ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเบาหวาน-อาการ-สาเหตุ-วิธีรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 243 ครั้ง)

jeerapunsanook

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2181
    • ดูรายละเอียด

โรคเบาหวาน(Diabetes Mellitus)

  • เบาหวานคืออะไร ความหมายของเบาหวาน สมาคมเบาหวานที่สหรัฐอเมริกาบอกคำจำกัดความเบาหวานไว้หมายถึงเบาหวานเป็นกรุ๊ปโรคทางเมตะบอลิซึมที่ออกอาการ โดยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นผสมมาจาก ความเปลี่ยนไปจากปกติของการหลั่งอินซูลิน หรือการออกฤทธิ์ของอินซูลิน หรือทั้งคู่อย่าง ภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง จะได้ผลสำเร็จให้มีการเสื่อมของอวัยวะในร่างกาย ในระยะยาวกำเนิดโรคแทรกซ้อนรวมทั้งทำให้การขายหน้าที่ ของอวัยวะที่สำคัญหลายอวัยวะสถานที่สำหรับทำงานล้มเหลวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตา ไต ระบบประสาท หัวใจแล้วก็หลอดเลือด

    ความเป็นมาเบาหวาน เบาหวาน มีหลักฐานปรากฏในกระดาษขว้างปิรุสของอียิปต์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่โบราณเยอะที่สุดชิ้นหนึ่ง จากการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางโบราณคดีพบว่ากระดาษที่บันทึกเกี่ยวกับประเด็นนี้นั้นมีอายุโดยประมาณ 1500 ปีก่อน คริสตกาล จึงหมายความว่า “เบาหวาน” เป็นโรคที่โบราณมากมาย แล้วก็เมื่อโดยประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีการพบบันทึกของหมอชาวกรีก ชื่อ “อารีอุส” ซึ่งได้บันทึกอาการโรคที่มีลักษณะของการกัดกินเนื้อหนังแล้วก็มีการถ่ายปัสสาวะเยอะมากๆในแต่ละครั้ง โดย “อารีอุส” ได้ตั้งชื่อโรคนี้ว่า diabetes insipidus ซึ่งตอนนี้ชื่อเรียกนี้จะคือโรค “ค่อยจืด”
    ผ่านไปอีกแทบ 1700 ปี ได้มีคำว่า mellitus เกิดขึ้น mellitus เป็นภาษาลาติน หมายความว่า น้ำผึ้ง ซึ่งนำมาใช้เรียกโรคที่มีลักษณะชนิดเดียวกันกับ diabetes โดยหมายความว่า “เบาหวาน”
    ในขณะนี้โรคเบาหวานเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ทวีความร้ายแรงขึ้นทั่วทั้งโลก อุบัติการณ์ของเบาหวานมีลัษณะทิศทางมากขึ้นทุกปี จากข้อมูลของสหพันธ์ เบาหวานนานาประเทศ (International Diabetes Federation) พบว่าผู้เจ็บป่วย เบาหวานทั้งโลก ว่ามีจำนวน 285 ล้านคน รวมทั้ง ในปี 2553 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 438 ล้านคน ที่สำคัญในจำนวนนี้ 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย ในการคาดราวๆจำนวนมวลชนที่เป็น เบาหวานในอนาคตของเมืองไทยโดยสำนักควบคุมโรคไม่ติดต่อ พบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2554-2563 จะมีจำนวนราษฎรที่เป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นอยู่ในตอน 501,299 -553,941 คน/ปี และก็ในปี พ.ศ. 2563 จะมีปริมาณคนป่วยโรคเบาหวานราย ใหม่มากถึง 8,200,000 คน เมืองไทยได้กำหนดโรคเบาหวานเป็นโรควิถีชีวิตที่สำคัญหนึ่งในห้าโรคที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ร่างกายแข็งแรงวิถีชีวิตไทย พ.ศ. 2554 -2563 จากการสำรวจสุขภาพคนประเทศไทยครั้งปัจจุบันในปี พ.ศ. 2554 พบว่าอัตราป่วยด้วย โรคเรื้อรัง พ.ศ. 2544 - 2552 มีคนป่วยเป็นเบาหวานมากขึ้นจาก 288 คน เป็น 736 คน ต่อมวลชนแสนคน
    โดยทั่วไป เบาหวานสามารถ แบ่งได้ 2 ชนิดหลักหมายถึงเบาหวานประเภท 1 (Diabetes mellitus type 1), เบาหวานชนิด 2 (Diabetes mellitus type 2)
    เบาหวานชนิด 1 โรคเบาหวานประเภทต้องพึ่งอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes mellitus) และก็เนื่องจากโรคเบาหวานจำพวกนี้พบมากในเด็กแล้วก็วัยรุ่น จึงเรียกได้อีกชื่อว่า เบาหวานในเด็กและก็วัยรุ่น หรือ Juvenile diabetes mellitus
    โรคเบาหวานชนิด 2 เบาหวานในคนแก่ (Adult onset diabetes mellitus) รวมทั้งเป็นเบาหวานที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งอินซูลิน (Non- insulin-dependent diabetes mellitus)
    ตารางเปรียบเบาหวานจำพวกที่ 1 รวมทั้งประเภทที่ 2
         โรคเบาหวานจำพวกที่1   เบาหวานชนิดที่
    กลุ่มวัยมักกำเนิดกับผู้สูงวัยน้อยกว่า 40ปี     มักกำเนิดกับผู้สูงวัย 40 ปี ขึ้นไป
    น้ำหนักตัวซูบผอมอ้วน
    การทำงานของตับอ่อน ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้           
    1.สามารถผลิตอินซูลินได้บ้าง
    2.ผลิตได้ปกติแต่ว่าอินซูลินไม่มีสมรรถนะ
    3.เซลล์ร่างกายต้านทานอินซูลิน
    การแสดงออกของอาการ    เกิดอาการรุนแรง             
    1.ไม่มีอาการเลย
    2.มีอาการเล็กน้อย
    3.อาการรุนแรง จนช็อกหมดสติได้
    การดูแลและรักษา              เพิ่มปริมาณอินซูลินในร่างกาย            อาจใช้การควบคุมอาหารได้

  • ที่มาของเบาหวาน ในคนธรรมดาในระยะที่มิได้ทานอาหารตับจะมีการสร้างน้ำตาลออกมาตลอดระยะเวลาเพื่อให้เป็นอาหารของสมองแล้วก็อวัยวะอื่นๆในพักหลังทานอาหารพวกแป้งจะมีการย่อยเป็นน้ำตาลกลูโคสไปสู่กระแสโลหิต ระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อเพิ่มการนำน้ำตาลไปใช้ทำให้ระดับน้ำตาลน้อยลงมาเป็นปกติ ในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดอินซูลินหรือซนต่อฤทธิ์ของอินซูลินทำให้ไม่อาจจะใช้น้ำตาลได้ เวลาเดียวกันมีการเผาผลาญไขมันแล้วก็โปรตีนในเยื่อมาสร้างเป็นน้ำตาลมากขึ้น ทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง จนถึงล้นออกมาทางไตและมีน้ำตาลในปัสสาวะ เป็นต้นเหตุของคำว่า”โรคเบาหวาน”


ระดับน้ำตาลในเลือดคนปกติเป็นเท่าใด
ตาราง ค่าน้ำตาลในเลือด (มก.ดล.)
                น้ำตาลในเลือดเมื่องดอาหาร            น้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร
คนปกติ               60 – น้อยกว่า 100               น้อยกว่า 140
ภาวะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน       100 – น้อยกว่า 126             140 – น้อยกว่า 200
เบาหวาน   126 ขึ้นไป              200 ขึ้นไป
ฉะนั้นเบาหวาน จึงมีต้นเหตุจากความไม่ดีเหมือนปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ที่มีผลทำให้ระดับ น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ร่างกายไม่อาจจะใช้น้ำตาลได้อย่าง เหมาะสม ซึ่งโดยธรรมดาน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด สูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลสำหรับเพื่อการทำลายเส้นโลหิต ถ้าเกิดมิได้รับการดูแลและรักษาอย่างเหมาะควร อาจนำมาซึ่งการก่อให้เกิดสถานการณ์แทรก ซ้อนที่รุนแรงได้

  • ลักษณะของโรคโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลคนปกติจะอยู่ในตอน 60-99 มิลลิกรัม/ดล. ก่อนที่จะรับประทานอาหารยามเช้า ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจากค่าธรรมดาไม่มากอาจไม่มีอาการกระจ่าง ต้องทำตรวจเลือดเพื่อการวินิจฉัย หากไม่ทราบว่าเป็นเบาหวานมาเป็นระยะเวลานานผู้ป่วยอาจมาตรวจเจอด้วยภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานได้
กรุ๊ปอาการเด่นของเบาหวานมีดังนี้

  • ฉี่มากกว่าปกติ ปัสสาวะหลายหนช่วงเวลาค่ำคืน เพราะระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเมื่อเลือดไหลผ่านไตก็ไม่สามารถเก็บกักน้ำตาลไว้ได้ ก็ถูกขับออกทางเยี่ยว ทำให้เสียน้ำออกไปทางเยี่ยว
  • ดื่มน้ำบ่อยและมากกว่าคนที่ไม่มีอาการ เนื่องจากเยี่ยวมากมายรวมทั้งบ่อยครั้ง ทำให้ร่างกายขาดน้ำก็เลยเกิดความต้องการน้ำ
  • หิวบ่อยครั้งกินจุแม้กระนั้นซูบผอมลง เพราะอินซูลินไม่เพียงพอ หรือไม่สามารถออกฤทธิ์ได้พอเพียง ก็เลยนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหิว กินได้มาก
  • เป็นแผลหรือฝีง่าย รวมทั้งหายยากเพราะว่าน้ำตาลสูง เยื่อรอบๆที่เป็นแผลมีความชุ่มชื้นสูงทำให้ความต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำลง
  • คันตามตัว ผิวหนังรวมทั้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการคันเกิดได้หลายชนิด ตัวอย่างเช่น ผิวหนังแห้งเหลือเกิน หรือการอักเสบของผิวหนังซึ่งพบได้ทั่วไปในคนไข้โรคเบาหวาน ส่วนการคันรอบๆของลับมักเกิดจาการติดเชื้อรา
  • ตาฝ้ามัวจะต้องเปลี่ยนแปลงแว่นสายตาบ่อย การที่ตามัวมัวในโรคเบาหวานมูลเหตุอาจกำเนิดได้หลายประการหมายถึงอาจเป็นเพราะเนื่องจากสายตาเปลี่ยน (ตาสั้นลง) เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงและน้ำตาลไปคั่งอยู่ในตาหรือตามัว อาจเป็นเพราะต้อกระจก หรือเส้นเลือดในตาอุดตันก็ได้
  • มือชา เท้าชา หมดความรู้สึกทางเพศ เพราะน้ำตาลในเลือดที่สูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อม บางคนบางทีอาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ พบมากๆว่าคนป่วยที่ไม่เอาใจใส่ไม่รับการวินิจฉัยและรับการดูแลและรักษาโรคเบาหวานตั้งแต่ต้นจะรู้ดีว่าเป็นโรคโรคเบาหวานก็เมื่อมีโรคแทรกซ้อนขึ้นแล้ว
  • เบื่อข้าวอ่อนล้า อ่อนเพลียง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
  • น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าน้ำหนักเคยมากมายมาก่อน สาเหตุจากร่างกายไม่อาจจะนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้สุดกำลัง จึงจำต้องนำไขมันรวมทั้งโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ชดเชย


โรคแทรกซ้อนเรื้อรังที่พบได้มากในคนป่วยโรคเบาหวาน  ไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน                   ไตเป็นอวัยวะที่ปฏิบัติภารกิจกรองสารต่างๆที่อยู่ในกระแสโลหิต  มีเส้นเลือดขนาดเล็กจำนวนมากรอบๆไต  เมื่อฝาผนังเส้นเลือดถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นเวลานาน  วิธีการทำหน้าที่สำหรับในการกรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง  ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในฉี่ คนเจ็บที่เป็นโรคเบาหวานมานานกว่า  10  ปี มักกำเนิดปัญหาไตเสื่อม  แม้กระนั้นความร้ายแรงและก็ระยะการเกิดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการควบคุมน้ำตาลในเลือด
หน้าจอประสาทตาเสื่อและก็ต้อกระจกจากเบาหวาน เป็นผลมาจากการสะสมรวมตัวกันของน้ำตาลบริเวณเลนส์ตา  ทำให้เลนส์ตาบวมและก็มัวลงไม่เกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิตภายในดวงตา  ซึ่งสามารถคุ้มครองปกป้องได้โดยการควบคุมน้ำตาลในเลือด รอบๆเรตินา  เป็นรอบๆที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมากมาย  เมื่อเส้นเลือดฝอยถูกทำลายทำให้ฝาผนังเส้นเลือดฝอยโป่งพองกระทั่งแตก มีเลือดไหลออกมาในบริเวณวุ้นตา  เมื่อรอยรั่วหายก็ดีกำเนิดแผลซึ่งจะขวางการไหลของเลือดข้างในตา  จึงมีการแตกออกใหม่ของเส้นเลือดฝอย เพื่อช่วยสำหรับเพื่อการไหลเวียนโลหิต  แต่ว่าเส้นเลือดฝอยที่แตกออกใหม่จะเปราะบาง  แตกง่าย  ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในวุ้นตาและเรตินา  เวลานี้จะพบว่าคนไข้มีลักษณะอาการตามัว  เมื่อแผลเกิดมากขึ้นจะสร้างเส้นใยเป็นร่างแหในลูกตา  เมื่อรอยแผลเป็นหดรัดตัว  มีการดึงรังและฉีกให้ขาดของเยื่อรอบๆส่วนหลังของดวงตา  จะมีลักษณะอาการเหมือนมีม่านดำกางผ่านขวางตาหรือเสมือนมีแสงสีดำพาดผ่านตา  ซึ่งเมื่อมีอาการแบบนี้ให้เจอหมอรักษาตาทันทีเนื่องจากอาจจะก่อให้ตาบอดได้
ปลายประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน เป็นโรคแทรกซ้อนที่พบได้ทั่วไปในคนป่วยโรคเบาหวาน  โดยไม่กระตุ้นให้เกิดอันตรายถึงแก่ความตาย แต่ว่าทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญและเจ็บปวดทรมาน  เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย   ไม่อาจจะส่งออกสิเจนมาตามกระแสโลหิตเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้  รวมทั้งการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่รอบๆเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้ลักษณะการทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง   การรับรู้ความรู้สึกต่างๆต่ำลง  โดยยิ่งไปกว่านั้นรอบๆปลายมือปลายตีน จะเกิดอาการชา  เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก  จึงมีอันตรายกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน  เพราะเหตุว่าอาจทำให้กำเนิดแผลได้ง่ายโดยไม่ทันได้รู้สึกตัว  เมื่อเป็นมากอาจทำให้กล้ามเนื้อลีบเล็กลง  ทำกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวันได้น้อยลง
 นับเป็นโรคแทรกซ้อนที่คุกคามต่อชีวิตได้  คนป่วยจะมีลักษณะอาการเจ็บแน่นหน้าอก จากเส้นโลหิตหัวใจตีบ  กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ตราบจนกระทั่งกล้ามเนื้อหัวใจตายท้ายที่สุด โรคหลอดเลือดหัวใจ มักเกิดขึ้นจากควบคุมโรคเบาหวานไม่ดี  ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไม่ออกกำลังกาย อ้วน สูบบุหรี่ประวัติโรคหัวใจในครอบครัว  และเป็นคนที่เครียดเป็นประจำ
โรคเส้นโลหิตสมองตีบ เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงรอบๆสมองแคบ  ก่อให้เกิดการทุพพลภาพหรืออาการรุนแรงถึงเสียชีวิตได้  ช่องทางกำเนิดเส้นโลหิตสมองแคบจะสูงมากขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันเลือดสูงร่วมด้วย  ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงลงไปเกิดอัมพฤกษ์  หรืออัมพาต

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง/กลุ่มเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดเบาหวาน โรคค่อยวาบหวามมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายประการ ได้แก่
  • ชนิดบาป ต้นเหตุหลักของผู้เจ็บป่วยเบาหวานคือ ชนิดบาป พบว่าราวหนึ่งในสามของคนป่วยโรคเบาหวานมีประวัติพี่น้องเป็นโรคเบาหวาน ลักษณะยีนของการเป็นโรคเบาหวานเป็นลักษณะทางจำพวกกรรมที่ตกทอดกันผ่านโครโมโซมในนิวเครียสของเซลล์เช่นเดียวกับการสืบทองของชนิดบาปอื่นๆ
  • ความอ้วน ความอ้วนเป็นอีกต้นเหตุหนึ่งของการเกิดเบาหวานเนื่องจากว่าจะมีผลให้เซลล์ของร่างกายสนองตอบต่อฮอร์โมนอินซูลินต่ำลง อินซูลินจึงไม่สามารถพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ก้าวหน้าเหมือนเดิม จนถึงกลายมาเป็นภาวการณ์ขาดน้ำตาลในเลือดสูง
  • อายุ เมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆย่อมจำเป็นต้องเสื่อมลง และก็ตับอ่อนที่มีบทบาทสังเคราะห์แล้วก็ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ก็จะทำหน้าที่ได้น้อยลงก็เลยเป็นต้นเหตุหนึ่งของเบาหวาน
  • ตับอ่อนไม่สมบูรณ์ อีกสาเหตุหนึ่งของเบาหวานอาจเกิดขึ้นจากการที่ตับอ่อนได้รับการกระทบสะเทือนหรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อตับอ่อน แล้วก็อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากโรค ดังเช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากการดื่มสุรามากเกินความจำเป็น ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องผ่าตัดเอานิดหน่อยของตับอ่อนออก หกบุคคลนั้นมีทิศทางว่าจะเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว เมื่อตกอยู่ในภาวะนี้ก็จะแสดงอาการของเบาหวานได้เร็วขึ้น
  • การต่อว่าดเชื้อไวรัสบางชนิด เชื้อไวรัสบางจำพวก เมื่อไปสู่ร่างกายแล้วมีผลข้างเคียงในการเกิดโรคเบาหวาน ตัวอย่างเช่น คางทูม โรคเหือด
  • ยาบางจำพวก ยาบางประเภทก็ส่งผลต่อการเกิดโรคเบาหวานด้วยเหมือนกัน เช่น ยาขับเยี่ยว ยาคุมกำเนิด เพราะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา โดยเฉพาะเมื่อจำต้องใช้ยาติดต่อกันนานๆ
  • ภาวการณ์มีครรภ์ เพราะเหตุว่าฮอร์โมนหลายแบบที่เกลื่อนกลาดสังเคราะห์ขึ้นมานั้น ส่งผลยังยั้งแนวทางการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ผู้ที่มีท้องจึงเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงมากสำหรับการเกิดเบาหวาน โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่มียีนเบาหวานอนยู่ภายในร่างกาย และสภาวะเบาหวานเข้าแทรกในระหว่างตั้งท้องเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก ก็เลยจะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

กรุ๊ปเสี่ยงที่จะป่วยเป็นเบาหวาน

  • คนที่มีลักษณะต่างๆของเบาหวานตามที่กล่าวมา
  • อายุมากกว่า 40 ปี
  • มีเครือญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน
  • เคยหรูหราน้ำตาลอยู่ในระยะก่อนเบาหวาน
  • เคยเป็นโรคเบาหวานขณะท้อง
  • คลอดบุตรหนักมากกว่า 4 กก.
  • ความดันโลหิตสูง
  • มีไขมันในเลือดแตกต่างจากปกติ
  • มีโรคเส้นเลือดตีบแข็ง
  • มีโรคที่บ่งบอกว่ามีภาวะดื้อรั้นต่ออินซูลินดังเช่นว่าโรครังไข่มีถุงน้ำหลายถุง


คนที่มีภาวะดังที่กล่าวมาแล้วถึงแม้ไม่มีอาการโรคโรคเบาหวานควรตรวจตรา ถ้าหากระดับน้ำตาลอยู่ในข่ายสงสัยควรตรวจซ้ำในระยะ 1 ปี

  • กรรมวิธีรักษาโรคโรคเบาหวาน เนื่องจากราวครึ่งเดียวของคนป่วยโรคเบาหวานไม่มีอาการ คนที่มีความเสี่ยงที่จะกำเนิดโรค เบาหวานควรต้องตรวจคัดกรองเบาหวานทุกปี หมอวินิจฉัยโรคเบาหวานได้จาก ความเป็นมาอาการ เรื่องราวป่วยต่างๆประวัติการเจ็บ ป่วยไข้ของคนในครอบครัว การตรวจร่างกาย รวมทั้งที่สำคัญคือ การพิสูจน์เลือดเพื่อมองปริมาณน้ำตาลในเลือด และ/หรือ มองสารที่เรียกว่า ฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C: Glycated hemoglobin)


ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนั้นเป็นแนวทางที่จะทำให้เราทราบได้อย่างแจ่มแจ้งว่ามีระดับน้ำตาลสูงเพียงใด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ค่อนข้างที่จะแน่ๆ ในคนธรรมดาระดับน้ำตาลในเลือดจะคงเดิม เป็นประมาณ 80-110 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดยระดับน้ำตาลก่อนกินอาหารเช้าจะมีค่าประมาณ 70-115 มิลลิกรัม/ดล. เมื่อทานอาหาร ของกินจะถูกเสื่อมสภาพเป็นน้ำตาลกลูโคสและถูกซึมซับไปสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นแต่ว่าจะไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หลังรับประทานอาหารรุ่งเช้าแล้ว 2 ชั่วโมง แต่ถ้าตรวจพบระดับน้ำตาลที่สูงเกิน 140 มิลลิกรัม/ดล. ขั้นต่ำ 2 ครั้งขึ้นไปก็จะจัดว่าผู้นั้นเป็น “โรคเบาหวาน”
ตรวจค้น ฮีโมโกบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) คือการตรวจจำนวนน้ำตาลที่จับอยู่กับฮีโมโกบินซึ่งเป็นสารโปรตีนประเภทหนึ่งในเม็ดเลือดแดงมีบทบาทนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ การตรวจด้วยแนวทางแบบนี้จะใช้ข้างหลังการดูแลรักษาแล้วเพื่อตรวจผลการควบคุมโรคมากยิ่งกว่าตรวจเพื่อหาโรค  กรณีที่มีอาการป่วยด้วยเบาหวานในภาวะที่ควบคุมได้ยากหรือมีโรคแทรกควรได้รับการตรวจทุกๆ2 สัปดาห์ถ้าอยู่ระหว่างช่วงตั้งครรภ์แล้วก็เป็นเบาหวานควรตรวจจำนวนฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) ทุกๆ1 – 2 เดือนเพื่อบอกจำนวนน้ำตาลในเลือดว่าอยู่ในสภาวะที่เป็นโทษหรือเปล่า นอกเหนือจากนั้นอาจมีการตรวจอื่นๆมี อาทิเช่น  ตรวจระดับน้ำตาลในเยี่ยว กรณีที่วัดระดับน้ำตาลในเยี่ยวและพบว่ามีน้ำตาลคละเคล้าออกด้วยนั้น ย่อยแปลว่าผู้นั้นมีอาการป่วยด้วยเบาหวาน โดยมองประกอบกับการหรูหราน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นยิ่งกว่า 180-200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เหตุที่เป็นแบบนี้เนื่องจากไตของผู้คนมีความเข้าใจกรองน้ำตาลได้ราว 180-200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร  ด้วยเหตุนี้ถ้าร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงยิ่งกว่าระดับนี้ ไตก็จะไม่สามารถที่จะกรองน้ำตาลเอาไว้ได้น้ำตาลส่วนที่เกินออกมาพวกนั้นก็จะถูกขับออกมากับฉี่
Glucose tolerance test (GTT) การตรวจด้วย GTT มักทำในเด็กที่ยังไม่มีลักษณะโรคเบาหวานแจ่มกระจ่าง ตรวจเลือดหาระดับน้ำตาลหลังงดเว้นอาหารกับการตรวจปัสสาวะยังไม่เจอความเปลี่ยนไปจากปกติ GTT มักทำในเด็กที่แต่งงานที่มีพ่อหรือมารดาเป็นโรคโรคเบาหวานหรือตรวจฝาแฝดเหมือน (identical twins) ที่คนหนึ่งเป็นโรคเบาหวานแล้ว
การดูแลรักษาโรคเบาหวน ปัจจุบันนี้เบาหวานมีแนวทางการดูแลรักษา 4 วิถีทางประกอบกันเป็น  การฉีดอินซูลินไปสู่ร่างกายโดยตรง  การใช้ยาเม็ดควบคุมน้ำตาลในกระแสโลหิต การควบคุมอาหาร การบริหารร่างกาย
การดูแลรักษาโดยการฉีดอินซูลิน การใช้อินซูลินในคนไข้โรคเบาหวานจำพวกที่ 1 เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างอินซูลินได้อย่างพอเพียง โดยปกติแพทย์มักกำหนดให้ฉีดอินซูลินไปสู่ร่างกายวันละ 2 ครั้ง การใช้อินซูลินในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2  ในคนป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 นั้น ตับอ่อนยังคงทำหน้าที่ผลิตอินซูลินได้ แต่ว่าร่างกายกลับต่อต้านอินซูลินหรืออินซูลินที่ได้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอทำให้ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ วัตถุประสงค์ของการดูแลและรักษาโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 ในตอนนี้ ก็เลยเน้นไปที่การลดระดับน้ำตาบในกระแสโลหิตทั้งยังในตอนก่อนและหลังรับประทานอาหารเพื่อปกป้องการเกิดภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดแดง
การรักษาโดยการใช้ยา ยารักษาเบาหวาน ยาที่ใช้สำหรับการรักษาเบาหวานนั้น แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มเป็น ยาที่ส่งผลสำหรับในการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งจำนวนอินซูลินมากยิ่งขึ้น ดังเช่นว่า Sulfonylureas (Chlorpropamide, Acetazolamide, Tolazamide, Glyburide หรือ Glipizide) โดยการทำหน้าที่ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ด้วยการกระตุ้นให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินในปริมาณมากขึ้น ยาที่ส่งผลสำหรับเพื่อการยับยั้งการเผาไหม้คาร์โบไฮเดรตในไส้ ตัวอย่างเช่น Alpha-Glycosides inhibitors (Acarbose แล้วก็ Meglitol) ชวยชะลอแนวทางการยอยแล้วก็ดูดซึมน้ำตาลแล้วก็ แปงในลําไสซึ่งจะมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหลังมื้อของกิน ยาที่มีผลในการลดการสร้างเดกซ์โทรสในตับแล้วก็เพิ่มการใช้น้ำตาลเดกซ์โทรส ได้แก่ Biguanide (Metformin) เป็นยาที่ช่วยลดปริมาณการผลิตเดกซ์โทรสจากตับและก็ช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นลักษณะการทำงานของอินซูลินซึ่งผลิตโดยตับอ่อน ยาที่ปฏิบัติภารกิจลดภาวะการต้านอินซูลินในร่างกาย ดังเช่นว่า ยาในกรุ๊ป Thiazolidine diones  Thiazolidinediones (Rosiglitazone แล้วก็ Pioglitazone) ยาชนิดนี้ไม่มีฤทธิ์ต่อตับอ่อน แม้กระนั้นปฏิบัติภารกิจทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นการทำงานของอินซูลินที่ตับอ่อนผลิตออกมา การควบคุมของกิน การควบคุมของกินจำพวกแป้ง และน้ำตาล เป็นการช่วยลดจำนวนน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี รวมทั้งถ้าหากทำพร้อมกันไปกับการใช้ยาด้วยและจากนั้นก็จะทำให้กำเนิดประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลสำหรับเพื่อการรักษาโรคเบาหวานได้ดิบได้ดีเพิ่มขึ้น
การดูแลและรักษาโดยการออกกำลังกาย เมื่อบริหารร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้น 3 ประการ ดังเช่น  มีการใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ มีการดำเนินงานของปอดและหัวใจมากขึ้น มีการปรับระดับฮอร์โมนหลายชนิด ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จะเกิดมากน้อยขึ้นอยู่กับต้นเหตุหลายอย่าง เช่น ช่วงเวลาของการออกกำลังกาย น้ำหนักของการออกกำลังกาย ภาวะโภชนาการรวมทั้งสภาพความสมบูรณ์ของปอดแล้วก็หัวใจ

  • การติดต่อของโรคเบาหวาน เบาหวานเป็นโรคในระบบเมตาบอลิซึมภายในร่างกายก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคเบาหวาน พฤติกรรมของการบริโภค เลือกบริโภคของกินให้ครบ 5กลุ่ม โดยนึกถึงพลังงานที่ได้จากของกินคร่าวๆจากคาร์โบไฮเดรต(แป้ง)โดยประมาณ 55 - 60%โปรตีน (เนื้อสัตว์) โดยประมาณ 15-20%ไขมัน โดยประมาณ 25% ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากมายน่าจะจะต้องลดปริมาณการรับประทานลง โดยบางครั้งก็อาจจะเบาๆลดน้อยลงให้เหลือแค่ครึ่งเดียวของปริมาณที่เคยกินปกติ และก็บากบั่นงดเว้น อาหารมันและก็ทอด ทานอาหารที่มีกากใยมากมายเพื่อช่วยสำหรับในการขับถ่าย. เลี่ยงการกินเล็กๆน้อยๆและรับประทานอาหารไม่ทันเวลา เพียรพยายามกินอาหารในปริมาณที่เป็นประจำกันในทุกมื้อ แม้มีอาการเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงของกินรสเค็ม ควบคุมเรื่องการกินอาหารแม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะปกติและก็ตาม งดเว้นบริโภคของกินต่างๆเหล่านี้ น้ำตาลทุกประเภท รวมถึงน้ำผึ้ง ผลไม้กวนชนิดต่างๆขนมเชื่อม ขนมหวานต่างๆผลไม้ที่มีรสหวานมากมายๆน้ำหวานประเภทต่างๆขนมทอดกรอบหรือชุบแป้งทอด ปฏิบัติตามหมอ พยาบาลเสนอแนะ รับประทานยาให้ถูกครบบริบรูณ์ ไม่ขาดยา รู้จักผลกระทบจากยาโรคเบาหวาน แล้วก็การดูแลตัวเองที่สำคัญหมายถึงภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ รักษาสุขอนามัยเสมอ เนื่องจากว่าคนไข้จะติดเชื้อต่างๆได้ง่าย จากเบาหวานเป็นต้นเหตุที่ทำให้มีภูมิคุ้มกันต้านโรคลดน้อยลง รักษาสุขภาพเท้าเสมอ เลิกดูดบุหรี่ ไม่ดูดบุหรี่ เนื่องจากว่าบุหรี่เพิ่มโอกาสเกิดผลใกล้กันของเบาหวาน เลิกเหล้า หรือจำกัดสุราให้เหลือต่ำที่สุด เพราะว่าเหล้าอาจมีผลต่อยาที่ควบคุมโรคเบาหวานรวมทั้งโรคต่างๆทำให้ควบคุมโรคต่างๆได้ยาก ไม่ซื้อยากินเอง และไม่ใช้สมุนไพรเมื่อรับประทานยาโรคเบาหวาน เพราะเหตุว่าบางทีอาจต้านหรือเพิ่มฤทธิ์ของยาเบาหวาน จนถึงอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากยาเบาหวานที่ร้ายแรงได้ ดังเช่นว่า ผลต่อไต หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ฉีดยาคุ้มครองโรคต่างๆตามหมอเสนอแนะ ตัวอย่างเช่น วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่เจอหมอรักษาตาบ่อยตามหมอเบาหวานแล้วก็หมอรักษาตาเสนอแนะ เพื่อการวิเคราะห์ แล้วก็การดูแลและรักษาภาวะโรคเบาหวานขึ้นตาแม้กระนั้นเนิ่นๆคุ้มครองป้องกันตาบอดจากเบาหวาน เจอแพทย์ตามนัดหมายเสมอ หรือรีบพบแพทย์ก่อนนัด เมื่อมีลักษณะต่างๆผิดปกติไปจากเดิม

    จุดมุ่งหมายการควบคุมของคนป่วยโรคเบาหวาน ตามคำแนะนำของชมรมเบาหวานที่อเมริกา
                    วัตถุประสงค์
    น้ำตาลก่อนที่จะกินอาหาร (มก./ดล.)
    น้ำตาลหลังอาหาร 2 ชั่วโมง (มก./ดล.)
    น้ำตาลเฉลี่ย hba1c (%)
     วัวเลสเตอรอคอยล (มก./ดล.)
    เอช ดี แอล โคเลสเตอรอคอยล (มิลลิกรัม/ดล.)
    แอล ดี แอล วัวเลสเตอรอล (มิลลิกรัม/ดล.)
    ไตรกลีเซอ

 

Sitemap 1 2 3