไซนัส
ช่วยรักษาโรคไอกรน
ช่วยแก้อาการหอบ โรคหืด
ช่วยรักษาโรคหลอดลม
ช่วยหยุดกลิ่นปากกระเทียม
ช่วยในการขับเหงื่อ
ช่วยในการขับเสมหะ
ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ
ช่วยสำหรับการขับลม
ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ
ช่วยคุ้มครองปกป้องโรคท้องผูก
ช่วยรักษาโรคบิด
ช่วยในการขับปัสสาวะ
ช่วยสำหรับเพื่อการขับพยาธิได้หลายแบบ ตัวอย่างเช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิเข็มหมุด พยาธิไส้เดือน ฯลฯ
ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบประเภทร้ายแรงได้
ช่วยปกป้องการเกิดโรคไต
ช่วยฆ่าเชื้อโรครา เชื้อแบคทีเรียต่างๆรวมถึงเชื้อราตามหนังหัวและก็รอบๆเล็บ
ช่วยยั้งเชื้อต่างๆดังเช่นว่า เชื้อที่ส่งผลให้เกิดฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดบวม เชื้อวัณโรค เป็นต้น
ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่วกระเทียมสรรพคุณ
ช่วยรักษาขี้กลาก โรคเกลื้อน
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อและกระดูกภายในร่างกาย
ทุเลาอาการปวดข้อและก็เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามร่างกาย
ช่วยแก้อาการกลยุทธ์ขัดยอกรวมทั้งเท้าพลิก เพราะมีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตมายังบริเวณที่นวดยาได้ดิบได้ดีมากเพิ่มขึ้นนั่นเอง
มีสารต้านทานอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาติสซั่ม
กระเทียมมีกลิ่นฉุนก็เลยสามารถช่วยไล่ยุงได้เป็นอย่างดี
ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากอาหาร
ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากกระเทียม
ประโยชน์หลักๆของกระเทียมอาจหนีไม่พ้นการนำมาใช้เพื่อช่วยแต่งรสชาติของอาหาร ไม่ว่าจะใช้ผัด แกง ทอด ยำ ต้มยำ หรือน้ำพริกต่างๆอีกสารพัน
กระเทียมเป็นเครื่องสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินและก็ธาตุหลายประเภท และยังเป็นพืชที่ธาตุซีลีเนียมสูงขึ้นยิ่งกว่าพืชประเภทอื่นๆอีกทั้งยังมีสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA และก็ RNA ของเซลล์ภายในร่างกาย
นอกเหนือจากนั้นยังมีการนำกระเทียมไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น กระเทียมเสริมของกิน กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง ฯลฯ

คุณประโยชน์ทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 149 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม
เส้นใยอาหาร 2.1 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 6.36 กรัม
วิตามินบี 1 0.2 มก. 17%
วิตามินบี 2 0.11 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี 3 0.7 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 5 0.596 มก. 12%
วิตามินบี 6 1.235 มิลลิกรัม 95%
วิตามินบี 9 3 ไมโครกรัม 1%
วิตามินซี 31.2 มิลลิกรัม 38%
ธาตุแคลเซียม 181 มิลลิกรัม 18%
ธาตุเหล็ก 1.7 มก. 13%
ธาตุแมกนีเซียม 25 มก. 7%
ธาตุแมงกานีส 1.672 มิลลิกรัม 80%
ธาตุฟอสฟอรัส 153 มิลลิกรัม 22%
ธาตุโพแทสเซียม 401 มก. 9%
ธาตุสังกะสี 1.16 มิลลิกรัม 12%
ธาตุซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม
% จำนวนร้อยละของจำนวนเสนอแนะที่ร่างกายอยากได้ในแต่ละวันสำหรับคนแก่ (มูลเหตุ : USDA Nutrient database)
ข้อแนะนำแล้วก็สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับการใช้กระเทียม
กระเทียมยิ่งสดมากแค่ไหนก็ยิ่งมีสรรพคุณที่ดีเลิศขึ้นแค่นั้น แม้กระนั้นสำหรับกระเทียมที่ผ่านความร้อนด้วยแนวทางต่างๆหรือผ่านการหมัก จะมีผลให้วิตามินและสารอัลลิสินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นสลายตัวไป
วิตามินและแร่ธาตุที่อยู่ในกระเทียมนั้น จะมีมากมายหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับดินแล้วก็ลักษณะอากาศที่ใช้สำหรับการเพาะปลูกอีกด้วย
สำหรับหญิงที่กำลังมีครรภ์หรือให้นมลูก คนที่หรูหราน้ำตาลในเลือดเป็นปกติ หรูหราความดันเลือดเป็นปกติ ผู้ที่มีลักษณะของเลือดหยุดไหลช้า รวมถึงคนที่ใช้ยาอื่นๆเป็นประจำ อย่างเช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต้านทานเชื้อไวรัส คุณไม่ควรรับประทานกระเทียมหรือสินค้ากระเทียมเสริมในปริมาณที่มากกระทั่งเกินความจำเป็น เนื่องจากว่าอาจทำให้เป็นโทษต่อสุขภาพร่างกายได้
สำหรับผู้ที่ได้รับกลิ่นของกระเทียมบ่อยๆ อาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้กระเทียมเมื่อรับประทานได้ โดยอาจจะมีอาการอ้วก และมีของกินหัวใจที่เต้นแรงไม่ปกติ แม้กระนั้นอาการดังที่กล่าวผ่านมาแล้วจะเบาๆหายไปเองภายในช่วงระยะเวลา 3-4 ชั่วโมง ซึ่งกระเทียมที่ประยุกต์ใช้ในการเข้าครัวชอบก่อกำเนิดอาการแพ้ได้น้อยกว่ากระเทียมแบบสดๆ
สำหรับคนที่อยู่ในห้องครัวหรือผู้จำเป็นต้องใช้มือสัมผัสกับกระเทียมเสมอๆรวมทั้งเป็นระยะเวลานาน อาจจะก่อให้ผิวหนังมีการอักเสบ มีตุ่มน้ำได้ โดยเหตุนั้นคุณควรจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสกระเทียมโดยตรงบ่อยๆด้วยการสวมถึงมือทุกคราวในตอนที่จะใช้กระเทียม
หากว่ากระเทียมจะเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์อยู่มาก แม้กระนั้นคุณก็ไม่สมควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลสำหรับการรักษาอาการหรือโรคใดโรคหนึ่ง ทั้งยังผลที่ได้ในแต่ละบุคคลก็บางครั้งก็อาจจะแตกต่างออกไป โดยเหตุนี้คุณควรที่จะเลือกกินให้นานัปการรวมทั้งครบ 5 กลุ่ม จะเป็นช่องทางที่ดีเยี่ยมที่สุด เพราะเหตุว่าผักสมุนไพรปกติ ถ้าศึกษาเล่าเรียนกันในความเป็นจริงแล้ว มันก็มีประโยชน์มากพอๆกับกันเลย
เดี๋ยวนี้ในบ้านพวกเรายังไม่มีการยืนยันว่ากระเทียมนั้นจะสามารถรักษาโรคได้จริง คงเป็นได้เพียงแค่สมุนไพรช่องทางในการรักษารวมทั้งสมุนไพรเสริมสุขภาพแค่นั้นhttp://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรกระเทียม

5

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะอย่างไรนี่ พวกเรากำลังดูหนังการสู้รบอยู่เหรอ ไม่ครับผม บุกในที่นี้มิได้ถึงศัตรูบุก แม้กระนั้นหมายถึงหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านเรา ต่างหาก และที่จำต้องหนี ไม่ใช่ใครที่ใด แต่ว่าเป็นโรคฮอตฮิตในขณะนี้อย่างโรคอ้วน เบาหวาน ต่างหากที่จะต้องหนีไป
บุก ส่วนที่เห็นเป็น หัวบุก ตอนแรกเรื่องของบุกในประเทศไทย มันก็มิได้แพร่หลายหรือเป็นที่ได้รับความนิยมราวกับเวลานี้ด้วยเหตุว่าจริงๆทีแรกมันก็เป็นพืชพื้นบ้านอยู่ดี  คนภายในแคว้นก็นำบุกมาปรุงอาหาร ราวกับเผือก ราวกับมันทั่วๆไปเพียงพอเริ่มมีคนมาศึกษาค้นคว้า   สรรพคุณต่างๆของมัน เลยกลายเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยม มีการแปรรูปเป็นรูปแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก และอื่นๆอีกมากมาย วันนี้เองก็คงไม่ช้าเกินไปที่จะนำทุกคนมารู้จัก พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบถึงกึ๋นมารู้จะบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นปิศาจ  น่าขนลุกนะครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากรูปแบบของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อตระกูล    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกลุกงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (ปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกึ่งกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
พวกเราเจอบุกพอดีไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่เจอทั่วไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นอยู่กับตาม ชายป่า และก็บางครั้งบางคราวก็พบตามพื้นที่ ปลูกข้าว อาทิเช่นที่จังหวัดปทุมธานี แล้วก็นนทบุรี เป็นต้น บุกขึ้นได้ในสภาพดินทุกชนิด แต่ว่าจะเจริญเติบโตก้าวหน้าให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินซึ่งร่วนซุย น้ำไม่ขังรวมทั้งดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
ลักษณะของต้นบุก
ลักษณะของต้น บุก แสดงให้เห็นองค์ประกอบเป็นใบบุก และก็หัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ลักษณะเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ประมาณ 25 เซนติเมตร (บางพันธ์บางทีอาจเล็กกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่ว่าบางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมอาหารของบุก
 ใบบุก  ลักษณะราวกับใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางชนิดมีก้านใย เป็นลวดลายบางประเภทมีหนามอ่อนๆ หรือบางทีบุกบางประเภทก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะมีความคิดเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่นานัปการมาก  แม้กระนั้นที่เด่นๆพิจารณาง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกึ่งกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีรูปทรงแผ่กว้างแบบร่ม แต่ว่าบาง จำพวกจะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนราวกับหงายร่ม ด้วยเหตุนั้นลักษณะของใบบุก มีหลายต้นแบบสังกัดประเภทของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าโค แต่ละชนิดมีขนาด สี แล้วก็รูป ทรงแตกต่าง บางชนิดมีดอกใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นราวกับเนื้อสัตว์เน่า บุกจำพวกอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกลางหัวบุก เหมือนกันกับก้านใบ บุกมักจะมีดอกในช่วงปลายฤดูแล้ง แต่บุกสามารถออกดอกได้ในตอน เวลาต่างๆกัน ช่วงเวลาสำหรับในการแก่สุดกำลัง ของดอกที่จะติดผลก็ต่างกัน
 ผลบุก (อย่างงมากกับหัวบุกนะ ) ภายหลังดอก ผสมพันธุ์ก็จะเกิดผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พออายุ ได้ 1-2 เดือน จะมีผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายเหมือนผลกล้วย ผล ของบุกส่วนมากจะมีลักษณะคล้ายๆกัน แต่เม็ดข้างในต่างกัน พบว่าโดยมากมีเม็ดเป็นรูปทรงอูมยาว  บุกบางประเภทก็มีเมล็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาเข้าครัว
เป็นพืชของกินประจำถิ่นซึ่งคนประเทศไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ส่วนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงตามแต่ละภูมิภาค ดังเช่นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการทำของหวานที่เรียกว่าขนมบุก แกงบรรพชามันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคทิศตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วนำมานึ่งกินอาหาร ทางภาคเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเขา มักเอามา ปิ้งกิน ภาคกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งแล้วจากนั้นจึงค่อยนำไปทำเป็นของหวาน
*บุกมีหลายแบบหลายจำพวก บางทีอาจขมรวมทั้งเป็นพิษ ทุกประเภทมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งๆที่ก้านใบรวมทั้งหัว ซึ่งอาจส่งผลให้คัน ก่อนเอามาทำอาหารจำเป็นต้องต้มซะก่อน ไม่งั้นกินเข้าไปทำให้คันปากแล้วก็ลิ้นพอง
อาหารที่ดัดแปลงมาจากบุก
ตอนนี้มีการนำบุกมาแปรรูป ทั้งยังในลักษณะของเส้นบุก ซึ่งเป็นสินค้าแปรรูปจากส่วนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารจานอร่อยได้ ผมว่าคนไหนกันแน่เคยไปรับประทานเนื้อย่างอาจเคยเจอบ้าง เว้นแต่เส้นบุกแล้วมีการเอามาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบฮิตๆอดีตเป็นเจเล่ ผสมผงบุก หากจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าใช้จ่ายในการโฆษณาด้วยครับ)
สรรพคุณของบุก
จากการเรียนพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูโคแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 ประเภทหมายถึงดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) แล้วก็ (D-mannose) เป็นสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แม้กระนั้นร่างกายย่อยสลายได้ยาก ดูดซึมได้ช้า ก็เลยให้พลังงานและสารอาหารน้อย เหลือกากมากมาย ทำให้ระบบขับถ่ายปฏิบัติงานดี คนที่ต้องการลดน้ำหนักนิยมทานอาหารจากแป้งบุก ตัวอย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เนื่องจากว่ากินอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ว่าไม่ทำให้อ้วน
นอกจากนั้นเองเจ้า สารกลูโคแมนแนนนี้ สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ก็เพราะความเหนี่ยว ซึ่งยับยั้งการดูดซึมของกลูโคลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมาก็ยิ่งส่งผลลดการดูดซึมกลูโคลส ด้วยเหตุดังกล่าว กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลก้าวหน้ามากมาย ตอนนี้จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคโรคเบาหวาน รวมทั้งสำหรับผู้เจ็บป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละครับผมเป็นคุณประโยชน์จากบุก ทดลองหามาทานกันครับ เป็นประโยชน์ขนาดนี้ ปัจจุบันไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว แนะนำมามายำแบบยำวุ้นเส้นนะครับ รับประกันอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]