ผู้เขียน หัวข้อ: RENOVATE รับตกแต่งออกแบบที่อยู่อาศัย ร้านกาแฟ ภายนอก ทำร้านร้านเล็บ มีภาพจำลอง3D  (อ่าน 306 ครั้ง)

xcepter2016

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2276
    • ดูรายละเอียด
ให้บริการ - ค่าผลิต คิดตามจำนวนเฟอร์นิเจอร์ในแบบ ไม่มีขั้นต่ำ
Renovate, Innovate,  ออกแบบร้านกาแฟ RENOVATE รับตกแต่งออกแบบสำนักงาน ร้านกาแฟ ภายใน ทำร้านอาหาร มีภาพจำลอง3D ติดต่อ เรามีสำนักงาน 2 สาขาที่กรุงเทพ และหัวหิน
งานออกแบบปรับปรุงห้องชุดพักอาศัย
โครงการ : NOBLE ORA ซ.ทองหล่อ
style : MODERN CLASSIC

พื้นที่ใช้สอย : 70 ตร.ม.
ค่าออกแบบ : 390 บ./ตร.ม.
ขั้นตอนออกแบบเสร็จสิ้น กำลังดำเนินการผลิต


 
ชงกาแฟให้กลมกล่อม
กาแฟอาราบิก้า ชื่อวิทยาศาสตร์ Coffea arabica L. จัดอยู่ในสกุลเข็ม (RUBIACEAE)
ต้นกาแฟอาราบิก้า เป็นพืชท้องถิ่นของทวีปอัฟริกา บริเวณประเทศเอธิโอเปีย แม้กระนั้นชาวอาหรับเป็นชาติแรกที่นำกาแฟมาชงดื่ม ก็เลยทำให้ชื่อภาษาละตินของกาแฟใช้คำว่า “อาราบิก้า” (arabica) จุดมุ่งหมายถึงชาวอาหรับ โดยต้นกาแฟจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่มีความสูงของต้นราวๆ 2-4 เมตร ในตอนนี้เพาะปลูกกันมากในเขตร้อนชื้นและก็ครึ่งเย็น
ใบกาแฟอาราบิก้า ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ออกเรียงตรงกันข้าม ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบแหลมนิดหน่อย ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างราว 8-12 เซนติเมตร รวมทั้งยาวราว 15-20 ซม. แผ่นใบเรียบเป็นมัน บางเวลาเป็นคลื่น มีหูใบอยู่ระหว่างก้านใบ
ดอกกาแฟอาราบิก้า มีดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกไม้เป็นสีขาว ติดกันเป็นหลอด ดอกมีกลิ่นหอมสดชื่น
ผลกาแฟอาราบิก้า ผลสำเร็จสด ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ปนทรงกลม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงข้อดีของกาแฟอาราบิก้าหมายถึงมีกลิ่นหอมยวนใจและสารกาแฟสูง ทำให้เมื่อดื่มแล้วรู้สึกได้ถึงความแคล่วคล่องว่องไว สดชื่น โดยกาแฟประเภทนี้จะมีจำนวนของคาเฟอีนต่ำ เป็นกาแฟที่มีคุณภาพสูง มีความหอมไม่เป็นรองผู้ใด ก็แค่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากสักเท่าไรนัก เนื่องมาจากขาดการช่วยสนับสนุนและการโฆษณาที่ดี ในประเทศไทยมีการปลูกกาแฟชนิดนี้กันมากทางภาคเหนือบนภูเขาสูง
กาแฟโรบัสต้า ชื่อสามัญ Robusta coffee
ชื่อวิทยาศาสตร์ Coffea canephora Pierre ex A.Froehner (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Coffea robusta L.Linden)
ต้นกาแฟโรบัสต้า ลำต้นเติบโตมาจากรากแก้ว มีลักษณะเป็นข้อรวมทั้งบ้อง โคนใบจะอยู่ตามข้อของลำต้น เมื่อต้นโตขึ้นใบจะหล่นไป โคนใบมีตา 2 ชนิดเป็นตาบนและก็ตาล่าง ตาบนจะแตกกิ่งออกมาเป็นกิ่งแขนงที่ 1 ลักษณะเป็นกิ่งนอนขนานกับพื้นดินมีข้อรวมทั้งบ้อง แต่ละข้อจะมีกลุ่มตาดอกที่จะติดเป็นผลกาแฟต่อไป ส่วนตาล่างจะแตกออกเป็นกิ่งตั้ง กิ่งจะตั้งตรงขึ้นไปราวกับลำต้น และไม่ติดผล แต่ว่าสามารถสร้างกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ให้ดอกผลได้ ซึ่งเรียกเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 1 เช่นเดียวกัน และกิ่งกิ้งก้านที่ 1 ยังสามารถแตกกิ่งแขนงถัดไปได้อีกเป็นกิ่งกิ้งก้านที่ 2 รวมทั้งกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 2 ก็สามารถแตกเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 3 ได้อีก โดยกิ่งแขนงเหล่านี้จะกำเนิดในลักษณะเป็นคู่สลับเยื้องกันบนลำต้นหรือกิ่งตั้ง เมื่อมีการตัดลำต้นกาแฟ ตาล่างบนลำต้นจะแตกกิ่งตั้งมา กิ่งก็จะแตกเป็นกิ่งกิ้งก้านที่ 1, 2 แล้วก็ 3 แล้วก็จะมีการสร้างดอกแล้วก็ผลกาแฟต่อไป โดยต้นกาแฟนั้นจะสามารถเพาะพันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเมล็ด
ใบกาแฟ ใบเป็นใบเดี่ยว เกิดที่ข้อเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน โคนใบและหลายใบเรียวแหลม ส่วนขอบใบหยักเป็นคลื่น กึ่งกลางใบกว้าง ผิวใบเรียบนุ่มวาว มีปากใบอยู่ด้านท้องใบ แต่ละใบจะมีปากใบราวๆ 3 ล้านถึง 6 ล้านรู โดยปากใบโรบัสต้าจะมีขนาดเล็กกว่าปากใบของกาแฟอาราบิก้า แม้กระนั้นจะมีจำนวนหลายชิ้นกว่า อายุใบราวๆ 250 วัน ส่วนก้านใบนั้นมีขนาดสั้น
ดอกกาแฟ ปกติแล้วดอกกาแฟจะออกเป็นดอกโดดเดี่ยวบริบูรณ์เพศ มีกลีบโดยประมาณ 4-9 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 4-5 ใบ มีเกสร 5 อัน และมีรังไข่ 2 ห้อง ในแต่ละห้องของรังไข่จะมีไข่ 1 ใบ ผลกาแฟจึงมีเม็ด 2 เม็ด ดอกจะออกเป็นกลุ่มๆบริเวณโคนใบบนข้อของกิ่งกิ่งก้านสาขาที่1, 2 หรือ 3 กลุ่มดอกแต่ละข้อจะมีดอกราว 2-20 ดอก ดอกจะออกจากกิ่งแขนงจากข้อที่อยู่ใกล้กับลำต้นออกไปพบปลายกิ่งกิ้งก้าน โดยธรรมดาแล้วต้นกาแฟจะมีดอกตามข้อของกิ่ง ข้อที่ออกดอกออกผลแล้วในปีหน้าก็จะไม่มีดอกและได้ผลอีก
ผลกาแฟ ผลมีลักษณะเป็นทรงรี ก้านผลสั้น ผลดิบเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีเหลือง สีส้ม รวมทั้งสีแดง ผลกาแฟจะมีเปลือก พื้นที่มีสีเหลือง (เมื่อสุกมีรสหวาน) และก็กะลาที่หุ้มห่อเม็ด ตอนระหว่างกะลากับเมล็ดจะมีเยื่อบางๆที่ห่อเม็ดอยู่ ซึ่งเราเรียกว่า “เยื่อหุ้มห่อเมล็ด” ในแต่ละผลจะมี 2 เมล็ดประกับกันอยู่ ก้านที่ตามติดกันจะอยู่ด้านในมีลักษณะแบน มีร่องกึ่งกลางเม็ด 1 ร่อง ส่วนข้างนอกโค้ง รูปแบบของเมล็ดจะเป็นเมล็ดเดี่ยวหรือเมล็ดโทน ในบางครั้งถ้าการผสมเกสรไม่สมบูรณ์ จะทำให้ผลติดเมล็ดเพียงแค่เมล็ดเดียว (คิดเป็นราวๆ 5-10%) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นรูปกลมรีทั้งยังเมล็ด มีร่องกึ่งกลาง 1 ร่อง เมล็ดประเภทนี้จะเรียกว่า “พีเบอร์ปรี่“
จุดแข็งของกาแฟโรบัสต้า โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะนำกาแฟโรบัสต้ามาผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป หรือนำมาผสมกับกาแฟอาราบิก้าบางส่วน เพื่อผลิตเป็นกาแฟคั่วบดให้มีรสชาติที่ผิดแผกออกไป สำหรับกาแฟโรบัสต้านั้นมีจุดเด่นในเรื่องของบอดี้ เมื่อดื่มแล้วจะรู้สึกได้ถึงความนิ่ม เปียกคอ กาแฟชนิดนี้จะมีจำนวนของคาเฟอีนสูงขึ้นมากยิ่งกว่ากาแฟอาราบิก้าเป็น 2 เท่า กาแฟโรบัสต้าในประเทศไทยจะมีการเพาะกันมากมายทางภาคใต้บนพื้นที่ราบ อย่างเช่นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชรวมทั้งจังหวัดชุมพร
Drip : แนวทางการนี้เกิดมาราวๆปี คริสต์ศักราช 1905 ในเยอรมันนีซึ่งต่อมาในปี คริสต์ศักราช 1908 ก็ได้มีชื่อเสียงอย่างมากมายของผู้ซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชอบชงกาแฟดื่มเองที่บ้าน
แนวทางการชงกาแฟแบบ Drip : จะทำโดยการใช้น้ำร้อนหรือหยดน้ำร้อนผ่านกาแฟบด แล้วให้ของเหลวผ่านกระดาษกรอกหรือ filter สำหรับที่ใช้ชงกาแฟแบบ drip ลงไปยังภาชนะรองรับ ซึ่งเมื่อผ่าน filter อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการเสียรสไปบ้างแม้กระนั้นไม่มาก ซึ่งนับว่าเป็นวิธีที่ง่ายเหมาะสำหรับทำที่บ้านได้ด้วยตัวเอง สามารถใช้ได้กับการชงกาแฟในจำนวนมากกว่า 1 แก้วได้อย่างสบาย โดยจะมีเครื่องต้มกาแฟ ชื่อ drip maker หรือ coffee machine ที่หาซื้อได้อย่างไม่ยากเย็น
French Press : กระบวนการนี้เกิดขึ้นราวๆปี 1850 โดยดีไซน์เนอร์ชาวอิตาเลียน การชงกาแฟโดยวิธีการแบบนี้นั้น ควรจะมีเครื่องชงกาแฟแบบ French press ซึ่งหาซื้อได้อย่างไม่ยากเย็นตามท้องตลาด ทำให้ได้รสของกาแฟที่แท้จริงแต่ไม่ต้องกังวลกับเศษหรือกากกาแฟที่หลุดลอดออกมานะเพราะเหตุว่าโน่น เป็นเสน่ืห์ของวิธีนี้ ซึ่งกาแฟที่ได้จะไม่ clean เท่าแบบ Drip ก็ไม่ต้องตระหนกตกใจ
แนวทางการชงกาแฟแบบ French Press : ก็ไม่ยุ่งยาก
ขั้นที่ 1 : พวกเราต้องมีกาแฟบดก่อนซึ่งจะต้องใช้กาแฟบดที่หยาบหน่อยนะเพราะถ้าเกิดเราบดละเอียดมากเลย ผงกาแฟจะหลุดลอดตะแกรงของเครื่องชงได้
ขั้นที่ 2 : เพิ่มเติมผงกายุบดลงไปในเครื่องชง ใช้กาแฟโดยประมาณ 7 กรัม
ขั้นที่ 3 : เพิ่มเติมน้ำร้อนลงไปราว 1/3 ของแก้วรอคอยให้กาแฟซึมน้ำซัก 30-40 วินาที แล้วต่อจากนั้นเติมน้ำร้อนเข้าไปกระทั่งเต็ม
ขั้นที่ 4 : เอาฝามาปิด อย่าลืมนะก่อนปิดฝาให้ดึงตะแกรงขึ้นจนถึงสุดก่อน ปิดฝาทิ้งไว้ราว 4 นาที
ขั้นที่ 5 : กดที่กรองลงมาเพื่อดันเศษกาแฟลงไปข้างล่างต่อจากนั้นก็รินใส่ถ้วยกินได้ทันทีเลย
Espresso : ขั้นตอนการนี้เกิดขึ้นราวปี คริสต์ศักราช 1901 ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี หลายๆท่านบางครั้งก็อาจจะเคยชินกับชื่อนี้เป็นอย่างยิ่ง และก็อาจจะเกิดความสับสนเหมือนผมในครั้งที่แล้วว่า มันเป็น ชื่อชนิดกาแฟ หรือไม่ก็สูตรกาแฟดำที่ชื่อ เอสเปรสโซ่ จริงๆแล้ว Espresso ชื่อนี้เป็นวิธีการชงกาแฟ มาจากภาษาละตินที่แปลว่า ดัน หรือ กด รวมทั้งกาแฟที่ได้จากเครื่องนี้ก็จะเรียกว่า “กาแฟเอสเปรสโซ่” ซึ่งก็จะเป็นต้นทางของวิธีการทำกาแฟสูตรต่างๆดังเช่นว่า Latte, Mocha, Cappuccino, Macchiato หรือ Espresso con Panna เป็นต้น
Chemex : วิธีการแบบนี้เกิดขึ้นในปี คริสต์ศักราช 1931 ซึ่ง ไม่ค่อยแพร่หลายมากแค่ไหน โดย Chemexหมายถึงกรวยชงกาแฟชนิดหนึ่ง โดยลักษณะที่คล้ายๆกับการ Drip ที่ใช้น้ำร้อนเทใส่ผงกาแฟรวมทั้งผ่านกระดาษกรองลงไป แม้กระนั้นขั้นตอนการนี้เป็นศิลป์อย่างหนึ่งที่ทุกขั้นตอนจะทำด้วยมือตั้งแต่การบดจะไปถึงการเทน้ำร้อนใส่ผงกาแฟ
Cupping : กรรมวิธีนี้ใช้สำหรับนักชิมกาแฟ หรือ Master Taster โดยก่อนที่จะผู้ผลิตกาแฟจะส่งขายไปยังผู้ใช้ควรมีการลองกาแฟก่อน ซึ่งผู้ชิมกาแฟก็จะชงกาแฟด้วยแนวทาง Cupping คือ บดกาแฟที่อยากได้ชิมรสชาติ ได้แก่ กาแฟ 1 ชนิดก็จะคั่ว 3 ระดับเป็น อ่อน กึ่งกลาง และ เข้ม ต่อจากนั้นก็เอามาบดแล้วใส่ผงกาแฟลงในถ้วยแก้ว 3 ถ้วยจากนั้นก็เติมน้ำร้อนลงไป เพียงพอถึงขนาดตอนการลอง เค้าก็จะเอาช้อนปาดหรือตักผงกาแฟที่ลอยอยู่ออกและเริ่มทำการลองกาแฟได้เลย
สรรพคุณของกาแฟ

  • ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการหงุดหงิด อารมณ์ซึมเศร้า รวมถึงความเครียดได้ การดื่มกาแฟจึงทำให้ผู้ดื่มรู้สึกพึงพอใจและมีความสุข โดยมีรายงานผลวิจัยที่ระบุว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว จะสามารถช่วดลดความเครียดได้ประมาณ 15% แต่ถ้าหากดื่มถึงวันละ 4 แก้ว ก็จะช่วยลดความเครียดได้ถึง 20%
  • จากการศึกษากับนางพยาบาลจำนวน 83,000 คน ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ และดื่มกาแฟวันละ 4 แก้ว พบว่า กาแฟสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดในเส้นเลือดได้ถึง 43%
  • ช่วยลดโอกาสเป็นโรคเก๊าท์ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเก๊าท์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แนะนำให้ดื่มกาแฟวันละ 3-6 แก้วอย่างต่อเนื่อง เพราะจากผลการวิจัยของสถาบันการแพทย์แห่งหนึ่ง ที่ได้ยืนยันว่าคาเฟอีนมีส่วนช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้ออันเนื่องมาจากกรดยูริกที่เกินขนาดอย่างได้ผล โดยผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 6 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเก๊าท์ได้ถึง 60%
ขั้นตอนกล้วยๆที่จะเป็นแนวทางสู่บ้านในฝัน
การออกแบบด้วยสถาปนิกนั้นนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับในการสร้างบ้าน นักออกแบบที่เก่ง จะช่วยขจัดปัญหาการจัดสรรพื้นที่ ช่วยให้บ้านของเราสวย มีสไตล์ แถมยังอยู่สบายสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของผู้อาศัยในบ้าน แม้กระนั้นแม้ต้องการก่อสร้างบ้านข้างหลังเล็ก เน้นการอยู่อาศัยอย่างง่าย การออกแบบบ้านด้วยตนเองเป็นอีกหนึ่งแนวทางซึ่งสามารถทำได้ จุดสำคัญคือการสื่อสารกับช่างก่อสร้างให้ได้รู้ถึงสิ่งที่มีความต้องการของเราเอง และวิธีการสื่อสารที่ง่ายที่สุดสำหรับในการก่อสร้างบ้าน นั่นคือการวาดแปลนบ้านนั่นเองขอรับ สำหรับวันนี้ “บ้านไอเดีย” ขอนำแนวทางดีไซน์บ้านด้วยตนเองอย่างง่าย โดยจะย้ำไปถึงการจัดสรรพื้นที่ พร้อมกับวาดแผนผังแปลนภายในบ้านด้วยตนเอง เพื่อนำแบบแปลนดังที่กล่าวมาแล้วไปให้ผู้รับเหมา หรืออาจส่งต่อให้นักออกแบบวาดแบบแปลนมาตรฐาน เพื่อจะได้นำไปต่อยอดเป็นแปลนบ้านใช้งานจริงกันครับ
1. ตรวจที่ดิน : ก่อนจะถึงขั้นตอนการออกแบบบ้าน สิ่งแรกที่สำคัญมหาศาลเป็นการศึกษาแปลงที่ดินของพวกเราเองให้รอบคอบ ที่ดินมีหน้ากว้างกี่เมตร ลึกกี่เมตร ด้านไหนอยู่ด้านไหนบ้าง การสำรวจทิศทางนี้เพื่อให้พวกเราได้วางแผนผังบ้านได้อย่างเหมาะควร สอดคล้องกับสภาพอากาศ ลมแล้วก็แสงแดด ขนาดของที่ดินยังบอกถึงขนาดแล้วก็รูปทรงของบ้าน เป็นต้นว่า มีที่ดิน 40 ตำรวจมัธยม แม้กระนั้นต้องการพื้นที่ใช้สอย 200 ตร.ม แน่นอนว่าจะต้องวางแบบเป็นบ้าน 2 ชั้นแค่นั้น และการออกแบบต้องเผื่อขอบเขตระยะร่นตามกฎหมายกำหนดไว้ (อ่านกฎหมายระยะร่น)
2. กำหนดสไตล์ : การเลือกสไตล์ของบ้าน เป็นการกำหนดขอบเขต วัตถุประสงค์ เพื่อให้จินตนาการของความอยากได้มีความแน่ชัดเพิ่มมากขึ้น คนอ่านอาจขับรถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆพักรีสอร์ท เยี่ยมบ้านเพื่อน หรือถ้าให้สะดวกหน่อยก็เพียงแค่คลิกเข้าชมเว็บบ้านไอเดีย แบบอย่างบ้านกลุ่มนี้พวกเราสามารถเอามาปรับใช้ กำหนดกระบวนการดีไซน์บ้านในฝันของเราได้ แต่ว่าจำต้องขอย้ำให้ทราบกันก่อนว่า เราสามารถนำออกแบบมาประยุกต์ใช้ได้ แม้กระนั้นไม่อาจจะไปจำลองแบบได้ครับ เว้นแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านหรือเจ้าของแบบโดยตรง โดยทั่วไปแล้วสไตล์ของบ้านมีค่อนข้างจะหลากหลาย อีกทั้งไทยประยุกต์ , Vintage , Loft , Minimal , Tropical , หรืออาจเลือกเอกลักษณ์ของบ้านจากต่างถิ่น ดังเช่น บ้านสไตล์ทัสคานี เป็นต้น ทั้งหมดนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีส่วนประกอบที่แบบเดียวกัน ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเป๊ะ พวกเราบางทีอาจผสมรวมแต่ละสไตล์ เลือกจุดที่ชอบเอามาปรับใช้เพื่อให้เปลี่ยนเป็นสไตล์ของเราเองได้เหมือนกันขอรับ เผชิญที่แหน่งใด ถ่ายภาพเก็บไว้ หรือแม้ชอบตัวอย่างแบบบ้านในเว็บบ้านไอเดีย ก็บางครั้งก็อาจจะเซฟลิงค์เก็บไว้ เผื่อตอนใช้งานจริงจะได้ค้นหาข้อมูลเจอ การเลือกสไตล์บ้านที่ดี นอกจากความชื่นชมส่วนตัวแล้ว สถานที่ทำการก่อสร้างเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรจะออกแบบบ้านให้เหมาะสม สอดคล้องหรือดูเข้ากับสถานที่ ชุมชนที่อยู่ที่อาศัยด้วยขอรับ
3. เขียนสิ่งที่มีความต้องการลงไป : ก่อนการออกแบบของที่จำเป็นอย่างยิ่ง เป็นการวิเคราะห์ความปรารถนา ขั้นตอนนี้จะต้องเสวนากันครอบครัว มีสมาชิกกี่คน อยากได้อะไรบ้าง อยากได้แบบไหน มีเฉียง ระเบียงระเบียง มีกี่ห้องนอน กี่ส้วม เป็นคนชอบทำห้องครัวไหม ห้องนั่งเล่น ห้องดูโทรทัศน์ ห้องทำงาน ปัญหาพวกนี้แต่ละบ้านย่อมมีความไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอยากได้หลักเบื้องต้น อย่างเช่น ปริมาณห้องนอน ห้องสุขา เป็นต้น
4. ระบุขนาด : เมื่อรู้ความปรารถนาแล้ว กำหนดขนาดพื้นที่ใช้สอยของแต่ละห้องลงไป อยากให้กว้าง ยาว กี่เมตร การกำหนดขนาดแต่ละห้องจะช่วยทำให้สามารถพินิจพิจารณาหาพื้นที่ใช้สอยรวมได้ ผลพินิจพิจารณานี้จะทำให้การออกแบบบ้านแน่ชัดยิ่งขึ้น รวมถึงยังช่วยทำให้เราทราบอีกว่า เราควรจะสร้างบ้านกี่ชั้นถึงจะสมควร ถ้าเกิดมีที่ดินอยู่แล้วจำเป็นต้องดีไซน์ให้สอดคล้องกับที่ดิน แต่ถ้ายังไม่มีที่ดิน การกำหนดขนาดพื้นที่ใช้สอย จะทำให้เราหาซื้อที่ดินได้ตามขนาดที่อยาก การกำหนดขนาดนี้ยังสามารถนำไปอิงกับการวัดราคาก่อสร้างได้อีกด้วยขอรับ
5. กำหนดตำแหน่ง ทิศทาง : การออกแบบแผนผังบ้านที่ดีควรจะออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เพื่อให้การพักอาศัยภายในบ้านเป็นไปอย่างเหมาะควรที่สุด โดยรวมแล้วจะพิจารณาถึงแนวทางของแสงแดด และทิศทางลม โดยแสงแดดจะส่องมากมายในทิศตะวันตก ทิศใต้ ห้องที่อยากแสงมากมาย เป็นห้องที่อยากกำจัดความชื้น อาทิเช่น สุขา ห้องครัว ห้องล้าง ส่วนห้องที่อยากได้แสงเพียงพอเหมาะ เป็นต้นว่า ห้องนอน , ห้องรับแขก , ห้องทำงาน , ห้องดูหนัง เพราะเหตุว่าถ้าเกิดแสงมากเกินไปบางทีอาจเป็นความร้อนที่มากขึ้นเหมือนกันครับผม
6. สำหรับทิศทางลม ลมมีสองแนวทางหลัก ทิศเหนือแล้วก็ทิศใต้ขึ้นอยู่กับฤดูกาล (ทิศใต้มีลมเข้า 8-9 เดือน ทิศเหนือ 2-3 เดือน) ซึ่งถ้าเกิดอ้างอิงร่วมกับทิศทางแดด แดดทางด้านทิศใต้จะค่อนข้างแรงแทบตลอดทั้งวัน ส่วนทิศเหนือแดดจะร่มแทบทั้งวัน ชาวไทยก็เลยนิยมก่อสร้างบ้านให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ แม้กระนั้นก็มีเยอะๆด้วยเหมือนกันที่เลือกเบือนหน้าไปทางทิศใต้ เพื่อต้องการรับกระแสลมเกือบตลอดทั้งปี ดังนี้ก็มิได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด ด้วยเหตุว่าการใช้งานของแต่ละบ้านนั้นแตกต่างกัน บางท่านอาจดีไซน์เพื่อเน้นการใช้ข้างบ้าน , ข้างหลังบ้าน ก็ขึ้นกับการใช้แรงงานจริงด้วยครับ
7. ลองวาด : เครื่องมือพื้นฐานที่สุดที่ใช้ในการวาดแบบแปลนเป็นดินสอ + กระดาษ A4 หรือผู้อ่านถนัดใช้เครื่องมือใดก็สามารถเลือกได้ตามอยากได้ ทั้งวาดด้วยมือหรือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยก็สามารถทำเป็นเช่นเดียวกันครับผม หลักการวาดแบบแปลน วาดเป็นมุมภาพ 2D โดยให้ระลึกถึงการมองรูปภาพที่เอามาจากบนหลังคาบ้าน ซึ่งอาจจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับเครื่องหมายฐานรากกันนิดหน่อย อย่างเช่น ประตู หน้าต่าง ส่วนห้องอื่นๆสามารถวาดเป็นสี่เหลี่ยมในแบบห้องทั่วๆไป ทั้งนี้ถ้าหากนักอ่านไม่เข้าใจสัญลักษณ์ ก็ไม่คือปัญหาใด เพียงวาดแล้วก็เขียนคำอธิบายประกอบร่วมด้วย ให้เพียงพอสื่อสารได้ตรงกัน เพียงเท่านี้ก็สามารถนำไปคุยกับช่างรับเหมาได้แล้วนะครับ
 
ข้อควรจะรู้ก่อนจะมีการสร้างบ้าน
สถานที่ตั้งบ้าน จุดสำคัญของสถานที่ตั้งบ้านนั้นเป็นความสำคัญอันดับแรกที่พวกเราต้องคิดก่อนที่จะก่อสร้างบ้าน ด้วยเหตุว่าเราจะต้องคิดถึงการเดินทางระหว่าง บ้านไปยัง สถานที่ทำงาน,โรงเรียน ,ตลาด,ศุนย์การค้า,สถานีรถไฟฟ้า,ราคาที่ดิน ฯลฯ ในอดีตสมัยทำเลที่ดีคือทำเลที่ตั้งที่ต้องอยู่กลางเมืองเนื่องมาจากระบบรถสาธารณะยังไม่ครอบคลุมราวกับอย่างปัจจุบันนี้ ทำให้ผู้คนต่างก็ไปกลุ่มกันอยู่ในเมืองเพียงอย่างเดียว ไม่ถูกกับปัจจุบันที่ทำเลที่ตั้งที่ดีคือทำเลที่ตั้งที่อยู่ไกล้รถไฟฟ้า, ก่อนที่จะพวกเราจะคิดถึงการสร้างบ้านพวกเราควรต้องมองหารอบๆที่เราสามาถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะเหล่านี้ได้อย่างสะดวกที่สุด รวมทั้งความปลอดภัยของบริเวณที่อยู่ที่จำเป็นต้องไม่มองเปลี่ยวจนถึงเหลือเกิน ในช่วงเวลากลางคืนอีกด้วย ดังเช่นการซื้อบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านบางทีก็อาจจะรู้สึกอุ่นใจกว่าการผลิตบ้านเดียวที่แต่ละหลังตั้งอยู่ห่างกันไม่น้อยเลยทีเดียวเป็นต้น แล้วก็อย่ามุ่งมาดกับแผนการต่างๆที่ยังไม่รู้ว่าจะกำเนิดเมื่อไรหรือกำเนิดจริงๆหรือเปล่าก็ไม่รู้เรื่องดังเช่นว่า บริเวณนั้นจะมีรถไฟฟ้าสายใหม่ๆผ่าน ทางด่วน หรือ ถนนหนทางผ่าน เพราะเราไม่อาจรับประกันได้ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่(นอกจากการซื้อเพื่อเก็งกำไร) ควรเลือกจากภาวะปัจจุบันนี้ที่ดีเยี่ยมที่สุด จะดีมากยิ่งกว่าขอรับ
จะถมดินสูงแค่ไหนดีนะ อันนี้เป็นคำถามยอดฮิตก่อนจะมีการสร้างบ้านอย่างยิ่งจริงๆ บางบุคคลบอก 50 ซึม บ้างก็ว่า 30 ซึม ก็พอแล้วบางคนบอก 1 เมตรไปเลย แล้วจริงๆมันควรถมมากแค่ไหนหละ คำตอบของเรื่องนี้คือ สุดแท้แต่ความชื่นชอบครับผมไม่มีการกำหนดที่แน่นอนเพียงมันต้องสูงขึ้นยิ่งกว่าระดับถนนคอนกรีตหรือถนนลาดยางหน้าบ้านเรา ราว 50 ซึม ก็เพียงพอ แม้กระนั้นถ้าหากถนนหน้าบ้านเป็นถนนหนทางดินแดงก็ให้เพิ่มความสูงของระดับดินถมเป็น 1 มัธยมเพื่อเป็นการรองรับความสูงของถนนที่จะเพิ่มสูงมากขึ้นจากการลาดยางหรือทำถนนคอนกรีตในอนาคตนั้นเอง อีกสาเหตุนึงคือระดับน้ำท่วมสูงสุดในบริเวณนั้น ถ้าเกิดสามารถหาข้อมูลได้เราก็ควรกลบที่ดินให้สูงขึ้นมากยิ่งกว่าระดับดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นโดยประมาณ 50 ซม.ขึ้นไป
การกลบดินเพื่อก่อสร้างบ้านเจ้าของบ้านควรต้องเผื่อการยุบตัวของดินด้วยครับ คือเพื่มปริมาณดินถมสูงมากขึ้นไปอีก 30 % เพื่อเผื่อให้ดินได้เซ็ตตัวหรือยุบตัว นั้นเอง เช่น จะกลบดินสูง 50 ซม แม้กระนั้นให้กลบดินไว้ที่ระดับ65 ซมนั้นเอง และควรจะกลบดินไว้ก่อนการก่อสร้างบ้านอย่างน้อย 4-6 เดือนยิ่งทิ้งไว้ผ่านหน้าฝนซักครั้งจะยิ่งทำให้ดินแน่นมากขึ้นเรื่อยๆทำให้ลดปัญหาดินทรุดหลังก่อสร้างบ้านได้อย่างดีเยี่ยม
แนวทางแดดลม กับ การกำหนดตำแหน่งบ้าน หลายท่านบางครั้งก็อาจจะมีความคิดว่าไอ้เรื่องพวกนี้ มันจะสำคัญอะไรเยอะแยะนักจะปลูกเรือนตรงไหนมันก็มีลมทั้งหมดแหละ และก็ที่สำคัญพวกเราก็เปิดเครื่องปรับอากาศทั้งวันอยู่แล้วไม่เห็นมีอะไรน่าวิตกกังวล ผู้ใดกันกำลังเริ่มจะมีความคิดอย่างนี้มั้งนะครับ ถ้ามีเสนอแนะว่าให้อ่านหัวข้อนี้ก่อนแล้วค่อยมาคิดอีกทีครับ
เพราะเหตุไรจำต้องมองแนวทางแดด-ลม ก่อนจะมีการวางตำแหน่งบ้าน เพราะว่าพวกเราคงไม่ต้องการที่จะอยากนอนในห้องนอนที่แสนจะร้อนในช่วงเวลาค่ำคืนหรือจำเป็นต้องอุดอู้อึดอัดอยู่ในบ้านที่ไม่มีลมระบายเลย เรื่องพวกนี้ค่อนข้างจะประณีตและวิจิตรบรรจง มีข้อสังเกตุหลายสิ่งหลายอย่างสำหรับการวางตำแหน่งบ้านเพื่อให้บ้านทั้งยังหลังเป็นบ้านที่อยู่อย่างสบาย มีความสุข และประหยัดพลังงาน
ธรรมดาแดดของบ้านเราจะวิ่งเป็นแถวตะวันออกแล้วอ้อมโค้งไปทางด้านใตนก่อนจะตกในทิศตะวันตก จะทำให้ทิศใต้ไปจนถึงทิศตะวันตกได้รับแสงเยอะที่สุดของวันคือตั้งแต่หลังเที่ยงไปจนถึงห้านาฬิกาเย็น ด้านนี้จึงควรเป็นส่วนหลังบ้านแล้วก็ส่วนล้างหรือกิจกรรมอื่นที่อยากได้แสงไม่น้อยเลยทีเดียวๆส่วนทางทิศตะวันออกจะได้รับแสงอ่อนๆในเช้าตรู่และแสงสว่างจะแรงมากมายเพียงแต่ตอน 10 โมงเช้าตรู่จนกระทั่งเที่ยงตรงซึ่งก็เพียง 3 ดู ยิ่งทิศเหนือแล้วยิ่งได้รับแดดต่ำที่สุด 2 ด้านนี้ก็เลยเหมาจะวางตำแหน่งของห้องพักผ่อนที่ต้องการแสงสว่างรบกวนน้อย อาทิเช่น ห้องนอนรวมทั้งห้องนั่งเล่น
พวกเรานิยมวางแนวด้านแคบของตัวบ้านหันไปทางแนวทางรับแดด เพื่อให้ผนังที่รับแดดมีน้อยที่สุด ทำให้ผนังสามาถดูดกลืนความร้อนในจำนวนน้อยรวมทั้งทำให้ภายในบ้านไม่ร้อนกระทั่งเกินความจำเป็นในช่วงเวลาค่ำคืน เพราะธรรมชาติของผนังปูนนั้นจะดูดความร้อนเมื่อแดดส่องและจะระบายความร้อนออกมาในกลางคืน ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าหากผนังบ้านถูกแดดตะวันตกน้อยก็จะมีผลให้ความร้อนที่จะถ่ายออกมายามค่ำคืนมีน้อยเหมือนกัน
ส่วนลมนั้นลมประจำฤดูของบ้านเราจะพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งจะพัดพาลมหนาวจากจีนมาในช่วงหน้าหนาว และ จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่จะพัดพาความชุ่มชื้นจากทะเลมาในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน บ้านที่ดีด้านยาวของบ้านจำเป็นต้องหันเข้าหาทิศทางลมเพื่อลมธรรมชาติพัดเข้าตัวบ้านเพื่อระบายความร้อนออกไปให้ได้มากที่สุดรวมทั้งทำให้ออมค่าไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศภายในบ้านเป็นต้น
 
 
ออกแบบ เพื่อนำเสนอห้าง
โครงการ : ร้านอาหาร / เครื่องดื่ม
style : cottage style

พื้นที่ใช้สอย : 40 ตร.ม.
ค่าออกแบบ : 220 บ./ตร.ม.


รับทำออกแบบ Design & RE-NOVATE BUILD มีจำลอง3D ติดต่อ
สาขากทม. 098 292 4496 หัวหิน 094 982 2636

เครดิต : http://www.alldecorate.com/

Tags : ออกแบบเคาน์เตอร์,ตกแต่งร้านกาแฟ,รับออกแบบบ้าน

 

Sitemap 1 2 3