ผู้เขียน หัวข้อ: โรคบาดทะยัก- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 247 ครั้ง)

pramotepra222

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2596
    • ดูรายละเอียด

โรคบาดทะยัก (Tetanus)

  • โรคบาดทะยักคืออะไร โรคบาดทะยักเป็นโรคติดเชื้อโรคที่จัดอยู่ในกรุ๊ปของโรคทางประสาทแล้วก็กล้าม เป็นโรคติดเชื้อโรคแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรง สามารถพบได้ในคนทุกวัย โดยมากคนเจ็บจะมีประวัติมีบาดแผลตามร่างกาย ที่มีรอยแผลเปรอะเปื้อน หรือขาดการดูแลแผลอย่างถูกต้อง ซึ่งความสำคัญของโรคนี้คือ คนเจ็บจะมีโอกาสเสียชีวิต ส่วนผู้ที่เคยเป็นโรคนี้คราวหนึ่งแล้วก็ยังสามารถเป็นซ้ำได้อีก แม้กระนั้นเดี๋ยวนี้โรคนี้สามารถปกป้องได้ด้วยการฉีดยา

    โรคบาดทะยัก (Tetanus) คำว่า Tetanus มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Teinein ซึ่งหมายความว่า ‘ยืดออก’ ที่เรียกแบบนี้ เพราะว่าคนไข้ที่เป็นโรคนี้จะมีการหดตัวและก็แข็งเกร็งตัวของกล้ามเกิดขึ้นทั่วตัว โดยที่ทำให้แผ่นข้างหลังมีการยืดตัวออก ซึ่งเป็นท่าทางที่เป็นต้นแบบเฉพาะโรค   ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเด่นเป็นอาการกล้ามเกร็ง ส่วนมากการเกร็งจะเริ่มต้นที่กล้ามกราม รวมทั้งลุกลามไปยังกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆการเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที และก็เกิดขึ้นบ่อยๆเป็นเวลา 3-4 อาทิตย์ รวมทั้งอาจมีอาการอื่นที่บางทีอาจเจอร่วม ยกตัวอย่างเช่น ไข้ เหงื่อออก ปวดศีรษะ กลืนตรากตรำ ความดันเลือดสูง และหัวใจเต้นเร็ว  โรคบาดทะยักเป็นโรคที่พบได้ทั่วทั้งโลก แม้กระนั้นพบได้บ่อยหลายครั้งในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแบบร้อนเปียกชื้น ซึ่งมีดินแล้วก็สารอินทรีย์อยู่มากในปี พ.ศ. 2558 มีแถลงการณ์ว่ามีผู้เจ็บป่วยบาดทะยักโดยประมาณ 209,000 คนและก็เสียชีวิตประมาณ 59,000 คนทั่วโลก  การบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยแพทย์ภาษากรีกชื่อฮิปโปโปเตมัสกราเตสเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล ที่มาของโรคถูกศึกษาค้นพบเมื่อ พุทธศักราช 2427 โดย Antonio Carle และ Giorgio Rattone แห่งมหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกทำขึ้นทีแรกเมื่อ พุทธศักราช 2467

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก มีเหตุที่เกิดจากเชื้อ Clostridium tetani  ตัวเชื้อมีลักษณะเป็นรูปแท่งที่ปลายมีสปอร์ (Spore) ซึ่งเป็น anaerobic bacteria ย้อมติดสีเอ็งรมบวก มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในรูปแบบของสปอร์ (spore) ที่คงทนต่อความร้อนและยาฆ่าเชื้อหลายสิ่งหลายอย่างสามารถสามารถสร้าง exotoxin ที่ไปจับรวมทั้งมีพิษต่อระบบประสาท  ที่ควบคุมลักษณะการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา เริ่มต้นกล้ามเนื้อขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากมิได้โรคนี้จึงมีชื่อเรียกหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) คนเจ็บจะมีคอแข็ง หลังแข็ง ถัดไปจะมีลักษณะอาการเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วตัว แล้วก็มีลักษณะอาการชักได้  เชื้อนี้จะอยู่ตามดินทรายแล้วก็มูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่นานแรมปีรวมทั้งเจริญรุ่งเรืองได้ดิบได้ดีในที่ที่ไม่มีออกสิเจน โดยจะสร้างสปอร์ห่อหุ้มตัวเอง มีคงทนถาวรต่อน้ำเดือด 100 องศา ได้นานถึง 1 ชั่วโมง อยู่ในสภาพที่ไม่มีแสงได้นานถึง 10 ปี เมื่อคนเราเกิดบาดแผลที่ปนเปื้อนถูกเชื้อโรคนี้ ได้แก่ เลอะเทอะถูกดินปนทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะรอยแผลที่ปากแผลแคบแต่ลึก เป็นต้นว่า ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้แทงแทง ฯลฯ (ซึ่งมีออกสิเจนน้อย เหมาะสำหรับการเจริญของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจายเข้าสู่ร่างกายแล้วปล่อยพิษที่มีชื่อว่า เตตาโนสปาสมิน (Tetanospasmin) ออกมาทำลายระบบประสาท กระตุ้นให้เกิดอาการของโรคที่กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
  • อาการโรคโรคบาดทะยัก หลังจากได้รับเชื้อ Clostridium tetani สปอร์ที่เข้าไปตามรอยแผลจะแตกตัวออกเป็น vegetative form ซึ่งจะแบ่งตัวเพิ่มและก็ผลิต exotoxin ซึ่งจะกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้าม ก่อให้เกิดความแปลกสำหรับในการควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ระยะจากที่เชื้อไปสู่ร่างกายกระทั่งกำเนิดอาการเริ่มต้น คือ มีลักษณะขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรคประมาณ 3-28 วัน แม้กระนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ราว 8 วัน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มเป็น
  • โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิดอาการชอบเริ่มเมื่อเด็กทารกอายุราว 3-10 วัน อาการแรกที่จะดูได้เป็น เด็กดูดนมลำบาก ไหมค่อยดูดนม เนื่องจากมีขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ ต่อมาเด็กจะดูดไม่ได้เลย หน้ายิ้มแสยะ (Risus sardonicus หรือ Sardonic grin) เด็กอาจร้องครวญคร่ำต่อมาจะมีมือ แขน รวมทั้งขาเกร็ง ข้างหลังแข็งรวมทั้งแอ่น ถ้าหากเป็นมากจะมีอาการชักกระดุกและก็หน้าเขียวอาการเกร็งข้างหลังแข็งแล้วก็ข้างหลังแอ่นนี้จะเป็นมากขึ้น ถ้ามีเสียงดังหรือเมื่อสัมผัสตัวเด็ก อาการเกร็งชักกระดุกหากเป็นถี่ๆมากขึ้น จะทำให้เด็กหน้าเขียวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีอันตรายจนตายได้ไพเราะขาดออกสิเจน
  • โรคบาดทะยักในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ เมื่อเชื้อเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนจะมีอาการประมาณ 5-14 วัน บางรายอาจนานถึง 1 เดือน หรือเป็นเวลานานกว่านั้นได้ จนถึงบางครั้งรอยแผลที่เป็นทางเข้าของเชื้อโรคบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มต้นที่จะพิจารณาเจอคือ ขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ มีคอแข็ง หลังจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีลักษณะอาการเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆของร่างกายคือ หลัง แขน ขา เด็กจะยืนรวมทั้งเดินหลังแข็ง แขนเหยียดเกร็งให้ก้มหลังจะทำไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะและระยะถัดไปก็อาจจะมีอาการกระตุกเหมือนกับในทารกแรกคลอด ถ้าเกิดมีเสียงดังหรือสัมผัสตัวจะเกร็ง แล้วก็กระดุกมากยิ่งขึ้น มีข้างหลังแอ่น รวมทั้งหน้าเขียว บางครั้งบางคราวมีลักษณะรุนแรงมากมายอาจก่อให้มีการหายใจไม่สะดวกถึงตายได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคบาดทะยัก  อาการชักกระตุกของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงของโรคบาดทะยักที่เกิดขึ้นอาจจะก่อให้เกิดภาวะสอดแทรกรุนแรงตั้งแต่นี้ต่อไปตามมา

  • จังหวะการเต้นของหัวใจไม่ดีเหมือนปกติ
  • สมองเสียหายจากการขาดออกสิเจน
  • กระดูกสันหลังรวมทั้งกระดูกส่วนอื่นๆหักจากกล้ามที่เกร็งมากเปลี่ยนไปจากปกติ
  • เกิดการติดเชื้อโรคที่ปอดจนเกิดปอดบวม
  • ไม่อาจจะหายใจได้ เพราะเหตุว่าการชักเกร็งของเส้นเสียงแล้วก็กล้ามเนื้อที่ใช้หายใจ
  • การต่อว่าดเชื้ออื่นๆสอดแทรกที่บางทีอาจเกิดขึ้นระหว่างการพักฟื้นหรือรักษาตัวจากโรคบาดทะยักในโรงพยาบาลเป็นเวลายาวนานหลายสัปดาห์ถึงนับเป็นเวลาหลายเดือน


การต่อว่าดเชื้อโรคบาดทะยักบางทีอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคนี้จำนวนมากมีสาเหตุมาจากภาวการณ์หายใจล้มเหลว ส่วนมูลเหตุอื่นที่ก่อให้เกิดการตายได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น สภาวะปอดอักเสบ การขาดออกซิเจน และภาวการณ์หัวใจหยุดเต้น

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปสู่บาดแผล โดยเฉพาะรอยแผลที่ไม่สะอาดหรือบาดแผลที่ขาดการดูแลที่ถูก ซึ่งรอยแผลที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อโรคบาดทะยักได้ อาทิเช่น แผลถลอก รอยขูด หรือแผลจากการโดนบาด แผลจากการเช็ดกสัตว์กัด เช่น หมา ฯลฯ  แผลที่มีการฉีกขาดของผิวหนังเกิดขึ้น แผลไฟเผา แผลถูกทิ่มแทงจากตะปูหรือสิ่งของอื่นๆแผลจากการเจาะร่างกาย การสัก หรือการใช้เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรก แผลจากลูกกระสุนปืน กระดูกหักที่ทิ่มแทงผิวหนังออกมาข้างนอก  แผลติดโรคที่เท้าในคนเจ็บโรคเบาหวาน  แผลบาดเจ็บที่ดวงตา  แผลจากการผ่าตัดที่ปนเปื้อนเชื้อ  การตำหนิดเชื้อที่ฟัน  การตำหนิดเชื้อทางสายสะดือในเด็กแบเบาะ เพราะกระบวนการทำคลอดที่ใช้ของมีคมที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือ รวมทั้งยิ่งมีการเสี่ยงสูงเมื่อคุณแม่มิได้ฉีดวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคบาดทะยักอย่างครบถ้วน  แผลเรื้อรัง  ดังเช่น  แผลเบาหวาน  รวมทั้งรอยแผลฝี  แผลจาการเป็นโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ
  • แนวทางการรักษาโรคบาดทะยัก แพทย์จะวินิจฉัยโรคโรคบาดทะยักได้จากอาการเป็นหลัก แล้วก็เรื่องราวมีรอยแผลตามร่าง กาย การตรวจร่างกาย แล้วก็เรื่องราวได้รับวัคซีนบาดทะยัก ซึ่งในบุคคลที่เคยได้รับวัคซีนครบรวมทั้งได้รับวัคซีนกระตุ้นตามที่กำหนด ก็จะไม่มีจังหวะเป็นโรคบาดทะยักสำหรับการตรวจทางห้อง กระทำการ ไม่มีการตรวจที่เฉพาะเจาะจงกับโรคนี้ การตรวจจะเป็นเพียงเพื่อแยกโรคอื่นๆที่อาจมีอา การคล้ายกัน เพียงแค่นั้น ได้แก่ การตรวจหาสารพิษสตริกนีน (Strychnine) คนเจ็บที่ได้รับพิษ Strychnine ซึ่งอยู่ในสารกำจัดศัตรูพืช จะมีลักษณะอาการหดตัวและก็แข็งเกร็งของกล้ามคล้ายกับผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคบาดทะยัก ถ้าประวัติการได้รับพิษของผู้ป่วยไม่กระจ่าง ก็จะต้องเจาะตรวจหาพิษจำพวกนี้ด้วย การตรวจเม็ดเลือดขาวจากเลือด (การตรวจCBC) ส่วนใหญ่จะพบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่เสมือนโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆที่มักมีปริมาณเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบว่าปกติ ซึ่งต่างจากโรคติดเชื้ออื่นๆที่ทำให้มีไขสันหลังและสมองอักเสบ ที่ทำให้มีอาการชักเกร็งคล้ายคลึงกัน

    หลังการตรวจวิเคราะห์ ถ้าเกิดแพทย์พิเคราะห์ว่ามีความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดโรคโรคบาดทะยักแม้กระนั้นผู้ป่วยยังไม่มีอาการใดๆปรากฏให้เห็น กรณีนี้จะรักษาโดยการทำความสะอาดแผลรวมทั้งฉีด Tetanus Immunoglobulin ซึ่งเป็นยาที่มีแอนติบอดี้ ช่วยฆ่าแบคทีเรียจากโรคบาดทะยักและสามารถปกป้องโรคบาดทะยักได้ในตอนระยะสั้นๆถึงปานกลาง นอกจากนั้นอาจฉีดวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคบาดทะยักร่วมด้วยหากคนไข้ยังมิได้รับวัคซีนจำพวกนี้ครบกำหนด สำหรับคนไข้ที่เริ่มออกอาการของโรคบาดทะยักแล้ว  แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอโดยชอบรับไว้ภายในห้องบำบัดรักษาพิเศษหรือห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อให้หมอดูแลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งคนป่วยมักจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นแรมเดือน   ซึ่งหลักของการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยโรคบาดทะยักที่ปรากฏลักษณะของโรคแล้วเป็นเพื่อกำจัดเชื้อบาดทะยักที่ผลิตพิษ เพื่อทำลายพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว รวมทั้งการดูแลรักษาทะนุถนอมตามอาการ แล้วก็การให้วัคซีนเพื่อปกป้องการเกิดโรคอีกโดยมีเนื้อหาดังนี้

  • การกำจัดเชื้อบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ โดยการให้ยายาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรครวมทั้งสปอร์ของเชื้อที่กำลังแตกหน่อ เป็นต้นว่า เพนิซิลิน ยาต่อต้านพิษบาดทะยัก (human tetanus immune globulin ) ถ้าหากคนเจ็บมีรอยแผลที่ยังไม่หายดี ก็จะปริปากแผลให้กว้าง ล้างชำระล้างแผลให้สะอาด รวมทั้งตัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออก เพื่อเป็นการลดปริมาณเชื้อโรคที่อยู่ในรอยแผล
  • การทำลายพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายได้มาก โดยการให้สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี (Antibody) ไปทำลายสารพิษ ซึ่งสารภูมิต้านทาน บางทีอาจได้จากน้ำเหลืองของม้าหรือของคน (Equine tetanus antitoxin หรือ Human tetanus immunoglobulin) ซึ่งแอนติบอดีที่ไปทำลายสารพิษนี้จะทำลายเฉพาะสารพิษที่อยู่ในกระแสเลือดเพียงแค่นั้น ไม่สามารถทำลายพิษที่เข้าสู่เส้นประสาทไปแล้วได้
  • การรักษาจุนเจือตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น การให้ยาเพื่อลดการยุบตัวและก็แข็งเกร็งของกล้าม ซึ่งมียาอยู่หลายกลุ่ม ในเรื่องที่ใช้ยาไม่ได้เรื่อง คนไข้ยังมีลักษณะหดเกร็งมาก มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวการณ์หายใจล้มเหลว บางทีอาจจะพินิจให้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัว แล้วใส่เครื่องช่วยหายใจไว้หายใจแทน
  • ผู้ป่วยที่มีอาการเปลี่ยนไปจากปกติจากระบบประสาทอัตโนมัติ อาทิเช่น ความดันโลหิตขึ้นสูงมากมายก็ให้ยาควบคุมความดันเลือด ถ้ามีลักษณะอาการหัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้นก็อาจจำเป็นต้องใส่สิ่งเร้าหัวใจ
  • การให้วัคซีน คนป่วยทุกรายที่หายจากโรคแล้ว จำเป็นต้องให้วัคซีนตามที่ได้กำหนดทุกราย เหตุเพราะการติดเชื้อบาดทะยักไม่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้
  • การติดต่อของโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณบาดแผลต่างๆโดยเฉพาะบาดแผลที่แคบรวมทั้งลึกที่ไม่สามารถล้างทำความสะอาดบาดแผลได้หรือเป็นบาดแผลที่ไม่สะอาด ด้วยเหตุดังกล่าวโรคบาดทะยักนี้ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคบาดทะยัก ถ้าแพทย์วิเคราะห์แล้วว่ามีความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดเชื้อโรคบาดทะยักแม้กระนั้นยังไม่มีอาการปรากฏ แพทย์จะกระทำการรักษาและฉีดยาคุ้มครองป้องกันโรคบาดทะยักให้ แล้วให้กลับไปอยู่ที่บ้าน โดยเหตุนั้นข้อควรปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้านเป็น
  • รักษาความสะอาดของบาดแผล
  • รักษาสุขลักษณะของร่างกายตามสุขข้อบังคับ
  • กินอาหารที่มีประโยชน์และก็ครบทั้งยัง 5 หมู่
  • กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • มาตรวจจากที่หมอนัด

ส่วนในกรณีคนไข้ที่มีลักษณะอาการของโรคปรากฏแล้วนั้น หมอก็จะรับเข้ารักษาในโรงหมอห้องไอซียู เพื่อดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิดถัดไป

  • การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคบาดทะยัก บาดทะยักเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรง และก็บางทีอาจเสียชีวิตด้านในไม่กี่วันแต่สามารถป้องกันได้ ฉะนั้นการคุ้มครองป้องกันจึงเป็นหัวใจของการดูแลรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ โรคบาดทะยักมีวัคซีนป้องกัน วัคซีนคุ้มครองโรคบาดทะยักถูกสร้างและก็ใช้เป็นผลสำเร็จในทหารตั้งแต่การรบโรคครั้งที่ 2 ต่อมาวัคซีนชนิดนี้ได้ถูกปรับปรุงให้อยู่ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน โรคบาดทะยัก (DTP) และอาจเป็นแบบวัคซีนรวมอื่นๆการฉีดวัคซีน วัคซีนปกป้องโรคบาดทะยักมักนิยมให้ดังต่อไปนี้

    เข็มแรก อายุ 2 เดือน  เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน  เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน  เข็มที่ 4 อายุ 1 ปี 6 เดือนเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปีอีกครั้งหนึ่ง  ต่อไปควรจะมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี  ในเรื่องที่มีรอยแผลเกิดขึ้น หากว่าเคยฉีดยาครบ 3 ครั้ง มาภายใน 5 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้น แม้กระนั้นถ้าหากเกินกว่า 5 ปี จำเป็นต้องฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคบาดทะยักมาก่อน ควรจะฉีดยาคุ้มครองปกป้องโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์คราวแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกอย่างต่ำ 1 เดือน แล้วก็เข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างต่ำ 6 เดือน (ถ้าหากฉีดไม่ทันขณะตั้งท้อง ก็ฉีดหลังคลอด)  ถ้าหญิงท้องเคยได้รับวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันอย่างต่ำ 1 เดือน ในระหว่างมีท้อง  ถ้าหากหญิงท้องเคยได้รับวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียงแค่ 1 ครั้ง แม้กระนั้นถ้าหากเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น  สำหรับในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปและก็ในคนแก่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนในวัยเด็กไม่ครบ หรือได้รับมาเกิน 10 ปีแล้ว ให้ฉีดยาบาดทะยัก - คอตีบ 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรก 4 อาทิตย์ เข็มที่ 3 ให้ห่างจากเข็มที่ 2 ราว 6 -12 เดือน และฉีดกระตุ้นๆทุกๆ10 ปีตลอดกาล
    เมื่อมีบาดแผลจะต้องทำแผลให้สะอาดโดยทันที โดยการขัดด้วยสบู่ล้างด้วยน้ำที่สะอาดขัดถูด้วยยาฆ่าเชื้อ ตัวอย่างเช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด และให้ยารักษาการติดเชื้อหากแผลลึกจะต้องใส่ drain ด้วย
    ใช้ผ้าปิดบาดแผลเพื่อให้แผลสะอาดแล้วก็ปกป้องจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียของแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลพุพองที่กำลังแห้งจะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จำเป็นจะต้องปิดแผลไว้กระทั่งแผลเริ่มก่อตัวเป็นสะเก็ด นอกเหนือจากนั้นควรจะเปลี่ยนผ้าทำแผลแต่ละวัน ขั้นต่ำวันละ 1 ครั้งหรือเมื่อใดก็ตามที่ผ้าปิดแผลเปียกน้ำหรือเริ่มสกปรก เพื่อเลี่ยงจากการต่อว่าดเชื้อ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคโรคบาดทะยัก ด้วยเหตุว่าโรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงรวมทั้งมีระยะฟักตัวของโรคที่ค่อนข้างจะสั้น แต่มีลักษณะอาการแสดงของโรคที่รุนแรงแล้วก็มีความอันตรายถึงชีวิต ซึ่งหลักการใช้สมุนไพรนั้นได้กล่าวเอาไว้ดังต่อไปนี้
  • หากเป็นโรคที่ยังพิสูจน์มิได้แจ่มแจ้งว่ารักษาด้วยสมุนไพรได้ประสิทธิภาพที่ดี ก็ไม่ควรรักษาโดยใช้สมุนไพร ตัวอย่างเช่น งูพิษกัด หมาบ้ากัด โรคบาดทะยัก กระดูกหัก ฯลฯ
  • กรุ๊ปอาการบางอย่างที่ชี้ว่า บางทีก็อาจจะเป็นโรครุนแรงที่จำต้องรักษาอย่างเร่งรีบอาทิเช่น ไข้สูง ซึม  ไม่รู้สึกตัว ปวดอย่างหนัก  คลื่นไส้เป็นเลือด  แท้งลูกจากช่องคลอด  ท้องเสียอย่างรุนแรง  หรือคนป่วยเป็นเด็กและก็สตรีตั้งท้อง ควรจะรีบนำปรึกษาแพทย์  แทนที่จะรักษาโดยใช้สมุนไพร
  • การใช้ยาสมุนไพรนั้น ควรค้นคว้าจากตำราเรียน หรือขอคำแนะนำท่านผู้รอบรู้  โดยใช้ให้สมส่วน ใช้ให้ถูกวิธี  ใช้ให้ถูกโรค  ใช้ให้ถูกคน
  • ไม่ควรใช้สมุนไพรต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆเพราะว่าพิษบางครั้งก็อาจจะสะสมได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคบาดทะยัก (Tetanus). สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.บาดทะยัก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 294.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2547
  • บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคณะ. (2527). โรคบาดทะยัก.ใน บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคนอื่นๆ (บรรณาธิการ), โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (หน้า 80-82). บัณฑิตการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.บาดทะยัก (Tetanus).หาหมอ.com.( ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.”บาดทะยัก (Tetanus).(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า 590-593.
  • Elias Abrutyn, tetanus, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • "Tetanus Symptoms and Complications". cdc.gov. January 9, http://www.disthai.com/
  • สมจิต หนุเจริญกุล. (2535). การพยาบาลผู้ป่วยบาดทะยัก.ในการพยาบาลอายุรศาสตร์ เล่ม 1 (หน้า 57-59). วี.เจ.พริ้นติ้ง : กรุงเทพมหานคร.
  • Atkinson, William (May 2012). Tetanus Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ). Public Health Foundation. pp. 291–300. ISBN 9780983263135. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  • สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. บาดทะยัก หมอชาวบ้าน ปีที่ 17 ฉบับที่ 194 มิถุนายน 2538. หน้า 25-27
  • บาดทะยัก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.com(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • สมุนไพร.ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.มหาวิทยาลัยมหิดล.


 

Sitemap 1 2 3