ผู้เขียน หัวข้อ: โรคโรคลมชัก (Epilepsy) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 219 ครั้ง)

Boyzite1011

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2149
    • ดูรายละเอียด

โรคลมชัก (Epilepsy)
โรคลมชักเป็นยังไง โรคลมชัก หรือ โรคลมบ้าหมู มีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณ:  คือ ยึด ถือครอง หรือ ทำให้ป่วยหนัก โดยเป็นกรุ๊ปโรคทางประสาทวิทยาซึ่งถูกจำกัดความโดยอาการชักอันเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการทำงานอย่างสอดคล้องต้องกันมากจนเกินความจำเป็นของเซลล์ประสาท โดยเหตุนี้โรคลมชัก ก็คือโรคที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากความผิดแปลกของระบบประสาทศูนย์กลางซึ่งปฏิบัติภารกิจสำหรับเพื่อการควบคุมรูปแบบการทำงานของร่างกาย จนกระทั่งส่งผลให้เกิดอาการชัก
                โรคลมชักเป็นโรคระบบประสาทที่พบมาก ในรายงานการศึกษาเล่าเรียนโดย World Health Organization (WHO) และก็ World Federal of Neurology ในปี 2547 พบว่าใน 102 ประเทศที่รายงานปัญหาด้านสุขภาพ พบว่าร้อยละ 72.5 ของประเทศกลุ่มนี้บอกว่าโรคลมชักมักพบเป็นชั้นสองรองจากโรคปวดศีรษะ เวลาที่โรคเส้นเลือดสมองเป็นอันดับสามเป็น ร้อยละ 62.7 ประมาณว่าทั้งโลกคงจะมีคนที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี เป็นโรคลมชักกว่า 10.5 ล้านคน ซึ่งน่าจะเท่ากับจำนวนหนึ่งในสี่ของปริมาณผู้ที่เป็นโรคลมชักทุกอายุ รวมทั้งในทุกๆปี น่าจะมีผู้ที่ได้รับการวิเคราะห์ใหม่เป็นโรคลมชัก ราวๆ 3.5 ล้านคน ซึ่งจำนวนร้อยละ 40 จะเป็นคนป่วยเด็กที่อายุน้อยกว่า 15 ปี รวมทั้งกว่าจำนวนร้อยละ 80 เป็นผู้ป่วยในประเทศที่กำลังปรับปรุง
                ช่วงอายุที่เกิดโรคลมชักสูงคือตอนทารกแรกเกิดและก็เด็กเล็ก ต้นเหตุที่ส่งผลให้เกิดโรคลมชักในตอนวัยแรกเกิดชอบเป็นพยาธิสภาพที่เกิดในช่วงการคลอดได้แก่ผลการขาดออกซิเจน การต่อว่าดเชื้อที่ระบบประสาท ส่วนชราเป็นตอนที่มีโอกาสเกิดโรคลมชักสูงรองลงมา ในปัจจุบันน่าจะพบว่าอุบัติการณ์โรคลมชักในวัยชราเพิ่มขึ้นในตอนที่ในตอนวัยทารกลดน้อยลงเนื่องจากความสามารถทางด้านการแพทย์ในการดูแลคนไข้ ปัญหาสุขภาพต่างจากเดิม การติดเชื้อที่ระบบประสาทที่อาจจะเป็นสาเหตุของโรคลมชักในวัยเด็กเริ่มน้อยลงจากการที่มีวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคต่างๆอายุคนยืนยาวขึ้นกว่าเดิม โรคเส้นเลือดสมองซึ่งมีเหตุมาจากปัญหาความประพฤติสำหรับในการทานอาหารไม่เหมาะสมมากขึ้น ฯลฯ สำหรับประเทศที่กำลังปรับปรุงความชุกและอุบัติการณ์โรคลมชักยังคงสูงโดยยิ่งไปกว่านั้นในเด็ก เนื่องมาจากปัญหาสุขลักษณะโรคติดเชื้อ ความสามารถสำหรับการรักษาคนป่วยยังจำกัด มีการคาดคะเนว่าคนประเทศไทยทั่วราชอาณาจักร เป็นโรคลมชักโดยประมาณ 450,000 คน และก็ประชาชนโดยธรรมดายังมีความสามารถต่อโรคลมชักไม่มาก
                ดังนี้ ผู้เจ็บป่วยโรคลมชัก ถ้าเกิดได้รับการดูแลและรักษาอย่างเป็นจริงเป็นจังตลอดมาตลอดตั้งแต่ทีแรกกำเนิดอาการ ผู้เจ็บป่วยจะสามารถดำรงชีวิตได้แก่คนปกติ เรียนหนังสือ ทำงาน เล่นกีฬา ออกสังคม รวมถึงสามารถสมรสได้ แต่ว่าถ้าละเลยไม่ได้รับการรักษาอย่างเป็นจริงเป็นจัง ปลดปล่อยให้ชักอยู่เสมอๆก็อาจจะส่งผลให้โรคสมองเสื่อม บางรายอาจพิการหรือตายเนื่องจากว่าอุบัติเหตุที่บางทีอาจเกิดขึ้นระหว่างชัก อาทิเช่น จมน้ำ ขับรถชน ตกจากที่สูง ไฟเผา น้ำร้อนลวก เป็นต้น
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคลมชัก
โรคลมชักโดยมากเกิดขึ้นโดยตรวจไม่พบมูลเหตุแจ้งชัด (Idiopathic หรือ Primary Epilepsy) มั่นใจว่ามีความ พร่องของสารเคมีบางอย่างสำหรับในการควบคุมไฟฟ้าในสมอง (โดยที่โครงสร้างของสมองเป็นปกติดี) ทำให้แนวทางการทำหน้าที่ของสมองเสียความสมดุล มีการปล่อยไฟฟ้าอย่างเปลี่ยนไปจากปกติของเซลล์สมอง กระตุ้นให้เกิดอาการชัก และก็สลบชั่วประเดี๋ยว คนป่วยกลุ่มนี้มักจะมีลักษณะครั้งแรกในช่วงอายุ 5-20 ปี และอาจมีเรื่องราวว่ามีบิดามารดาหรือญาติเป็นโรคนี้ด้วย  และก็มีส่วนน้อยที่สามารถหาต้นเหตุที่แจ่มชัดได้ (Symptomatic หรือ Secondary  Epilepsy)  อาจเกิดจากความแตกต่างจากปกติของโครงสร้างสมอง ดังเช่นว่า สมองทุพพลภาพแต่กำเนิด สมองได้รับกระทบระหว่างคลอด สมองทุพพลภาพคราวหลังการติดเชื้อ แผลในสมองข้างหลังผ่าตัด ฝีในสมอง เนื้องอกในสมอง โรคพยาธิในสมอง เลือดออกในสมอง (ซึ่งกลุ่มนี้มักพบในเด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 2 ปี) ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวการณ์แคลเซียมในเลือดต่ำ โรคพิษสุรา สิ่งเสพติด (อย่างเช่น การเสพยาขยันเกินขนาด) พิษจากการใช้ยาบางชนิดที่ใช้เกินขนาด (กลุ่มนี้พบได้ทั่วไปในผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป)
ทั้งนี้ อาการในคนป่วยโรคลมชักบางทีอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ แต่ก็มีในบางครั้งบางคราว หรือการใช้สารอะไรบางอย่างที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการชักได้ อาทิเช่น ความตึงเครียด การพักผ่อนไม่พอ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยารักษาอาการบางจำพวกหรือกการใช้สิ่งเสพติด สภาวะมีเมนส์ของเพศหญิง นอกเหนือจากนั้นยังมีผู้ป่วยปริมาณหนึ่งแต่เป็นปริมาณน้อยซึ่งสามารถเกิดอาการชักได้ถ้าหากเห็นแสงแฟลชที่สว่างจ้า โดยอาการชักที่เกิดจากต้นเหตุนี้เรียกว่า โรคลมชักที่ผู้ป่วยไวต่อแสงกระตุ้น (Photosensitive Epilepsy)
ลักษณะของผู้ป่วยลมชัก โรคลมชัก แตกต่างจากการชักจากโรคอื่นๆคือ อาการชักจากโรคลมชัก ต้องมีอา การ ชัก เกร็ง กระตุก กัดลิ้น น้ำลายฟูมปาก ซึ่งดังนี้ ในความเป็นจริงแล้ว โรคลมชักเอง มีลักษณะอาการชักได้ 3 แบบอย่าง เป็นต้นว่า
1.อาการชักที่ส่งผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures) เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นกับสมองทั้งยัง 2 ส่วน แบ่งออกเป็น 2 จำพวกย่อยๆคือ
   อาการชักแบบใจลอย (Absence Seizures) เป็นอาการชักที่มักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่โดดเด่นเป็นการใจลอย หรือมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ อาทิเช่น การกระพริบตาหรือขยับริมฝีปาก อาการชักจำพวกนี้อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การเสียการรับรู้ในระยะสั้นๆได้
   อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เป็นอาการชักที่นำไปสู่อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยชอบเกิดขึ้นกับกล้ามรอบๆข้างหลัง แขนรวมทั้งขา จนกระทั่งทำให้ผู้เจ็บป่วยล้มลงได้
             อาการชักแบบกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย (Atonic Seizures) อาการชักที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามเนื้ออ่อนเพลียลง ผู้ป่วยที่มีลักษณะชักจำพวกนี้จะไม่สามารถควบคุมกล้ามขณะเกิดอาการได้ กระทั่งทำให้ผู้ป่วยล้มพับ หรือหกล้มลงได้อย่างเฉียบพลัน
   อาการชักแบบชัก (Clonic Seizures) เป็นอาการชักที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามที่เปลี่ยนไปจากปกติ โดยอาจก่อให้เกิดการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า รวมทั้งแขน
             อาการชักแบบชักและก็เกร็ง (Tonic-clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อภายในร่างกายทุกส่วน ทำให้มีการเกิดอาการกล้ามเกร็งและกระตุก มีผลทำให้คนเจ็บล้มลง และก็หมดสติ บางรายบางทีอาจร้องไห้ในขณะชักด้วย และก็ภายหลังอาการทุเลาลง ผู้ป่วยบางทีอาจรู้สึกอ่อนแรงเพราะเหตุว่าอาการชัก
   อาการชักแบบชักตกใจ (Myoclonic Seizures) อาการชักประเภทนี้มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยจะเกิดอาการชักกระตุกของแขนและขาคล้ายกับการโดนไฟฟ้าช็อต ส่วนใหญ่มักจะกำเนิดหลังจากตื่นนอน บ้างก็เกิดขึ้นร่วมกับอาการชักแบบอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน
2.อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures) อาการชักจำพวกนี้จะเกิดขึ้นกับสมองเพียงแต่นิดหน่อย กระตุ้นให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
    อาการชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) สำหรับอาการชักชนิดนี้ ในขณะที่เกิดอาการ คนป่วยจะยังคงมีสติครบบริบรูณ์ โดยผู้เจ็บป่วยอาจมีความรู้สึกแปลกๆหรือมีความรู้สึกวูบๆด้านในท้อง บ้างก็บางทีอาจรู้สึกราวกับมีลักษณะเดจาวู ซึ่งเป็นความรู้สึกประหนึ่งว่าเคยพบเจอหรือเกิดเหตุการณ์ที่เผชิญอยู่มาก่อน ถึงแม้ว่าไม่เคย บางทีอาจเกิดความรู้สึกร่าเริงหรือกลัวทันทีทันใด แล้วก็ได้กลิ่นหรือรับทราบรสชาติแปลกไป รู้สึกชาที่แขนและขา หรือมีลักษณะอาการชักกระตุกที่แขนรวมทั้งมือ เป็นต้น ดังนี้ อาการชักดังกล่าวมาแล้วข้างต้นอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการชักชนิดอื่นๆที่กำลังตามมา อาการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เจ็บป่วยและคนที่อยู่รอบข้างเตรียมรับมือได้ทัน
    อาการชักโดยไม่ทันรู้ตัว (Complex Partial Seizures) สามารถเกิดขึ้นโดยที่คนเจ็บอาจไม่รู้ตัวและไม่สามารถจดจำได้ว่าเกิดอาการขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะเวลาที่เกิดอาการหรืออาการสงบแล้ว อาการชักจำพวกนี้ไม่สามารถเดาได้โดยอาจมีอาการเช่น ขยับริมฝีปาก เช็ดมือ ทำเสียงแปลกๆหมุนแขนไปบริเวณจับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในอาการแปลกๆเคี้ยวหรือกลืนอะไรบางอย่าง นอกนั้น ในระหว่างที่เกิดอาการ ผู้เจ็บป่วยจะไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายได้เลย
3.อาการชักต่อเนื่อง (Status Epilepticus) อาการชักประเภทนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมากกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือเป็นอาการชักสม่ำเสมอที่ผู้ป่วยไม่สามารถคืนสติในขณะที่ชัก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ดังนี้ลักษณะสำคัญของการชักในโรคลมชักทุกประเภทเป็น การที่คนไข้มีลักษณะอาการผิดปกติทางระบบประสาทดังกล่าวข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 3 นาที อา การนั้นหายได้เอง แต่ว่าอาการเหล่านั้นจะกำเนิดซ้ำๆแล้วก็อาการไม่ดีเหมือนปกติที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีลักษณะคล้ายกัน
ก่อนจะชัก บางคนอาจมีอาการบอกเหตุล่วงหน้ามาก่อนหลายชั่วโมง หรือ 2-3 วัน ดังเช่น อารมณ์เสีย เครียด ไม่มีชีวิตชีวา เวียนศีรษะ กล้ามกระตุก เป็นต้น และก่อนจะหมดสติเพียงไม่กี่วินาที ผู้ป่วยอาจมีอาการเตือน ได้แก่ ได้กลิ่นหรือรสแปลกๆหูแว่วว่ามีเสียงคนพูด ตาเห็นภาพหลอน มีลักษณะอาการชาตามตัว จุกแน่นยอดอก ตากระตุๆก ฯลฯ ถ้าเกิดไม่ได้รับประทานยารักษา อาจมีอาการชักกำเริบเสิบสานซ้ำได้ปีละหลายครา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้น (ดูหัวข้อ “การดูแลและรักษาตัวเอง”) คนป่วยจะไม่มีอาการไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย ลักษณะอาการดังกล่าวข้างต้นค่อนข้างจะเป็นเอกลักษณ์ของโรคลมชัก ถ้าเกิดเคยได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวก็จะจำได้ตลอดไป
ส่วนอาการชักซึ่งมีเหตุที่เกิดจากโรคลมชัก มีปัจจัยเกิดจากการที่กลุ่มของเซลล์ประสาทเริ่มศักยะงานในปริมาณสูงอย่างผิดปกติ แล้วก็สอดคล้องต้องกัน ผลลัพธ์กระตุ้นให้เกิดคลื่นของการลดความต่างศักย์ เรียกว่า ดีโพลาไรซิ่ง ชิฟท์ โดยธรรมดาภายหลังเซลล์ประสาทที่ได้รับการเร่งเร้า ดำเนินการหรือสร้างศักยะงาน ตัวของมันจะทนทานต่อการสร้างศักยะงานซ้ำในช่วงเวลาหนึ่ง ต้นสายปลายเหตุส่วนใดส่วนหนึ่งอาจได้ผลของลักษณะการทำงานของเซลล์ประสาทที่ถูกยับยั้ง ความเคลื่อนไหวไฟฟ้าภายในเซลล์ประสาทที่ได้รับการเร่งเร้า แล้วก็ผลพวงของอะดีโนซีน
การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคลมชัก

  • กินยาป้องกันโรคลมชักตามขนาดที่หมอสั่งเสมอๆ อย่าให้หยุดยาเอง หรือรับประทานๆหยุดๆจวบจนกระทั่งแพทย์จะใคร่ครวญให้หยุด ซึ่งบางทีอาจใช้เวลา 2-3 ปี
  • ไปตรวจกับแพทย์ประจำตามนัด อย่าเปลี่ยนแปลงแพทย์แปลงโรงหมอโดยไม่จำเป็น
  • หลบหลีกตัวกระตุ้นให้กำเนิดอาการชัก ตัวอย่างเช่น อย่าอดหลับอดนอน หรือนอนไม่ตรงเวลา หรือพักผ่อนไม่พอ  อย่าดำเนินงานบากบั่นคร่ำเครียดหรือเหน็ดเหนื่อยเกินความจำเป็น  อย่าไม่กินอาหารหรือรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา  อย่ากินเหล้าหรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์  อย่าเข้าไปในที่ๆมีเสียงครึกโครม หรือมีแสงจ้า หรือแสงสว่างวอบแวบ  เมื่อจับไข้สูง ต้องรีบกินยาลดไข้รวมทั้งเช็ดตัวให้ไข้ลดน้อยลง ไม่งั้นอาจกระตุ้นให้ชักได้
  • เลี่ยงความประพฤติปฏิบัติหรือสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงอันตราย อย่างเช่น ว่าย ไต่ขึ้นที่สูง อยู่ใกล้ไฟ ปฏิบัติงานกับเครื่องจักร ขับรถ ขับเรือ เดินข้ามถนนโดยลำพัง เป็นต้น เนื่องจากว่าถ้าหากกำเนิดอาการชักขึ้นมา อาจได้รับอันตรายได้
  • ควรเปิดเผยให้สหายสถานที่สำหรับทำงานหรือที่สถานศึกษาได้รู้ถึงโรคที่เป็น รวมถึงควรพกบัตรที่บันทึกใจความเกี่ยวกับโรคที่เป็นและวิธีปฐมพยาบาลเพื่อว่าเมื่อกำเนิดอาการชัก ผู้ที่พบเจอจะได้ไม่ตระหนกตกใจ รวมทั้งหาทางช่วยเหลือให้ไม่เป็นอันตรายได้
  • บริหารร่างกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะควรจะช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรงเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังยังช่วยลดอาการภาวะกลัดกลุ้มได้ แม้กระนั้นก็ควรจะกินน้ำให้เพียงพอ รวมทั้งควรพักผ่อนถ้าหากรู้สึกอ่อนแรง
  • คุ้มครองการเจ็บที่สมอง ด้วยแนวทางดังต่อไปนี้
  • ขับขี่รถโดยสวัสดิภาพ ใช้วัสดุอุปกรณ์ป้องกัน คาดเข็มขัดนิรภัย หมวกกันน็อก แม้ผู้โดยสารเป็นเด็กตัวเล็กๆควรจะจัดให้นั่งบนที่นั่งเฉพาะสำหรับเด็กเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
  • เดินอย่างระมัดระวัง เพื่อคุ้มครองป้องกันการหกล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและก็ผู้สูงวัยที่มีโอกาสในการเสี่ยงที่จะตกหกล้มได้ง่าย เพราะฉะนั้นต้องมีคนคอยดูแลอยู่เสมอ

การปกป้องตนเองจากโรคลมชัก ถึงแม้ว่าการเกิดโรคลมชักในหลายสาเหตุนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทรายต้นสายปลายเหตุรวมทั้งจะไม่สามารถที่จะคุ้มครองได้ แต่ความบากบั่นที่จะลดการเจ็บบริเวณหัว การดูแลเด็กแรกคลอดที่ดีในระยะเวลาข้างหลังคลอด บางทีอาจช่วยลดอัตราการเกิดโรคลมชัก(ที่มีสาเหตุ)ได้ และก็เมื่อมีลักษณะชักเกิดขึ้นแล้ว ควรจะหาทางคุ้มครองปกป้องไม่ให้อาการไม่ดีขึ้นขึ้น ด้วยการกินยากันชักตามขนาดที่แพทย์ชี้แนะ และก็ผู้เจ็บป่วยจำเป็นต้องหลบหลีกสาเหตุที่กระตุ้นให้อาการไม่ดีขึ้น
ดังนี้ตอนนี้ยังไม่มียาที่ใช้คุ้มครองป้องกันการเกิดโรคลมชักได้ประสิทธิภาพที่ดี 100% แล้วก็หมอไม่นิยมที่จะให้ยาคุ้มครองปกป้องการชัก หมอจะเริ่มให้ยารักษาอาการชักในโรคลมชักต่อเมื่อมีลักษณะชักเกิด ขึ้นแล้ว เพื่อคุ้มครองปกป้อง/ลดช่องทางเกิดการชักซ้ำ
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคลมชัก เดี๋ยวนี้ยังไม่ได้รับกล่าวว่าสมุนไพรชนิดไหนซึ่งสามารถป้องกัน/รักษาโรคลมชักได้แต่มีการนำสมุนไพรของไทยไปทำการศึกษาเรียนรู้และก็ทดสอบในสัตว์ทดลองและได้ผลเป็นที่ถูกใจแม้กระนั้นยังมิได้มีการนำไปทดสอบในมนุษย์ซึ่งสมุนไพรพวกนี้ ตัวอย่างเช่น

  • พริกไทยดำ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ piper nigrum Linn. อยู่ในตระกูล Piperraceae เมื่อเร็วๆนี้มีกล่าวว่าสารสกัดพริกไทยดำมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ รักษาโรคมะเร็ง ต้านทานโรคลมชัก โดยต่อต้านการกระตุ้นสมองของสารสื่อประสาทกลุ่มกลูตาเมตผ่านตัวรับจำพวก NMDA ซึ่งฤทธิ์โต้ลมชักนี้จะสอดคล้องกับคุณประโยชน์ของพริกไทยดำที่มีการกล่าวอ้างไว้ทั้งยังในแบบเรียนหมอแผนไทยแล้วก็แพทย์แผนจีน นอกเหนือจากนั้นยังมีแถลงการณ์ว่าหนูอ้วนที่ถูกรั้งนำด้วยการให้รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงที่ได้รับพริกไทยดำจะหรูหราความตึงเครียดออกซิเดชัน (oxidation stress) น้อยกล่ากลุ่มที่ไม่ได้รับพริกไทยดำ
  • พรมไม่ มีชื่อสามัญว่า Thyme-leaf Gratiola รวมทั้งชื่ออังกฤษว่า Dwarf bacopa มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bacopa monnieri Wettst อยู่ในวงศ์ Scrophulariaceae ในพรมไม่มีสารสำคัญในกรุ๊ปแอลคาลอยด์ เป็นต้นว่า บราไม่น (brahmine), นิโคติน และสารกลุ่มซาโปนิน มีคุณลักษณะช่วยสำหรับเพื่อการทำความเข้าใจรวมทั้งจำ ช่วยลดอาการตื่นตระหนก ลดอาการซึมเซา และก็ต้านอาการชัก ซึ่งมีการทดสอบที่สำคัญ ได้ดังนี้
  • ฤทธิ์ต่อต้านอาการชัก (Anticonvulsive action)การแพทย์แผนไทย มีการนำพรมไม่มาใช้เป็นสมุนไพรแก้ลมเหียน ซึ่งในตอนนี้ มีการนำประพรมมิมาทดสอบในสัตว์ทดลอง (หนูถีบจักร) พบว่า สารสกัดน้ำจากพรมไม่ขนาด 1-30 กรัม/กิโลกรัม (น้ำหนักตัว) สามารถควบคุมอาการลมชัก (epilepsy) ได้เป็นอย่างดีโดยออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทศูนย์กลาง
เอกสารอ้างอิง

  • Magiorkinis E, Kalliopi S, Diamantis A (January 2010). "Hallmarks in the history of epilepsy: epilepsy in antiquity". Epilepsy & behavior : E&B 17 (1): 103– PMID 19963440. doi:10.1016/j.yebeh.2009.10.023.
  • รศ.นพ.อนันต์นิตย์ วิสุทธิพันธ์ . อาการชัก และโรคลมชัก. บทความประกอบการบรรยายในการประชุมวิชาการ วิทยาการก้าวหน้าทางการพยาบาลเด็ก.2555
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคลมชัก-ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่166.คอลัมน์แนะยา-แจงโรค.กุมภาพันธ์ 2536
  • Liu Y, Yadev VR, Aggarwal BB, Nair MG. Inhibitory effects of black pepper (Piper nigrum) extracts and compounds on human tumor cell proliferation, cyclooxygenase enzymes, lipid peroxidation and nuclear transcription factor-kappa-B. Nat Prod Commun. 2010 ;5(8):1253-7
  • โรคลมชัก.ความหมาย,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • ชาญชัย สาดแสงจันทร์.พรมมิ สมุนไพรที่คนแก่ต้องกิน.วารสารธรรมศาสตร์เวชสาร.ปีที่13.ฉบับที่4.ตุลาคม-ธันวาคม.2556
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่363.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กรกฏาคม.2553
  • Hi RA, Davies JW. Effects of Piper nigrum L. on epileptiform activity in cortical wedges prepared from DBA/2 mice. Brother Res 1997; 11(3): 222-225
  • Hammer, edited by Stephen J. McPhee, Gary D. (2010). "7". Pathophysiology of disease : an introduction to clinical medicine (6th ed. ed.). New York: McGraw-Hill Medical. ISBN 978-0-07-162167-0.
  • Nisha P, Singhal RS, Pandit AB. The degradation kinetics of flavor in black pepper (Piper nigrum L.).Journal of Food Engineering 2009; 92: 44-49.
  • Chang BS, Lowenstein DH (2003). "Epilepsy". N. Engl. J. Med. 349 (13): 1257–66. PMID 14507951. doi:10.1056/NEJMra022308.


 

Sitemap 1 2 3