ผู้เขียน หัวข้อ: อหิวาตกโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 222 ครั้ง)

Narongrit999

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2167
    • ดูรายละเอียด

อหิวาตกโรค (Cholera)

  • อหิวาตกโรค เป็นยังไง อหิวาต์มีชื่อเรียกหลายชื่อร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น โรคอหิวาต์, โรคอุจจาระตกอย่างแรง, โรคลงราก หรือโรคห่า (Cholera) เป็นโรคติดต่อที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อแบคทีเรีย เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานเข้าไป เชื้อจะไปอยู่รอบๆไส้ และจะสร้างพิษออกมา ทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก ก่อให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างยิ่ง

    เริ่มด้วยอาการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำอย่างยิ่งโดยไม่มีลักษณะของการปวดท้อง บางรายอุจจาระขาวขุ่นเสมือนน้ำซาวข้าว บางเวลามีอาเจียน อาเจียน สูญเสียน้ำอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเกิดภาวะเป็นกรดในเลือด และการไหลเวียนของเลือดล้มเหลว  คร่าวๆ 1 ใน 10 หรือคิดเป็นจำนวนร้อยละ 5-10 ของคนป่วยทั้งปวง จะมีอาการรุนแรง เป็นต้นว่า ถ่ายเหลวเป็นน้ำมากมาย คลื่นไส้ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและก็เกลือแร่อย่างรวดเร็วรวมทั้งทำให้เกิดสภาวะขาดน้ำแล้วก็ช็อคได้ ถ้าเกิดมิได้รับการดูแลรักษา คนป่วยสามารถเสียชีวิตข้างในไม่กี่ชั่วโมง
    อหิวาตกโรคพบเกิดได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งคนแก่ สตรีและเพศชายได้โอกาสกำเนิดโรคได้เท่ากัน เป็นโรคพบได้บ่อยในประเทศยังไม่ปรับปรุง ซึ่งเกิดขึ้นตลอดทั้งปีแล้วก็มีการระบาด เป็นบางโอกาสเสมอ ทั่วโลกเจอโรคนี้ได้โดยประมาณ 3 - 5 ล้านคนต่อปี และก็อัตราการตายจากโรคนี้ในปี 2553 ราว 58,000 - 130,000 คน   ส่วนในประเทศไทยรายงานจากสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์อหิวาตก โรคที่มีต้นเหตุมากจาก 1 มกราคม พุทธศักราช 2555 ถึง 18 เดือนกันยายน ปีเดียวกัน เจอโรคนี้ที่วิเคราะห์ได้แน่นอนคิดเป็น 0.05 รายต่อราษฎร 1 แสนคน  ในตอน 10 ปีที่ผ่านมาทางกระทรวงสาธารณสุขของไทยเรียกโรคนี้ว่า "โรคอุจจาระตกอย่างแรง" โดยอาศัยอาการและก็คุณสมบัติของเชื้อที่เป็นต้นเหตุการระบาดในประเทศไทยว่า มีต้นเหตุจากเชื้อ Vibrio cholerae O1 ไบโอไทป์ El Tor ซึ่งแทบไม่เจอปัจจัยที่เกิดขึ้นจาก V. cholerae ไบโอไทป์ classical.เลย

  • สิ่งที่ทำให้เกิดอหิวาตกโรค อหิวาต์มีสาเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย มึงรมลบที่มีชื่อว่า “วิบริโอคอเลอเร” (Vibrio cholerae) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่มหลายชนิดซึ่งแบคทีเรียจำพวกนี้ เป็นแบคทีเรียในเชื้อสาย Vibrionaceae มีรูปร่างเป็นแท่งงอคล้ายกล้วยหอม มี flagella ที่ปลาย 1 เส้น ติดสีกรัมลบ เคลื่อนได้รวดเร็ว ไม่สร้างสปอร์ ไม่ต้องการที่จะอยากออกซิเจน มีน้ำย่อย oxidase สามารถหมักน้ำตาลเดกซ์โทรส ซูโครส และก็มานิทอลได้ ได้ผลลบต่อไลซีนแล้วก็ การทดสอบออนิทีนคาร์บอกสิเลส. เชื้อ V. cholerae จะมีรูปร่างกลมขณะที่อยู่ภายในสิ่งแวดล้อมในระยะพัก เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมจะปรับนิสัยเป็น active form รูปร่างยาว. การแบ่งกรุ๊ปของเชื้ออาศัย O antigen สามารถแบ่งกลุ่มต่างๆได้มากกว่า 200 ซีโรกลุ่ม เชื้อ Vibrio cholerae serogroup O(โอ)1ที่เป็นสาเหตุของอหิวาตกจากโรค มี 2 biotypesหมายถึงclassical และก็ El Tor แต่ละ biotype แบ่งออกได้เป็น 3 serotypes คือ Inaba, Ogawa และ Hikojima เชื้อเหล่านี้จะสร้างสารพิษเรียกว่า Cholera toxin กระตุ้นให้เกิดลักษณะการป่วยคล้ายคลึงกัน ปัจจุบันพบว่าการระบาดส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากเชื้อ biotype El Tor เป็นหลักแทบจะไม่เจอ biotype classical เลย ในปี พุทธศักราช 2535-2536 เกิดการระบาดครั้งใหญ่ในประเทศอินเดียและก็บังคลาเทศมูลเหตุมีต้นเหตุมาจากเชื้อสายจำพวกใหม่เป็น Vibrio cholerae O139 ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบัน ซีโรกลุ่ม O1 และก็ O139 เป็นกรุ๊ปที่มีความหมายทำให้มีการเกิดการระบาดได้. ส่วนซีโรกลุ่มอื่น (non-O1, non-O139) อาจจะส่งผลให้เกิดอาการอุจจาระหล่นได้แต่ว่าไม่พบว่ากระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการระบาดของโรค.


แบคทีเรีย V.cholerae ถูกรายงานทีแรก ในปี ค.ศ.1854 ที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี โดย Pacini ได้ตรวจเจอแบคทีเรีย รูปร่างโค้งงอมากไม่น้อยเลยทีเดียวในไส้ผู้ป่วย แล้วให้ชื่อว่า Vibrio cholera แต่การศึกษาค้นพบคราวนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับกระทั่งกระทั่ว Robert Koch ได้เรียนรู้ผู้ป่วยชาวอียิปตำหนิ ในปี ค.ศ.1883 รวมทั้งตรวจพบเชื้อแบคทีเรียรูปร่างเหมือนตัวหนังสือ comma แล้วก็สามารถแยกเชื้อบริสุทธิ์ จึงตั้งชื่อว่า Kommabazillen แม้กระนั้นต่อมาเปลี่ยนเป็น Vibrio comma แล้วก็ใช้โด่งดังกล่าวมาหลายสิบปี กระทั่งกระทั่วคณะทำงานในกลุ่มของ Pacini ได้แปลงชื่ออีกครั้งเป็น Vibrio cholera จากประวัติเริ่มแรก พบว่าดรคนี้มีมาตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ.1800 หรือก่อนศตวรรษที่ 19 คาดคะเนว่าจุดเริ่มแรกมาจากแม่น้ำคงคา รวมทั้งแม่น้ำพรหมบุตร ในประเทศประเทศอินเดีย ส่วนความหมายของ cholera ได้รับอิทธิพลมาจากภาษากรีก คือ ‘bilious’ มีความหมายว่า เกี่ยวกับน้ำดี การระบาดใหญ่ทั้งโลกเจอหนแรกเมื่อ ค.ศ.1817 จนกระทั่ง คริสต์ศักราช1923 รวม 6 ครั้ง มีเหตุมาจาก Vibrio cholerae serogroup O1 biotype Classical สิ้นปี คริสต์ศักราช1992 เกิดโรคระบาดใหญ่เหมือนอหิวาต์อีกรอบในทางตอนใต้และทิศตะวันออกของอินเดีย รวมทั้งบังคลเทศ ลักษณะเชื้อคล้ายกับ V.cholerae serogroup O1 biotype El Tor แต่ว่าไม่ตกตะกอนกับ antiserum ทั้งยัง 138 serogroup ที่มีอยู่เดิม จึงจัดให้เป็น V.cholerae สายพันธุ์ใหม่ serogroup O139 หรือ V.cholerae  Bengal.
ลักษณะของอหิวาต์ ผู้ที่ติดเชื้อแต่ละคน อาจแสดงอาการแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับและก็ความต้านทางของแต่ละบุคคล ระยะฟักตัวของเชื้อราว 1-5 วัน อาการที่เห็นได้ชัด อาทิเช่น อุจจาระหล่น ลักษณะอุจจาระในช่วงแรกมักมีเศษอาหารผสมอยู่ ต่อมามีลักษณะถ่ายเป็นน้ำคล้ายน้ำแช่ข้าว มีเหม็นกลิ่นคาว ถ้าถ่ายนานๆอาจมีน้ำดีปนออกมาด้วย อุจจาระไม่มีมูกเลือด ผู้เจ็บป่วยอาจมีอ้วกร่วมด้วย ส่วนลักษณะของการปวดท้องแล้วก็เป็นไข้ไม่ค่อยพบ ในรายที่อาการไม่รุนแรงมักมีลักษณะอาการคล้ายกับของโรคติดเชื้อในลำไส้จากเชื้อต่างๆดังเช่น Salmonella, Shigella แล้วก็ Escherichia coli เป็นต้น  แม้เป็นอย่างไม่ร้ายแรง เหล่านี้มักหายข้างใน 24 ชั่วโมง หรืออย่างช้า 5 วัน มีอาการอุจจาระเหลวเป็นน้ำ วันละหลายคราว แม้กระนั้นจำนวนอุจจาระไม่เกินวันละ 1 ลิตร ในผู้ใหญ่อาจมีเจ็บท้องหรือ อ้วกอ้วกได้   ในรายที่อาการรุนแรง จะพบสถานการณ์ร่างกายขาดสารน้ำรวมทั้งแร่ธาตุ ทำให้อ่อนแรง หิวน้ำ เป็นตะคริว เสียงแหบ แก้มตอบ  เบ้าตาลึก ผิวหนังรวมทั้งเยื่อเมือกต่างๆแห้ง มือและนิ้วเหี่ยวย่น  ตัวเย็น ชีพจรค่อยจนถึงจับไม่ได้ เลือดข้น มีความเป็นกรดในเลือดสูง  ความดันเลือดต่ำ รูปแบบนี้ถ้าให้การรักษาผิดจำเป็นต้องและก็ทันเวลา คนเจ็บบางทีอาจช็อก ไตวายอย่างฉับพลัน  เป็นต้นเหตุให้เสียชีวิตได้รวดเร็ว  อาการอุจจาระหล่นและคลื่นไส้อาจจะเป็นผลให้คนป่วยสูญเสียน้ำไปๆมาๆกกว่า 1 ลิตรต่อชั่วโมง หรือ 10-15 ลิตรต่อวัน (ร่างกายของผู้คนมีน้ำโดยประมาณ 20-40 ลิตร) อุจจาระของคนป่วยจะมี epithelial cell, mucosa cell อีเลคโตรไลท์ แล้วก็เชื้อ V.cholerae โดยประมาณ 10-10 ต่อมิลลิลิตร รูปทรง ผู้ติดเชื้อโรค biotype Classical แล้วก็ biotype El Tor ที่แสดงอาการจำพวกรุนแรงต่อประเภทไม่ ร้ายแรงเท่ากับ 1:5-1:10 แล้วก็ 1:25-1:100 ตามลำดับ
       ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อเกิดอหิวาต์
แบคทีเรียวิบริโอ วัวเลอรี หรือเชื้ออหิวาตกโรค พบได้มากในของกินหรือน้ำที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกหรืออุจจาระของคนซึ่งมีเชื้อนี้อยู่ในนั้น ด้วยเหตุนี้เหตุที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อรวมทั้งแพร่ระบาดของโรคก็เลยมักมาจากน้ำ อาหารบางจำพวก รวมทั้งต้นเหตุอื่นๆดังรายละเอียดตั้งแต่นี้ต่อไป
                แหล่งน้ำ เชื้ออหิวาต์สามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้เป็นเวลานาน โดยแหล่งน้ำสาธารณะที่ได้รับการปนเปื้อนจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้นับว่าเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโรคชั้นเยี่ยม คนที่อาศัยอยู่ในสลัมแล้วก็ไม่มีการจัดการด้านเขตสุขาภิบาลที่ดีอย่างพอเพียงจึงเสี่ยงป่วยเป็นอหิวาต์ได้
                อาหารทะเล การรับประทานอาหารทะเลดิบไหมได้ปรุงสุก โดยยิ่งไปกว่านั้นอาหารทะเลจำพวกหอย ซึ่งเกิดในแหล่งน้ำที่น้ำแปดเปื้อนพิษนั้น จะก่อให้ร่างกายได้รับเชื้ออหิวาตกโรค
                ผักและก็ผลไม้สด พื้นที่ที่อหิวาต์ระบาดในเขตแดนนั้น ผักแล้วก็ผลไม้สดที่มิได้ปอกเปลือกมักเป็นแหล่งเพาะเชื้ออหิวาตกโรค สำหรับประเทศด้อยพัฒนาที่มีการใช้ปุ๋ยคอกที่มิได้หมักหรือแหล่งน้ำเน่า ผลผลิตที่ปลูกอาจแปดเปื้อนเชื้ออหิวาตกโรคได้
                ธัญพืชต่างๆสำหรับพื้นที่ที่อหิวาตกโรคระบาดนั้น การทำอาหารด้วยธัญพืชอย่างข้าวหรือข้าวฟ่างอาจได้รับเชื้ออหิวาตกโรคปนเปื้อนหลังจากปรุงเสร็จ รวมทั้งเชื้อจะอยู่ในของกินอีกหลายชั่วโมงที่อุณหภูมิระดับห้อง โดยเชื้อที่ยังคงอยู่จะกลายเป็นพาหะส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตของของเชื้ออหิวาตกโรค
                การจัดการสุขาภิบาลไม่ดี เพราะว่าอหิวาตกโรคจะเกิดการติดเชื้อโรคและแพร่ระบาดผ่านทางทะเล ถ้าหากพื้นที่ใดมีการจัดแจงระบบเขตสุขาภิบาลไม่ดี ก็จะก่อให้มีการแพร่ระบาดของโรคได้ง่าย ดังเช่น ในค่ายหนีภัย ประเทศหรือพื้นที่ที่ประสบภาวะยากแค้น ขาดอาหาร เกิดสงคราม หรือได้รับภัยทางธรรมชาติ อื่นๆอีกมากมาย
                ภาวะไม่มีกรดในกระเพาะอาหาร (Hypochlorhydria/Chlorhydria) เนื่องแต่เชื้ออหิวาตกโรคไม่สามารถที่จะอยู่ได้ในภาวะที่มีกรด เพราะฉะนั้น กรดในกระเพาะอาหารของคนเราถือเป็นด่านกำแพงชั้นแรกที่ช่วยปกป้องไม่ให้ร่างกายติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ แต่ว่าสำหรับคนที่มีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ อย่างเด็ก คนแก่ หรือผู้ที่ใช้ยาลดกรดหรือยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จะไม่มีกรดมาคุ้มครองเชื้ออหิวาตกโรค จึงเสี่ยงเป็นอหิวาต์ได้สูงยิ่งกว่าคนปกติทั่วไป
                การอยู่ร่วมกับคนที่ป่วยเป็นอหิวาตกโรค คนที่อาศัยอยู่ร่วมกับคนที่ป่วยเป็นอหิวาต์มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้
                กรรมวิธีรักษาอหิวาต์  แพทย์สามารถวิเคราะห์อหิวาตกโรคได้จากเรื่องราวอาการ ประวัติความเป็นมาสัมผัสโรค ลักษณะอุจจาระ (วิเคราะห์ทางคลินิก) การตรวจอุจจาระ และก็การเพาะเชื้อจากอุจจาระดังต่อไปนี้
การวินิจฉัยทางสถานพยาบาล อาศัยความเป็นมา อาการ รวมทั้งอาการแสดง และลักษณะอุจจาระ. ในถิ่นที่มีการระบาดเมื่อมีคนป่วยอุจจาระตกอย่างแรงร่วมกับอาการของภาวะขาดน้ำอย่างรวดเร็วร้ายแรง ให้สงสัยว่าผู้เจ็บป่วย เป็นอหิวาต์ไว้ก่อน.
การวิเคราะห์ทางห้องทดลอง ทำเป็นโดยตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะไม่พบเม็ดเลือดแดงรวมทั้งเม็ดเลือดขาว ถ้าเกิดใช้ dark-field microscope จะมองเห็นเชื้อ V. cholerae เคลื่อนอย่างเร็วไปทางเดียว กันแบบดาวตก (shooting star หรือ darting). ถ้าเกิดมี antisera ต่อ V. cholerae O1 หรือ O139 หยดลงในอุจจาระ เชื้อจะหยุดเคลื่อนไหวทันที น่าจะเป็น V. cholerae O1 หรือ O139 ซึ่งทำเป็นเร็วทันใจ แต่ว่าวิธีการแบบนี้ยังมีความไวรวมทั้งความจำเพาะไม่ดีนัก.
การตรวจยืนยันด้วยการเพาะเชื้อจากอุจจาระได้ผลแน่ๆที่สุด ควรที่จะเก็บแบบอย่างอุจจาระใน Cary-Blair transport medium ซึ่งเก็บได้นานถึง 7 วัน. การเพาะเชื้อจะใช้ใน thiosulphate citrate bile salt sucrose (TCBS) agar เชื้อขึ้นได้ดี. ห้องทดลองบางที่จะแยกเชื้อใน alkaline peptone water ด้วยเชื้อที่เพาะได้จะถูกทดสอบความไวของยาและทดสอบว่าเป็น V. cholerae O1 หรือ O139 การตรวจหาสายพันธุกรรม ด้วย poly chain reaction (PCR) หรือ DNA probe มีความไวสูง และก็บางทีอาจรับรองว่า เชื้อมียีนก่อโรคหรือไม่ด้วย

นอกเหนือจากนั้นในตอนนี้ยังมีวิธีการวิเคราะห์ใหม่ๆเช่น เคล็ดลับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอาร์ (Polymerase Chain Reaction: PCR) วิธีนี้เป็นการสังเคราะห์องค์ประกอบดีเอ็นเอในหลอดทดสอบ ซึ่งถูกคิดค้นรวมทั้งพัฒนาขึ้นเพื่อนำมาตรวจชื้ออหิวาต์ด้วย อย่างไรก็ดี เทคนิคพีซีอาร์ยังไม่ได้ประยุกต์ใช้ในฐานะการตรวจแอนติบอดี้ในเลือดอย่างมากมายในขณะนี้นัก  การตรวจด้วยแถบตรวจอหิวาต์ วิธีนี้เหมาะสมกับผู้ที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ทุรกันดาร ไม่สามารถที่จะเข้ารับการวิเคราะห์ด้วยวิธีตรวจตัวอย่างอุจจาระได้ โดยผู้ป่วยจะทราบผลของการวินิจฉัยได้ก่อนจากแถบตรวจดังกล่าว ทำให้สามารถลดอัตราการตายจากโรคในพื้นที่ที่เกิดการระบาดของอหิวาต์และก็ก่อให้เกิดการให้ความให้การช่วยเหลือจากกรุ๊ปสาธารณสุขเพื่อควบคุมการระบาดของโรคต่อไป อย่างไรก็ตาม การตรวจด้วยแถบวัดนี้บางทีอาจไม่แม่นเสียทีเดียว แนวทางวิเคราะห์ที่เที่ยงตรงที่สุดเป็นการตรวจตัวอย่างอุจจาระผู้เจ็บป่วย ซึ่งกระทำตรวจในห้องแลปด้วยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญแค่นั้น
การรักษาผู้เจ็บป่วยอหิวาต์ที่ถูกแล้วก็เห็นผลคือ  การทดแทนน้ำรวมทั้งเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับอุจจาระ  รวมทั้งอ้วก ด้วยจำนวนที่เหมาะสมและก็ทันการในเรื่องที่คนป่วยยังกินได้ควรจะให้ดื่มทางปาก แต่ว่าหากมิได้ควรให้ทางเส้นเลือด  ในจำนวนที่เสมอกันกับจำนวนน้ำที่สูญเสียไปโดยประมาณเป็น จำนวนร้อยละ 5 ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมในรายที่เป็นน้อยร้อยละ 7 ต่อน้ำหนักตัว 1 โลในรายที่มีอาการปานกลาง และก็ร้อยละ 10 ในคนเจ็บมีลักษณะช็อค ควรให้น้ำเกลือ isotonic ทางเส้นเลือดโดยทันที น้ำเกลือควรประกอบด้วยไบคาร์บอเนต (อะสิเตรต หรือแล็กเตตไอออน) 24-48 มิลลิอิควิวาเลนต์ต่อลิตร แล้วก็ 10-15 ไม่ลลิอิควิวาเลนต์ต่อลิตรของโปแตสเซียม  ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกเสนอแนะให้ใช้ Ringer’s lactate solution ในเด็กให้เป็นสารละลาย 2 จำพวกผสมกันในอัตราส่วน 2:1หมายถึงisotonic salution : isotonic sodium lactate (1/6 โมลาร์) หรือ isotonic sodium bicarbonate ส่วนน้ำตาลเกลือแร่ที่ดื่มนั้น ตอนนี้ทางองค์การอนามัยโลกให้ใช้สารละลายที่เรียกกว่า oral rehydration solution (ORS) ซึ่งในส่วนประกอบของ ORS จะให้จำนวนของอีเลคโตรไลท์ครบตามที่ร่างกายต้องการเป็นNa 90, K 20, CI 80 แล้วก็ HCO3     30 mEq/L  อย่างไรก็ตามการกำจัดเชื้อให้หมดจากอุจจาระนั้น ควรให้ยายาปฏิชีวนะในการรักษาร่วมเพื่อลดช่วงเวลาการป่วยให้สั้นลงแล้วก็เป็นการลดแหล่งแพร่เชื้อด้วย
ควรใช้ข้อมูลการเฝ้าระวังการดื้อยาของเชื้อทางห้องทดลองเพื่อทราบแนวโน้มการดื้อยาประกอบการไตร่ตรอง เพื่อคุ้มครองป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อดื้อยา ในขณะนี้สามารถเลือกใช้ยาที่สมควร (First drug of choice) ในรายที่อาการรุนแรงให้ไตร่ตรองสำหรับในการรักษาโดยให้ยายาปฏิชีวนะ tetracycline หรือยาปฏิชีวนะตัวอื่นๆจะช่วยลดระยะของโรคให้สั้นลง ลดการสูญเสียน้ำ ตลอดจนลดระยะของการกระจายเชื้อลง
                ยาปฏิชีวนะองค์การอนามัยโลกให้คำปรึกษาการรักษาคือ
                เด็กอายุต่ำยิ่งกว่า 8 ปี ให้ Norfloxacin 20 มก/กก/วัน นาน 3 วัน
                เด็กอายุมากกว่า 8 ปี ให้ Tetracycline 30 มก/กก/วัน นาน 3 วัน ในผู้ใหญ่ให้
Tetracycline ทีละ 500 มก.วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วันหรือ
Doxycycline ทีละ 100 มก.วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วันหรือ
Norfloxacin ครั้งละ 400 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วัน (กรณีเชื้อดื้อต่อ Tetracycline)

  • การติดต่อของอหิวาตกโรค การติดต่อ อหิวาต์เป็นโรคติดต่อเร็วทันใจ รุนแรง และก่อการระบาดได้อย่างรวดเร็ว เชื้ออหิวาตกโรคสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในน้ำเค็มแล้วก็น้ำจืด คนเป็นแหล่งเก็บกักที่สำคัญของเชื้อชนิดนี้ โดยเชื้อโรคจะอยู่ในอุจจาระของผู้ติดเชื้อโรค (อีกทั้งผู้เจ็บป่วยและก็พาหะ) เมื่อถูกขับถ่ายออกมาก็จะสามารถแพร่ไปไปสู่คนอื่นได้จากการปนเปื้อนในแหล่งน้ำต่างๆ(ตัวอย่างเช่น แม่น้ำ คลอง ห้วย หนอง สระ) ของกิน น้ำดื่ม ภาชนะใส่อาหาร มือของผู้ติดเชื้อที่มิได้ล้างน้ำหลังจากที่ถ่ายอุจจาระ สิ่งของแล้วก็สิ่งแวดล้อมที่ถูกมือของผู้ติดโรคสัมผัส ดังนี้จะมีแมลงวันเป็นพาหะนำเชื้อ คนเราสามารถติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยทางใดทางหนึ่งดังต่อไปนี้
  • การดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติแบบดิบๆ
  • การรับประทานอาหารหรือกินน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งการแปดเปื้อนเชื้ออาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้แมลงวัน ที่ไต่ตอมอุจจาระของผู้ติดเชื้อโรค เป็นพาหะนำเชื้อมือของผู้ติดโรค หรือมือของคนสนิทกับผู้ติดเชื้อ (จากการสัมผัสมือของผู้ติดเชื้อโรค หรือสิ่งของ)ปนเปื้อนในดินหรือน้ำที่มีเชื้อ ได้แก่ ผักผลไม้ที่ปลูกโดยการใส่ปุ๋ยที่ทำจากอุจจาระคน และผักผลไม้ที่ล้างด้วยน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน
  • การติดต่อจากคนสู่คน (เจอได้น้อยมาก) จากการสัมผัสสนิทสนม โดยการใช้มือสัมผัสถูกมือของผู้ติดโรคโดยตรง หรือจากการสัมผัสถูกสิ่งของ แล้วนำมือที่เลอะเทอะเชื้อนั้นไปสัมผัสกับปากของตนเองโดยตรงหรือไปเปื้อนถูกอาหารหรือน้ำดื่มอีกต่อหนึ่ง หรือจากการสัมผัสอุจจาระของคนป่วยหรือการเช็ดกคนเจ็บคลื่นไส้ใส่
  • การติดต่อที่พบมาก การแพร่ระบาดของอหิวาต์มักเป็นผลมาจากการรับประทานอาหารหรือกินน้ำที่แปดเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะอาหารทะเลที่นิยมกินกันแบบดิบๆ(ดังเช่นว่า หอยแครง หอยแมลงภู่ ปูแสมเค็ม) อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารกระป๋องที่เสียแล้ว และน้ำแข็ง ไอศกรีมที่แปดเปื้อนเชื้อ โดยมีแมลงวันหรือมือเป็นตัวกลางสำหรับการนำพาเชื้อ
  • การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคอหิวาต์
  • รักษาสุขอนามัย อย่างเคร่งครัด
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เสมอๆทุกครั้งก่อนอาหาร ข้างหลังเข้าห้องน้ำ และหลังการดูแลผู้เจ็บป่วย
  • ทำลายอุจจาระด้วยการใส่น้ำยาฆ่าเชื้อคลอรีนหรือตามคำแนะนำของหมอ/พยาบาล
  • เสื้อผ้า ของใช้ จำต้องชะล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคคลอรีนหรือน้ำสุกเดือดเช่นกัน
  • ดื่มแต่น้ำสะอาดหรือต้มสุก ของกินทุกประเภทต้องปรุงสุก และก็บริโภคทันทีหลังปรุง ไม่ทิ้งค้าง
  • กินน้ำชาแก่แทนน้ำ หรือบางทีอาจจะต้องงดเว้นของกินชั่วครั้งคราว เพื่อลดการระคายเคืองในลำไส้
  • กินน้ำเกลือแร่ ORS เพื่อลดการสูญเสียน้ำภายในร่างกาย สลับกับน้ำสุกสุก ถ้าเกิดเป็นเด็กตัวเล็กๆควรขอคำแนะนำหมอ
  • หากท้องเสียอย่างรุนแรง จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
  • ไปพบแพทย์ตามที่แพทย์นัดหมายอย่างเคร่งครัด
  • การป้องกันตัวเองจากอหิวาต์ อหิวาต์นั้นเกิดจากคนป่วย กินอาหารและน้ำที่มีเชื้อแปดเปื้อน ด้วยเหตุนี้ควรระมัดระวังเรื่องของกินรวมทั้งน้ำกิน  ตลอดจนรักษาความสะอาดตามหลักสุขลักษณะ ดังนี้
  • ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆรวมทั้งกินน้ำสะอาด เป็นต้นว่า น้ำสุกสุก ภาชนะที่ใส่ของกินควรล้างสะอาด ทุกหนก่อนใช้ หลบหลีกอาหารหมักดอง ครึ่งดิบครึ่งสุกของกินที่ปรุงทิ้งเอาไว้นานๆของกินที่มีแมลงวันตอม
  • ระแวดระวังการกินน้ำแข็ง
  • กินแม้กระนั้นของกินปรุงสุกโดยเฉพาะอาหารทะเล
  • ผักผลไม้จำต้องล้างให้สะอาด
  • ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนอาหาร หรือก่อนทำกับข้าว และก็ข้างหลังการขับถ่าย
  • ไม่เทอุจจาระ เยี่ยวแล้วก็สิ่งสกปรกลงในแม่น้ำลำคลอง หรือทิ้งเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย จะต้องถ่ายลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งกำจัดสิ่งปฏิกูลโดยการเผาหรือฝังดิน เพื่อคุ้มครองปกป้องการแพร่ของเชื้อโรค
  • ระวังอย่าให้น้ำเข้าปาก เมื่อลงเล่นหรืออาบน้ำในคลอง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสคนไข้ที่เป็นอหิวาต์
  • ควบคุมแมลงวันโดยใช้มุ้งลวด พ่นสารกำจัดแมลง หรือใช้กับดัก ควบคุมการขยายพันธุ์ด้วยการเก็บรวมทั้งทำลายขยะโดยวิธีที่เหมาะสม
  • คนที่จำต้องเดินทางไปยังท้องที่ซึ่งมีความเสี่ยงสำหรับในการติดเชื้อโรคสูงอาจรับประทานยาปฏิชีวนะ จะช่วยป้อง กันโรคได้ สำหรับช่วงเวลาสั้นๆยกตัวอย่างเช่น ภายใน 2 อาทิตย์แต่เชื้อบางทีอาจดื้อยาได้
  • การให้วัคซีนคุ้มครองโรคอหิวาตกโรคในตอนที่มีการระบาดปัจจุบันไม่ชี้แนะให้ใช้แล้วเพราะเหตุว่าสามารถปกป้องได้เพียงแค่จำนวนร้อยละ 50 และแก่สั้นเพียง 3-6 เดือน สำหรับวัคซีนชนิดเปลืองที่ให้ภูมิต้านทานสูงต่อเชื้ออหิวาต์สายพันธุ์ o1 ได้ยาวนานหลายเดือนมีใช้แล้วหลายประเทศ มีสองจำพวก ประเภทแรกวัคซีนเชื้อยังมีชีวิตกินครั้งเดียว (สายพันธุ์ CVD 103-HgR) ส่วนชนิดที่สองเป็นเชื้อตายแล้วมีเชื้ออหิวาห์ตายแล้วกับ cholera toxin ประเภท B-subunit กิน 2 ครั้ง
  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/รักษาอหิวาต์


เนื่องด้วยอหิวาต์เป็นโรคติดต่อรวดเร็วทันใจร้ายแรง และก็ก่อการระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเป็นผลมาจากการได้รับเชื้ออหิวาตกโรคซึ่งอยู่ในอุจจาระของคนเจ็บ (ซึ่งแบคทีเรียสามารถอยู่ได้นานถึง 7 - 14 วัน) แล้วแปดเปื้อนในของกิน น้ำดื่ม จากผิวน้ำในแหล่งน้ำดื่ม น้ำใช้ และก็เมื่อกินหรือดื่มของกิน/น้ำแปดเปื้อนเหล่านี้ก็เลยก่อการติดโรค
ซึ่งคนที่ได้รับเชื้อ จะกำเนิดอาการได้ตั้งแต่ 1 วัน ถึง 5 วัน แม้กระนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะกำเนิดอาการภายใน 1-2 วัน ด้วยเหตุนี้อหิวาตกโรคจึงไม่เหมาะสมในการใช้สมุนไพรมากระทำบรรเทา เพราะเหตุว่าเป็นโรคที่มีการติดต่อ การระบาดที่รวดเร็วทันใจและมีความร้ายแรง จนกระทั่งชีวิตได้หากมิได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที
เอกสารอ้างอิง

  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “อหิวาต์ (Cholera)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 492-496.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • อหิวาตกโรค – อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบหมอ http://www.disthai.com/
  • ศาสตรจารย์ พญ.วันดี วราวิทย์.อหิวาตกโรค.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่284.คอลัมน์เวชปฏิบัติปริทัศน์.สิงหาคม.2551
  • ศาสตรจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.อหิวาตกโรค (Cholera).หาหมอ.
  • อหิวาตกโรค.แผนกพยาบาลอายุรศาสตร์และจิตเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Ryan, E, and Ferraro, M. Z2011). Case 20-2011. N Engl J Med. 364, 2536-2541.
  • Swerdlow,D.L. and Ries,A.A. 1993 Vibrio cholera non-O1-the eighth pandemic? Lancet. 342:382-383.
  • Hall, R.H., Khambaty, F.M., Kothary, M. and Keasler, S.P. 1993. Non-Ol Vibrio cholera. Lancet. 342:430.
  • Cholera .กลุ่มระบาดวิทยาโรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.
  • อรษา สุตเธียรกุล.2541. โรคติดเชื้อ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง จำกัด
  • Kaper, J.B., Morris, J.G., Jr. and Levine, M.M. 1995. Cholera. Clin. Microbiol. Rev.8 8:48-86.
  • Benenson, A.S. 1991. Cholera. In: Evans, A.S. and Brachman, P.S. (eds.). Bacterial Infections of Humans, Epidemiology and Control.,2 nd. P.207-225.New York: Plenum.
  • Farmer,J.J.1991. The family Vibrionaceae. In Balows,A., Truper, H.G., Dworkin, M., Harder, W. and Schleifer, K.H. (eds.) The Prokaryotes, (2nd) A Handbook on the Biology of Bacteria: Ecophysiology, Isolation, Identification, Applications.p. 2938-2951.New York: Springer-Verlag.
  • Lee,JV.1990. Vibrio Aeromonas and Plesiomonas In: Parker, M.T. and Collier, L.H. (eds.). Principles of Bacteriology, Virology and Lmmunity, 8 th Vol III. P.514-524. Philadelphia: B.C. Deeker.
  • Attridge, S.R. and Row

 

Sitemap 1 2 3