ผู้เขียน หัวข้อ: โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 240 ครั้ง)

ManUThai2017

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2183
    • ดูรายละเอียด

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) คืออะไร โรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (Myasthenia gravis) โรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้า (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกและก็ละติน แปลว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ชนิดหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ประเภทเรื้อรังประเภทหนึ่ง ที่ส่งผลให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่สำหรับการควบคุมของสมอง ซึ่งเป็น กล้ามเนื้อภายนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้เพื่อการเคลื่อนต่างๆเช่น กล้าม แขน ขา ดวงตา บริเวณใบหน้า ช่องปาก กล่องเสียง แล้วก็กล้ามซี่โครงที่ใช้เพื่อการหายใจ มีการอ่อนล้าจนไม่สามารถที่จะดำเนินงานหดตัวได้ตามปกติ หรืออีกความหมายหนึ่งคือโรคกล้ามอ่อนกำลัง (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายปฏิบัติงานไม่ปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามของตัวเองกระตุ้นให้เกิดอาการกล้ามอ่อนล้า เพราะไม่อาจจะรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามหดตัวได้ โดยคนป่วยจะมีอาการหนังตาตก ยิ้มได้ลดลง หายใจลำบาก มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยเกิดขึ้นได้ในคนไข้ทุกเพศทุกวัย เดี๋ยวนี้ ทั้งยังการดูแลรักษาทำได้เพียงเพื่อบรรเทาอาการเพียงแค่นั้น

    ดังนี้ โรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แต่เป็นโรคที่มีการบันทึกว่าเจอคนไข้ มาตั้งแต่ 300 ปีก่อน  รวมทั้งโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า MG เป็นโรคเจอได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 10 ราย ต่อพลเมือง 100,000 คน พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนกระทั่งผู้สูงอายุ โดยพบในผู้หญิงมากกว่าในเพศชายโดยประมาณ 3:2 เท่า ทั้งนี้เจอโรคนี้ในเด็กได้โดยประมาณ 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคชนิดนี้ทั้งหมด ในผู้ใหญ่สตรี พบบ่อยโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แม้กระนั้นในคนแก่ผู้ชาย พบได้บ่อยโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) สำหรับการเคลื่อนกล้ามเนื้อแต่ละผูก สมองจำเป็นต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท และก็จะมีการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทและก็กล้ามสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณบริเวณกล้ามแต่ละผูกเพื่อกล้ามเนื้อมีการหดตัว คนไข้โรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG) เมื่อปลายประสาทเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามเนื้อได้ เหตุเพราะร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมากีดขวางแล้วก็ทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามไป ซึ่งเมื่อการถูกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้ว่าเซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามเนื้อยังไงก็ตาม เซลล์กล้ามก็ไม่ทำงานเพราะว่าถูกทำลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง


ส่วนสิ่งที่ทำให้เกิดโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงนั้น มักเป็นผลมาจากปัญหาการแพ้ภูเขาไม่ตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีรายละเอียดต้นเหตุของอาการกล้ามเนื้อเมื่อยล้า ดังนี้  สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) แล้วก็การส่งสัญญาณประสาท ธรรมดาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งเจือปนที่เข้ามาในร่างกาย แต่ในผู้ป่วยกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือขัดขวางลักษณะการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิติลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละมัด ทำให้กล้ามไม่สามารถที่จะหดตัวได้  ดังนี้ อวัยวะที่หมอมั่นใจว่าเป็นตัวนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการผลิตสารภูมิคุ้มกันผิดปกติตัวนี้เป็นต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีบทบาทเกี่ยวเนื่องกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนข้างหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ไปกีดกั้นแนวทางการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิติเตียนลโคลีน (Acetylcholine) จึงนำมาซึ่งอาการกล้ามเหน็ดเหนื่อยดังที่กล่าวถึงแล้ว ซึ่งธรรมดาแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่รวมทั้งจะเบาๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าคนป่วยกล้ามเนื้ออ่อนเพลียจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ผิดปกติ หรือคนเจ็บบางรายมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่มีเหตุมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งเจอราวร้อยละ 10 ในคนเจ็บแก่

  • อาการโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามอ่อนกำลัง (MG) คือจะมีอาการอ่อนแรง เมื่อยล้า กล้ามเมื่อยล้า และก็จะอ่อนแรงมากเพิ่มขึ้นเมื่อออกแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อาการจะดีขึ้นเมื่อกล้ามพักผ่อนการออกแรง


ยิ่งกว่านั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นกับว่า โรคกำเนิดกับกล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ราว 85% ของคนไข้จะมีลักษณะกล้ามอ่อนแรงในทุกผูกของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG)เป็นอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่ช่วยยกกลีบตาและก็กล้ามเนื้อตา ทำให้เกิดหนังตาตกรวมทั้งเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นข้างใดข้างหนึ่งหรืออีกทั้ง 2 ข้างก็ได้ รวมทั้งพบบ่อยอาการผิดปกติอื่นๆของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆได้อีกดังเช่น
บริเวณใบหน้า ถ้าเกิดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการแสดงออกบนบริเวณใบหน้าได้รับผลพวง จะทำให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด ตัวอย่างเช่น ยิ้มได้น้อยลง หรือแปลงเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเนื่องด้วยไม่อาจจะควบคุมกล้ามบนใบหน้าได้
การหายใจ คนป่วยกล้ามเมื่อยล้าจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจลำบาก โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือหลังจากการบริหารร่างกาย
การพูด การบดรวมทั้งการกลืน เป็นผลมาจากกล้ามเนื้อรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นเมื่อยล้า นำมาซึ่งอาการแตกต่างจากปกติ เป็นต้นว่า พูดเสียงเบาแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก เคี้ยวมิได้ กลืนทุกข์ยากลำบาก ไอ สำลักของกิน บางครั้งอาจเป็นต้นเหตุไปสู่การตำหนิดเชื้อที่ปอด
ลำคอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนล้าของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ดังเช่น เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามบริเวณคอเมื่อยล้า ทำให้ตั้งศีรษะหรือชูคอทุกข์ยากลำบาก นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่างๆ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถที่จะชี้แจงสาเหตุของความแตกต่างจากปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามเนื้อได้อย่างเห็นได้ชัด แม้กระนั้น พบว่าโรคกล้ามเมื่อยล้า (MG) มักมีความเกี่ยวพันกับโรคของต่อมไทมัส โดย โดยประมาณ 85%เจอเกิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสรุ่งเรืองเกินธรรมดา (Thymus hyperplasia) แล้วก็โดยประมาณ 10-15% กำเนิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)


ยิ่งไปกว่านี้ มีกล่าวว่า พบโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดจำพวกเซลล์ตัวเล็ก แล้วก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน ทั้งยังผู้เจ็บป่วยอาจพบความแปลกและโรคที่เกิดขึ้นจากภูมิต้านทานตนเองจำพวกอื่นๆร่วมด้วยได้ ดังเช่น โรคตาจากไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามอ่อนแรง (MG)จะสามารถดียิ่งขึ้นได้เองแล้วบางทีอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตนเองจำพวกอื่นๆ

  • ขั้นตอนการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)

การวินิจฉัย MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญเป็น fatigue และก็fluctuation ของกล้ามเนื้อบริเวณตาแขนขาและการพูดแล้วก็กลืนของกิน คนไข้จะมีอาการมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง และก็อาการร้ายแรงในช่วงเวลาที่ต่างกันโดยมีลักษณะอาการมากช่วงบ่ายๆบางครั้งคนไข้มาเจอหมอช่วงที่ไม่มีอาการ แพทย์ก็ตรวจไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติ ก็เลยไม่อาจจะให้การวินิจฉัยโรคได้ รวมทั้งอาจวินิจฉัยบกพร่องว่าเป็น anxiety แต่ว่าการให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างง่ายๆในคนเจ็บส่วนมากเนื่องจากว่ามีลักษณะจำ เพาะทางสถานพยาบาลที่ได้กล่าวมาแล้ว การตรวจเพิ่มอีกเพื่อได้การวินิจฉัยที่แน่ๆรวมทั้งในรายที่อาการไม่กระจ่างดังเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท เช่นการให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องที่ทำ     ให้ผู้เจ็บป่วยมีลักษณะ


เหน็ดเหนื่อยได้ดังเช่นว่าการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนไข้มีภาวการณ์หนังตาตก เพิ่มขึ้นหรือเปล่า โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาอีกทั้ง 2 ข้างการให้คนป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนป่วยจะมีลักษณะเมื่อยล้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและก็อาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อพักชั่วประเดี๋ยวการให้ผู้เจ็บป่วยพูดหรืออ่านออกเสียงดังๆคนไข้จะมีลักษณะอาการเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้ว

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่วัสดุดังเช่น นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่เปลือกตาของผู้ป่วยนาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดีขึ้นไหมคนไข้ MG จะได้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มิลลิกรัม ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อ แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 และก็ 30 นาทีโดยประเมินอาการสภาวะหนังตาตกอาการเหน็ดเหนื่อยหรือเสียงแหบได้ผลบวกราวๆร้อยละ90 คือผู้เจ็บป่วยจะมีอาการอย่างชัดเจน คนไข้อาจเกิดลักษณะของการปวดท้องอย่างหนัก หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีปรับปรุงคือฉีดยา atropine 0.6 มก.ทางเส้นเลือดดำ ซึ่งหมอบางท่านชี้แนะ ให้ฉีดยาatropineก่อนที่จะทำทดลอง
  • การพิสูจน์เลือด แพทย์จะตรวจนับปริมาณของแอนติบอดี้ คนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อยนั้นจะมีจำนวนของแอนติบอดี้ที่ไปยั้งหลักการทำงานของกล้ามเนื้อมากมายผิดปกติ ส่วนมากจะตรวจเจอแอนติบอดี้ประเภท Anti-MuSK
  • การตรวจการชักชวนประสาท (Nerve Conduction Test) ทำเป็น 2 วิธี คือ Repetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทบ่อยๆเพื่อดูรูปแบบการทำงานของผูกกล้ามเนื้อ โดยการติดขั้วไฟฟ้าที่ผิวหนังรอบๆที่พบอาการอ่อนล้า และส่งกระแสไฟปริมาณเล็กน้อยเข้าไปเพื่อพิจารณาความรู้ความเข้าใจของเส้นประสาทสำหรับการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้าม แล้วก็การตรวจด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อมองการทำงานของเส้นใยกล้ามเพียงแต่เส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)


การดูแลรักษา วัตถุประสงค์สำหรับในการรักษาคนป่วย MG ของแพทย์เป็นการที่คนเจ็บหายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกสำหรับเพื่อการรักษา 2 ประการคือ เพิ่มวิธีการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลและรักษาจะแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการดูแลและรักษาแตกต่างกัน

  • ผู้เจ็บป่วยที่มีภาวการณ์กล้ามอ่อนเพลียที่รอบๆกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรจะเริ่มต้นด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors อย่างเช่น pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มิลลิกรัม ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหาร แล้วมองการตอบสนองว่าอาการหนังตาตกลืมตาลำบากมากน้อยเพียงใด ส่งผลสอดแทรกจากยาหรือไม่ หากอาการยังไม่ดีขึ้นควรเพิ่มยา prednisoloneขนาดโดยประมาณ 15-30มิลลิกรัมต่อวันและร่วมกับการปรับขนาดยา mestinon ตามอาการ ซึ่งส่วนใหญ่คนเจ็บจะใช้ยาขนาดไม่สูงราว 180-240มิลลิกรัมต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) โดยมากจะสนองตอบดีต่อยา mestinonและ prednisoloneเมื่ออาการดียิ่งขึ้นจนกระทั่งเป็นปกติระยะเวลาหนึ่งประมาณ 3-6 เดือนเบาๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆโดยประมาณ 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนถึงหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลเข้าแทรกของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในผู้ป่วย MG ได้ผลดีด้วยเหมือนกันแม้กระนั้นในวันที่คนไข้มิได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะของโรคMG ได้ถ้าเกิดเกิดกรณีดังที่กล่าวผ่านมาแล้วอาจจำต้องให้ยาprednisolone5มก. 1 เม็ดในวันดังที่กล่าวผ่านมาแล้วคนเจ็บบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็จะต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ต่อไป
  • คนป่วยที่มีภาวะกล้ามอ่อนกำลังรอบๆอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลรักษาประกอบด้วยยาmestinon,ยากดภูมิคุ้มกันและการผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการกระทำดังนี้


o  คนป่วยทุกคนจำเป็นต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหารแล้ววัดผลการตอบสนองว่าดีหรือเปล่า โดยการคาดการณ์ช่วงยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 และ 2 หลังรับประทานยาและก็ประเมินช่วงก่อนกินยาเม็ดถัดไปเพื่อที่จะได้รับรู้ว่าขนาดของยาและความถี่ของการรับประทานยาเหมาะสมหรือเปล่าตามลำดับสิ่งที่ประเมินเป็นอาการของคนป่วย เช่น อาการลืมตาลำบาก อาการอ่อนล้า บอกแล้วเสียงแหบควรจะปรับขนาดยาและความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ขนาดยาจำนวนมากประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ปริมาณยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy ผู้เจ็บป่วยgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรชี้แนะ ให้ผ่าตัด thymectomy จำนวนร้อยละ 90 ของคนไข้ได้ผลลัพธ์ที่ดีประมาณร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้ปริมาณร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแต่จำนวนร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ได้เรื่อง ตอนที่ผ่าตัดควรทำ ในทีแรกๆของการรักษา
o    การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้หลายครั้ง เช่น prednisolone รวมทั้ง azathioprine (immuran)การให้ยาดังกล่าวข้างต้นมีข้อชี้ชัดในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้เรื่อง ระยะเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่ได้ผลเป็นโดยประมาณ 1 ปี
  ผู้เจ็บป่วยที่ไม่ได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   คนป่วยทีมีภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่ร้ายแรง

  • การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง[/url] [/i](MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.


 

Sitemap 1 2 3