ผู้เขียน หัวข้อ: โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 220 ครั้ง)

Keekayr1200gs

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2703
    • ดูรายละเอียด

โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
โรคออทิสติกเป็นยังไง “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกนานัปการ และก็มีการเปลี่ยนแปลงการเรียกชื่อเป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) แล้วก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder)  กระทั่งในปัจจุบันก็เลยมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวินิจฉัยโรคด้านจิตเวชฉบับล่าสุด DSM-5 ของชมรมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พุทธศักราช2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของความก้าวหน้าเด็กรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะบุคคล  เป็นโรคที่มีสาเหตุจากความไม่ปกติของสมอง ทำให้มีความผิดพลาดของความเจริญหลายด้านเป็นกลุ่มอาการความเปลี่ยนไปจากปกติ 3 ด้านหลักเป็น

  • ภาษาแล้วก็การสื่อความหมาย
  • การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • ความประพฤติปฏิบัติและก็ความสนใจแบบจำเพาะซ้ำเดิมซึ่งมักจะเกี่ยวกับกิจวัตรที่ทำทุกๆวันรวมทั้งการเคลื่อนไหว ซึ่งอาการพวกนี้เกิดในตอนต้นของชีวิต มักเริ่มมีลักษณะก่อนอายุ 3 ปี


คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งหมายความว่า Self หมายถึง แยกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตน เปรียบเสมือนมีกำแพงใส หรือกระจก กั้นบุคคลกลุ่มนี้ออกจากสังคมรอบข้าง
ประวัติความเป็นมา ปี พุทธศักราช2486 มีการรายงานคนไข้เป็นครั้งแรก โดยหมอลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐฯ รายงานคนป่วยเด็กจำนวน 11 คน ที่มีลักษณะอาการแปลกๆยกตัวอย่างเช่น พูดเลียนเสียง บอกช้า ติดต่อสื่อสารไม่รู้เรื่อง ทำซ้ำๆไม่ชอบความเคลื่อนไหว ไม่สนใจคนอื่นๆ เล่นไม่เป็น และได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กพวกนี้ไม่เหมือนกับเด็กที่ขาดตกบกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พุทธศักราช2487 แพทย์ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย บรรยายถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมทุกข์ยากลำบาก หมกมุ่นอยู่กับวิธีการทำอะไรซ้ำๆประหลาดๆแต่กลับพูดเก่งมาก รวมทั้งดูเหมือนจะฉลาดปราดเปรื่องด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะแบบนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พ.ศ.2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ ละม้ายกับของแคนเนอร์มาก นักวิจัยรุ่นหลานก็เลยสรุปว่า แพทย์ 2 คนนี้พูดถึงเรื่องเดียวกัน แต่ว่าในรายละเอียดที่แตกต่าง ซึ่งในปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือ “Autism Spectrum Disorder”
                จากการเรียนระยะแรกเจออัตราความชุกของโรคออทิสติกโดยประมาณ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แม้กระนั้นรายงานในช่วงหลังพบอัตราความชุกเพิ่มมากขึ้นในประเทศต่างๆทั่วโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับออทิสติกที่มากขึ้น การใช้เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน รวมถึงปริมาณคนเจ็บที่อาจมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โรคออทิสติกพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอัตราส่วนราวๆ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกรุ๊ปเด็กที่มีอาการน้อยและในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิงต่ำลงในกลุ่มที่มีภาวการณ์ปัญญาอ่อนรุนแรงร่วมด้วย
ที่มาของโรคออทิสติก  มีความเพียรพยายามในการศึกษาถึงสาเหตุของออทิสติก แม้กระนั้นก็ยังไม่รู้จักสาเหตุของความผิดปกติที่ชัดแจ้งได้ ในปัจจุบันมีหลักฐานเกื้อหนุนแจ้งชัดว่ามีต้นเหตุจากแนวทางการทำงานของสมองที่ผิดปกติ มากกว่าเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม
            ในอดีตเคยเชื่อว่าออทิสติก มีต้นเหตุมาจากการอุปถัมภ์ในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่ไปถึงเป้าหมายในเรื่องงาน จนความเกี่ยวพันระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความห่างเหินเย็นชา ซึ่งมีการเปรียบว่า เป็นพ่อแม่ตู้เย็น) แม้กระนั้นจากหลักฐานข้อมูลในขณะนี้ยืนยันได้ชัดแจ้งว่า แบบการเลี้ยงไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แต่ถ้าชุบเลี้ยงอย่างเหมาะสมก็จะสามารถช่วยทำให้เด็กปรับปรุงดียิ่งขึ้นได้มาก
           แต่ในตอนนี้นักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับสาเหตุด้านพันธุกรรมสูงมากมาย มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง ได้แก่ ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q แล้วก็ 16p ฯลฯ และจากการเล่าเรียนในแฝด พบว่าฝาแฝดเหมือน ซึ่งมีรหัสกรรมพันธุ์แบบเดียวกัน มีโอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงขึ้นมากยิ่งกว่าฝาแฝดไม่ราวกับอย่างเห็นได้ชัด
                แล้วก็การเล่าเรียนทางด้านกายวิภาครวมทั้งสารสื่อประสาทในสมองของคนเจ็บออทิสติก จากทั้งทางรูปรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมทั้งชิ้นเนื้อ เจอความแปลกหลายประเภทในคนเจ็บออทิสติกแต่ยังไม่พบแบบที่จำเพาะ ในทางกายส่วนพบว่าสมองของคนเจ็บออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วไป แล้วก็เล็กน้อยของสมองมีขนาดเปลี่ยนไปจากปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานพบความไม่ดีเหมือนปกติของเนื้อสมอง เช่น brain stem, cerebellum, limbic system รวมทั้ง บางตำแหน่งของ cerebral cortex
                ยิ่งกว่านั้นการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ในผู้ป่วยออทิสติก พบความไม่ดีเหมือนปกติร้อยละ 10-83 เป็นความไม่ปกติของคลื่นกระแสไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะ  (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปเป็น พบจำนวนร้อยละ 5-38 นอกจากนั้นยังมีการเล่าเรียนเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายประเภทโดยเฉพาะ  serotonin ที่ศึกษาค้นพบว่าสูงขึ้นในคนเจ็บบางราย แต่ก็ยังมิได้ผลสรุปที่แจ้งชัดถึงความเชื่อมโยงของความผิดปกติเหล่านี้กับการเกิดออทิสติก
                ในทุกวันนี้สรุปได้ว่า ปัจจัยจำนวนมากของออทิสติกเกิดขึ้นจากพันธุกรรมแบบหลายต้นเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวข้องหลายตำแหน่งและมีภูเขามิไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุมากจากการสัมผัสสภาพแวดล้อมต่างๆ
อาการโรคออทิสติก การที่จะทราบว่าเด็กผู้ใดกันเป็นหรือไม่เป็นออทิสติกนั้น  เริ่มต้นจะพิจารณาได้จากความประพฤติในวัยเด็ก    ซึ่งมองเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก       พ่อแม่บางทีก็อาจจะมองเห็นตั้งแต่ความเกี่ยวข้องด้านสังคมกับคนอื่น  ด้านการสื่อความหมาย    มีการกระทำที่ทำอะไรซ้ำๆ    ความประพฤติปฏิบัติจะเริ่มแสดงแจ้งชัดมากเพิ่มขึ้นเมื่อเด็กอายุราว 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏชัดแจ้งในเรื่องความช้าด้านการพูดและก็การใช้ภาษา      ด้านปฏิสัมพันธ์กับสังคมสังเกตได้จากการที่เด็กจะไม่มองตา  ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางรวมทั้งอาการราวกับไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับคนไหนกันแน่  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้สมควรได้เมื่ออยู่ในสังคม   สามารถแยกเป็นด้าน ยกตัวอย่างเช่น

  • ความบกพร่องสำหรับการมีความเกี่ยวข้องด้านสังคม (impairment in social interaction) ความผิดพลาดในการมีความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นอาการสำคัญของออทิสติก ซึ่งมีระดับความรุนแรงที่นาๆประการ แม้ว่าเด็กออทิสติกสามารถสร้างความผูกพันโดยพากเพียรที่จะอยู่ใกล้ผู้อุปถัมภ์ แม้กระนั้นสิ่งที่ต่างจากเด็กทั่วๆไปเป็น การขาดความรู้สึกรวมทั้งความสนใจร่วมกับผู้อื่น  (attention-sharing behaviours) ไม่สามารถที่จะรู้เรื่องหรือรับทราบว่าผื่อนกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไร เป็นต้น


แม้เด็กออทิสติกที่มีระดับเชาวน์ปกติ ก็ยังมีความบกพร่องในด้านการเข้าสังคม เช่น ไม่รู้เรื่องวิธีการเริ่มหรือจบทบเสวนา บิดามารดาบางบุคคลบางทีอาจมองเห็นความแปลกในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก แล้วก็เมื่อเด็กไปสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อนเยอะขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่สามารถรู้เรื่องหรือรับรู้ว่าคนอื่นๆกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรเข้ากับเพื่อนฝูงได้ยาก มักถูกเด็กอื่นเห็นว่าแปลกหรือเป็นตัวขบขัน

  • ความผิดพลาดสำหรับเพื่อการสื่อสาร (impairment in communication) เด็กออทิสติกส่วนมากมีปัญหาพูดช้า ซึ่งเป็นอาการนำสำคัญที่ทำให้ผู้ดูแลพาเด็กมาเจอแพทย์ การใช้ภาษาของเด็กออทิสติกมักเป็นในรูปแบบของการท่องจำบ่อยๆและไม่สื่อความหมาย อาจมีการพูดซ้ำคำด้านหลังประโยค ใช้คำสรรพนามผิดจะต้องพูดจาวกไปวนมาอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้น้ำเสียงจังหวะดนตรีการพูดที่แตกต่างจากปกติ


เด็กออทิสติดบางคนเริ่มกล่าวคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในตอนแรกจะเป็นการกล่าวทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่มีระดับเชาวน์ธรรมดาหรือใกล้เคียงปกติจะมีพัฒนาการทางภาษาที่ค่อนข้างดี และก็สามารถใช้ประโยคในการติดต่อสื่อสารได้เมื่ออายุราวๆ 5 ปี เมื่อถึงวัยศึกษาความผิดพลาดด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยยิ่งไปกว่านั้นการพูดคุยตอบโต้ อาจพูดจาวกไปวนมา บอกเฉพาะในเรื่องที่ตนพอใจ แล้วก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ออกกาลเทศะ

  • ความประพฤติและความสนใจแบบเฉพาะซ้ำเดิมเพียงแค่ไม่กี่ชนิด (restricted, repetitive and stereotypic behaviors and interests) ความประพฤติบ่อยๆเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัด ก็เลยช่วยในการวินิจฉัยโรคก้าวหน้า การกระทำที่ได้กล่าวมาแล้วเหล่านี้บางทีอาจเป็นพฤติกรรมทางกายแล้วก็การเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความพอใจในกิจกรรมหรือข้าวของไม่กี่จำพวก เช่น การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกหัว หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ กดชักโครก แล้วก็เมื่อมีความระทึกใจหรือมีสภาวะบีบคั้น การเคลื่อนไหวบ่อยๆพบได้มากได้มากขึ้น เด็กออทิสติกบางบุคคลพึงพอใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนอื่นๆละเลย


เด็กออทิสติกแบบ  high functioning ที่เป็นเด็กโตมีความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัด โดยสิ่งที่สนใจนั้นบางทีอาจเป็นเรื่องที่เด็กปกติสนใจ แต่เด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับหัวข้อนั้นอย่างมาก ดังเช่นว่า จดจำรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ แล้วก็สนทนาเกี่ยวกับหัวข้อนั้นอยู่เสมอ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่พอใจอาจเป็นความทราบด้านวิชาการบางสาขา เช่น เลขคณิต คอมพิวเตอร์ รวมทั้งวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งวิชาความรู้เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในโรงเรียน ก็เลยช่วยทำให้เด็กออทิสติกร่วมสังคมในสถานศึกษาเจริญขึ้น
ยิ่งกว่านั้นเด็กออทิสติกบางทีอาจจะซนมากมายแล้วก็มีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่ไม่ได้พอใจเป็นพิเศษ จนบางครั้งบางคราวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กดื้อสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อลักษณะของออทิสติกกำกวม ในเด็กที่มีความเจริญช้าอย่างมากอาจพบพฤติกรรมรังควานตัวเอง เช่น โขกหัวหรือกัดตัวเอง เป็นต้น
ในด้านปัญญา เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้และความเข้าใจพิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม high functioning อาจสามารถจำตัวหนังสือรวมทั้งนับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
กระบวนการรักษาโรคออทิสติก สำหรับในการตรวจวิเคราะห์ว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือเปล่า  ไม่มีเครื่องตวงที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แต่ว่าอาจมีการตรวจประกอบการวิเคราะห์จากความประพฤติ
                โดยมาตรฐานการวินิจฉัยโรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแต่ DSM-III (พ.ศ. 2523) และได้ถูกปรับกลายเป็น DSM-IIIR (พุทธศักราช 2530) ในปัจจุบันใช้กฏเกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พ.ศ. 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) เป็นความไม่ปกติในด้านวิวัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวินิจฉัย PDD เป็น 5 จำพวก ตัวอย่างเช่น autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และก็pervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในปัจจุบันได้รวมออทิสติกเป็นกลุ่มโรคที่มีความมากมายหลากหลายของลักษณะทางสถานพยาบาล (autistic spectrum disorder ASD) และก็มีคำที่เรียกกลุ่มออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า  high-functioning autism

     โดยแพทย์จะดูอาการเบื้องต้นว่ามีปัญหาด้านวิวัฒนาการหรือไม่ ซึ่งลักษณะของเด็กที่มีวิวัฒนาการช้าจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)  สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตความประพฤติ ซึ่ง มีอาการครบ 6 ข้อ โดยมีลักษณะจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ และก็มีลักษณะ จากข้อ (2) และก็ข้อ (3) อย่างน้อยข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้


  • ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
  • ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
  • มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
  • สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
  • พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
  • ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี  (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย  และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู  หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่

  • การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดพฤติกรรมซ้ำๆ การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งแนวคิดพื้น ฐานของพฤติกรรมบำบัดคือ ถ้าผลที่ตามมาหลังเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นหลังพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมลดลง โดยมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่หลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเด็กงอแง หรือการเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปยังสิ่งอื่นที่เด็กชอบในขณะที่เด็กงอ แง เป็นต้น
  • การฝึกพูด เป็นการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า การฝึกการสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่จะทำให้เด็กเรียนรู้จากการใช้ภาษาได้เร็วเท่า นั้น และช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
  • การส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
  • การศึกษาพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ ควรจัดบริการการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และมีครูการศึกษาพิเศษดูแลโดยควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กสามารถพัฒนาความสามารถด้านการช่วยเหลือตัวเอง ภาษา สังคม และจัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่รบกวนได้แล้ว สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้เพื่อพัฒนาความ สามารถทางสังคมต่อไป โดยมีการจัดแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Educational Plan; IEP) และนำกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการศึกษาด้วย

    หากมีข้อจำกัดด้านพัฒนาการ หรือปัญหาพฤติกรรม ก็จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนพิ เศษเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนปกติต่อไป
    นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ฝึกเด็กได้ง่ายขึ้นแต่ควรคำนึงเสมอว่า การรักษาด้วยยานี้ ไม่ได้เป็นการรักษาอาการหลักของโรค
    บรรดายาชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการบางอย่างของโรคออทิสติกนั้น ส่วนใหญ่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสมอง เช่น ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านลมชัก เป็นต้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้รักษาโรคนี้ได้
    ปัจจุบันมียาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้ป่วยออทิสติกได้คือ ยา risperidone (มีชื่อทางการค้าว่า Risperdal®) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือการทำร้ายตนเอง ของผู้ป่วยโรคออทิสติกที่มีอายุระหว่าง 5-16 ปี
    ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคจิตเภทมา 10 กว่าปีแล้ว และพบผลข้างเคียงได้บ้าง ตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ง่วงนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เจริญอาหารและน้ำหนักเพิ่ม น้ำลายไหล ปากแห้ง มือสั่น ซึม เป็นต้น
    นอกจากนี้ บางคนอาจพบมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ขี้โมโหมากขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักเพิ่มนี้พบได้บ่อย ทำให้เด็กเจริญอาหาร กินเก่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ใช้ยานี้แล้วมักจะช่วยให้นอนง่าย นอนเร็วขึ้น หลับตลอดทั้งคืน สมาธิและอารมณ์ดีขึ้น
    ขนาดยาที่ใช้ เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-19 กิโลกรัม ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยาวันละ 0.25 มิลลิกรัม และถ้าน้ำหนักตัวตั้งแต่ 20 กิโลกรัมขึ้นไป ควรใช้ยาวันละ 0.50 มิลลิกรัม โดยให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหรือก่อนนอน และอาจเพิ่มขนาดยานี้ได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ครั้งละ 0.25-0.50 มิลลิกรัม จนกว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งขนาดยาที่ได้ผลดี จะอยู่ระหว่าง 0.5-3.0 มิลลิกรัม/วัน
    ประเทศไทยมีทั้งชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 1 และ 2 มิลลิกรัม/เม็ด และมีชนิดน้ำ ขนาด 30 มิลลิลิตร (โดยมีความเข้มข้นของ 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
    ภาวะแทรกซ้อนของโรคออทิสติก

  • ปัญญาอ่อน เด็กกลุ่มโรคออทิสติก 70% มีภาวการณ์ปัญญาอ่อนร่วมด้วยยกเว้น โรค Asperger’s disorder จะมีระดับความหลักแหลมปกติ
  • ชัก เด็กกรุ๊ปโรคออทิสติก ได้โอกาสชักสูงขึ้นมากยิ่งกว่าสามัญชนทั่วๆไป แล้วก็พบว่าการชักชมรมกับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกรุ๊ปที่มี IQ ต่ำจะเจออาการชัก แต่ว่าเจออาการชักในกรุ๊ปมี IQ ธรรมดาเพียง 5% ส่วนมากอาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่ได้โอกาสชักสูงที่สุดเป็น 10 -14 ปี
  • ความประพฤติก้าวร้าวและพฤติกรรมรังแกตนเอง พบมาก มีสาเหตุมาจากการไม่อาจจะสื่อสารความอยากได้ได้ และก็กิจวัตรที่ทำทุกๆวันที่ปฏิบัติเป็นประจำไม่อาจจะทำได้ตามธรรมดา เจอปัญหานี้บ่อยขึ้นในตอนวัยรุ่น ส่วนพฤติกรรมทำร้ายตนเองพบได้มากในโรคกลุ่มที่มี IQ ต่ำ
  • ความประพฤติดื้อรั้น/อยู่ไม่นิ่ง/ใจร้อน/ขาดสมาธิ พบได้บ่อย มีผลเสียต่อปัญ หาการเรียน และก็การทำกิจกรรมอื่นๆ
  • ปัญหาเรื่องการนอน พบปัญหาเรื่องการนอนได้บ่อยครั้งในเด็กกลุ่มโรคออทิสติกโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหานอนยาก นอนน้อย แล้วก็นอนไม่ตรงเวลา
  • ปัญหาด้านการรับประทาน กินยาก/เลือกรับประทาน หรือรับประทานอาหารเพียงบางประเภท หรือรับประทานสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร
  • เนื้องอก ทูเบอรัส สเคลอโรซิส (Tuberous Sclerosis) โรคที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม ถือเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทูเบอรัส สเคลอโรสิสกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดก้อนเนื้อนิ่มๆแตกออกขึ้นมาที่อวัยวะแล้วก็สมองของเด็ก แม้จะไม่มีต้นเหตุแน่ชัดว่าเนื้องอกเกี่ยวกับอาการออทิสติกยังไง แม้กระนั้นจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention) กล่าวว่าเด็กออทิสติกมีอัตราการเป็นทูเบอรัส สเคลอโรสิสสูง


การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่เคยรู้มูลเหตุการเกิดโรคที่ชัดเจนแน่นอนแต่ว่ามีผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า เกี่ยวเนื่องกับสาเหตุด้านพันธุกรรม แล้วก็ความผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ ด้วยเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
กรรมวิธีดูแลช่วยเหลือคนป่วยออทิสติก เพราะว่าโรคออทิสติกพบมากมากในเด็ก ด้วยเหตุนี้ก็เลยต้ออาศัยการรักษาแบบบูรณาการโดยใช้แนวทางบำบัดรักษาหลายๆแนวทาง

 

Sitemap 1 2 3