ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเอดส์ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 216 ครั้ง)

Keekayr1200gs

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2703
    • ดูรายละเอียด

โรคเอดส์ (Acquired immunodeficiency syndrome. AIDS)

  • โรคภูมิคุมกันบกพร่องคืออะไร โรคภูมิต้านทานผิดพลาด หรือโรคเอดส์ พึ่งจะมีการศึกษาค้นพบมา 30 กว่าปี รวมทั้งทั่วโลกต่างหวาดกลัว เพราะว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่มีแนวทางรักษาให้หายสนิทได้

    เรื่องราวของโรค ภูมิคุ้มกันบกพร่อง/AIDS ข้อแรกคงจะต้องเอ่ยถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๒ Carlos Ribeiro Justiniano Chagas หมอชาวบราซิล ศึกษาและทำการค้นพบเชื้อที่ตอนนั้นมีความคิดว่าเป็นโปรโตซัวชื่อ Pneumocystis carinii ซึ่งก่อโรคปอดอักเสบ(Pneumonia) ในหนูและก็คนที่มีภูมิต้านทานขาดตกบกพร่อง (Immunodeficiency) โรคปอดอักเสบนี้เรียกว่า Pneumocystis carinii Pneumonia (PCP) ต่อมา Otto Jirovec นักพยาธิวิทยาชาวเช็ก เสนอว่าเชื้อนี้ที่ก่อโรคในคนกับสัตว์เป็นคนละประเภทกัน แต่ไม่มีสิ่งที่ใช้พิสูจน์ที่แน่นอน
    พ.ศ. ๒๕๒๔ Michael Gottlieb หมอคนอเมริกันกล่าวว่าพบผู้ป่วยที่เป็นชายรักร่วมเพศ ๕ คนเจ็บเป็นโรค PCP และอีก ๕ เดือนถัดมาทั้งหมดก็ติดโรคไวรัส CMV ซึ่งมักจะเป็นในคนที่มีภูมิคุ้มกันขาดตกบกพร่อง แต่หาต้นสายปลายเหตุไม่พบว่าภูมิต้านทานของคนกลุ่มนี้ขาดตกบกพร่องจากอะไร ก็เลยเชื่อว่าเป็นโรคใหม่ เนื่องจากว่า ๔ ใน ๕ คนนี้ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีร่วมด้วยซึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก็เลยคาดว่าโรคที่พบใหม่นี้น่าจะติดโรคทางเพศสโมสรด้วยเหมือนกัน
    พ.ศ. ๒๕๒๕ ศูนย์ควบคุมและก็ป้องกันโรคของอเมริกา (CDC) ตั้งชื่อโรคนี้ว่า Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือโรคเอดส์ (AIDS) นั่นเอง
    พุทธศักราช ๒๕๒๖ Luc Montagnier แล้วก็ทีมงานวิจัยจากสถาบัน Pasteur ใน Paris ศึกษาและทำการค้นพบเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคนี้โดยใช้ชื่อว่า Lymphadenopathy Associated Virus (LAV)
    อีกหนึ่งปีถัดมา Robert Gallo และก็ทีมงานวิจัยจากสถาบันเชื้อไวรัสวิทยาใน Baltimore ก็ค้นพบเชื้อไวรัสนี้เช่นกันโดยเรียกว่า Human T-cell Lymphotrophic Virus-III (HTLV-III) แต่ว่า Gallo กล่าวถึงว่าตนเป็นผู้ค้นพบเชื้อนี้เป็นคนแรกนำไปสู่การโต้เถียงกัน สุดท้ายพิสูจน์ได้ว่าทั้งคู่เป็นเชื้อเดียวกันจึงให้ใช้ชื่อเดียวกันว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) แล้วก็ถือว่าทั้งคู่เป็นผู้ค้นพบร่วมกัน     โรคเอดส์ หรือโรคภูมิต้านทานขาดตกบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) มีความหมายกว้างๆว่า โรคภูมิคุ้มกันผิดพลาดซึ่งไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิดแต่โรคเอดส์ (AIDS) คือโรคที่มีสาเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง (HIV) ซึ่งย่อมาจากคำว่า Human immunodeficiency virus จัดเป็นไวรัสในกรุ๊ปรีโทรไวรัส (Retro virus)โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้คนป่วยที่ติดเชื้อโรคมีภูมิคุ้มกันลดน้อยลง กระทั่งร่างกายไม่สามารถที่จะต้านเชื้อโรคได้อีก โรคต่างๆจึงเกิดลักษณะของการเจ็บเจ็บป่วยต่างๆซึ่งนำไปสู่การตายได้ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีกรรมวิธีใดรักษาเอดส์ให้หายสนิท มีเพียงแค่ยาที่ช่วยชะลอการพัฒนาของโรคแล้วก็ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคภูมิคุมกันบกพร่อง หากผู้ติดโรครู้สึกตัวแล้วก็ได้รับการรักษาแต่แรกเริ่ม ก็บางทีอาจช่วยไม่ให้การติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องขยายไปสู่ระยะที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มกำลังได้ โดยจะจัดว่าเมื่อโรคไปสู่ระยะลำดับที่สามของการต่อว่าดเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์โดยบริบูรณ์แล้ว

  • ที่มาของโรคภูมิคุมกันบกพร่อง โรคภูมิคุมกันบกพร่องเกิดจากการต่อว่าดเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficieney Virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิต้านทานที่อยู่ในเม็ดเลือดขาวปฏิบัติงานขาดตกบกพร่อง โดยเชื้อเอชไอวีเป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม Lentivirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกรุ๊ปเชื้อไวรัส Retrovirus ไวรัสกลุ่มนี้ขึ้นชื่อลือชาในด้านการมีระยะซ่อนเร้นนาน แนวทางการทำให้มีเชื้อไวรัสในกระแสโลหิตนาน การตำหนิดเชื้อในระบบประสาท รวมทั้งการทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ติดโรคอ่อนแอลง เชื้อเอชไอวีมีความจำเพาะต่อเม็ดเลือดขาวประเภท CD4 T lymphocyte แล้วก็ Monocyte สูงมาก โดยจะจับกับเซลล์ CD4 แล้วก็ฝังตัวเข้าไปข้างใน  นอกนั้นเชื้อไวรัสตัวนี้ยังสามารถเข้าไปอยู่ในเซลล์ประเภทอื่นๆของร่างกายได้อีก ดังเช่น เซลล์ มาวัวรฟาจ (Macro phage) เดนไดความกำหนัดคเซลล์ (Dendritic cell) ไมโครเกลียของสมอง (Microglia)เป็นต้น    เชื้อเอชไอวีจะเพิ่มโดยสร้างสายดีเอ็นเอโดยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี reverse transcryptase ต่อจากนั้นสายดีเอ็นเอของไวรัสจะแทรกเข้าไปในสายดีเอ็นเอของผู้ติดเชื้ออย่างถาวร และก็สามารถเพิ่มต่อไปได้  นอกนั้นเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง  สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 จำพวกใหญ่ๆตัวอย่างเช่น HIV-1 และ HIV-2 การระบาดทั้งโลกส่วนใหญ่ แล้วก็ประเทศไทยมีต้นเหตุจาก HIV-1 ซึ่งยังแบ่งเป็นประเภทย่อยๆได้อีกหลายแบบ ส่วน HIV-2 เจอระบาดในแอฟริกา) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสจำพวกใหม่ ที่มีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พุทธศักราช2526 เชื้อนี้มีมากในเลือด น้ำอสุจิ แล้วก็น้ำมูกในช่องคลอดของผู้ติดโรค


ในตอนนี้ทั่วโลกพบสายพันธุ์เชื้อเอชไอวี มากยิ่งกว่า 10 สายพันธุ์ ที่มีการกลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์เดิม กระจัดกระจายอยู่ตามประเทศต่างๆทั่วโลก โดยพบได้มากที่สุดที่ทวีปแอฟริกามีมากยิ่งกว่า 10 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พบได้บ่อยที่สุดในโลก เป็นสายพันธุ์ซี มากถึง 40% พบในทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน รวมทั้งประเทศพม่า ส่วนในประเทศไทยเจอเชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรืออี (E) พบได้ทั่วไปกว่า 95% แพร่ระบาดระหว่างผู้ที่มีเซ็กส์ระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกลุ่มรักร่วมเพศ แล้วก็ผ่านการใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ตั้งแต่เจอการระบาดของโรคเอดส์ครั้งแรกจนกระทั่งปี พุทธศักราช2558 มีผู้ติดเชื้อโรคไปแล้วกว่า 70 ล้านคนทั่วทั้งโลก รวมทั้งเสียชีวิตไปแล้วกว่า 35 ล้านคน
ขณะที่รายงานของโครงการโรคภูมิคุมกันบกพร่องแห่งยูเอ็น (UNAIDS) พบว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเอชไอวี/โรคภูมิคุมกันบกพร่อง ในปี 2559 มีผู้ติดเชื้อโรคเอชไอวีทั้งโลกสะสม 36.7 ล้านคน เป็นผู้ติดโรครายใหม่ 1.8 ล้านคน แล้วก็มีผู้เสียชีวิตจากเชื้อเอชไอวี 1 ล้านคน
ในส่วนของเมืองไทยนั้น โดยจากกล่าวในปีล่าสุดของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ปี 2557) พบว่าตั้งแต่ปี 2527-2557 ตลอด 30 ปีให้หลังมีคนป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของทั้งยังภาครัฐแล้วก็เอกชนทั้งหมด 388,621 ราย รวมทั้งมีคนป่วยเสียชีวิต 100,617 ราย โดยในปีถัดมา (ปี 2558) มีการคาดราวปริมาณผู้เจ็บป่วยเอดส์และติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยเป็นจำนวนทั้งหมดโดยประมาณ 1,500,000 คน

  • ลักษณะโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง


เหตุเพราะผู้ติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายนานับประการ สุดแล้วแต่ปริมาณของเชื้อและระดับภูมิคุ้มกัน (จำนวน CD4) ของร่างกาย ด้วยเหตุนั้นโรคเอดส์ ก็เลยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะร่วมกันดังนี้

  • ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ติดโรคที่ไม่มีอาการหรือมีลักษณะอาการเล็กน้อยอยู่ชั่วประเดี๋ยวดังที่ได้กล่าวมาแล้วชอบแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วๆไป แต่การตรวจเลือดจะเจอเชื้อเอชไอวีและสารภูมิต้านทานต่อเชื้อประเภทนี้แล้วก็สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นๆได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (carrier)


ช่วงนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะแบ่งตัวก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆรวมทั้งทำลาย CD4 จนถึงมีจำนวนน้อยลง โดยเฉลี่ยประมาณปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มม. จากระดับปกติ (คือ 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดลดน้อยลงมากๆก็จะกำเนิดลักษณะการเจ็บเจ็บป่วย ดังนี้อัตราการลดน้อยลงของ CD4 จะเร็วช้าขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของเชื้อเอชไอวี แล้วก็สภาพความแข็งแรงของระบบภูมิต้านทานของคนไข้
ช่วงนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายอาจสั้นเพียง 2-3 เดือน แม้กระนั้นบางรายอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป

  • ระยะติดเชื้อโรคที่มีลักษณะ เดิมเรียกว่า ระยะที่มีอาการชมรมกับโรคภูมิคุมกันบกพร่อง (AIDS related complex/ARC) คนป่วยจะมีลักษณะมากมายน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณ CD4 ดังนี้


มีอาการนิดหน่อย ช่วงนี้ถ้าเกิดตรวจ CD4 จะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร คนเจ็บอาจมีอาการ ดังนี้
* ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตน้อย
* โรคเชื้อราที่เล็บ
* แผลแอฟทัส
* ผิวหนังอักเสบจำพวกเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก
* ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งมีเหตุมาจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก
* โรคโซริอาซิส (สะเก็ดเงิน) ที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบเสิบสาน
มีลักษณะปานกลาง เวลานี้ถ้าตรวจ CD4 จะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มม. ผู้ป่วยอาจมีอาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปากแบบข้อ ก. หรือไม่ก็ได้ อาการที่อาจเจอได้มีดังนี้
* เริมที่ริมฝีปาก หรือของลับ ซึ่งกำเริบหลายครั้ง และเป็นแผลเรื้อรัง
* งูสวัด ที่มีอาการกำเริบเสิบสานอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมมากกว่า 2 แห่ง
* โรคเชื้อราในช่องปาก หรือช่องคลอด
* ท้องเดินบ่อยมาก หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน
* ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็นๆหายๆหรือติดต่อกันทุกวี่วันนานเกิน 1 เดือน
* ต่อมน้ำเหลืองโตมากยิ่งกว่า 1 ที่ในบริเวณไม่ต่อเนื่องกัน (อาทิเช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน
* น้ำหนักลดเกินร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่เคยทราบสาเหตุ
* ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
* ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
* ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อยครั้ง

  • ระยะมีอาการป่วยด้วยโรคภูมิคุมกันบกพร่อง (โรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มขั้น) ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันของคนไข้เสื่อมสุดกำลัง ถ้าเกิดตรวจ CD4 จะพบมีปริมาณต่ำลงมากยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่างๆเป็นต้นว่า เชื้อรา เชื้อไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค ฯลฯ ชุบมือเปิบเข้ารุมเร้า เรียกว่า โรคติดเชื้อชุบมือเปิบ (opportunistic infections) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดโรคหวานใจษาค่อนข้างยาก และอาจติดเชื้อโรคชนิดเดิมซ้ำสิ่งเดียวหรือติดเชื้อประเภทใหม่ หรือติดเชื้อหลากหลายประเภทด้วยกัน


ตอนนี้คนไข้อาจมีอาการดังนี้
* เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
* ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังต่อเนื่องกันยาวนานหลายสัปดาห์หรือเป็นนานแรมเดือน
* ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบอ่อนแรงจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ
* ท้องเสียเรื้อรัง จากเชื้อราหรือโปรตัวซัว
* น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้ง รวมทั้งอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
* ปวดหัวร้ายแรง ชัก งงงวย ซึม หรือหมดสติจากการตำหนิดเชื้อในสมอง
* เจ็บท้อง อาเจียน คลื่นไส้
* กลืนตรากตรำ หรือเจ็บเวลากลืน เพราะเหตุว่าหลอดของกินอักเสบจากเชื้อรา
* สายตาขุ่นมัวมองดูไม่ชัดเจน หรือเห็นเงาใยแมงมุมลอยไปๆมาๆจากเรตินาอักเสบ
* ตกขาวบ่อยมาก
* มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption)
* ซีดเผือด
* มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกมาจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
* งวยงง จำอะไรไม่ค่อยได้ ลืมง่าย ไม่มีสมาธิ การกระทำผิดแปลกไปจากเดิม ด้วยเหตุว่าความแปลกของสมอง
* อาการโรคมะเร็งที่เกิดแทรก อาทิเช่น มะเร็งของฝาผนังเส้นเลือดที่เรียกว่า Kaposi's sarcoma (KS) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก ฯลฯ
ในเด็ก ที่ติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง ระยะเริ่มต้นอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็อาจมีอาการเดินทุกข์ยากลำบากหรือความก้าวหน้าทางสมองช้ากว่าธรรมดา แล้วก็เมื่อเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มขั้น เว้นเสียแต่มีโรคติดเชื้อชุบมือเปิบชนิดเดียวกันกับคนแก่แล้ว ยังบางทีอาจพบว่าถ้าเกิดเป็นโรคที่พบทั่วๆไปในเด็ก (ยกตัวอย่างเช่น หูชั้นกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ) ก็มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าธรรมดา

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคเอดส์
  • เซ็กซ์ การตำหนิดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการมีเซ็กส์ที่ไม่ได้ป้องกันระหว่างคู่นอนที่ฝ้ายข้างใดข้างหนึ่งมีเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง
  • การสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ พนักงานทางสาธารณสุขสัมผัสเชื้อเอชไอวีได้โดยดำเนินการ หรือสารคัดเลือกหลั่งของคนไข้ที่มีเชื้อ
  • การติดต่อจากแม่สู่ลูก แม่ที่มีเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องให้นมลูกหรือการคลอดบุตรขณะติดเชื้อ
  • การใช้ของมีคมร่วมกัน ดังเช่นว่า เข็มฉีดยาในผู้ที่ติดยาเสพติด
  • คนที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายเลือดจากการบริจาคแม้กระนั้นในกรณีนี้พบได้น้อยมาก
  • กรรมวิธีรักษาโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง

การวิเคราะห์โรคเอดส์ อันดับแรกสุดคือ การซักความเป็นมาของคนเจ็บรวมทั้งการตรวจร่างกาย ซึ่งมัก จะมีประวัติการตำหนิดเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมาก่อนแล้ว ซึ่งหมอสามารถรู้จากการพิสูจน์เลือดว่า มีผลบวกต่อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องไหม นอกเหนือจากนั้นการตรวจร่างกายชอบเจออาการแสดงที่บ่งชี้ว่า คนเจ็บอยู่ในระยะของการเป็นโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว
ตรวจค้นสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจเจอสารภูมิต้านทานข้างหลังติดโรค 3-12 สัปดาห์ (ส่วนใหญ่ราวๆ 8 สัปดาห์ บางรายบางทีอาจนานถึง 6 เดือน) แนวทางนี้เป็นการตรวจยืนยันด้วยการตรวจกรองขั้นต้น ถ้าพบเลือดบวก จะต้องทำการตรวจยืนยันด้วยวิธีอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับแนวทางตรวจคราวแรก หรือทำการตรวจด้วยวิธี particle agglutination test (PA) ถ้าเกิดให้ผลบวกก็สามารถวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อโรคเอชไอวี แต่ถ้าหากได้ผลลบก็ต้องตรวจรับรองโดยวิธีเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกที ซึ่งให้ผลบวก 100% หลังติดเชื้อ 2 อาทิตย์
การเจาะเลือดเพื่อนับปริมาณเม็ดเลือดขาวจำพวก ทีลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวก (CD 4-positive T cell) จะพบว่าจำนวนลดน้อยลงมาก เพราะว่าเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในเซลล์จำพวกนี้ และก็จะทำลายเซลล์ชนิดนี้ไปเรื่อยๆส่วนมากถ้ามีจำนวนของครั้งลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวกน้อยลงต่ำลงยิ่งกว่า 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตรในผู้ใหญ่ (ค่าปกติ 600 - 1,200 เซลล์ต่อลูกบาศก์ไม่ลลิ เมตร) ระดับของ CD4+ T cell ที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ หากเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือนจะมี CD4+น้อยกว่า 30% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมดทั้งปวง เด็กอายุ12 - 35 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 25% รวมทั้งเด็กอายุ 36 - 59 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 20%
โรคที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากติดโรคเอชไอวีแล้วก็โรคเอดส์ในตอนนี้ ยังไม่สามารถที่จะรักษาให้หายได้ แต่สามารถควบคุมโรคแล้วก็ทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานอย่างคนธรรมดาได้ โดยกรรมวิธีการรักษาผู้ติดเชื้อโรค เอชไอวีและผู้เจ็บป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่อง ได้แก่
การใช้ยายับยั้งการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสหรือยาต่อต้านเชื้อไวรัส ซึ่งต้องรับประทานไปตลอดชีวิต เรียกว่า Antiretroviral therapy ซึ่งพวกเราสามารถติดตามผลการรักษาได้จากการเจาะเลือดดูปริมาณเม็ดเลือดขาว CD 4 positive T cell ว่า เข้าขั้นธรรมดาไหม และก็นับปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดได้โดยตรง (Viral load) ตอนนี้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีมีหลากหลายประเภทดังเช่น
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีรีเวิสทรานสคริปเตส (Nucleoside analogues Reverse transcriptase inhibitors) เช่น ยาชื่อ Zidovudine (AZT), Didanosine (ddI), Zalcitabine (ddC), Stavudine (d4T), Lamivudine (3TC)
ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีรีเวิสทรานสคริปเตสที่ไม่ใช่นิวคลีโอไซด์ (Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors) ยกตัวอย่างเช่น ยาชื่อ Delavirdine, Loviride, Nevirapine
ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีโปรตีเอส (Protease inhibitors) ยกตัวอย่างเช่น ยาชื่อ Nelfinavir, Indinavir, Ritonavir, Saquinavir
อนึ่ง แนวทางให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสในขณะนี้คือ จำต้องให้ยาอย่างต่ำ 3 จำพวกโดยใช้ยาในกลุ่ม Nucleoside analogue 2 ตัว ร่วมกับยาในกลุ่ม Non-nucleoside หรือ Protease inhibitor อีก 1 ตัวรวมเป็น 3 ตัว โดยจำต้องใช้ยาทุกเมื่อเชื่อวันและก็ตรงตรงเวลาที่กำหนดโดยครัดเคร่ง
โดยแพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านทานไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
เมื่อมีอาการแสดงของโรคทั้งในระยะต้นเริ่มแล้วก็ระยะหลัง การให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสในคนไข้ที่เป็นระยะเดิม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคไปสู่ระยะที่ร้ายแรงได้
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ว่าตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำลงมากยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แม้กระนั้นมีค่า CD4 อยู่ที่ 200-350 เซลล์/ลบ.มม. อาจตรึกตรองให้ยาต้านไวรัสเป็นรายๆไป ดังเช่น ในรายที่จำนวนเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการลดน้อยลงของ CD4 อย่างรวดเร็ว ความพร้อมเพรียงของคนเจ็บ ฯลฯ สำหรับในการให้ยาควรติดตามดูผลกระทบ ซึ่งอาจมีอันตรายต่อคนเจ็บ หรือทำให้คนป่วยไม่ยินยอมรับประทานยาโดยตลอด
การใช้ยารักษาโรคติดโรคที่เกิดขึ้นมาจากมีภูมิต้านทานยับยั้งโรคผิดพลาดหรือเชื้อฉวยโอ กาส ขึ้นอยู่กับว่าคนป่วยติดโรคจำพวกใด ดังเช่นว่า ติดโรควัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค ติดโรคราก็ให้ยารักษาเชื้อรา หรือถ้าเป็นโรคโรคมะเร็งก็รักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น

  • การติดต่อของโรคภูมิคุมกันบกพร่อง สามารถติดต่อได้โดยการได้รับเลือด แล้วก็/หรือสารคัดหลั่ง (Secretion) จากคนที่ติดโรคซึ่งมีหลายแนวทาง ดังต่อไปนี้
  • ทางการมีเซ็กส์ ทั้งหมดศสโมสรเพศเดียวกันระหว่างชายรักร่วมเพศ หญิงรักร่วมเพศ รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง การติดต่อทางเพศสัมพันธ์นี้คิดเป็นอัตราประ มาณ 78% ของการต่อว่าดเชื้อเอชไอวีทั้งหมดทั้งปวง
  • การใช้สิ่งเสพติดจำพวกฉีดเข้าเส้น (หลอดเลือด) โดยใช้เข็มฉีดร่วมกับบุคคลอื่น ผู้ที่ติดเชื้อโรคโดยแนวทางนี้มีราว 20%
  • ทางการรับเลือดจากคนอื่นๆที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ผู้ที่มีการเสี่ยงในกลุ่มนี้ ดังเช่นว่า คนป่วยโรคเลือดเรื้อรังที่จำต้องรับเลือดเป็นประจำ อย่างเช่น โรคฮีโมฟิเลีย (Hemophilia) หรือผู้ที่รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากคนที่ติดโรค การตำหนิดเชื้อโดยวิธีนี้มีโดยประมาณ 1.5%
  • ติดต่อจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ลูก ซึ่งบางทีอาจติดต่อได้ทางเลือดจากแม่สู่ลูกโดยตรงผ่านทางเกลื่อนกลาด หรือจากการที่เด็กแรกเกิดกลืนเลือดของแม่ระหว่างการคลอด หรือได้รับเชื้อที่อยู่ในนมแม่ก็ได้
  • การตำหนิดเชื้อของพนักงานทางการแพทย์จากอุบัติเหตุด้านการแพทย์ ได้แก่ ถูกเข็มฉีดยา หรือเข็มเจาะเลือดผู้เจ็บป่วยตำนิ้วโดยบังเอิญ ซึ่งเคยมีกล่าวว่าทำให้เจ้าหน้าที่ทางด้านการแพทย์ติดโรคได้ ถึงจะได้โอกาสน้อยก็ตาม


จากการศึกษาในประเทศต่างๆก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาไม่พบว่ามีการติดต่อโดยวิธีตั้งแต่นี้ต่อไป
* การหายใจ ไอ จามรดกัน
* การกินของกิน และก็กินน้ำร่วมกัน
* การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาร่วมกัน
* การใช้สุขาร่วมกัน
* การอยู่ข้างในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
* การสัมผัส โอบกอด
* การใช้ห้องครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดตัวร่วมกัน
* การใช้โทรศัพท์ร่วมกัน
* การเช็ดกยุงหรือแมลงกัด

  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคเอดส์


                - ไปพบแพทย์และก็ตรวจเลือดเป็นระยะๆตามที่หมอแนะนำ และก็รับประทานยาต่อต้านไวรัสเมื่อมีค่า CD4 น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร การกินยาต่อต้านเชื้อไวรัสอย่างต่อเนื่องชอบช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้วก็นาน จำนวนมากมักจะเป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปีขึ้นไป
- ปฏิบัติงาน เรียนหนังสือ คบหาสมาคมกับคนอื่นๆรวมทั้งปฏิบัติกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวันได้ตามธรรมดา ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจว่าจะกระจายเชื้อให้ผู้อื่นโดยการสัมผัสหรืออยู่สนิทสนมกันหรือหายใจรดคนอื่น
- หากมีความไม่ค่อยสบายใจเป็นทุกข์เป็นร้อนจิตใจ ควรจะเล่าความในใจให้ญาติสนิทเพื่อนฟัง หรือขอความเห็นชี้แนะจากหมอ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน
- เรียนรู้ธรรมชาติของโรค การรักษา การดูแลตนเอง กระทั่งมีความรู้ความเข้าใจโรคนี้อย่างดีเยี่ยม ก็จะไม่มีความรู้สึกท้อใจท้อใจ แล้วก็มีพลังใจแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงประสิทธิภาพในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป
- ช่วยเหลือสุขภาพตนเองด้วยการออกกำลังกายเสมอๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ (ไม่จำเป็นที่จะต้องกินอาหารเสริมราคาสูง) งดแอลกอฮอล์ ยาสูบ สิ่งเสพติด นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง
- สร้างเสริมสุขภาพที่เกิดขึ้นกับจิตด้วยการฟังเพลง ร้องเพลง เล่นกีฬา อยู่สนิทสนมธรรมชาติ ฝึกฝนเพื่อให้มีสมาธิ ก้าวหน้าสติ สวดมนต์หรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่เชื่อถือ
- เลี่ยงพฤติกรรมที่บางครั้งก็อาจจะแพร่ระบาดให้คนอื่นๆโดย

  • ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อใดก็ตามมีเพศสัมพันธ์ แล้วก็งดเว้นการร่วมเพศทางปากหรือทวารหนัก
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่นๆ
  • งดการให้ทานเลือดหรืออวัยวะต่างๆอย่างเช่น ดวงตา ไต ฯลฯ
  • เมื่อร่างกายเลอะเทอะเลือดหรือน้ำเหลือง ให้รีบชำระล้าง และก็เปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปแยกซักให้สะอาดรวมทั้งตากให้แห้ง ควรจะระวังอย่าให้ผู้อื่นสัมผัสถูกเลือดหรือน้ำเหลืองของตนเอง
  • ไม่ใช้ของมีคม (เป็นต้นว่า ใบมีดโกน) ร่วมกับผู้อื่น


- หลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ โดยการคุมกำเนิด เพราะเหตุว่าเด็กอาจมีโอกาสรับเชื้อจากมารดาได้
- มารดาที่มีการติดโรค ไม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง
- เมื่อมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน ควรจะป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆแพร่ให้คนอื่นๆ ได้แก่

  • ใช้กระดาษหรือผ้าสำหรับเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกเวลาไอ หรือจาม
  • ถ้วย จานชาม จาน ถ้วยน้ำที่ใช้แล้ว ควรจะล้างให้สะอาด ด้วยน้ำยาล้างจานหรือลวกด้วยน้ำร้อน แล้วทิ้งเอาไว้ให้แห้งก่อนใช้ประโยชน์ใหม่
  • ควรรอบคอบไม่ให้น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลืองจากแผล ปัสสาวะ รวมทั้งสิ่งถ่ายต่างๆไปสกปรกถูกคนอื่นๆ
  • การบ้วนน้ำลายหรือเสมหะ รวมถึงการทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว จะต้องมีภาชนะใส่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และก็สามารถนำไปทิ้งหรือทำความสะอาดได้สบาย
  • การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
  • เลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่มิใช่คู่ครอง ควรยึดมั่นต่อการร่วมเพศกับคู่รัก (รักเดียวใจเดียว)
  • ถ้ายังนิยมร่วมเพศกับบุคคลอื่น โดยยิ่งไปกว่านั้นหญิงบริการ หรือบุคคลที่มีเซ็กส์เสรีหรือมีความประพฤติปฏิบัติเสี่ยงอื่นๆก็ควรใช้ถุงยางปกป้องทุกคราว
  • เลี่ยงการสัมผัสถูกเลือดของผู้อื่น ตัวอย่างเช่น ขณะช่วยเหลือผู้ที่มีรอยแผลเลือดออก ควรจะใส่ถุงมือยางหรือถุงก๊อบแก๊บ 2-3 ชั้น ปกป้องอย่าสัมผัสถูกเลือดโดยตรง
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มหรือกระบอกเอาไว้สำหรับฉีดยาร่วมกับคนอื่น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม (ดังเช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับคนอื่นๆ หากเลี่ยงไม่ได้ ก่อนใช้ควรทำลายเชื้อด้วยการแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เป็นต้นว่า แอลกอฮอล์ 70% โพวิโดนไอโอดีน 2.5% ทิงเจอร์ไอโอดีน, ไลซอล 0.5-3% โซเดียมไฮโพคลอไรด์ 0.1-0.5

 

Sitemap 1 2 3