ผู้เขียน หัวข้อ: สัตววัตถุ จระเข้  (อ่าน 295 ครั้ง)

kkthai20009

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2548
    • ดูรายละเอียด
สัตววัตถุ จระเข้
« เมื่อ: ธันวาคม 28, 2017, 11:33:39 pm »

ตะไข้
จระเข้เป็นสัตว์คลานขนาดใหญ่ มีผัวหนังแข็งเป็นเกล็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายรวมทั้งใช้ฟาดต่างอาวุธ เหมือนเคยหากินในน้ำ จระเข้หรืออ้ายเข้ก็เรียก อีสานเรียกแข้ ภาคใต้เรียกเข้ ในตำรายาโบราณมักเขียนเป็นจรเข้ เรียกใน๓ษาอังกฤษว่า crocodile
ในทางสัตวานุกรมข้อบังคับนั้น  ตะไข้ที่จัดอยู่ในสกุลจระเข้ (Crocodylidae) มีทั้งผอง ๒๒ จำพวก  แบ่งออกได้เป็น ๓ วงศ์ย่อย คือ
๑. ตระกูลย่อยจระเข้ (Crocodylinae) มีทั้งปวง ๑๔ ชนิด แบ่งเป็น ๓ สกุล จระเข้ที่เจอในประเทศไทยมี ๒ สกุล คืสกุลไอ้เข้ (Crocodylus) มีทั้งปวง ๑๒ ชนิด เจอในประเทศไทยเพียงแต่ ๒ ชนิด รวมทั้งสกุงตะโขง (Tomistoma) มีเพียงแต่ ๑ จำพวก
๒.ตระกูลย่อยตะไข้จีน (Alligatoriane)  มัทั้งหมด ๗ จำพวก  จัดแบ่งเป็น ๔ สกุล  ไม่เจอในธรรมชาติในประเทศไทย Crocodile กับ  Alligator
จระเข้ที่จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Crocodylinae มีชื่อสามัญว่า crocodile ส่วนที่อยู่ในตระกูลย่อย  Alligatoriane มีชื่อสามัญว่า  alligator ลักษณะโดยปกติคล้ายกันแต่ว่าต่างกันที่ alligator  มีส่วนหัวกว้างกว่า  ปลายปากกลมมนกว่า  ฟันบนครอบฟันล่าง  ฟันล่างซี่ที่ ๔ ทั้งสองข้างขยายโตกว่าฟันซี่อื่นๆ จะไม่เห็นฟันซี่นี้เมื่อปากปิด  เพราะเหตุว่าฟัน ๒ ซี่นี้ใส่ลงในรูที่ฟันด้านบน  ส่วน crocodile  มีส่วนหัวที่แหลมเรียวยาวกว่า  ฟันบนแล้วก็ฟันล่างเรียงตรงกัน  ฟันซี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะเฉียงออกมาข้างนอก  มองเห็นได้หากแม้เวลาปิดปาก
๓.วงศ์ย่อยตะโขงประเทศอินเดีย (Gavialinaae) ซึ่งมีเพียงแต่ ๑ สกุล และก็มีเพียงแค่ ๑ ชนิดแค่นั้น คือตะโขงอินเดียGavialis gangeticus (Gmelin)  พบตามแหล่งน้ำจืดและแม่น้ำต่างๆทางภาคเหนือของอินเดีย  ประเทศปากีสถาน  บังกลาเทศ  เนปาล  ภูเขาฏาน และก็พม่า  แม้กระนั้นไม่เจอในไทย
สมุนไพร สมัยเก่าเจอจระเข้อยู่ตามป่าริมแม่น้ำ  ลำห้วย  ลำคลอง  หนอง  บึง  เคยมีจำนวนมาก  ก็เลยมีการจับตะไข้มากินเป็นของกินแล้วก็ใช้ส่วนต่างๆของตะไข้มาเป็นเครื่องยาสมุนไพร  ตอนนี้เมื่อมีคนเพิ่มมากขึ้น  ธรรมชาติและก็สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป  ทั้งๆที่จำเป็นจะต้องจริงคือการใช้พื้นที่ป่าเป็นหลักที่ดินทำมาหากินและที่อยู่อาศัย  รวมทั้งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  ทำให้จำนวนจระเข้ในธรรมชาติลดลงมากมายจนเกือบจะสิ้นซากไปจากธรรมชาติ  คงเจอบ้างตามแหล่งน้ำในเขตรักษาบางพื้นที่ อย่างไรก็ดี  เป็นโชคดีที่ถึงแม้ว่าจระเข้จวนสิ้นซากไปจากธรรมชาติในประเทศไทยแล้ว  แต่ว่านักธุรกิจของพวกเราก็ไปถึงเป้าหมายสำหรับเพื่อการเพาะพันธุ์ไอ้เข้  ทำให้มีจำนวนตะไข้เยอะขึ้นเรื่อยๆ แปลงเป็นสัตว์อาสินที่สำคัญของประเทศ   เป็นสัตว์ที่ให้หนังสำหรับทำเครื่องหนังที่ตลาดอยาก  และให้เครื่องยาสมุนไพรโดยที่ไม่เป็นการทำลายสัตว์ชนิดนี้ในธรรมชาติ  สร้างขึ้นจากตะไข้ที่เนื่องจากว่าประเภทขึ้นมา  ไม่ว่าจะเป็นเนื้อตะไข้  ดีตะไข้  หรือหนังตะไข้  แปลงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ  ที่ยั่วยวนใจนักท่องเทียวในขณะที่เป็นชาวไทยรวมทั้งเป็นชาวต่างประเทศให้มาเยี่ยมชมปีละไม่น้อยเลยทีเดียวๆ
ตะไข้ในประเทศไทย
จระเข้ที่พบในธรรมชาติในประเทศไทยจัดอยู่ในวงศื Crocodylidae  มี ๒ สกุล รวม ๓ จำพวก คือ สกุลจระเข้ (Crocodylus) มี ๒ ชนิด ได้แก่ ไอ้เข้น้ำจืดหรือตะไข้บ่อน้ำ (Crocodylus siamensis Schneider)  กับจระเข้น้ำทะเลหรือตะไข้อ้ายเคี่ยม (Crocodylus porosus Schneider)  และก็สกุลตะโขง  (Tomistoma )  มี ๑ จำพวกหมายถึงตะโขงหรือไอ้เข้ปากนกกระทุงเหว Tomistoma  schleielii (S.  Muller)  สัตว์เหล่านี้มีสามีหนังแข็งเป็นเกร็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงมากขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก เรียกหัวขี้หมา  หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายน้ำรวมทั้งใช้ฟาดต่างอาวุธ (เมื่ออยู่ในน้ำตะไข้จะฟาหางได้เมื่อขาข้างหลังจรดพื้นแค่นั้น)
๑.จระเข้น้ำจืด
มีชื่อวิทยาศาสตร์ Crocodylus  siamensis Schneider
เป็นไอ้เข้ขนาดปานกลาง  ลำตัวอาจยาวได้ถึง ๓ เมตร มีลักษณะเด่นคือมีแถวเกร็ดนูนบนด้านหลังหอย  และมีสันเตี้ยอยู่ระหว่างตาทั้ง ๒ ข้าง ไอ้เข้ประเภทนี้พบอาศัยอยู่ตามทะเลสาบน้ำจืด  ตลอดจนในที่ราบ  หนอง สระ และแม่น้ำ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสระที่แยกออกมาจากแม่น้ำ  และลำธารที่ไหลเอื่อยๆที่มีฝั่งเป็นโคลน  เคยพบได้ทั่วไปที่บึงบอระเพ็ด  แต่ว่าเดี๋ยวนี้แทบไม่พบในแหล่งธรรมชาติเลย  ตะไข้จำพวกนี้รับประทานปลาเป็นของกินหลัก  โตเต็มที่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี  สืบพันธุ์ในตอนเดือนธันวาคมถึงมี.ค. ตัวเมียวางไข่ในเดือนเมษายนและก็พฤษภาคม  ตกไข่ครั้งละ ๒๐-๔๐ ฟอง  ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๖๗-๖๘ วัน
๒.ไอ้เข้น้ำทะเล
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylus  porosus Schneider
เป็นจระเข้ขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาไอ้เข้ที่ยังมีเผ่าพันธุ์อยู่ในปัจจุบัน  ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๘ เมตร  บริเวณกำดันไม่พบแถวเกร็ดนูนเช่นที่เจอในสมุทรน้ำจืด  และก็รอบๆหน้าผากมีสันซีดๆคู่หนึ่งซึ่งสอบเข้าหากัน  เริ่มตั้งแต่ตาไปสินสุดที่ปุ่มจมูก  (ก้อนขี้มา)   ตัวผู้โตสุดกำลังเมื่ออารุราว ๑๖ ปี   ส่วนตัวภรรยาโตเต็มกำลังเมื่ออายุราว  ๑๐  ปี  ตัวเมียวางไข่ครั้งละประมาณ  ๕๐  ฟอง  ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว  ๘๐-๙๐  วัน
ลักษณะที่ผิดแผกแตกต่าง จระเข้น้ำจืด ไอ้เข้น้ำทะเล
๑.ลำตัว ป้อมสั้น ไม่ได้ส่วนสัดนัก เรียวยาว สมส่วนกว่า
๒.ส่วนหัว สามเหลี่ยมมุมป้าน โหนกที่ข้างหลังตาสูง และก็เป็นสันมากยิ่งกว่า สามเหลี่ยมมุมแหลม  ปากยาวกว่า
๓.ลายบนตัว สีออกเทาดำ มีลายสีดำเป็นแถบ สีออกเหลืองอ่อน มีลายเป็นจุดสีดำตลอดลำตัว
๔.บริเวณท้ายทอย มีเกล็ด ๔-๕ เกล็ด มีมีเกล็ด
๕.ขาหลัง พังผืดมองเห็นไม่ชัดเจน  มีพังผืดเห็นได้ชัดราวกับขาเป็ด
๓.ตะโขง หรือ ไอ้เข้ปากกระทุงเหว เป็นไอ้เข้พันธุ์ที่หายากที่สุดในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tomistoma  schlegeill (S. Muller) เป็นไอ้เข้ขนาดใหญ่ประเภทหนึ่งของไทย ลำตัวอาจยาวถึง ๕ เมตร ตัวสีน้ำตาลปนแดง มีลายสีน้ำตาลเข้ม ปากยาวเรียวคล้ายปากปลาเข็ม หางแบนใหญ่ ใช้ว่าย จระเข้จำพวกนี้เจอเฉพาะทางภาคใต้ของไทย  มักอาศัยอยู่ในแม่น้ำแล้วก็หนองน้ำจืดที่มีรอบๆติดต่อกับแม่น้ำ อาจพบได้บริเวรป่าชายเลนหรือบริเวรน้ำกร่อย มีรายงานว่าเจอจระเข้ปากกระทุงเหวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอกไม้เพลิงโต๊ะแดง จังหวักนราธิวาส แม้กระนั้นพบเพียงที่ละ ๑-๒ ตัว จระเข้จำพวกนี้กินปลาและก็สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหลายแบบเป็นอาหาร โตเต็มที่เมื่ออายุราว ๔.๕-๖ ปี ตัวเมียวางไข่ทีละราว ๒๐-๖๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๗๕-๙๐ วัน  และฟักเป็นตัวในช่วงฤดูฝน
๔.ตะไข้พันธุ์ผสม  เป็นไอ้เข้ผสมรหว่างจระเข้น้ำจืดกับจระเข้น้ำทะเล ชาวไทยเป็นผู้สำเร็จในการผสมไอ้เข้ ๒ จำพวกนี้  เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อกว่า ๒๐ ปีก่อน ไอ้เข้พันทางมีรูปร่าง สีสัน เกล็ด รวมทั้งนิสัยที่ดุร้ายเสมือนไอ้เข้น้ำทะเล แม้กระนั้นมีขนาดโตกว่า (เมื่อโตสุดกำลังมีปริมาณยาว ๕.๕ เมตร มีน้ำหนักตัวมากกว่า ๑,๒๐๐ กก.) จัดเป็นตะไข้พันธุ์ที่มีขนาดโตที่สุดในปนะเทศไทย ตะไข้พันทางเริ่มวางไข่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี ตกไข่ราวทีละ ๓๐-๔๐  ฟอง มากกว่าการวางไข่ของตะไข้น้ำเค็ม ไข่มีขนาดเล็ก  เปลือกไข่บาง  อัตราฟักเป็นตัวได้ต่ำมาก เมื่ออายุ ๑๓-๒๐ ปีวางไข่ราวครั้งละ ๓๐ –๕๕  ฟอง ไข่ขนาดโตปานกลาง เปลือกไข่หนากว่า อัตราฟักเป็นตัวได้สูง และเมื่ออายุ ๒๑ ปี ขึ้นไปตกไข่ครั้งละ ๓๕-๖๐ ฟอง เปลือกไข่หนามาก อัตราฟักเป็นตัวสูง

ชีววิทยาของตะไข้ไทย
นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าจระเข้เกิดและก็มีวิวัฒนาการบนโลกมาตั้งแต่ ๒๕๐  ล้านปีกลาย  ตอนนี้มีจระเข้ในโลกนี้ราว ๒๒ ชนิด กระจัดกระจายอยู่ตามแหลางน้ำต่างๆในเขตร้อนทั้งโลก  โดยยิ่งไปกว่านั้นรอบๆที่มีอุณห๓ไม่เฉลี่ยระหว่าง ๒๑-๓๕ องศา ตะไข้เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในช่วงฤดูร้อนหรือในกลางวันนั้น อาศัยกลบดานอยู่ในน้ำ ในช่วงฤดูหนาวก็เลยออกมาผึ่งแดด เหมือนปกติถูกใจนอนบนริมฝั่งน้ำที่เงียบสงบ น้ำนิ่ง ลึกไม่เกิน ๑.๕๐ เมตร เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาหรืออากาศ  ตัวอย่างเช่น  ก่อนเกิดพายุฝนฟ้าร้องหรือแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด จระเข้จะส่งเสียงร้องออกจากลำคอเหมือนเสียงคำรามของสิงโต  แล้วก็ตัวอื่นๆก็จะร้องรับตามกันต่อๆไป จระเข้ไทยมีอายุเฉลี่ยราว ๖๐-๗๐ ปี แต่ว่าโตเต็มที่และสืบพันธุ์ละวางไข่ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปีขึ้นไป พวกเราสามารถจำแนกแยกแยะตะไข้ตัวผู้และตะไข้ตัวเมียได้โดยการดูลักษณะข้างนอกเมื่อจระเข้แก่ตั้งแต่ ๓ ปี ขึ้นไป ตะไข้เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่อแก่ราว ๑๐ ปี โดยการผสมพันธุ์กันในน้ำแค่นั้น ฤดูผสมพันธุ์มักเป็นหน้าหนาว  เป็นในราวเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์  เมื่อผสมพันธุ์กัน  เพศผู้จะเกาะข้างหลังตัวเมียรวมทั้งตวัดหลังหางรัดตัวภรรยา ใช้เวลาผสมพันธุ์กันราว ๑๐-๑๕ นาที จระเข้ตัวเมียตั้งท้องราว ๑ เดือน  แล้วก็เริ่มวางไข่ในราวมี.ค.ถึงพฤษภาคม  ไอ้เข้ตัวเมียจะเลือกทำเลที่ตั้งที่สมควร ไม่เป็นอันตราย  และใกล้แหล่งน้ำ  แล้วปัดกวาดเอาใบไม้และก็ต้นหญ้ามาทำเป็นรังสูงราว ๔๐-๘๐ ซม. กว้างได้ตั้งแต่ ๑-๒๐ เมตร  สำหรับออกไข่  แล้วต่อจากนั้นก็เลยขุดหลุมตรงกลางแล้ววางไข่ โดยใช้เวลาวางไข่ ๒๐-๓๐ นาที เมื่อออกไข่เสร็จก็เลยกลบให้แน่น ไข่ตะไข้มีลักษณะโตกว่าไข่เป็ดบางส่วน  แต่เล็กมากยิ่งกว่าไข่ห่าน จระเข้ตัวเมียตกไข่คราวละ ๓๕-๔๐ ฟอง ระยะฟักตัวของไข่ตะไข้แต่ละชนิดก็ไม่เท่ากัน เมื่อถึงกำหนดระยะเวลาฟัก  ลูกจระเข้จะร้องออกมาจากไข่  เมื่อตัวหนึ่งร้องตัวอื่นๆก็ร้องรับต่อๆกันไป  เมื่อแม่จระเข้ได้ยินเสียงลูกร้อง  ก็จะรื้อฟื้นไปในรังจนถึงไข่ ลูกตะไข้ใช้ปลายปากที่มีติ่งแหลมเจาะไข่ออกมา  ตัวที่ไม่สามารถเจาะเปลือกไข่ได้ แม่จระเข้จะคาบไข่ไว้ในปากแล้วก็ขบให้เปลือกแตกออก ลูกไอ้เข้ทารกมีขนยาว ราว  ๒๕-๓0  ซม.   มีน้ำหนักตัวราว  ๒00-๓00  กรัม มีฟันแหลมรวมทั้งใช้กัดได้แล้ว แล้วก็มีไข่แดงอยู่ในท้องสำหรับเป็นอาหารได้อีกราว ๑0  วัน เมื่อของกินหมดและตะไข้เริ่มหิว  ก็จะหาอาหารกินเอง ไอ้เข้มีระบบย่อยของกินที่ดีเยี่ยม สามารถย่อยกระดูกสัตว์ต่างๆได้ จระเข้เมื่อโตสุดกำลังมีฟัน ๖๕  ซี่ ฟันด้านล่าง ๓0 ซี่  เมื่อฟันหักไปก็มีฟันใหม่แตกหน่อขึ้นมาแทนที่ในระยะเวลาไม่นาน ฟันจระเข้เป็นกรวยทับกันเป็นชุดๆอยู่ข้างในเหงือก ๓ ชุด ตะไข้มีลิ้นติดกับพื้นปาก เมื่อตะไข้อ้าปากจะมองเห็นเป็นจุดเล็กๆสีดำๆปรากฏอยู่ทั่วไปที่พื้นปากด้านล่าง   รอบๆนั้นเป็นจุดที่ไอ้เข้ใช้บอกความแตกต่างของรสของกินที่กินเข้าไป ส่วนลึกในโพรงปากมีลิ้นเปิดปิดเพื่อป้องกันน้ำเข้ากันเมื่อไอ้เข้อยู่ในน้ำ จมูกไอ้เข้อยู่ส่วนโค้งของปลายด้านบนของจะงอยปาก มีลักษณะเป็นปุ่มรูปวงกลม มีรูจมูก ๒ รู ปิดเปิดได้  เวลาดำน้ำจะปิดสนิทเพื่อคุ้มครองป้องกันน้ำเข้าจมูก ไอ้เข้หายใจรวมทั้งสูดกลิ่นด้วยจมูก ในช่องปากมีกระเปาะเป็นโพรงอยู่ด้านใน ใช้สำหรับรับกลิ่น
ไอ้เข้มี ๔  ขา แต่ว่าขาสั้น มองไม่สมดุลกับลำตัว ขาหน้ามีนิ้วข้างละ ๕ นิ้ว ขาข้างหลังมีนิ้วข้างละ  ๔  นิ้ว จระเข้ไม่อาจจะคลานไปไหนได้ไกลๆแต่ในระยะสั้นๆทำเป็นเร็วเท่าคนวิ่ง เมื่อจำเป็นจะต้อง ไอ้เข้สามารถคลานลงน้ำและก็ว่ายได้ อย่างเงียบเชียบ  เวลาจับเหยื่อในน้ำ จระเข้จะเคลื่อนตัวเข้าหาเหยื่ออย่างช้าๆ ราวกับขอนไม้ลอยน้ำมา พอสบโอกาสรวมทั้งระยะทางพอเหมาะก็จะพุ่งเข้าใส่เหยื่ออย่างเร็ว พร้อมอ้าปากงับเหยื่อได้อย่างเที่ยงตรง เมื่องับเหยื่อไว้ได้แล้ว ก็จะบิดหมุนควงเหยื่อเหยื่อตายสนิทแล้วจึงค่อยรับประทาน   ฟันไอ้เข้มีไว้สำหรับจับเหยื่อแล้วก็ฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆแล้วกลืนลงไป มิได้มีไว้สำหรับเคี้ยวของกิน
จระเข้สามารถลอยน้ำได้โดยการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วประคองตัวให้ลอยน้ำได้โดยการใช้ขาพุ้ยน้ำและหางโบก แต่ว่าสำหรับการพุ่งตัวรวมทั้งว่ายน้ำด้วยความรวดเร็วนั้น   ไอ้เข้ใช้เพียงแค่หางอันมีพลังโบก ไปๆมาๆอย่างรวดเร็วเพื่อให้ตัวพุ่งไปข้างหน้า ไอ้เข้มีความรู้และมีความเข้าใจสำหรับในการเห็นที่ดีรวมทั้งไวมาก สามารถมองภาพได้  ๑๘0  องศา ทั้งสามารถแลเห็นวัตถุที่มาจากเหนือหัวได้ สายตาของตะไข้มีความไวและก็เร็วพอที่จะผสานกับนกที่บินผ่านไป จระเข้ยังลืมตาและแลเห็นในน้ำได้  เมื่อตะไข้ดำน้ำจะมีม่านตาบางใสมาปิดตาเพื่อคุ้มครองป้องกันการเคืองตา จระเข้ยังมีหูที่รับเสียงได้ดิบได้ดี หูตะไข้เป็นร่องอยู่ข้างนัยน์ตาตะไข้ ๒ ข้าง นอกจากนี้จระเข้ยังรับรู้อันตรายที่จะมาถึงได้ด้วยผิวหนัง ซึ่งสามารถรับความรู้สึกจากการเขย่าสั่นสะเทือนของพื้นดินหรือท้องน้ำได้ ในธรรม

 

Sitemap 1 2 3