ผู้เขียน หัวข้อ: p1 กล้องสำรวจถนนหนทางภาคสนาม จำหน่าย กล้องระดับ TOPCON, Pentax, CTS/Berger ราคาถ  (อ่าน 293 ครั้ง)

jeerapunsanook

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2181
    • ดูรายละเอียด
จำหน่ายกล้องอุปกรณ์กล้องไลน์สำรวจ คุณภาพเยี่ยม กล้องระดับ TOPCON ยี่ห้อ TOPCON, Pentax, CTS/Berger
การแบ่งดิน คือ การรวบรวมดินประเภทต่างๆที่มีลักษณะ หรือ คุณสมบัติที่หมือนกันหรือคล้ายคลึงกันตามที่กำหนดไว้ ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระบบระเบียบ เพื่อสบายสำหรับการจดจำแล้วก็ใช้ประโยชน์งาน
ระบบการแบ่งดินของประเทศรัสเซีย
ระบบนี้จะสนใจดินที่เกิดในลักษณะของอากาศหนาวเย็น จนถึงออกจะร้อน สำหรับการจำแนกประเภทขั้นสูง เน้นการใช้โซนสภาพอากาศแล้วก็พรรณไม้เป็นหลัก มีทั้งสิ้น 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตลักษณะภูมิอากาศตั้งแต่หนาวจัด จนถึงค่อนข้างจะหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX เน้นสภาพภูมิอากาศออกจะร้อน โดยใช้ลักษณะความชุ่มชื้น-ความแห้ง แล้วก็ภาวะพืชพรรณที่เป็นป่า หรือท้องทุ่ง เป็นสาเหตุจำกัด สำหรับชั้น X-XII เน้นย้ำดินในเขตร้อน จากระดับสูงจะมีการจำแนกประเภทออกเป็นชั้นย่อย ตามลักษณะการเกิดของดิน และก็แบ่งเป็นประเภทดิน ในขั้นต่ำ ระบบการแบ่งดินของคูเบียนา การแบ่งแยกดินใช้ สมบัติทางเคมีของดิน รวมทั้งโซนของอากาศกับพรรณไม้ เป็นหลัก โดยเน้นสิ่งแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน และก็สิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างจะแห้งแล้งมากยิ่งกว่าเขตชื้นและก็ฝนชุก
-ระบบการแบ่งดินของประเทศฝรั่งเศส
มีลักษณะเด่นเป็น เป็นการจำแนกประเภทดินที่ใช้ลักษณะทั้งหมดภายในหน้าตัดดินเป็นหลักเกณฑ์ เน้นความก้าวหน้าของหน้าตัดดิน โดยตรึกตรองจาการเรียงตัวของชั้นเกิดดินภายในหน้าตัดดินโดยเฉพาะ กับการที่มีปฏิกิริยาความเคลื่อนไหว หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว การจำแนกลำดับสูงสุด เน้นย้ำลักษณะที่เกี่ยวโยงกับการขังน้ำ ส่วนอย่างต่ำ ใช้ความมากน้อยสำหรับในการเคลื่อนย้ายอนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศเบลเยียม
เป็นการจำแนกแยกแยะที่ค่อนข้างจะละเอียด ซึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น การจำแนกดินใช้รูปแบบของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ แล้วก็ความก้าวหน้าของหน้าตัดดิน เป็นลักษณะจัดประเภท สำหรับในการขยายความเนื้อดิน แบ่งออกเป็น 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) วัสดุอินทรีย์และก็ตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลที่เกี่ยวกับความเปียกของดิน อย่างเช่น จุดประ แล้วก็สีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่พบลักษณะดังที่กล่าวถึงมาแล้ว สำหรับความเจริญของหน้าตัดดินแบ่งได้หลายชั้นโดยใคร่ครวญจากลำดับของชั้นต่างๆในหน้าตัดดินและชั้น (B) นับว่าเป็นชั้น B ที่เพิ่งจะมีความเจริญหรือเป็นชั้นแคมบิก B คล้ายกันกับในระบบของฝรั่งเศส
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศอังกฤษ
ย้ำลักษณะดินที่เจอในประเทศอังกฤษแล้วก็เวลส์ มี 10 กลุ่ม ขยายความออกจากกันโดยใช้ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นมาตรฐานซึ่งเน้นย้ำประเภทรวมทั้งการจัดเรียงตัวของชั้นดิน ประกอบด้วย Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils และก็ Peat soils
-ระบบการแบ่งดินของประเทศแคนาดา
ระบบการแบ่งแยกเป็นแบบมีหลายขั้นอนุกรมเกณฑ์และมีลำดับสูงต่ำแน่ชัด ประกอบด้วย 5 ขั้นด้วยกันคือ อันดับ (order) กรุ๊ปดินใหญ่ (great group) กรุ๊ปดินย่อย (subgroup) ตระกูลดิน (family) แล้วก็ชุดดิน (series) ชั้นอันดับวิธานของดินในระบบการแบ่งดินของแคนาดาแจงแจงออกมาจากกันโดยใช้ลักษณะที่พิจารณาได้ และที่วัดได้ แต่ว่าหนักไปในทางด้านทฤษฎีการกำเนิดดินสำหรับการแบ่งขั้นสูง ซึ่งแบ่งได้เป็น 9 อันดับ และแบ่งออกเป็น 28 กลุ่มดิน
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศออสเตรเลีย
การพัฒนาด้านการแบ่งดินในประเทศออสเตรเลียมีมานานแล้วเหมือนกัน โดยในขั้นแรกเป็นการแยกประเภทดินที่ใช้ธรณีวิทยาของอุปกรณ์ดินเริ่มแรกเป็นหลัก แต่ต่อมาได้มีการปรับปรุงมาเรื่อยจนกระทั่งย้ำสัณฐานวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งได้ 47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) เนื่องจากว่าการที่ออสเตรเลียมีลักษณะภูมิอากาศอยู่หลายแบบร่วมกัน ทำให้มีสภาพแวดล้อมทางดินหลายแบบด้วยกันตามไปด้วย มีทั้งยังในภาวะที่หนาวเย็นไปจนถึงเขตร้อนชื้น แล้วก็เขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าระบบการแบ่งแยกนี้ครอบคลุมชนิดของดินต่างๆมากมายก่ายกอง แม้กระนั้นเน้นย้ำดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต เน้นย้ำสีของดิน แล้วก็เนื้อของดินค่อนข้างจะมากมาย ระบบการแบ่งดินของประเทศออสเตรเลียนี้มีอยู่มากกว่า 1 แบบ เนื่องมาจากมีการเสนอระบบต่างๆที่มีแนวความคิดรากฐานแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่นระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 1971, 1971, 1980) ที่เน้นย้ำจากระดับที่ค่อนข้างต่ำขึ้นไปหาระดับสูง และก็ระบบที่พบอยู่ในคู่มือของดินออสเตรเลีย (A Handbook of Australia Soils) เป็นต้น
-ระบบการแบ่งดินของประเทศนิวซีแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอันดับระเบียบดินของสหรัฐฯเป็นหลักสำหรับการแยกเป็นชนิดและประเภทดิน รวมทั้งดินของประเทศนิวซีแลนด์รอบๆกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากขี้ตะกอนภูเขาไฟ
-ระบบการจำแนกดินของประเทศบราซิล
ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน ระบบการแบ่งแยกดินของบราซิลไม่ใช้ภาวะความชื้นดินในการจำแนกขั้นสูง แล้วก็ใช้สี จำนวนของส่วนประกอบกับชนิดของหินแหล่งกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้เพื่อการแบ่งประเภทและชนิดมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอันดับข้อบังคับดินกษณะที่ใช้สำหรับการจัดชนิดและประเภทมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอันดับกฎดิน
ตามระบบการจำแนกดินประจำชาตินี้ สามารถแบ่งดินในประเทศไทยออกเป็น
ชุดดินรังสิต
Alluvial soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นใหม่ มีอายุน้อย มีพัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ หน้าตัดดินเป็นแบบ A-C, A-Cg, Ag-Cg หรือ A-(B)-Cg มีต้นเหตุจากการพูดซ้ำเติมโดยน้ำตามที่ราบลุ่ม ดังเช่นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ริมหาด แล้วก็เนินขี้ตะกอนน้ำพารูปพัด (alluvial fan) สภาพของการพูดซ้ำเติมบางทีอาจเป็นบริเวณของน้ำจืด น้ำเค็ม หรือน้ำกร่อยก็ได้ โดยมากจะมีเนื้อดินละเอียด รวมทั้งการระบายน้ำต่ำทราม พบมากลักษณะที่แสดงการขังน้ำ ยกเว้นรอบๆสันดินริมน้ำ และก็ที่เนินตะกอนน้ำพารูปพัด ที่เนื้อดินจะหยาบคายกว่า และก็ดินมีการระบายน้ำดี ส่วนประกอบและแร่ที่มีอยู่ในดิน alluvial มักไม่เหมือนกันมากมาย แล้วก็มักจะผสมปนเปจากบริเวณต้นกำเนิดที่มาจากหลายที่ ชุดดินที่สำคัญของกรุ๊ปดินหลักนี้คือ
- พวกที่เกิดขึ้นจากขี้ตะกอนน้ำจืด ได้แก่ ชุดดินท่าม่วง สรรพยา จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดราชบุรี อยุธยา
- พวกที่เกิดจากขี้ตะกอนน้ำกร่อย ตัวอย่างเช่น ชุดดินผู้อารักขา รังสิต
- พวกที่เกิดขึ้นมาจากตะกอนพื้นแผ่นดินสมุทร ตัวอย่างเช่น ชุดดินท่าจีน กทม.
-
Hydromorphic Alluvial soils
เป็นดิน Alluvial soils ที่มีการระบายน้ำค่อนข้างจะชั่วช้าสารเลว-เลวทรามมากมาย ในกรณีที่มีการจัดชนิดและประเภทดินออกเป็น Alluvial soils รวมทั้ง Hydromorphic Alluvial soils ดินที่อยู่ในกรุ๊ปดินหลัก Alluvial soils จะเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี รวมทั้งอยู่ในรอบๆที่สูงกว่าในภูมิทัศน์ที่ต่อเนื่องกัน ดินในทั้งสองกลุ่มดินหลักนี้ชอบได้รับอิทธิพลอุทกภัยในช่วงฤดูน้ำหลากเสมอ
 -ชุดดินหัวหิน
Regosols
มีวิวัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ กำเนิดเด่นชัดเฉพาะดินบน (A) และก็มีหน้าตัดดินแบบ A-C หรือ A-Cg เป็นผลมาจากวัตถุต้นกำเนิดดินที่เป็นทรายจัดบางทีอาจเป็นทรายบริเวณชายฝั่งทะเล หรือบริเวณเนินทราย หรือทรายจากแม่น้ำ ดินมีการระบายน้ำดี จนกระทั่งระบายน้ำดีจนถึงเหลือเกิน เจอทั่วๆไปเป็นแนวยาวตามชายฝั่งทะเล รวมทั้งตามกระพักลำน้ำของแม่น้ำที่มีตะกอนเป็นทรายจัด มีปฏิกิริยาออกจะเป็นกรด ชุดดินที่สำคัญเช่น ชุดดินหัวหิน พัทยา ระยอง รวมทั้งน้ำพอง
-Lithosols
เป็นดินตื้นมาก ส่วนใหญ่ลึกไม่เกิน 30 เซนติเมตร พบได้บ่อยตามบริเวณที่ลาดเชิงเขาซึ่งมีกษัยการสูง การเรียงตัวของชั้นดินเป็นแบบ A-C-R, AC-C-R หรือ A-R เนื้อดินมีเศษหินที่ยังไม่ผุพังย่อยสลายหรือกำลังเสื่อมสภาพผสมอยู่เป็นส่วนใหญ่ ดินนี้ไม่เหมาะแก่การเกษตร หรือการผลิตพืชโดยทั่วไป
-ชุดดินจังหวัดลพบุรี
Grumusols
เป็นดินสีคล้ำ เป็นผลมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง อาทิเช่น หินปูน มาร์ล หรือบะซอลต์ ความเจริญของหน้าตัดดินต่ำ เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีองค์ประกอบเป็นแร่ดินเหนียวชนิด 2:1 ซึ่งมีความรู้และมีความเข้าใจในการยืด-หดตัวได้มาก ดินจะขยายตัวเมื่อแฉะ (swelling) และหดตัวเมื่อแห้ง (shrinkage) ทำให้มีลักษณะของรอยูลื่น (slickensides) เกิดขึ้นในดิน ลักษณะหน้าตัดมีชั้น A-C หรือ A-AC-C โดยชั้น A จะครึ้ม มีโครงสร้างดินแบบก้อนกลม (granular structure) หรือก้อนกลมพรุน (crumb structure) พบได้ทั่วไปในรอบๆที่ราบลุ่มหรือตะพักสายธาร ลักษณะผิวหน้าดินเป็นหลักที่ปุ่มๆป่ำๆ (gilgai relief) เมื่อแห้งผิวดินจะแตกระแหงเป็นร่องลึก ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง ลักษณะโดยรวมเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่มีสมบัติทางด้านกายภาพที่เป็นปัญหาในการไถลูกพรวน ดินนี้ในบริเวณที่ต่ำจะมีการระบายน้ำชั่วโคตร โดยมากใช้ปลูกข้าว แต่ว่าถ้าอยู่ในที่สูง อย่างเช่นในรอบๆใกล้ตีนเขาหินปูนชอบมีการระบายน้ำดี ใช้ปลูกพืชไร่ ได้แก่ ข้าวโพดชุดดินที่สำคัญ ดังเช่น ชุดดิน ลพบุรี บ้านหมี่ โคกกระเทียม จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มดินหลัก Grumusols นี้ ไม่มีในระบบ USDA 1938 เริ่มใช้ในการเพิ่มเติมอีกระบบ USDA เมื่อ 1949
 -ชุดดินตาคลี
Rendzinas
เป็นดินตื้นเกิดตามตีนเขาหินปูน วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นพวกปูน (CaCO3) หรือมาร์ล เกิดเกี่ยวพันกับดิน Grumusols แต่อยู่ในรอบๆที่สูงกว่า พบมากบริเวณที่ลาดใกล้เขา หรือ กระพักลุ่มน้ำใกล้เขาหินปูน เป็นดินที่มีความก้าวหน้าของหน้าตัดต่ำ ลักษณะดินจะมีเพียงแค่ชั้น A แล้วก็ C หรือ A-(B)-C ดินบนสีคล้ำ มีโครงสร้างดี ร่วน และค่อนข้างหนา มีการระบายน้ำดี ส่วนดินล่างเป็นดินเหนียวผสมปูนหรือปูนมาร์ล ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นตามความลึก แล้วก็ชอบพบชั้นที่เป็นปูน หรือ ปูนมาร์ลล้วนๆอยู่ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ดินพวกนี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่าง (pH ราว 7.0-8.0) ส่วนใหญ่ใช้ในการปลูกพืชไร่ เป็นต้นว่าข้าวโพด หรือปลูกไม้ผล อาทิเช่น น้อยหน่า ทับทิม เป็นต้น ชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินตาคลี
 -ชุดดินชัยบาดาล
Brown Forest soils
พบตามบริเวณภูเขาเป็นส่วนมาก มีต้นเหตุจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้าง และเศษหินเชิงเขา ทั้งในสภาพที่หินพื้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด รวมทั้งด่าง อาทิเช่น แกรนิต ไนส์ แอนดีไซต์ มาร์ล บางทีอาจพบปะคละเคล้ากับดินในกรุ๊ปดินหลัก Rendzinas เป็นดินตื้น ความเจริญของหน้าตัดดินไม่มากเท่าไรนัก มีลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A-B-C หรือ A-B-R แม้กระนั้นชั้น B ชอบไม่ค่อยเด่นชัด ในประเทศไทยพบได้มากตามเทือกเขาหินปูนเป็นส่วนมาก สำหรับ Brown Forest soils ที่เป็นกรด พบเพียงแค่เล็กๆน้อยๆชุดดินที่สำคัญ เป็นต้นว่า ชัยบาดาล ลำที่นารายณ์ สมอทอด
 -Humic Gley soils
เจอปริมาณน้อยในประเทศไทย มักเกิดผสมอยู่กับดินอื่นๆในลักษณะกระจุยกระจายเป็นหย่อมๆในรอบๆที่ราบลุ่ม พบมากอยู่ติดกับดินในกรุ๊ป Grumusols, Rendzinas หรือ Red Brown Earths เป็นดินในที่ต่ำ มีการระบายน้ำชั่วช้า ความเจริญของหน้าตัดไม่ดีนัก ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ Ag (Apg)-Cg หรือ A-Bg-Cg ลักษณะที่สำคัญคือ ดินบนหนา มีสารอินทรีย์สูง ดินด้านล่างมักเป็นดินเหนียวสีเทาหรือสีเทาเข้ม มีลักษณะที่แสดงถึงสภาพที่มีการขังน้ำแจ่มแจ้ง มีจุดประ ปฏิกิริยาดินเป็นด่างเล็กน้อยชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินแม่ขาน
 -ชุดดินร้อยเอ็ด
Low Humic Gley soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นจากขี้ตะกอนน้ำพา พบในบริเวณที่ต่ำที่มีการระบายน้ำชั่ว จำนวนมากอยู่ในรอบๆตะพักเขตที่ลุ่มต่ำที่สูงกว่าที่ราบลุ่มใหม่ใกล้น้ำ ระดับน้ำใต้ดินตื้นแล้วก็แช่ขังเป็นบางครั้ง แม้กระนั้นมีความก้าวหน้าของหน้าตัดค่อนข้างจะดี ลักษณะสำคัญของดินในกลุ่มนี้เป็น หน้าตัดดินมีลักษณะที่แสดงออกถึงการขังน้ำ มีจุดประชัดเจน หน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt, Ap-A2-Bt, A1-A2-Btg, A1g-A2g-Btg, หรือ Apg-Btg พวกที่มีอายุน้อยจะสมบูรณ์บริบูรณ์มากกว่าพวกที่เกิดเป็นเวลานานกว่า บางบริเวณจะเจอศิลาแลงอ่อน (plinthite) ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ส่วนมากเป็นดินที่มีความอิ่มตัวเบสต่ำ pH ประมาณ 4.5-5.5 สำหรับพวกที่เกิดอยู่ในบริเวณตะพักลุ่มน้ำค่อนข้างใหม่ มักจะมีความอิ่มตัวเบสสูง ชุดดินที่สำคัญหมายถึงเพ็ญ สระบุรี มโนรมย์ เพชรบุรี จังหวัดเชียงราย หล่มเก่า ส่วนพวกที่เกิดบนตะพักแถบที่ลุ่มค่อนข้างเก่า ตัวอย่างเช่นชุดดิน ร้อยเอ็ด จังหวัดลำปาง เป็นต้น
 
-ชุดดินท่าอุเทน
Ground Water Podzols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำชั่วช้าสารเลวถึงค่อนข้างเลวพบเฉพาะในบริเวณที่มีฝนตกชุก ดังเช่น ในภาคใต้ บริเวณชายฝั่งตะวันออก หรือบางจังหวัดของภาคอีสาน ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดนครพนม มีเหตุมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นทราย ในบริเวณที่เป็นทรายจัด ดังเช่น ชายหาดเก่าหรือตะกอนทรายเก่า ในบริเวณที่ออกจะต่ำ มีความเจริญของหน้าตัดดี รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-(A2)-Bh-Cg หรือ A1-A2-Bir-Cg ชั้นดินบนสีคล้ำ และมีสารอินทรีย์สูง ชั้น A2 (albic horizon) หรือชั้นล้างมีสีซีดจางเห็นได้ชัดเจน ชั้น Bh มีสีน้ำตาลเข้มและก็มีการอัดตัวออกจะแน่น แข็ง เพราะว่ามีการสะสมสารอินทรีย์ที่ย่อยสลายแล้วกับอะลูมินัมออกไซด์และ/หรือเหล็กออกไซด์ มีปฏิกิริยาเป็นกรด pH ต่ำ ราวๆ 4.0-5.0 ตลอดทั้งหน้าตัดชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินบ้านทอน ท่าอุเทน
 -ชุดดินหนองเอ็ง
Solodized-Solonetz
พบในรอบๆที่ออกจะแห้งแล้ง แล้วก็วัตถุต้นกำเนิดมีเกลือผสมอยู่ อย่างเช่นรอบๆชายฝั่งทะเลเก่า หรือบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเกลือที่มาจากใต้ดิน ได้แก่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย เป็นต้น มีลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt ดินมีการระบายน้ำชั่วโคตร ชั้น Bt จะแข็งแน่นและก็มีส่วนประกอบแบบแท่งหัวมน (columnar structure) หรือแบบแท่งหัวตัด (prismatic) ดินบนเป็นดินร่วนผสมทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 5-5.5 ส่วนดินล่างมี pH สูง 7.0-8.0 ได้แก่ชุดดินจุฬาร้องไห้ ชุดดินหนองแก ฯลฯ
 -ชุดดินทิศเหนือ
Solonchak
เป็นดินที่มีการระบายน้ำหยาบช้าถึงออกจะชั่วช้าสารเลว มีเกลือสะสมอยู่ในชั้นดินมาก หน้าตัดดินเป็นแบบ Apg-Cg หรือ Apg-Bg-Cg ในดินพวกนี้จะมีชั้นดินที่เป็นดินเหนียวอยู่เป็นชั้นบางๆสลับกับชั้นทราย เกิดขึ้นให้เห็นได้ชัดเจน ในฤดูแล้งจะมองเห็นคราบเกลือสีขาวๆที่ผิวหน้าดิน ความเป็นกรดเป็นด่างมากยิ่งกว่า 7.0 ดังเช่นว่า ชุดดินทิศเหนือ
 -Non Calcic Brown soils
พบไม่เท่าไรนักในประเทศไทย พบในบริเวณกระพักลำธารออกจะใหม่ ความก้าวหน้าของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดดินแบบ A1(Ap)-A2-Bt ดินบนสีน้ำตาลเทา ดินด้านล่างมีสีน้ำตาล น้ำตาลผสมเหลือง หรือน้ำตาลผสมแดง มีเหตุที่เกิดจากตะกอนน้ำค่อนข้างจะใหม่ มีเนื้อดินตั้งแต่ออกจะหยาบไปจนกระทั่งละเอียด และก็มีปฏิกิริยาเป็นกรดเล็กน้อย ในหน้าตัดดินจะพบแร่ไมกาอยู่ทั่วไป มีการระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างจะสูง เหมาะสมที่จะปลูกพืชไร่แล้วก็ไม้ผล ชุดดินที่สำคัญเช่น ชุดดิน กำแพงแสน ธาตุพนม
 -ชุดดินโคราช
Gray Podzolic soils
เกิดในบริเวณกระพักลำธารเป็นดินที่แก่ค่อนข้างมาก มีความเจริญของหน้าตัดดี พบในรอบๆสายธารระดับค่อนข้างต่ำ-ระดับกลาง วัตถุต้นกำเนิดเป็นตะกอนน้ำที่ทับถมมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นกรดแล้วก็มีแร่ที่สลายตัวง่ายคงเหลือในปริมาณน้อย ในสภาพพื้นที่แบบเกลียวคลื่น ซึ่งทำให้การไหลผ่านหน้าดินเป็นไปอย่างช้าๆและก็ภูมิอากาศที่มีระยะเปียก-แห้งสลับกันเป็นต้นเหตุที่สำคัญต่อการเกิดดินชนิดนี้ ลักษณะดินชี้ให้เห็นว่าดินมีการชะละลายสูง สีจะออกขาวหรือเทาจัดเมื่อแห้ง และมีลักษณะการย้ายที่บนผิวหน้าดินค่อนข้างกระจ่าง เนื้อดินละเอียดและก็อินทรียวัตถุถูกชำระล้างไปเมื่อหน้าดินถูกฝน หลงเหลืออยู่แม้กระนั้นจุดที่เกาะตัวกันแน่นอยู่เป็นจุดๆบางทีอาจเจอพลินไทต์ในชั้นดินข้างล่าง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ-ต่ำมาก รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt กลุ่มดินนี้เจอเป็นบริเวณกว้างขวางในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสาน และบางพื้นที่ในภาคเหนือ ชุดดินที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ชุดดินโคราช สันป่าตอง ห้วยโป่ง เป็นต้น
 -ชุดดินท่ายาง
Red Yellow Podzolic soils
เป็นดินเก่าที่มีพัฒนาการของหน้าตัดดินดี กำเนิดในสภาพที่คล้ายกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Reddish Brown Lateritic Soils ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt-C หรือ R เจอทั่วๆไปในรอบๆภูเขารวมทั้งที่ลาดเชิงเขาหรือที่ราบขั้นบันไดเก่า วัตถุต้นกำเนิดดินมาจากหินหลายจำพวก จำนวนมากเป็นหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดถึงเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี ลักษณะเนื้อดินเปลี่ยนได้มากตั้งแต่ค่อนข้างจะหยาบจนถึงออกจะละเอียด สีจะออกแดง เหลืองปนแดงแล้วก็เหลือง มีชั้น E ที่ค่อนข้างแจ่มกระจ่าง มีสีจางหรือเทากว่าชั้นอื่น แล้วก็อาจมีเศษหินที่ย่อยสลาย หรือ พลินไทต์ปนเปอยู่ด้วยในดินล่าง แบบอย่างเช่น ชุดดินท่ายาง โพนวิสัย ชุมพร หาดใหญ่ จังหวัดภูเก็ต ฯลฯ จัดว่าเป็นกลุ่มดินที่พบบ่อยกรุ๊ปหนึ่งในประเทศไทย
 -ชุดดินอ่าวลึก
Reddish Brown Lateritic soils
เป็นดินเก่า มีพัฒนาการของหน้าตัดดี มีต้นเหตุจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นวัตถุหลงเหลือของหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางรวมทั้งที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ดินชั้นบนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลปนแดง มีเนื้อดินตั้งแต่ดินร่วน (loam) ถึง ดินร่วนซุยเหนียว (clay loam) ส่วนชั้นดินล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียว ถึงดินเหนียว (clay) ที่มีสีแดง รูปแบบของดินแสดงการชะล้างสูง และก็บางทีอาจพบชั้นหินแลงในด้านล่างของหน้าตัดดิน ลักษณะดินจะคล้ายกับดินในกลุ่มดินหลัก Red Brown Earths ที่แตกต่างกันคือจะมีเป็นกรดมากยิ่งกว่า pH ประมาณ 5-6 ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินหลบ บ้านจ้อง อ่าวลึก ตราด ฯลฯ
-ชุดดินปากช่อง
Red Brown Earth
เป็นดินที่มีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับหินปูน หรือหินที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง และก็จะมีความสัมพันธ์กับหินดินดานด้วย ดินมีสีแดง มีพัฒนาการของหน้าตัดดี เป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำดี กำเนิดในรอบๆที่ราบซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากกษัยการ หรืออาจจะมีการเกิดตามไหล่เขาได้ ดินพวกนี้มีลักษณะสีดิน และการเรียงตัวของชั้นดินใกล้เคียงกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic มากมายไม่เหมือนกันที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน โดยที่ Red Brown Earth มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่า (pH ราว 6.5-8.0) ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินปากช่อง เป็นกรุ๊ปดินที่มีการปลูกพืชไร่และทำสวนผลไม้กันมากมาย
-ชุดดินจังหวัดยโสธร
Red Yellow Latosols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำดีจนถึงดีเหลือเกิน แก่มาก หน้าตัดดินลึก มีลักษณะที่มีความหมายว่ามีการชะละลายสูง ความเจริญของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-B (Box) หรือ A1-A3-B (Box) พบเป็นหย่อมๆในรอบๆลานตะพักลำน้ำขั้นสูง เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากขี้ตะกอนน้ำพาเก่ามาก มีสมบัติทางด้านกายภาพดี แม้กระนั้นทรัพย์สมบัติทางเคมีไม่ค่อยดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีสีแดงหรือเหลืองตลอดหน้าตัดดิน ดินบนเนื้อดินหยาบ ดินด้านล่างมีพวกเซสควิออกไซด์สูง บางพื้นที่เจอศิลาแลงในตอนล่างของหน้าตัดดิน และไม่เจอการเคลือบผิวของดินเหนียวในชั้น B ชุดดินที่สำคัญ ดังเช่น ศรีราชา ยโสธร
-Reddish Brown Latosols
กำเนิดในบริเวณที่เกี่ยวกับภูเขาไฟ วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นขี้ตะกอนตกค้าง หรือขี้ตะกอนดาดเชิงเขา ของหินที่เป็นด่างอย่างเช่น บะซอลท์ แอนดีไซต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี และพัฒนาการของหน้าตัดดี มีหน้าตัดดินแบบ A-Box (ox = ออกไซด์ของเหล็ก) เนื้อดินเป็นดินเหนียวสีแดง สีแดงปนน้ำตาล มีความร่วนซุยดี เป็นดินลึกมากมาย มักจะเหมาะสมกับการใช้ทำสวนผลไม้ อย่างเช่น ชุดดินท่าใหม่
-Organic soils
Organic soils หรือเรียกว่า Peat and Muck soils เป็นดินที่มีลักษณะแตกต่างไปจากกลุ่มดินอื่นๆเนื่องจากเป็นดินที่มีอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในส่วนประกอบมากยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก หรือประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ล้วนๆเจอในรอบๆแอ่งต่ำมีน้ำขังอยู่เกือบจะตลอดปีและก็มีการสะสมของอุปกรณ์ดินอินทรีย์สูง สำหรับในประเทศไทยพบได้มากทางภาคใต้ ในจังหวัดนราธิวาส โดยยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่พรุ ลักษณะเด่นก็คือสีจะคล้ำ มีอินทรีย์วัตถุสูง เป็นกรดจัด มีการพัฒนาหน้าตัดดินน้อย ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-C เมื่อระบายน้ำออก จะหดตัวได้มาก ยกตัวอย่างเช่น ชุดดินจังหวัดนราธิวาส มักพบในภาคใต้ของเมืองไทย

 
กล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ ยี่ห้อ Leica Builder 100 - T100 9"
 
1.กล้องเล็งเป็นระบบเห็นภาพตั้งตรง
2. กำลังขยาย 30 เท่า
3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ปากกล้องไม่ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร
4. ขนาดความกว้างของภาพที่เห็นในระยะ 100 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.6 เมตร หรือ 1องศา 30 ลิปดา
5. ระยะมองเห็นภาพชัดใกล้สุดไม่เกิน 0.9เมตร
6. ค่าตัวคูณคงที่ 100
7. ค่าตัวบวกคงที่ 0
8. กำลังในการขยายภาพ 3 ฟิลิปดา
9. เป็นกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบวัดมุมแบบ Absolute Reading
10. หน่วยวัดเป็น องศา ลิปดา ฟิลิปดา
11. แสดงค่ามุมที่วัดได้ละเอียดโดยตรงไม่เกิน 5 ฟิลิปดา และ 10 ฟิลิปดา
12. ค่าความถูกต้องในการอ่านมุม ( Accuracy ) ไม่เกิน 9 ฟิลิปดา
13. หน้าจอแสดงผลเป็น LCD 1 หน้าจอ มีระบบให้แสงสว่างหน้าจอขณะทำงานและสามารถบอกระดับพลังงานได้
14. ความไวของระดับฟองกลม 10ลิปดา 2 มม.
15. ความไวของระดับฟองยาว 60ฟิลิปดา / 2 มม.
16. กล้องส่องหัวหมุด ( Optical Plummet ) กำลังขยาย 3 เท่า ปรับความคมชัดได้ตั้งแต่ระยะ 0.5 เมตร ขึ้นไป
17. สามารถแสดงผลทั้งเป็นมุมราบและมุมดิ่ง

 
การวัด (Measurement)
การวัด (Measurements) เป็นกรรมวิธีพื้นฐานของการได้มาซึ่งค่าสังเกต (Observations) ของข้อมูลตามที่ต้องการ เมื่อได้ก็ตามที่มีการวัด เมื่อนั้นย่อมมีความคลาดเคลื่อน (Errors) ขึ้นตามมาทุกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีการวัดครั้งใดที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนอยู่ด้วย นั่นคือ ในการวัดทุกครั้งจำเป็นจำต้องมีการประเมินค่าความถูกต้อง (Accuracy) และค่าความแม่นยำ (Precision) และนั่นหมายถึง ในศึกษาถึงความถูกต้องของการวัดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าใจถึงธรรมชาติ ชนิด และ ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่แต่ละกระบวนการวัดด้วย
การวัดและมาตรฐาน (Measurement and Standards)

  • การวัด เป็นกระบวนการหาขนาด ปริมาณ ของสิ่งที่ต้องการวัดด้วยการเทียบกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ใช้ในการหาขนาดและปริมาณต่างๆ เช่น
  • ความยาว น้ำหนัก ทิศทาง เวลา ตลอดจน ปริมาตร ตัวอย่างของการเทียบกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน เช่น ความยาวมาตรฐาน 1 เมตร คือ ระยะทางที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศเป็นเวลา 1/299,792,458 วินาที ซึ่งอาจจะทำการวัดเทียบกับสิ่งที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงนั้นโดยตรงหรือโดยอ้อม (Direct and Indirect Measurement)



การวัดโดยตรงและโดยอ้อม (Direct and Indirect Measurements)

  • การวัดโดยตรง (Direct Measurement)การวัดปริมาณใด ๆ ที่สามารถกระทำได้โดยตรงด้วยเครื่องมือความคลาดเคลื่อนการวัดขึ้นอยู่กับเครื่องมือ และกรรมวิธีการวัดนั้น ๆ โดยตรง
  • การวัดโดยอ้อม (Indirect Measurement)การวัดปริมาณใด ๆ ที่ไม่สามารถกระทำได้โดยตรงด้วยเครื่องมือต้องมีการคำนวณปริม

 

Sitemap 1 2 3