ผู้เขียน หัวข้อ: สัตววัตถุ มดเเดง  (อ่าน 281 ครั้ง)

Cloudsupachai111

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2617
    • ดูรายละเอียด
สัตววัตถุ มดเเดง
« เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 11:55:35 am »

มดแดง
มดแดงเป็นมดชนิดหนึ่ง มีสีแดง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oecophyllasmaragdina(Fabricius)
จัดอยู่ในตระกูล Formicidae
ชีววิทยาของมด
มดเป็นแมลงพวกหนึ่ง มีลักษณะที่สำคัญเป็น  รอบๆส่วนท้องคอดกิ่วในขณะที่ตืดกับอกทางข้างหลังของส่วนท้องข้อที่ ๑  หรือในมดบางประเภทที่รวมไปถึงปล้องที่  มดมีลักษณะเป็นโหนกสูงขึ้น โหนกนี้บางทีอาจโค้งมนหรือมีลักษณะเป็นแผนแบนก็ได้ ลักษณะโหนกนี้เป็นลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้มดไม่เหมือนกันกับกรุ๊ปแมลงที่ดูคล้ายกัน  ตัวอย่างเช่น  พวกต่อและแตน หรือแตกต่างไปจากปลวกที่คนทั่วๆไปมักงงกัน โดยเห็นมดกับปลวกเหมือนกันไปหมด นอกจากไม่ราวกับมดตรงที่ไม่มีโหนกแล้วปลวกยังมีส่วนท้องไม่คอดกิ่วอีกดัวย แบบนี้เพราะข้อแรกๆของส่วนท้องของปลวกนั้น มีขนาดโตเท่าๆกับส่วนนอก หรือโตกว่าส่วนนอก
มดอยู่รวมกันเป็นกรุ๊ปเดียวกับปลวก มีชีวิตแบบสังคม โดยทำรังอยู่ดัวยกันรังหนึ่งๆเป็นร้อย เป็นพัน หรือ หลายหมื่น หลายแสนตัว ไม่มีประเภทใดอยู่สันโดษ ประกอบดัวยวรรณะ แต่ละวรรณะมีขนาด รูปร่าง ลักษณะ และก็เพศต่างกัน พูดอีกนัยหนึ่ง มดตัวเมียเป็นแม่รัง ตัวผู้เป็นพ่อรัง และก็มดงานอันเป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันปฏิบัติภารกิจสร้างรัง เลี้ยงรัง แล้วก็เฝ้ารัง แต่ละวรรณะอาจมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันออกไปอีก
อาทิเช่น มดงานซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีปีกก็อาจปฏิบัติหน้าที่สร้างรังแล้วก็เลี้ยงรัง พวกนี้มีร่างกายขนาดปรกติ หัว อก แล้วก็ท้องได้สัดส่วนกัน แต่ในเวลาเดียวกันบางทีอาจพบมดงานซึ่งทำหน้าที่เฝ้ารัง มดพวกนี้เว้นเสียแต่ตัวใหญ่มากยิ่งกว่ามดงานปกติเป็นอย่างมากแล้ว ยังมีหัวโต กรามใหญ่ มิได้สัดส่วนกับลำตัวดัวย
ในกลุ่มมดตัวผู้และก็มดตังเมียซึ่งเป็นพ่อรังและแม่รังนั้น บางทีอาจพบได้ทั้งหมดที่มีปีกและไม่มีปีก หรือมีลำตัวโตหรือเล็กขนาดพอๆกับมดงานก็มี อย่างไรก็ตามมดตัวเมียที่เป็นแม่รังนั้นมักมีขนาดโตกว่าเพศผู้รวมทั้งมดงาน บางทีอาจดูมดตัวผู้ได้จากดางตาที่โตกว่ามดแม่รังและก็มดงานลูกรัง ซึ่งพวกข้างหลังนี้มักมีตาเล็ก จนกระทั่งบางครั้งบางคราวเกือบจะไม่เห็นว่าเป็นตา ส่วนมดบิดารังหรือมดแม่รังที่มีปีกนั้น รูปแบบของปีกต่างจากพวกปลวกหรือแมลงเม่าอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ ปีกคู่หน้าของมดโตกว่าปีกคู่ข้างหลังมากมาย รูปร่างของปีกคู่หน้ารวมทั้งปีกคู่ข้างหลังก็ต่างกัน รวมทั้งที่สำคัญเป็นมีเส้นปีกน้อย ส่วนปลวกนั้น ปีกคู่หน้ากับปีกคู่ข้างหลังมีขนาดไล่เลี่ยกัน รวมทั้งรูปร่างของปีกก็คล้ายกัน เส้นปีกมีมากกว่าเส้นปีกของมดมาก มองเห็นเป็นลวดลายเต็มไปทั้งปี

สมุนไพร ในปัจจุบันมีการโดยประมาณกันว่า มดที่มีการแยกชื่อวิทยาศาสตร์ไว้แล้ว มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐ประเภท คนประเทศไทยต่างรู้จักกับมดเป็นอย่างดี เพราะว่ามีมดหลากหลายประเภทอาศัยตามบ้านเรือน หรือในรอบๆใกล้เคียงกัยบ้านที่พัก การเรียกชื่อมดของคนไทยอาจเรียกชื่อตามสีสันของมด โดยการเรียก “มด” นำหน้า ดังเช่นว่า มดแดง(OecophyllasmaragdinaFabrius) เพราะเหตุว่ามีตัวสีแดง มดดำ (CataulacusgranulatusLatreillr, Hypocli-neathoracicus Smith) ซึ่งเพี้ยนไปเป็นมด ฯลฯ มดบางประเภทพวกเราเรียกชื่อตามอาการอันเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากถูกมดนั้นกัด ดังเช่น มดคัน (CamponotusmaculatusFabricius) ซึ่งเมื่อถูกกัดแล้วจะมีผลให้รู้สึกคันในรอบๆแผลที่กัด  หรือผูกคันไฟ  (Solenopsis  geminate Fabricius, SolenopsisgeminataFabricius var. rufaJerdon) ซึ่งเมื่อถูกกัด นอกเหนือจากมีอาการคันแล้ว ยังมีลักษณะอาการแสบร้อนเหมือนถูกไฟลวก
บางจำพวกก็เรียกตามกิริยาท่าทางที่มดแสดงออก ได้แก่ มดลุกลน (AnoploessislongipesJerdon) ซึ่งเป็นมดที่ถูกใจวิ่งเร็วแล้วก็วิ่งพล่านไป เปรียบเสมือนผู้ที่วิ่งดัวยความสะดุ้ง  มดชนิดนี้บางที่เรียกสั้นๆว่า มดตะลาน  ที่บ้าเป็นมดตาลานก็มี หรือมดก้นงอล (CrematogasterdoheniiMaye) อันเป็นมดที่เวลาเดินหรือวิ่งมักชูท้องอืดท้องเฟ้อสูงตั้งฉากกับพื้น  ทำให้มองดูเหมือนตูดงอล  เป็นต้น
มดบางชนิดเป็นมดที่สามัญชนตามท้องถิ่นใช้บริโภค  จึงเรียกไปตามรสอย่างเช่น  ทางภาคเหนือ  อันดังเช่นว่า  ชาวจังหวัดแพร่  น่าน  ลำพูน  เชียงราย  จังหวัดเชียงใหม่  ฯลฯ  นิยมใช้มดแดงซึ่งมีรสเปรี้ยวแทนน้ำส้ม  ก็เรียกว่า มดส้มหรือมดมัน  ซึ่งชาวบ้านบางถิ่นนิยมกินกันเนื่องมาจากมีรสชาติมันรวมทั้งอร่อย  ก็เลยเรียกชื่อตามรสชาตินั้น อย่างไรก็แล้วแต่  มีมดบางจำพวกที่ชาวบ้านมิได้รัชูชื่อโดยใข้คำ “มด” นำหน้าดังเช่นว่า เศษไม้ดิน (Doeylusorientalis  Westwood) ซึ่งเป็นมดที่ทำลายกัดรับประทานฝักถั่งลิสงที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวอยู่ในดิน
มดก็เหมือนกันกับแมลงจำพวกอื่นที่อาจมีการรัชูชื่อบ้าไปตามท้องภิ่นได้แก่  แม่รังที่มีปีกของมดแดง (OecophyllasmsrhdineFabrius) คนบ้านนอกในแคว้นภาคอีสาน  อันยกตัวอย่างเช่น  ชาวจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ นครพนม ร้อยเอ็ด จังหวัดอุบลราชธานีเรียกแม่เป้งในช่วงเวลาที่คนภาคกบางมัดเรียกมดโม่ง  ส่วนชาวจังหวัดภาคใต้  ดังเช่นว่า  จังหวัดชุมพร  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  สงขา  นครศรีธรรมราช  จังหวัดภูเก็ต  เรียกว่าแม่เย้าหรือแม่เหยา
มดมีวงจรชีวิตในลักษณะที่บิดารังและก็แม่รังที่มีปีกจะบินอกกจากรังและสืบพันธุ์กันเมื่อถึงเวลาแล้ว  มดตัวผู้มักตาย  มดตัวเมียซึ่งจัดแจงทำรังใหม่ก็จะหาที่พักพิงอันมิดชิด  แล้วสลัดปีกทิ้ง  รอคอยจนกว่าไข่แก่ก็จะว่างไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแม่รังก็จะให้อาหารเลี้ยงลูกอ่อนจนถึงเข้าดักแด้  และอกกมาเป็นตัวโตเต็มกำลังกลายเป็นมดงานที่อุปถัมภ์แม่ถัดไป  เมื่อมดงานทำหน้าที่เลี้ยงรังได้แล้ว  แม่รังก็ทำ
หน้าที่ตกไข่เพียงอย่างเดียว  การควบคุมวรรณะของรังบางทีอาจกระทำโดยการวางไข่ที่ต่างกัน  ได้แก่  ขนาดไม่เหมือนกัน  ไข่ขนาดเล็ฟกออกมาเป็นมดตัวเมียที่เป็นแม่รังรวมทั้งมดงาน  ส่วนไข่ขนาดใหญ่เป็นมดตัวผู้หรือมดบิดารัง  ลักษณะของวงจรชีวิตแบบนี้ต่างจากปลวก  เนื่องจากว่าปลวกนั้นเป็ฯแมลงเม่า  ซึ่งประกอบดัสยบิดารวมทั้งแม่ปลวกที่มีปีกบินขึ้นผสมกันแล้  บิดารังมักมีชืวิตอยู่แล้วก็ร่วมทำรักับแม่ปลวกซึ่งเตรียมวางไข่  เมื่อไข่ฟักเป็นตัว  ก็จะเป็นปลวกงานซึ่งสามารถดำเนินงานอุปถัมภ์พ่อแม่ได้โดยไม่ต้องรอให้โตเต็มที่เสียก่อน
นิสัยคาวมเป็นอยู่ของมดก็มีลักษณะต่างๆกัน  บางพวกสร้างรังอยู่บนต้อนไม้โยใช่ใบไม้ที่อาศัยมาห่อทำเป็นรวงรัง  ตัวอย่างเช่นมดแดง  หรือขนเศษพืชดินผสมน้ำลายทำรังชิดกับไม้ที่อาศัย  เช่นมดลี่หรือมดก้นงอล  บางพวกสร้างรังในดินมีลักษณะเป็นช่องสลับซับซ้อนคล้ายรังปวก  ตัวอย่างเช่นมดมันหรือแมลงมัน  รังของมดก็เลยมัลักษณะของสิ่งของที่สร้าง  องค์ประกอบ  และก็รูปร่างนาๆประการจำนวนมากให้มองเห็นได้เสมอ
ชีวิวิทยาของมดแดง
เมื่อมดแม่รังได้รับการผสมพันธุ์แล้ว  ครั้นไข่แก่ก็จะออกไข่  ไข่มดแดงมีขนาดเล็กสีขาวขุ่น  จะถูกวางเป็นกระจุกติดกับใบไม้ข้างในรัง   ไข่ที่ได้รับการผสมจะก้าวหน้าไปเป็นมดงานรวมทั้งมดแม่รังส่วนไข่ที่มิได้รับผสมจะรุ่งเรืองไปเป็นมดตัวผู้  เมื่อไข่ก้าวหน้าขึ้นก็จะเข้าสู้ระยะตัวอ่อนในระยะนี้บางทีอาจทานอาหารและขยับตัวได้นิดหน่อย  แล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดักแด้ซึ่งมีลักษณะเหมือนตัวสมบูรณ์เต็มวัยทุกสิ่ง ขาและปีกเป็นอิสระจากลำตัว  และหยุดรับประทานอาหาร  แล้วหลังจากนั้นก็จะลอกตราบออกมาเป็นตัวเต็มวัย  และที่ขาวขุ่นก็จะเริ่มกลายเป็นสีอื่นตามวรรณะมดตัวโตเต็มวัยอีกทั้ง๓ วรรณะอย่างเช่น
๑. มดแม่รัง มีความยาว  ๑๕-๑๘ มม.  สีเขียวใสจนถึงสีน้ำตาลแดงหัวและก็อกสีน้ำตาลเหมือนมดงาน  แต่หัวกว้างว่า  ส่วนนอกสั้น  อกข้อแรกตรงอกปล้องที่ ๓ ทื่อ ขาสั้นกว่ามดงาน ปีกกว้าง  ข้อต่อหนวดสั้นกว่ากว่ามดงาน  ส่วนท้องเป็นรูปไข่  เมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว  จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าตัว  ปฏิบัติหน้าที่ขยายพันธุ์  รังหนึ่งอาจเจอมดแม่รังหลายตัว  แม้กระนั้นจะมีเพียงแต่ตัวเดียวเท่านั้นที่จะผสมพันธุ์ได้
๒. มดเพศผู้  มีความยาว ๖-๗ มิลลิเมตร  ลำตัวสีดำ  หัวเล็ก  กรามแคบตาโต  หนวดเป็นแบบด้าย  มี ๑๓ ปล้อง  ฐานหนวดยาว  ปลายเส้นหนวดค่อยๆใหญ่ขึ้นเป็นรูปกระบอก  อกข้อที่ ๓ ใหญ่  ข้อต่อหนวดยาว  ท้องรูปไข่  ปีกสีนวลใสมีหน้าที่ผสมพันธุ์พียงอปิ้งเดียว  อายุสั้นมาก  เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะตาย
๓.  มดงาน  มีความยาว ๗-๑๑ มิลลิเมตร  กว้าง ๑.๕– ๒ มิลลิเมตร  สีแดงหัวและก็อกมีขนสั้นๆ หัวกลม  ส่วนล่างแคบ  กรามขัดกัน  ปลายแหลมโค้งตอนต่อไปแคบ  อกบ้องที่  ๒  กลม  โค้งขึ้น  อกปล้องที่ ๓ คอด  เหมือนอาน  ขายาวเรียว  ข้อต่อหนวดรูปไข่  ส่วนท้องสั้น  เป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันไม่มีปีก  มีหน้าที่หาร  ทำรัง  และป้องกันศัตรู
ผลดีทางยา
ตำราคุณประโยชน์ยาบาราณว่า  น้ำเยี่ยวมดแดงสีรสเปรี้ยว  ฉุน  สูดแก้ลมแก้พิษเสลดโลหิต ราษฎรบางถิ่นใช้มดแดงทำลายพิษ  โดยการเอารังมดแดงมาเคาะใส่บริเวณปากแผลที่ถูกงูที่มีพิษกัด  ให้มดต่อยที่รอบๆนั้น  ไม่นานมดแดงก็จะตาย  ใช้มือปาดเอามดแดงเอาไป  แล้วเคาะมดแดงลงไปใหม่  ทำอีกครั้งๆไปเรื่อยจชูว่าจะถึงมือแพทพ์  บางครั้งอาจจะต้องใช้มดแดงถึงกว่า ๑๐ รัง นอกนั้น  ราษฎรบางถิ่นยังบางทีอาจใช้เยี่ยวมดแดงทำความสอาดบาดแผลได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำเนิดรอยแผลขึ้น  และไม่อยู่ในข้อจำกัดที่จะชำระล้างรอยแผลหรือหายาใส่แผลได้  อย่างเช่น  เมือ่อยู่ในป่าหรือในทุ่งข้าว  ก็บางทีอาจเอามดแดง ๕-๑๐ ตัว (ตามขนาดของรอยแผล)  วางไว้รอบๆปากแผล  ให้ปวดแสบปวดร้อนมาก
พระหนังสือธาตุวิภังค์ให้ยาแก้ “ฝีในท้อง ๗ ประการ”  อันเกิดบางทีอาจ “หนองพิการหรือแตก” ซึ่งทำให้มีการเกิดอาการไอ  ผอมเกร็ง  เบื่อข้าวยาขนานนี้เข้า “รังมดแดง” เป็นเครื่องยาด้วย  ดังนี้ ปุพ์โพ  คือหนองทุพพลภาพหรือแตก ให้ไอเป็นอันมาก  ให้กายผอมบางหนัก  ให้รับประทานอาหารไม่จักรส  มักเป็นฝีในท้อง ๗ ประการ  ถ้าหากจะแก้ท่านให้เอารังมดแดง ๑ ตำลึง  หัวหอม ๑ ตำลึง ๑ บาท ขมิ้นอ้อยยาว ๑ องคุลี  ยาทั้ง ๗ สิ่งนี้ ต้ม ๓ เอา ๑ แทรก ดีเกลือตามธาตุหนักรวมทั้งธาตุเบาจ่ายบุพร้ายซะก่อน แล้วจึงประกอบยาประจำธาตุในเสมหะก็ได้

 

Sitemap 1 2 3