ผู้เขียน หัวข้อ: p1 กล้องสำรวจถนนภาคสนาม ซื้อ-ขาย กล้องระดับ TOPCON, Pentax, CTS/Berger มือสอง  (อ่าน 264 ครั้ง)

Saiswatka

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2238
    • ดูรายละเอียด
จำหน่ายกล้องอุปกรณ์กล้องไลน์สำรวจ คุณภาพเยี่ยม กล้องระดับ TOPCON ยี่ห้อ TOPCON, Pentax, CTS/Berger
การจำแนกดิน หมายถึง การรวบรวมดินประเภทต่างๆที่มีลักษณะ หรือ คุณสมบัติที่หมือนกันหรือคล้ายกันตามที่ตั้งไว้ ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ เพื่อสบายสำหรับการจำและก็ใช้ประโยชน์งาน
ระบบการจำแนกดินของประเทศรัสเซีย
ระบบนี้จะสนใจดินที่เกิดในลักษณะภูมิอากาศหนาวเย็น จนกระทั่งออกจะร้อน สำหรับในการแบ่งระดับสูง เน้นการใช้โซนภูมิอากาศแล้วก็พืชพรรณเป็นหลัก มีทั้งผอง 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตลักษณะของอากาศตั้งแต่หนาวจัด จนกระทั่งค่อนข้างจะหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX ย้ำลักษณะของอากาศค่อนข้างจะร้อน โดยใช้ลักษณะความชุ่มชื้น-ความแห้ง และภาวะพืชพรรณที่เป็นป่า หรือทุ่งหญ้า เป็นต้นสายปลายเหตุจำกัด สำหรับชั้น X-XII เน้นดินในเขตร้อน จากขั้นสูงจะมีการจัดหมวดหมู่ออกเป็นชั้นย่อย ตามลักษณะการเกิดของดิน และแบ่งเป็นประเภทดิน ในอย่างต่ำ ระบบการจำแนกดินของคูเบียนา การแบ่งดินใช้ ทรัพย์สมบัติทางเคมีของดิน และก็โซนของภูมิอากาศกับพรรณไม้ เป็นหลัก โดยย้ำสิ่งแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน แล้วก็สิ่งแวดล้อมที่ออกจะแห้งแล้งมากยิ่งกว่าเขตชื้นและก็ฝนชุก
-ระบบการจำแนกดินของประเทศฝรั่งเศส
มีลักษณะเด่นคือ เป็นการจำแนกดินที่ใช้ลักษณะทั้งผองด้านในหน้าตัดดินเป็นเกณฑ์ เน้นย้ำพัฒนาการของหน้าตัดดิน โดยพินิจพิเคราะห์จาการจัดเรียงตัวของชั้นกำเนิดดินข้างในหน้าตัดดินโดยเฉพาะ กับการที่มีปฏิกิริยาความเคลื่อนไหว หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว การจำแนกขั้นสูงสุด ย้ำลักษณะที่เกี่ยวเนื่องกับการขังน้ำ ส่วนอย่างน้อย ใช้ความมากน้อยสำหรับเพื่อการโยกย้ายอนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศเบลเยียม
เป็นการจัดหมวดหมู่ที่ค่อนข้างจะละเอียด ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น การแบ่งแยกดินใช้รูปแบบของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ และวิวัฒนาการของหน้าตัดดิน เป็นลักษณะจำแนก สำหรับเพื่อการอธิบายเนื้อดิน แบ่งได้เป็น 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) อุปกรณ์อินทรีย์รวมทั้งตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลที่เกี่ยวกับความเปียกของดิน ยกตัวอย่างเช่น จุดประ และสีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่พบลักษณะดังที่กล่าวถึงมาแล้ว สำหรับวิวัฒนาการของหน้าตัดดินแบ่งออกเป็นหลายชั้นโดยพิเคราะห์จากลำดับของชั้นต่างๆในหน้าตัดดินแล้วก็ชั้น (B) นับว่าเป็นชั้น B ที่เพิ่งจะมีพัฒนาการหรือเป็นชั้นแคมบิก B คล้ายคลึงกันกับในระบบของประเทศฝรั่งเศส
-ระบบการแบ่งดินของประเทศอังกฤษ
เน้นลักษณะดินที่พบในประเทศอังกฤษรวมทั้งเวลส์ มี 10 กลุ่ม ขยายความออกมาจากกันโดยใช้ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นกฏเกณฑ์ซึ่งเน้นชนิดรวมทั้งการจัดเรียงตัวของชั้นดิน มี Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils และ Peat soils
-ระบบการแบ่งดินของประเทศแคนาดา
ระบบการแบ่งเป็นแบบมีหลายขั้นอันดับข้อบังคับรวมทั้งมีลำดับสูงต่ำแจ้งชัด ประกอบด้วย 5 ขั้นด้วยกันเป็น อันดับ (order) กลุ่มดินใหญ่ (great group) กลุ่มดินย่อย (subgroup) สกุลดิน (family) แล้วก็ชุดดิน (series) ชั้นอนุกรมวิธานของดินในระบบการแบ่งดินของแคนาดาแจงแจงออกจากกันโดยใช้ลักษณะที่ดูได้ และที่วัดได้ แม้กระนั้นหนักไปในทางด้านทฤษฎีการกำเนิดดินในการแยกเป็นชนิดและประเภทขั้นสูง ซึ่งแบ่งได้ 9 ชั้น แล้วก็แบ่งได้เป็น 28 กลุ่มดิน
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศออสเตรเลีย
การพัฒนาด้านการแบ่งแยกดินในประเทศออสเตรเลียมีมานานแล้วเช่นกัน โดยในตอนแรกเป็นการแบ่งประเภทและชนิดดินที่ใช้ธรณีวิทยาของวัสดุดินเริ่มต้นเป็นหลัก แต่ว่าถัดมาได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆจนกระทั่งเน้นย้ำสัณฐานวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งได้เป็น 47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) เนื่องจากว่าการที่ออสเตรเลียมีสภาพอากาศอยู่หลายแบบด้วยกัน ทำให้มีสภาพแวดล้อมทางดินหลายแบบด้วยกันตามไปด้วย มีในภาวะที่หนาวเย็นไปจนถึงเขตร้อนชื้น และก็เขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าระบบการแบ่งนี้ครอบคลุมชนิดของดินต่างๆมากมาย แต่ว่าเน้นดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต เน้นย้ำสีของดิน และก็เนื้อของดินออกจะมาก ระบบการจำแนกดินของออสเตรเลียนี้มีอยู่มากยิ่งกว่า 1 แบบ เพราะว่ามีการเสนอระบบต่างๆที่มีแนวคิดเบื้องต้นไม่เหมือนกันออกไป อย่างเช่นระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 1971, 1971, 1980) ที่ย้ำจากระดับต่ำขึ้นไปหาระดับสูง แล้วก็ระบบที่เจออยู่ในคู่มือของดินประเทศออสเตรเลีย (A Handbook of Australia Soils) เป็นต้น
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศนิวซีแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอันดับเกณฑ์ดินของสหรัฐฯเป็นหลักสำหรับเพื่อการแบ่งประเภทและชนิดดิน แล้วก็ดินของประเทศนิวซีแลนด์บริเวณกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากตะกอนภูเขาไฟ
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศบราซิล
ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน ระบบการจำแนกดินของบราซิลไม่ใช้ภาวะความชุ่มชื้นดินในการแยกเป็นชนิดและประเภทขั้นสูง รวมทั้งใช้สี ปริมาณของส่วนประกอบกับประเภทของหินแหล่งกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้สำหรับการจัดประเภทมากกว่าที่ใช้ในอนุกรมวิธานดินกษณะที่ใช้เพื่อการแบ่งประเภทและชนิดมากกว่าที่ใช้ในอนุกรมกฎดิน
ตามระบบการแบ่งแยกดินประจำชาตินี้ สามารถแบ่งดินในประเทศไทยออกเป็น
ชุดดินรังสิต
Alluvial soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นใหม่ มีอายุน้อย มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดินต่ำ หน้าตัดดินเป็นแบบ A-C, A-Cg, Ag-Cg หรือ A-(B)-Cg เกิดจากการพูดซ้ำเติมโดยน้ำตามที่ราบลุ่ม ได้แก่ที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ชายฝั่งทะเล รวมทั้งเนินตะกอนน้ำพารูปพัด (alluvial fan) ภาวะของการพูดซ้ำเติมบางทีอาจเป็นบริเวณของน้ำจืด น้ำเค็ม หรือน้ำกร่อยก็ได้ โดยมากจะมีเนื้อดินละเอียด และก็การระบายน้ำต่ำทราม พบได้มากลักษณะที่แสดงการขังน้ำ เว้นเสียแต่รอบๆสันดินริมน้ำ และที่เนินขี้ตะกอนน้ำพารูปพัด ที่เนื้อดินจะหยาบกว่า และดินมีการระบายน้ำดี ส่วนประกอบและก็แร่ธาตุที่มีอยู่ในดิน alluvial มักแตกต่างกันมาก และก็มักจะผสมปนเปจากบริเวณแหล่งกำเนิดที่มาจากหลายที่ ชุดดินที่สำคัญของกลุ่มดินหลักนี้เป็น
- พวกที่เกิดขึ้นมาจากขี้ตะกอนน้ำจืด ยกตัวอย่างเช่น ชุดดินท่าม่วง สรรพยา สิงห์บุรี จังหวัดราชบุรี อยุธยา
- พวกที่เกิดจากขี้ตะกอนน้ำกร่อย ตัวอย่างเช่น ชุดดินผู้อารักขา รังสิต
- พวกที่เกิดขึ้นจากตะกอนภาคพื้นมหาสมุทร ได้แก่ ชุดดินท่าจีน กรุงเทพฯ
-
Hydromorphic Alluvial soils
หมายคือดิน Alluvial soils ที่มีการระบายน้ำออกจะชั่วช้าสารเลว-เลวมากมาย ในเรื่องที่มีการแยกเป็นชนิดและประเภทดินออกเป็น Alluvial soils รวมทั้ง Hydromorphic Alluvial soils ดินที่อยู่ในกลุ่มดินหลัก Alluvial soils จะเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี แล้วก็อยู่ในรอบๆที่สูงกว่าในภูมิทัศน์ที่ต่อเนื่องกัน ดินในทั้งคู่กลุ่มดินหลักนี้มักจะได้รับอิทธิพลน้ำหลากในฤดูน้ำหลากเสมอ
 -ชุดดินหัวหิน
Regosols
มีวิวัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ กำเนิดแจ่มชัดเฉพาะดินบน (A) แล้วก็มีหน้าตัดดินแบบ A-C หรือ A-Cg เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดดินที่เป็นทรายจัดอาจเป็นทรายรอบๆชายฝั่งทะเล หรือบริเวณเนินทราย หรือทรายจากแม่น้ำ ดินมีการระบายน้ำดี จนถึงระบายน้ำดีจนกระทั่งเหลือเกิน เจอทั่วไปเป็นแถวยาวตามชายฝั่งทะเล และตามตะพักลำน้ำของแม่น้ำที่มีตะกอนเป็นทรายจัด มีปฏิกิริยาออกจะเป็นกรด ชุดดินที่สำคัญยกตัวอย่างเช่น ชุดดินหัวหิน พัทยา ระยอง รวมทั้งน้ำพอง
-Lithosols
เป็นดินตื้นมาก จำนวนมากลึกไม่เกิน 30 เซนติเมตร มักพบตามรอบๆที่ลาดเชิงเขาซึ่งมีกษัยการสูง การเรียงตัวของชั้นดินเป็นแบบ A-C-R, AC-C-R หรือ A-R เนื้อดินมีเศษหินที่ยังไม่ผุพังสลายตัวหรือกำลังเสื่อมสภาพปนอยู่เป็นส่วนมาก ดินนี้ไม่เหมาะแก่การเกษตร หรือการผลิตพืชโดยปกติ
-ชุดดินจังหวัดลพบุรี
Grumusols
เป็นดินสีคล้ำ มีต้นเหตุมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ยกตัวอย่างเช่น หินปูน มาร์ล หรือบะซอลต์ พัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีองค์ประกอบเป็นแร่ดินเหนียวจำพวก 2:1 ซึ่งมีความรู้สำหรับการยืด-หดตัวได้มาก ดินจะขยายตัวเมื่อแฉะ (swelling) และหดตัวเมื่อแห้ง (shrinkage) ทำให้มีลักษณะของรอยูไถล (slickensides) เกิดขึ้นในดิน ลักษณะหน้าตัดมีชั้น A-C หรือ A-AC-C โดยชั้น A จะหนา มีโครงสร้างดินแบบก้อนกลม (granular structure) หรือก้อนกลมพรุน (crumb structure) พบได้ทั่วไปในบริเวณที่ราบลุ่มหรือตะพักลำน้ำ ลักษณะผิวหน้าดินเป็นหลักที่ปุ่มๆป่ำๆ (gilgai relief) เมื่อแห้งผิวดินจะแตกระแหงเป็นร่องลึก ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง ลักษณะโดยรวมเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่มีสมบัติทางกายภาพที่เป็นอุปสรรคต่อการไถพรวน ดินนี้ในรอบๆที่ต่ำจะมีการระบายน้ำชั่วช้าสารเลว ส่วนมากใช้ปลูกข้าว แต่ถ้าอยู่ในที่สูง เช่นในบริเวณใกล้ตีนเขาหินปูนชอบมีการระบายน้ำดี ใช้ปลูกพืชไร่ ดังเช่นว่า ข้าวโพดชุดดินที่สำคัญ ดังเช่น ชุดดิน ลพบุรี บ้านหมี่ โคกกระเทียม จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มดินหลัก Grumusols นี้ ไม่มีในระบบ USDA 1938 เริ่มใช้สำหรับการเสริมเติมระบบ USDA เมื่อ 1949
 -ชุดดินตาคลี
Rendzinas
เป็นดินตื้นเกิดตามตีนเขาหินปูน วัตถุต้นกำเนิดเป็นพวกปูน (CaCO3) หรือมาร์ล เกิดเกี่ยวกับดิน Grumusols แต่ว่าอยู่ในบริเวณที่สูงกว่า มักพบรอบๆที่ลาดใกล้เขา หรือ กระพักเขตที่ลุ่มใกล้เขาหินปูน เป็นดินที่มีความก้าวหน้าของหน้าตัดต่ำ ลักษณะดินจะมีเพียงชั้น A รวมทั้ง C หรือ A-(B)-C ดินบนสีคล้ำ มีองค์ประกอบดี ร่วน รวมทั้งออกจะดก มีการระบายน้ำดี ส่วนดินด้านล่างเป็นดินเหนียวผสมปูนหรือปูนมาร์ล ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นตามความลึก และก็มักจะพบชั้นที่เป็นปูน หรือ ปูนมาร์ลล้วนๆอยู่ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ดินพวกนี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่าง (pH ประมาณ 7.0-8.0) ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการปลูกพืชไร่ ได้แก่ข้าวโพด หรือปลูกไม้ผล ดังเช่น น้อยหน่า ทับทิม ฯลฯ ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินตาคลี
 -ชุดดินชัยบาดาล
Brown Forest soils
พบตามรอบๆภูเขาเป็นส่วนมาก มีต้นเหตุจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นวัตถุหลงเหลือ และก็เศษหินตีนเขา ทั้งในภาวะที่หินพื้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด และด่าง เช่น แกรนิต ไนส์ แอนดีไซต์ มาร์ล บางทีอาจพบปะผสมกับดินในกลุ่มดินหลัก Rendzinas เป็นดินตื้น วิวัฒนาการของหน้าตัดดินไม่มากเท่าไรนัก มีลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A-B-C หรือ A-B-R แต่ว่าชั้น B มักจะไม่ค่อยแจ่มกระจ่าง ในประเทศไทยพบบ่อยตามเทือกเขาหินปูนเป็นส่วนใหญ่ สำหรับ Brown Forest soils ที่เป็นกรด พบเพียงนิดหน่อยชุดดินที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ชัยบาดาล ลำทุ่งนารายณ์ สมอทอด
 -Humic Gley soils
เจอจำนวนน้อยในประเทศไทย มักเกิดผสมอยู่กับดินอื่นๆในลักษณะขจัดขจายเป็นหย่อมๆในบริเวณที่ราบลุ่ม มักพบอยู่ใกล้กับดินในกลุ่ม Grumusols, Rendzinas หรือ Red Brown Earths เป็นดินในที่ต่ำ มีการระบายน้ำชั่วโคตร ความก้าวหน้าของหน้าตัดไม่ดีนัก ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ Ag (Apg)-Cg หรือ A-Bg-Cg ลักษณะที่สำคัญเป็น ดินบนดก มีสารอินทรีย์สูง ดินล่างมักเป็นดินเหนียวสีเทาหรือสีเทาเข้ม มีลักษณะที่แสดงถึงสภาพที่มีการขังน้ำกระจ่างแจ้ง มีจุดประ ปฏิกิริยาดินเป็นด่างเล็กน้อยชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินแม่ขานตอบ
 -ชุดดินร้อยเอ็ด
Low Humic Gley soils
เป็นดินที่เกิดจากตะกอนน้ำพา พบในรอบๆที่ต่ำที่มีการระบายน้ำชั่วโคตร จำนวนมากอยู่ในบริเวณกระพักเขตที่ลุ่มต่ำที่สูงกว่าที่ราบลุ่มใหม่ใกล้น้ำ ระดับน้ำใต้ดินตื้นรวมทั้งแช่ขังเป็นครั้งคราว แต่มีความเจริญของหน้าตัดออกจะดี ลักษณะสำคัญของดินในกลุ่มนี้เป็น หน้าตัดดินมีลักษณะที่แสดงออกถึงการขังน้ำ มีจุดประแจ้งชัด หน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt, Ap-A2-Bt, A1-A2-Btg, A1g-A2g-Btg, หรือ Apg-Btg พวกที่แก่น้อยจะอุดมสมบูรณ์มากยิ่งกว่าพวกที่เกิดยาวนานกว่า บางบริเวณจะพบศิลาแลงอ่อน (plinthite) ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ส่วนใหญ่เป็นดินที่มีความอิ่มตัวเบสต่ำ pH ราวๆ 4.5-5.5 สำหรับพวกที่เกิดอยู่ในรอบๆตะพักแถบที่ลุ่มค่อนข้างใหม่ มักจะมีความอิ่มตัวเบสสูง ชุดดินที่สำคัญ คือ เพ็ญ จังหวัดสระบุรี มโนรมย์ เพชรบุรี เชียงราย หล่มเก่า ส่วนพวกที่เกิดบนตะพักเขตที่ลุ่มค่อนข้างเก่า ดังเช่นว่าชุดดิน ร้อยเอ็ด ลำปาง เป็นต้น
 
-ชุดดินท่าอุเทน
Ground Water Podzols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำเหลวแหลกถึงค่อนข้างจะเลวเจอเฉพาะในบริเวณที่มีฝนตกชุก ยกตัวอย่างเช่น ในภาคใต้ รอบๆชายฝั่งตะวันออก หรือบางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้นว่า จังหวัดนครพนม มีเหตุมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นทราย ในรอบๆที่เป็นทรายจัด ได้แก่ ริมทะเลเก่าหรือตะกอนทรายเก่า ในรอบๆที่ค่อนข้างต่ำ มีพัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-(A2)-Bh-Cg หรือ A1-A2-Bir-Cg ชั้นดินบนสีคล้ำ แล้วก็มีอินทรียวัตถุสูง ชั้น A2 (albic horizon) หรือชั้นชะล้างมีสีซีดจางเห็นได้ชัดเจน ชั้น Bh มีสีน้ำตาลเข้มและมีการอัดตัวค่อนข้างแน่น แข็ง เพราะว่ามีการสะสมอินทรียวัตถุที่ย่อยสลายแล้วกับอะลูมินัมออกไซด์และก็/หรือเหล็กออกไซด์ มีปฏิกิริยาเป็นกรด pH ต่ำ ราว 4.0-5.0 ตลอดทั้งหน้าตัดชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินบ้านทอน ท่าอุเทน
 -ชุดดินหนองมึง
Solodized-Solonetz
พบในบริเวณที่ค่อนข้างจะแล้ง รวมทั้งวัตถุแหล่งกำเนิดมีเกลือผสมอยู่ อย่างเช่นบริเวณชายฝั่งทะเลเก่า หรือรอบๆที่ได้รับผลกระทบจากเกลือที่มาจากใต้ดิน ได้แก่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของเมืองไทย ฯลฯ มีลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt ดินมีการระบายน้ำเหลวแหลก ชั้น Bt จะแข็งแน่นและก็มีโครงสร้างแบบแท่งหัวมน (columnar structure) หรือแบบแท่งหัวตัด (prismatic) ดินบนเป็นดินร่วนปนทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างราวๆ 5-5.5 ส่วนดินด้านล่างมี pH สูง 7.0-8.0 ยกตัวอย่างเช่นชุดดินจุฬาร้องไห้ ชุดดินหนองแก ฯลฯ
 -ชุดดินทิศเหนือ
Solonchak
เป็นดินที่มีการระบายน้ำเลวทรามถึงค่อนข้างจะต่ำทราม มีเกลือสะสมอยู่ในชั้นดินมาก หน้าตัดดินเป็นแบบ Apg-Cg หรือ Apg-Bg-Cg ในดินเหล่านี้จะมีชั้นดินที่เป็นดินเหนียวอยู่เป็นชั้นบางๆสลับกับชั้นทราย เกิดขึ้นให้เห็นชัดเจน ในช่วงฤดูแล้งจะมองเห็นรอยเปื้อนเกลือสีขาวๆที่ผิวหน้าดิน ความเป็นกรดเป็นด่างมากยิ่งกว่า 7.0 ตัวอย่างเช่น ชุดดินทิศเหนือ
 -Non Calcic Brown soils
เจอไม่มากนักในประเทศไทย พบในบริเวณกระพักลำน้ำออกจะใหม่ ความก้าวหน้าของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดดินแบบ A1(Ap)-A2-Bt ดินบนสีน้ำตาลเทา ดินข้างล่างมีสีน้ำตาล น้ำตาลปนเหลือง หรือน้ำตาลคละเคล้าแดง เป็นผลมาจากตะกอนน้ำค่อนข้างใหม่ มีเนื้อดินตั้งแต่ออกจะหยาบคายไปจนกระทั่งละเอียด และก็มีปฏิกิริยาเป็นกรดนิดหน่อย ในหน้าตัดดินจะพบแร่ไมกาอยู่ทั่วไป มีการระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ออกจะสูง เหมาะที่จะปลูกพืชไร่และก็ไม้ผล ชุดดินที่สำคัญอาทิเช่น ชุดดิน กำแพงแสน ธาตุพนม
 -ชุดดินโคราช
Gray Podzolic soils
เกิดในบริเวณกระพักลำน้ำเป็นดินที่มีอายุออกจะมากมาย มีพัฒนาการของหน้าตัดดี พบในบริเวณสายธารระดับต่ำ-ระดับกึ่งกลาง วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นขี้ตะกอนน้ำที่ทับถมมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นกรดรวมทั้งมีแร่ที่ย่อยสลายง่ายคงเหลืออยู่ในปริมาณน้อย ในภาวะพื้นที่แบบคลื่น ซึ่งทำให้การไหลผ่านหน้าดินเป็นไปอย่างช้าๆและก็สภาพอากาศที่มีระยะแฉะ-แห้งสลับกันเป็นต้นสายปลายเหตุที่สำคัญต่อการเกิดดินประเภทนี้ ลักษณะดินแสดงให้เห็นว่าดินมีการชะละลายสูง สีจะออกขาวหรือเทาจัดเมื่อแห้ง และก็มีลักษณะการเปลี่ยนที่บนผิวหน้าดินออกจะแจ้งชัด เนื้อดินละเอียดแล้วก็อินทรียวัตถุถูกชำระล้างไปเมื่อหน้าดินถูกฝน คงเหลืออยู่แต่ว่าจุดที่เกาะตัวกันแน่นอยู่เป็นจุดๆบางทีอาจเจอพลินไทต์ในชั้นดินข้างล่าง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ-ต่ำมากมาย ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt กลุ่มดินนี้เจอเป็นบริเวณกว้างขวางในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วก็บางแห่งในภาคเหนือ ชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ชุดดินวัวราช สันป่าตอง ห้วยโป่ง ฯลฯ
 -ชุดดินท่ายาง
Red Yellow Podzolic soils
เป็นดินเก่าที่มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดินดี เกิดในสภาพที่คล้ายกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic Soils ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt-C หรือ R พบทั่วไปในบริเวณภูเขาและก็ที่ลาดเชิงเขาหรือที่ราบขั้นบันไดเก่า วัตถุต้นกำเนิดดินมาจากหินหลายหมวด ส่วนใหญ่เป็นหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดถึงเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี ลักษณะเนื้อดินเปลี่ยนได้มากตั้งแต่ค่อนข้างจะหยาบคายจนกระทั่งค่อนข้างละเอียด สีจะออกแดง เหลืองผสมแดงแล้วก็เหลือง มีชั้น E ที่ออกจะแจ่มกระจ่าง มีสีจางหรือเทากว่าชั้นอื่น และก็อาจมีเศษหินที่สลายตัว หรือ พลินไทต์ปนเปอยู่ด้วยในดินข้างล่าง ตัวอย่างดังเช่น ชุดดินท่ายาง โพนวิสัย ชุมพร หาดใหญ่ ภูเก็ต เป็นต้น จัดว่าเป็นกรุ๊ปดินที่พบบ่อยกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย
 -ชุดดินอ่าวลึก
Reddish Brown Lateritic soils
เป็นดินเก่า มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้างของหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางรวมทั้งที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ดินชั้นบนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลแดง มีเนื้อดินตั้งแต่ดินร่วน (loam) ถึง ดินร่วนเหนียว (clay loam) ส่วนชั้นดินล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนซุยเหนียว ถึงดินเหนียว (clay) ที่มีสีแดง ลักษณะของดินแสดงการชะล้างสูง และอาจพบชั้นศิลาแลงในชั้นล่างของหน้าตัดดิน ลักษณะดินจะคล้ายกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Red Brown Earths ที่ไม่เหมือนกันคือจะมีเป็นกรดมากกว่า pH ประมาณ 5-6 ชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินหลบ บ้านจ้องมอง อ่าวลึก จังหวัดตราด ฯลฯ
-ชุดดินปากช่อง
Red Brown Earth
เป็นดินที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับหินปูน หรือหินที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง และจะมีความเกี่ยวเนื่องกับหินดินดานด้วย ดินมีสีแดง มีความเจริญของหน้าตัดดี เป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำดี กำเนิดในรอบๆที่ราบซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากกษัยการ หรืออาจจะมีการเกิดตามไหล่เขาได้ ดินเหล่านี้มีลักษณะสีดิน รวมทั้งการจัดตัวของชั้นดินใกล้เคียงกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic มากแตกต่างกันที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน โดยที่ Red Brown Earth มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่า (pH โดยประมาณ 6.5-8.0) ชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินปากช่อง เป็นกรุ๊ปดินที่มีการปลูกพืชไร่และก็ทำสวนผลไม้กันมากมาย
-ชุดดินยโสธร
Red Yellow Latosols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำดีจนกระทั่งดีเกินไป มีอายุมาก หน้าตัดดินลึก มีลักษณะที่แปลว่ามีการชะละลายสูง ความเจริญของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-B (Box) หรือ A1-A3-B (Box) พบเป็นหย่อมๆในบริเวณลานกระพักลำน้ำชั้นสูง มีสาเหตุจากขี้ตะกอนน้ำพาเก่ามากมาย มีทรัพย์สินทางกายภาพดี แต่ทรัพย์สินทางเคมีไม่ค่อยดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีสีแดงหรือเหลืองตลอดหน้าตัดดิน ดินบนเนื้อดินหยาบคาย ดินข้างล่างมีพวกเซสควิออกไซด์สูง บางพื้นที่พบศิลาแลงในตอนล่างของหน้าตัดดิน และไม่เจอการเคลือบผิวของดินเหนียวในชั้น B ชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ศรีราชา จังหวัดยโสธร
-Reddish Brown Latosols
กำเนิดในรอบๆที่เกี่ยวกับภูเขาไฟ วัตถุต้นกำเนิดเป็นขี้ตะกอนตกค้าง หรือขี้ตะกอนดาดเชิงเขา ของหินที่เป็นด่างตัวอย่างเช่น บะซอลท์ แอนดีไซต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี และก็วิวัฒนาการของหน้าตัดดี มีหน้าตัดดินแบบ A-Box (ox = ออกไซด์ของเหล็ก) เนื้อดินเป็นดินเหนียวสีแดง สีแดงปนน้ำตาล มีความร่วนซุยดี เป็นดินลึกมากมาย มักจะเหมาะกับการใช้ทำสวนผลไม้ อาทิเช่น ชุดดินท่าใหม่
-Organic soils
Organic soils หรือเรียกว่า Peat and Muck soils เป็นดินที่มีลักษณะแตกต่างไปจากกลุ่มดินอื่นๆด้วยเหตุว่าเป็นดินที่มีอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก หรือประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ล้วนๆพบในบริเวณแอ่งต่ำมีน้ำขังอยู่แทบทั้งปีแล้วก็มีการสะสมของอุปกรณ์ดินอินทรีย์สูง สำหรับในประเทศไทยพบมากทางภาคใต้ ในจังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่พรุ จุดเด่นคือสีจะคล้ำ มีอินทรีย์วัตถุสูง เป็นกรดจัด มีการพัฒนาหน้าตัดดินน้อย ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-C เมื่อระบายน้ำออก จะหดตัวได้มาก ตัวอย่างเช่น ชุดดินนราธิวาส พบบ่อยในภาคใต้ของประเทศไทย

 
กล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ ยี่ห้อ Leica Builder 100 - T100 9"
 
1.กล้องเล็งเป็นระบบเห็นภาพตั้งตรง
2. กำลังขยาย 30 เท่า
3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ปากกล้องไม่ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร
4. ขนาดความกว้างของภาพที่เห็นในระยะ 100 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.6 เมตร หรือ 1องศา 30 ลิปดา
5. ระยะมองเห็นภาพชัดใกล้สุดไม่เกิน 0.9เมตร
6. ค่าตัวคูณคงที่ 100
7. ค่าตัวบวกคงที่ 0
8. กำลังในการขยายภาพ 3 ฟิลิปดา
9. เป็นกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบวัดมุมแบบ Absolute Reading
10. หน่วยวัดเป็น องศา ลิปดา ฟิลิปดา
11. แสดงค่ามุมที่วัดได้ละเอียดโดยตรงไม่เกิน 5 ฟิลิปดา และ 10 ฟิลิปดา
12. ค่าความถูกต้องในการอ่านมุม ( Accuracy ) ไม่เกิน 9 ฟิลิปดา
13. หน้าจอแสดงผลเป็น LCD 1 หน้าจอ มีระบบให้แสงสว่างหน้าจอขณะทำงานและสามารถบอกระดับพลังงานได้
14. ความไวของระดับฟองกลม 10ลิปดา 2 มม.
15. ความไวของระดับฟองยาว 60ฟิลิปดา / 2 มม.
16. กล้องส่องหัวหมุด ( Optical Plummet ) กำลังขยาย 3 เท่า ปรับความคมชัดได้ตั้งแต่ระยะ 0.5 เมตร ขึ้นไป
17. สามารถแสดงผลทั้งเป็นมุมราบและมุมดิ่ง

 
การวัด (Measurement)
การวัด (Measurements) เป็นกรรมวิธีพื้นฐานของการได้มาซึ่งค่าสังเกต (Observations) ของข้อมูลตามที่ต้องการ เมื่อได้ก็ตามที่มีการวัด เมื่อนั้นย่อมมีความคลาดเคลื่อน (Errors) ขึ้นตามมาทุกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีการวัดครั้งใดที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนอยู่ด้วย นั่นคือ ในการวัดทุกครั้งจำเป็นจำต้องมีการประเมินค่าความถูกต้อง (Accuracy) และค่าความแม่นยำ (Precision) และนั่นหมายถึง ในศึกษาถึงความถูกต้องของการวัดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าใจถึงธรรมชาติ ชนิด และ ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่แต่ละกระบวนการวัดด้วย
การวัดและมาตรฐาน (Measurement and Standards)

  • การวัด เป็นกระบวนการหาขนาด ปริมาณ ของสิ่งที่ต้องการวัดด้วยการเทียบกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ใช้ในการหาขนาดและปริมาณต่างๆ เช่น
  • ความยาว น้ำหนัก ทิศทาง เวลา ตลอดจน ปริมาตร ตัวอย่างของการเทียบกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน เช่น ความยาวมาตรฐาน 1 เมตร คือ ระยะทางที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศเป็นเวลา 1/299,792,458 วินาที ซึ่งอาจจะทำการวัดเทียบกับสิ่งที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงนั้นโดยตรงหรือโดยอ้อม (Direct and Indirect Measurement)



องค์ประกอบของการวัด

  • มีการบอกขนาดของการวัด เช่น ระยะทาง 4.1
  • มีการบอกหน่วยที่ใช้ในการวัด เช่น ระยะทาง 4.1 กม .
  • มีการประมาณช่วงของความคลาดเคลื่อน เช่น ระยะทาง 4.1 (±0.2) กม .
  • มีการบอกระดับความเชื่อมั่นของช่วงความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นในการวัด เช่น ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% มีระยะทาง 4.1 (±0.2) กม .


สาเหตุการเกิดความคลาดเคลื่อน ( Sources of Errors in M

 

Sitemap 1 2 3